คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #40 : Kurosagi Shitai Takuhaibin ความรู้ในความขยะแขยง
วันนี้ผมไปอ่านบทความที่คนอื่นวิจารณ์การ์ตูนเรื่องนี้มา หลายเว็บ แต่ผมติดใจประโยชน์ของคนวิจารณ์คนหนึ่ง เขาเขียนว่า ในบรรดาที่การ์ตูนเขาอ่านนั้น จำแนกคร่าวๆ แบ่งได้ดังต่อไปนี้
-ประเภทอ่านแล้วอยากซื้อเก็บขึ้นทิ้ง เทิดทูนบูชา(ตัวอย่างของเขาคือ เดธโน้ต, แขนกล)
-ประเภทอ่านแล้วอยากอ่านต่อแต่ไม่อยากซื้อเก็บ(ตัวอย่างของเขาคือ กินทามะ, วันพีช)
-ประเภทอ่านแล้วอารมณ์ไม่ขึ้น ทนอ่านแบบกล้ำกลืนฝืนทน (ตัวอย่างของเขาคือ บลิซ, ยอดเซฟครัวท่านทูต)
-ประเภทไม่แตะต้องเลย (ตัวอย่างของเขาคือการ์ตูนตาหวาน)
ผมอ่านแล้ว เออ ส่วนใหญ่นักอ่านการ์ตูนนี้มักจัดประเภทการ์ตูนในแบบฉบับของตัวเอง ความคิดของหลายๆ คนไม่เหมือนกัน อย่างผมนั้นจัดการ์ตูนในแบบไม่เหมือนใครเหมือนกัน คือการ์ตูนอ่านหน้าคอม(เช่น ซันเรต, คินดะอิจิ), การ์ตูนที่อ่านในห้องนอน(เช่น ลวง หลอก ฆ่า หรือแนวเลิฟคอมมาดี้) การ์ตูนอ่านระหว่างเข้าห้องน้ำ(เนโรนักสืบจอมเขมือบ, ไซยูคิ(ที่พระถำซังจังเป็นผู้หญิงนะ) ประเภทที่ไม่แตะต้องเลย(โคนัน, ดราก้อนบอล, นารูโตะ รีบอร์น ใครพูดชื่อการ์ตูนนี้ในเอ็มอาจโดนบล็อกทันที เนื่องจากคุยกันคนละภาษา) และการ์ตูนอ่านก่อนนอน(การ์ตูนโป๊)
และเขายกเรื่องคุโรซากิด้วย โดยเขาจัดคุโรซากิเป็นประเภทอยากอ่านต่อแต่ไม่อยากซื้อเก็บ แต่สำหรับผมแล้วคุโรซากินั้นเป็นการ์ตูนอ่านได้ทุกที ทุกเวลาครับ ไม่ว่าจะเป็นในห้องน้ำหรือห้องนอน เพราะผมเห็นสิ่งแปลกใหม่ในการ์ตูนเรื่องนี้.......
Kurosagi Shitai Takuhaibin
คุโรซากิเป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เขียนโดยโฮซุย ยามาซากิ เรื่องโดยเอจิ โอสึเกะ จัดพิมพ์โดยสยามอินเตอร์ คอมมิกส์ ก่อนหน้านั้นมีผลงานสองเรื่องคือ Mail สื่อมรณะ และภูต ผีปีศาจ(จำชื่อเรื่องไม่ได้ขออภัย)ซึ่งทั้งสองเรื่องก็ออกแนวสยองขวัญและเหนือธรรมชาติเช่นเดียวกับเรื่องคุโรซากิ จะต่างตรงที่คุโรซากินั้นเนื้อเรื่องค่อนข้างซับซ้อน และสนุก ตลก ได้ความรู้ท่ามกลางความขยะแขยงของจิตใจมนุษย์และซากศพกว่าสองเรื่องนี้มาก
คุโรซากิเป็นเนื้อเรื่องของการรวมตัวของวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง ที่ทั้งหมดเรียนอยู่มหาลัยพุทธ ซึ่งเป็นมหาลัยเกรดซี ที่จบแล้วหางานทำยาก(คนที่เรียนที่นี้ส่วนใหญ่มักเป็นพระหรือผู้สืบทอดกิจการวัด)
พระเอกของเรื่องที่คาราซึ คุโร พระเอกหัวโล้นที่หน้าตาไม่หล่อเหลาเอาเสียเลย เป็นนักเรียนชั้น ปีที่ 4 ในมหาลัยพุทธที่จบแล้วหางานทำไม่ได้ และกำลังอ่านใบประกาศหางานทำอยู่ พอดีเวลานั้นเขาก็รู้จักรุ่นพี่ซาซากิ อาโอที่แนะนำงานอาสาสมัครสวดศพคนฆ่าตัวตายในป่าอาโอกิงาฮาระ หรือป่าฆ่าตัวตาย
คาราซึเห็นว่าเป็นงานนี้สบายดี ได้เห็นศพและได้เงินด้วย เลยช่วยงานโดยไม่คิดอะไรมาก และเมื่อถึงวันทำงาคุโรก็เห็นอาสาสมัครคนอื่นๆ ในกลุ่ม ที่แต่ละคนที่ดูแล้วเหมือนคนไม่เต็มเต็ง ทั้งหมดประกอบด้วย
ซาซากิ อาโอ รุ่นพี่ที่เป็นหัวหน้ากลุ่ม คนแนะนำงานให้คาราซึคนแรก ฉลาดในการหาข้อมูล มีงานอดิเรกคือ เอารูปคนตายไปเผยแพร่ทางเน็ต มีหน้าที่เป็นฝ่ายรวบรวมข้อมูล(Hacking)ของกลุ่ม
นุมาตะ มาโกโตะ หน้าตาเหมือนจิ๊กโก๋ ตัวโต แต่ใจดี รักคนแก่ และกระเป๋าแห้งเหมือนคาราซึ มีความสามารถประหลาดคือใช้ดาวซิ่ง(Dowsing)หาศพคนตายได้(ปกติดาวซิ่งนี้ใช้สำรวจหาแหล่งน้ำ หาแร่ มันใช้หาศพได้ไงเนี้ย)
ยาตะ ยูจิ นักศึกษามหาลัยพุทธที่หน้าตาเหมือนโอตากุไม่ก็พวกเก็บตัว แต่ฉลาดเกินคาด(แต่ดันฉลาดในทางที่ไร้สาระ) อ้างว่าสามารถสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาว(Channeling)ได้ โดยผ่านตุ๊กตามือข้างซ้ายของเขา ดูเผินๆ นึกว่ามายากลจำอวด จึงทำให้ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นความสามารถจริงหรืออำกันแน่
มาดิโนะ เคโกะ สาวน้อย(หรือเปล่า) ที่เซ็นต์แต่งตัวไม่เข้ากับสถานีที่เลยพับผ่า มีความสามารถ(อาชีพ)เอมบาล์มมิ่ง(Emblamer) หรือสัปเหร่อคนแต่งศพ ที่ได้รับใบอนุญาตจบหลักสูตรจากอเมริกา ที่พอมาญี่ปุ่นแล้วกลับกลายเป็นว่าอาชีพนี้ไม่นิยมซะงั้น ทำให้รับจ๊อบแต่งหน้าดารา(หนังผี)อยู่บ่อยๆ
สมาชิกทั้งหมดล้วนมีปมหลังอดีตที่เลวร้ายเกี่ยวกับความตายทั้งสิ้น เช่น ยาตะที่รอดชีวิตจากการฆ่าตัวตายหมู่ครอบครัวของตนเอง,ซาซากิที่ครอบครัวของเธอถูกฆาตกรโรคจิตสังหารอย่างโหดเหี้ยม มาดิโนะเคยเห็นศพแม้แท้ๆ ของตนที่โดนรถไฟทับตายจากการฆ่าตัวตาย.....ทำให้สมาชิกในกลุ่มจิตแข็งอย่างมาก เห็นศพคนตายเป็นเรื่องปกติ(ไม่ว่าสยองหรือชวนหดหู่ยังไงก็ไม่กลัว) หรือเห็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอะไรนี้มักมองเป็นเรื่องปกติธรรมดา(ซะงั้น)
กลับเข้าเรื่องกันต่อ ระหว่างที่คาราซึกับสมาชิกคนอื่นๆกำลังหาศพในเขตป่าอยู่นั้นพวกเขาก็พบศพปริศนาคนหนึ่ง ที่ดูเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย แต่ดูเหมือนไม่ธรรมดาอย่างบอกไม่ถูก ระหว่างที่ทั้งหมดดูศพอยู่นั้น คาราซึกำลังคิดในใจว่าพวกพิลึกแฮะ ในตอนนั้นเองตุ๊กตามือซ้ายของยูจิ(ที่อ้างว่าเป็นจิตของมนุษย์ต่างดาวอะไรสักอย่าง) พูดกับคาราซึเหมือนอ่านใจได้ว่า
“ฉันรู้นะว่าในบรรดาพวกนี้ นายนั้นแหละที่แปลกกว่าชาวบ้าน”
“แกหมายความว่าไง ที่ฉันไม่ใช้คนปกติ” คุโร่ตอบกลับ
“ฉันหมายถึงคนที่ยืนอยู่ข้างหลังนายไงเล่า”
จากนั้นภาพก็ปรากฏร่างที่หนึ่งเป็นภาพชายที่หน้าตามีแต่รอยเย็บอย่างน่าเกลียดแต่งตัวเหมือนคนทรงอยู่ด้านหลังคาราซึ(เหมือนในเรื่องโจโจ้) คาราซึยิ้ม และยอมรับว่าเขานั้นแปลกกว่าชาวบ้าน และเขามีพลังพิเศษเหนือธรรมชาติคือเป็นคนทรง(Psychis)ที่สามารถฟังเสียงของคนตายได้ด้วยการสัมผัส
คาราซึก็โชว์ความสามารถนี้กับศพฆ่าตัวตายปริศนาให้สมาชิกคนอื่นๆ ดู แทนที่สมาชิกคนอื่นจะอึ้งเสียวสันหลังกลับกลายว่าเห็นเป็นเรื่องปกติซะงั้น โดยศพฆ่าตัวตายปริศนาได้พูดผ่านคาราซึขอร้องให้ช่วยเหลือเขาเพื่อจะได้สู่สุขคติ ตอนแรกๆ สมาชิกทั้งหมดยินดีช่วยเพราะว่าเห็นเป็นเรื่องน่าสนุก และเมื่อสิ้นคำขอของศพแล้ว ซาซากิ อาโอหัวหน้ากลุ่มก็ปิ๊งไอเดียจัดตั้งบริษัทคุโรซากิรับส่งศพขึ้นมา(ชื่อคุโรซากิมากจากคุโร+ซากิ หรือเป็นชื่อฟอลั่มที่ชื่อคุโรซากิที่ซากิฝากรูปศพเอาไว้ในเน็ต) โดยมีวัตถุประสงค์ตอบรับความปรารถนาความต้องการของศพผู้ตายเป็นจริงโดยแลกกับเงิน(หรือสิ่งของที่มีค่า)จากศพนั้นๆ เป็นของตอบแทน(แต่นานๆ วัน จากบริษัทกลายเป็นองค์กรการกุศลซะงั้นเพราะไม่ได้เงินสักบาท)
เนื้อเรื่องแรกๆ จะธรรมดาคือพวกโดนฆาตกรฆ่าแล้วขอให้พวกคาราซึพาเขาไปหาฆาตกรที่ฆ่าหน่อย แต่หลังๆ เหตุการณ์จะเริ่มซับซ้อนขึ้น ความปรารถนาของผู้ตายเริ่มมีหลากหลาย ศพที่ถูกฆ่าเริ่มแปลกประหลาด ต้องพบเรื่องแปลกประหลาดเหนือธรรมชาติมากมาย และต้องพบความวิปริตประหลาดๆ ของญี่ปุ่นอีก ไม่ว่าจะเป็น หญิงชราที่ถูกนำมาทิ้งจนตายเพื่อลดภาระของครอบครัว. มนุษย์ต่างดาวที่อยากกลับไปที่ห้วงอวกาศ, ผู้หญิงคนหนี่งที่ถูกฆาตกรต่อเนื่องศพของเธอถูกตัดเป็นชิ้นเย็บรวมกับศพเหยื่ออื่นๆ จนเป็นร่างใหม่ หรือชายที่โดนฆ่าแบบไม่รู้ตัวเพราะดันไปเล่นเกมมรณะเข้า ฯลฯ
เนื่องด้วยศพเหล่านี้มีความปรารถนาต่างกัน ทำให้กลุ่มที่เรียกตัวเองว่าบริษัท(องค์กรการกุศล)คุโรซากิ ต่างใช้ความสามารถของสมาชิกแต่ละคนเพื่อให้บรรลุความปรารถนาในแต่ละเคส เริ่มจากถ้าจะหาศพ(ลูกค้า)นุมาตะ มาโกโตะจะเป็นค้นหาโดยใช้ดาวซิ่ง และเมื่อพบศพคาราซึจะใช้พลังเพื่อถามศพต้องการอะไรและตกลงราคา ถ้าศพอยู่ในสภาพและแหลกเลวมาดิโนะ เคโกะจะแต่งศพจนอยู่ในสภาพที่เหมือนตายอย่างปกติให้ดูดี และเมื่อทราบแรงปรารถนาซาซากิจะเป็นหาข้อมูลเกี่ยวกับศพ ความเป็นมา โดยใช้ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์(แฮ็คเกอร์ก็ยังไหว) ถ้าเจอเรื่องราวที่เกินกว่ามนุษย์เข้าใจยาตะจะเป็นคนออกความคิดเห็นโดยใช้มนุษย์ต่างดาว(ปกติ เคสที่ให้ยาตะช่วยไม่ค่อยมีหรอก แต่นิสัยเข้ากับคนอื่นง่าย ทำให้หมอนี้มีความสำคัญต่อกลุ่ม)
สิ่งที่น่าสนใจการ์ตูนเรื่องนี้มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงือน
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ในแต่ละตอนที่การ์ตูนนำเสนอนั้น นำเราไปสู่ด้านมืดของสังคม สันดานที่ฝังอยู่ในตัวมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ ความโลภ ความอิจฉา ริษยา การแก้แค้น ที่ซ่อนเร้นในสังคม การเมือง สังคม สันติภาพ ประเพณี นำมาซึ่งเหตุการณ์ปัญหาที่พวกคาราซึต้องพบเจอ ไม่ว่าจะเป็น พ่อข่มขืนลูก, เมืยเก็บ, เด็กถูกทิ้ง, ฆาตกรวิปริตที่จิตใจบิดเบี้ยว, ฆาตกรที่มีเหตุผลฆ่าที่ไร้สาระ, นักต้มตุ๋น จนทำให้หลายเรื่องอ่านๆ ดูแล้วจะเวอร์ๆ และผิดศิลธรรมอย่างโหดร้าย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องเหล่านี้มีเค้าโครงมาจากสังคมจริงที่ไม่ใช้แค่ญี่ปุ่นเท่านั้นในไทยก็มี!!
ข้อเสียของการ์ตูนเรื่องนี้คงจะเป็นลายเส้นที่ค่อนข้างไม่สวยงาม สัดส่วนหน้าตาของตัวละครผิดรูปผิดแบบอย่างไม่น่าอภัย หลากฉากหลายภาพนำเสนอสะอิดสะเอียน และสภาพศพดูอุจาดเปิดเผยชนิดเรียกว่าขนเป็นขน นมเป็นนม ไม่มีเซ็นเซอร์ แถมยิ่งสภาพเละที่ดูไม่ได้ เช่น มันสมองถูกแหวกออก เครื่องในทะลักออกมากลอง หรือฉากเปลือกของศพที่ดูแล้วเวทนามากกว่าสื่อถึงกามารมณ์ โดยไม่มีการเซ็นเซอร์ ซึ่งนึกแล้วแปลกใจว่าทำไมถึงไม่มี เพราะขนาดการ์ตูนบางเรื่องกางเกงในแล็บออกมาหน่อยก็เซ็นเซอร์แทบเต็มหน้าแล้ว
ข้อเสียอีกข้อคือหลักเหตุผลของการ์ตูนเรื่องนี้ ผู้อื่นจงอย่าคิดมากเมื่อเห็นหลายฉากที่ผิดหลักไปบ้าง เช่นศพแรกที่เป็นศพปริศนาในป่าฆ่าตัวตายที่พวกคาราซึไม่รู้จักการยังไงดีเลยพากลับมหาลัยซะงั้น โดยสามารถผ่านโดยไม่มีผู้พบเห็น หรือเอาศพไปขึ้นรถไฟฟ้าโดยกลิ่นของศพไม่ไปรบกวนผู้โดยสารคนอื่นในรถไฟและรอดจากกองตรวจสำภาระได้ยังไง หรือตัวละครเกือบทั้งหมดในเรื่องไม่กลัวผี ไม่กลัวศพ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด หรือศพบางศพที่ไม่ตกใจเลยที่คาราซึสามารถพูดคุยกับพวกเขาได้
หลายคนตกใจว่าในเมื่อผมชอบพระเอกน่ารัก แต่ทำไมผมถึงชอบการ์ตูนเรื่องนี้ จริงอยู่ตอนแรกๆ ผมไม่ชอบการ์ตูนเรื่องนี้ด้วยซ้ำเพราะข้อเสียที่กล่าวมาทั้งหมด แต่แล้วยิ่งอ่านก็ยิ่งติดเพราะข้อเสียทั้งหมดจะถูกกลบด้วยเนื้อหาประเด็นการ์ตูนที่นำเสนอ ที่แต่ละเรื่องต่างเอามาเสิรฟ์อย่างอร่อยแหะ บางเรื่องแปลกใหม่น่าติดตาม หลายเรื่องนำเรื่องจริงความรู้สอดแทรกอย่างลงตัว อ่านไปได้ความรู้ท่ามกลางความขยะแขยง และเป็นการ์ตูนที่ผมมักเอาความรู้ที่สอดแทรกเหล่านี้ไปลงตอนในเรื่องจริงทะลุโลก อย่าง “อยากเป็นนก” “เพลงฆ่าตัวตาย” “อมตะ” แม้ภาพการสื่อนั้นสยองขวัญ แต่สำหรับผมแล้ว มันไม่สยองเลย ความสยองขวัญไม่ใช้ภาพที่ศพเดินได้เหมือนซอมบี้ หากแต่เป็นจิตใจที่โหดร้ายของสังคมต่างหาก
สำหรับลายเส้น หากมองอีกมุมหนึ่งจะพบว่า บางทีเราอาจติดภาพลักษณ์การ์ตูนที่ตาโต หน้าใหญ่ ภาพน่ารักมากเกินไป จนลืมนึกภาพลักษณ์ที่แท้จริง ที่ความจริงแล้วคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่หน้าตาไม่น่ารักเหมือนการ์ตูนเลย หน้าบาน กลมเหมือนไข่ ตาตี๋ ปากหวอ ฟันยื่น คนเขียนคงรู้จุดนี้ดีเลยวาดภาพให้สื่อว่าแท้จริงแล้วคนญี่ปุ่นน่าตาอย่างไร ทำให้เรื่องสมจริงยิ่งขึ้น
ดังนั้นใครอยากดูพวกการ์ตูนที่ลายเส้นน่ารักกรุณาไปอ่านเรื่องอื่นเถอะ
อย่างที่บอกสิ่งที่ชอบการ์ตูนเรื่องนี้คือการเอาความรู้ ความเชื่อ ที่มีอยู่จริงนำเขียนเป็นเรื่องราวแบบใหม่ในการ์ตูน ซึ่งจากนี้ไปผมจึงขอยกตัวอย่างความรู้ที่ได้จากการ์ตูนเรื่องนี้มานำเสนอดังต่อไปนี้
เริ่มจากแนวคิดของการ์ตูน ก็เอามาจากหลักพุทธศาสนาที่เชื่อว่าผู้ตายที่ตายแบบไม่ทันตั้งตัวหรือมีความอาลัยอาวรณ์หลงเหลืออยู่ วิญญาณจะไม่ไปผุดไปเกิดไม่ไปไหน ยังคงเวียนว่ายในโลกมนุษย์เพื่อเรียกร้องหาความเป็นธรรม ที่น่าแปลกคือความเชื่อเหล่านี้มีแทบทุกวัฒนธรรม ทุกศาสนา และคติความเชื่อเหล่านี้ถูกนำไปใช้เป็นพล็อตภาพยนต์การ์ตูนต่างๆ ที่ผูกเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณที่ยังปรากฏตัวให้คนได้พบเห็น เพื่อสื่อสารอะไรบางอย่าง บางเรื่องนำเสนอตลก บางเรื่องก็น่าขนลุกชวนสยอง แต่สำหรับคุโรซากิแล้วมีทั้งตลกและสยองขวัญในเวลาเดียวกัน
จากตอนที่ 1 เล่ม 1 ป่าที่คาราซึไปหาศพนั้นมีอยู่จริงครับ เรียกว่าป่าอาโอกิงาฮาระ (Aokigahara)อยู่บริเวณตีนภูเขาไฟฟูจิ มีพื้นที่ประมาณ 3000 เอเคอร์ ซึ่งเป็นจุดชมความงามของภูเขาฟูจิ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนที่คิดฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน โดยสถิตพบว่าสถานที่แห่งนี้มีคนมาฆ่าตัวตายเป็นอันดับ 2 ของโลก!!(อันดับหนึ่งคือสะพานโกลเด้นเกต(Golden Gate) เมื่อเดือนมกราคม ปีนี้ ตัวเลขคนฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2,645 คน ซึ่งทำลายสถิตของปีที่แล้ว (2,305 คน)
เล่ม 3 “ขนส่งข้ามชายแดน” เป็นตอนที่น่าขยะแขยงดีแท้ ที่ลูกค้าเป็นชาวอิรักที่ถูกแก๊งหนึ่งขโมยอวัยวะ เอาทั้งลูกตาและไตไปหมด ซึ่งแน่นอนการค้าอวัยวะมนุษย์(trafficking in human organs)นั้นมีอยู่จริงครับ แถมมันน่ากลัวกว่าการ์ตูนมากด้วย เพราะเขาจะลักพาตัวคนเมื่อเพื่อชิงอวัยวะเลยครับ โดยไม่สนว่าเหยื่อที่ลักพาตัวนั้นยินยอมหรือไม่ ซึ่งแก๊งจำพวกนี้มีหลายประเทศเลยครับไม่ว่าจะเป็น จีน, รัสเซีย, อินเดีย, ตุรกี, บราซิล แอฟริกา รวมทั้งประเทศไทยด้วย ที่รัสเซียเรียกว่า ออแกนนิแซ็ทยา(Organisatzya) ซึ่งทำหน้าที่ลักพาตัวเด็กๆ เร่รอนตามท้องถนนในเมืองใหญ่ๆ มาฆ่าและควักอวัยวะภายในมาค้าขาย โดยอวัยวะที่ว่าก็มีตับ ไต แก้วตา ผิวหนัง ต่อมปิตูอิตารี่ และไขกระดูกเป็นต้น ในรัสเซียนั้นมีสถานรับซื้อเหล่านี้มากมายชนิดเรียกว่าเปิดแบบโจ๋มครึ่ม ส่วนในจีนแย่กว่านั้นเพราะการค้าขายอวัยวะมนุษย์นั้นกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของรัฐบาล จากสถิตเก่าๆ พบว่านักโทษประหารจีนราว 2000 คนจะถูกควักอวัยวะภายในไปขาย โดยส่วนมากจะเป็นไตถึง 90 เปอร์เซ็นต์ส่วนราคาซื้อขายบอกว่าคุ้มที่จะเสี่ยงครับ อย่างแก้วตาของนักตายนั้นตีเป็นเงิน 350,000 บาท, ไตราคาสูงถึง 1,400,000 บาท ตับ 2,800,000 บาท นี้ไม่รวมค่าเปลี่ยนอวัยวะที่ราคาสูงกว่าสองล้านบาทเลยนะครับเนี่ย
เล่ม 3 “วอล์ทซ์” เกี่ยวกับบทเพลงที่ฟังแล้วฆ่าตัวตาย เรื่องนี้ก็มีจริงอีก ที่ดังๆ และเรารู้จักกันดีคือ"Gloomy Sunday" ที่แต่งโดยเรสโซ เซเรสส์ ที่มีรายงานว่ามีคนที่ฆ่าตัวตายเพราะฟังเพลงนี้รวมกันถึง 200 รายทั่วโลก หรืออีกเพลงก็เพลงญี่ปุ่นที่ตั้งในบอร์ดบ้างเราที่เขาอ้างว่ามาจากเพลงประกอบในประเพณีฮาราคีรีเป็นต้น
เล่ม 4 “ขอบคุณนะที่รัก” เป็นเรื่องราวที่คาราซึทำวงปริศนาตามทฤษฎีของเมนเดลโบรท ซึ่งก็มีเค้าโครงจากกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า พวกเขาเรียกตนเองว่า Circlemakers โดยใช้คอมพิวเตอร์ร่างรูปแบบก่อน พวกเขาได้รับเชิญจากสื่อมวลชนให้สาธิตการสร้างวงปริศนาหรือครอปเซอร์เคิลครอปเซอร์เคิล (Crop Circles)ที่มีความซับซ้อนหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาทำได้จริงๆ ปัจจุบันพวกเขามีเว็บไซต์ที่แสดงผลงานและเสนอข่าวสารเกี่ยวกับครอปเซอร์เคิล และเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับครอปเซอร์เคิลที่เฟื่องฟูอยู่ทุกวันนี้
เล่ม 4 หากคุณถึงคราวตาย เป็นเรื่องที่คาราซึไปที่ประเทศจีนและพบความลับที่น่าสยดสยอง ตอนนี้มีแทรกความรู้ 2 เรื่องครับ เริ่มจากศิลปะซากศพ ในการ์ตูนเรียกว่าพลาสมิก ซึ่งชื่อเต็มๆ ของมันคือพลาสติเนชั่นที่คิดค้นโดยนายแพทย์เยอรมันที่ชื่อ กันเธอร์ ฟอน เฮเกน เมื่อต้นทศวรรษที่ 70 โดยการทำให้ศพแห้งปราศจากความชื้นและของเหลวในกายศพจะถูกแทนที่ด้วยโพลีมอร์และชุปให้แข็งตัวโดยใช้สารเรซนซึ่งส่งผลให้สภาพศพมีสภาพใกล้เคียงเหมือนมีชีวิตอยู่ โดยนายแพทย์เยอรมันที่ชื่อ กันเธอร์ ฟอน เฮเกนจัดงานที่เรียกว่า “บอดี้ โชว์” เกือบทุกมุมโลก โดยจัดท่าทางของศพในมุมท่าทางต่างๆ โดยเผยให้เห็นเรือนร่างข้างใน ทำให้คนธรรมดามีโอกาสได้เห็นเส้นเลือด เนื้อหนัง ลายหยักสมอง ชั้นกระดูก
เรื่องที่สองคือหน่วยปฏิบัติ 731 เรื่องจริงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่โหดกว่าการ์ตูนเยอะครับ มันเริ่มต้นขึ้นตอนที่ญี่ปุ่นบุกจีนเข้ายึดเมืองนานกิง เกิดขึ้นในค่ายกักกัน Unit 731 โดยการจับเชลยมาทำการทรมาน เพื่อทดลองอาวุธเชื้อโรค โดยหน่วยปฏิบัติ 731 เป็นชื่อของหน่วยปฏิบัติการทางการแพทย์ของญี่ปุ่น ภายใต้การควบคุมกำกับโดย หมออิชิอิ ชิโร เมื่อหมอ อิชิอิ ต้องการสมองมนุษย์สดๆ เพื่อการทดลอง โดยนายทหาร ผู้ช่วยจะได้รับคำสั่งให้ตระเวนจับชาวจีนหรือรัสเซียผู้โชคร้ายมายังห้องปฏิบัติการ เพื่อทำการทดลองในมนุษย์ที่ศิลธรรมอย่างโหดร้าย เช่น การผ่าตัดมนุษย์โดยไม่ใช้ยาสลบ, การใส่สารพิษที่คิดค้นใหม่ลงในอาหารและน้ำดื่ม, การบังคับให้หญิงสาวร่วมเพศกับชายที่ป่วยเป็นโรคชิฟิลิสหรือกามโรคนับสิบคนเพื่อศึกษา, การจับเหยื่อเข้าไปทดลองและอัดความดันอากาศหรือดูดอากาศออกจนร่างระเบิดเละ และการตัดแขนขาควักอวัยวะภายในเป็นต้น
สิ่งที่น่าสนใจในการ์ตูนที่ผมอ่านแล้วคิดคือ เป็นตอนที่คาราซึพูดว่า “แล้วหน่วย 731 นี้อะไรง่ะ....” ก่อนที่จะโดนผู้ใหญ่ตอกกลับว่า “โหย....เด็กสมัยนี้ไม่รู้เรื่องนี้แล้วเรอะว่า บาปของพวกเราแท้ๆ” ........อ่านแล้วไม่รู้สึกสงสัยบางหรือครับ ทั้งๆ ที่หน่วย 731 นั้นกลายเป็นสิ่งเหี้ยมโหดที่สุดในประวัติศาตร์วงการแพทย์และประวัติศาสตร์มนุษยชาติแท้ๆ ขนาดชาวจีนบางคนยังจำเรื่องการสังหารหมู่ที่นานกิงเลย แต่ทำไมพวกคาราซึถึงไม่รู้เรื่องบาปของบรรพบุรุษของตัวเองที่ทำไว้กับชาวจีนเลย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะรัฐบาลญี่ปุ่นนั้นแหละที่มีนโยบายปกปิดเรื่องร้ายๆ ของตนเอาไว้ โดยใช้การสอนประวัติศาสตร์ให้เรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ออกมาดูดี และพยายามทำให้ถูกมองว่าทหารญี่ปุ่นนั้นเป็นวีรษุรุษที่น่าเคารพ แน่นอนึครับเสียงจากทั่วโลกไม่เห็นด้วยในเรื่องนี้แน่นอน ถึงกับมีการออกมาประท้วงหลายต่อหลายครั้งให้ญี่ปุ่นแก้ไขแบบเรียนประวัติศาสตร์ใหม่ ให้เน้นเรื่องราวบาปที่พวกเขาก่อไว้ในสมัยสงครามโลก อย่าให้ลูกหลานญี่ปุ่นลืมเรื่องราวเหล่านี้เด็ดขาด (แต่จนบัดนี้รัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่คิดแก้ไขแต่อย่างใด)
เล่ม 4 “ความปรารถนาที่ซ่อนเร้น ที่เป็นเรื่องราวของคนที่โดนปรสิตจากหอยทากรูปร่างหน้าตาประหลาดควบคุมทำให้รู้สึกอยากเป็นนก และก็นำมาซึ่งความตาย ซึ่งปรสิตที่ว่าก็มีอยู่จริงครับและหอยทากหน้าตาประหลาดมีอยู่จริงด้วยเพีนยงแต่คนที่หอยทากชนิดนี้จะโดนควบคุมหรือเปล่านี้ไม่รู้นะครับ โดย เจ้าหนอนพยาธิที่ว่านี่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Leucochloridium paradoxum เป็นพวกพยาธิใบไม้ (fluke) จัดอยู่ในไฟลัมหนอนตัวแบน (Phylum Platyhelminthes) ไม่มีชื่อไทย โดยพยาธิชนิดนี้มีหอยอำพัน (amber snails) เป็นพาหะตัวกลาง (intermediate host) และมีนกเป็นเจ้าบ้านถาวร (principle host)
วงจรชีวิตเริ่มจาก พยาธิอยู่มูลนก รอให้หอยทากกินเป็นอาหาร พอเจ้าหอยทากได้รับไข่พยาธิเข้าไปในร่างกาย ไข่พยาธิจะฟักออกเป็นตัวอ่อนชอนไชเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร และพยาธิก็เริ่มบงการหอยเจ้าบ้านให้ทำตามที่มันต้องการ นั่นคือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของหอยทากก็ บังคับมันให้ขึ้นไปที่สูงๆ (แบบว่าหอยทากคิดว่าอยากบินเหมือนนก) ยิ่งเด่นเท่าใดยิ่งดี ทำให้นกมาหอยทาก และเมื่อนกมากินหอยทากลงไปพยาธิก็เข้าไปเจริญเติบโต และผสมพันธุ์วางไข่ในตัวนกต่อไป โดยไข่พยาธิจะออกมาพร้อมกับมูลที่นกปล่อยออกมาและรอหอยทากมากิน เป็นวัฏจักรแบบนี้เรื่อยไป
เล่มที่ 5 “Stand Still” เป็นตอนที่พวกคาราซึพาศพชายชราเร่ร่อนปริศนากลับบ้านเกิดครับ และพบหมู่บ้านร้างที่โดนฆาตกรฆ่าในคืนเดียว เราเรียกฆาตกรนี้ว่าฆาตกรฆ่าสนุก(spree killer) หรือ ปิติสุขเมื่อได้ฆ่า ฆาตกรประเภทนี้จะเกิดความรู้สึกสนุกสนานเมื่อได้ฆ่าเหยื่อรายแรก จะโดยบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม ซึ่งฆาตกรประเภทนี้มักเริ่มต้นฆ่าเหยื่อรายแรกด้วยอารมณ์โทสะที่ควบคุมไม่อยู่ อาจจะถูกยั่วยุหรือแรงกดดันที่มาตั้งแต่เกิด และความรู้สึกเมื่อได้ฆ่าเขาจะลิ้มรสแบบผู้มีชัย ผู้ยื่นเหนือชีวิตของผู้อื่นของคนอื่นที่สามารถมอบความตายให้แก่เหยื่อที่ถูกเขาฆ่าได้ มันได้แผ่ซ่านขึ้นชั่วขณะหนึ่ง ทำให้เขามีความรู้สึกอิ่มเอิบเมื่อได้ฆ่าจนกลายเป็นเสพย์ติด และเขาจะฆ่าต่อไปอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะจนมุมหรือถูกฆ่า
สำหรับตอนนี้ดัดแปลงจากคดีสังหารหมู่เมืองสึยามะ(Tsuyama massacre) ปี 1938 หมู่บ้านแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่นเป็นเหตุการณ์ที่ โทอิ มุทสึโอะ ใช้ปืนและกระบี่ทำการสังหารคนในหมู่บ้านไคโอะจำนวน 30 คน รวมทั้งย่าของเขาในเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง โดยสาเหตุที่ฆ่าเพราะเหม็นขี้หน้าคนในหมู่บ้าน และผลสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายตามเหยื่อในที่สุด
เล่ม 5 “ขอความรักให้ฉันบ้างได้ไหม” เป็นตอนที่คาราซึรับจ๊อบทำงานพิเศษ ทำอาชีพบีบน้ำตา อาชีพที่ว่ายังเป็นของใหม่ของญี่ปุ่นครับ แต่บ้านเรานั้นมีมานานพอสมควรเลย.. เราเรียกอาชีพนี้ว่า “มอญร้องไห้” เป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่ง ของชาวมอญ ซึ่งถือปฏิบัติสืบต่อกันมาในงานศพ ซึ่งต่อมานิยมนำมาใช้ในราชสำนักไทย ก่อนที่จะแพร่หลายไปยังประชาชนรากหญ้า ในราสำนักไทยจะต้องมีนางร้องไห้ทุกครั้งที่สูญเสียบุคคลในราชตระกูล ธรรมเนียมนางร้องไห้ในวังนี้ คาดว่ามีมาแต่ครั้งต้นสมัยรัตนโกสินทร์ มาเลิกไปสมัยรัชกาลที่ ๖ เพราะไม่โปรดฯ ด้วยเห็นว่าน่ารำคาญ ร้องไปคนตายก็ไม่ฟื้นมาได้ แต่ในหมู่สามัญชนนั้นก็ยังมีความนิยมไม่เปลี่ยน
มอญร้องไห้นั้น นิยมทำกันในช่วงดึกสงัด ระหว่างการตั้งศพบำเพ็ญกุศลและช่วงเช้ามืด อีกช่วงก็คือช่วงชักศพขึ้นเมรุเตรียมฌาปนกิจ แต่เดิมผู้ร้องไห้จะเป็นหญิงสูงอายุซึ่งเป็นญาติกับผู้ตาย การร้องไห้นี้เป็นการร้องที่ไม่มีน้ำตา ได้แต่พรรณนาคุณความดีของผู้ตาย พลางสะอื้นน้อย ๆ เป็นระยะ มิได้ฟูมฟายตีอกชกหัว อย่างที่คนยุคหลังนำมาดัดแปลง บางแห่งถึงกับใช้กะเทยแต่งกายเป็นหญิง ร้องพลางกลิ้งตัวลงมาจากเมรุชั้นสูงสุด เพื่อเรียกอารมณ์สะเทือนใจจากแขกที่ร่วมงาน
นอกจากประเทศไทยแล้วก็ยังมีหลายประเทศทั่วโลกมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ ไม่ว่าจะเป็นอียิปต์, กรีก, โรมัน, อินเดีย, ออสเตรเลีย ในประเทศจีน บางตระกูลที่เป็นตระกูลใหญ่จริง ๆ จะจ้างมืออาชีพมาร้องไห้เช่นกัน
แต่เดี่ยวนี้อาชีพบีบน้ำตาก็เริ่มลดลงแล้วครับ เนื่องจากหลายประเทศชอบจัดงานศพแบบเรียบง่ายมากกว่า สำหรับญี่ปุ่นนั้นอาชีพนี้กำลังมาแรงแซงทางโค้ง เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่คนในสังคมต้องรักษาเครดิตความนับหน้าถือตาในสังคมให้ได้ เวลาเราจัดงานไหนๆ แขกมาน้อยนี้ถือได้ว่าเจ้าภาพไม่มีเครดิต ไม่ใหญ่ กระจอก ดังนั้นจึงมีอาชีพ “หน้าม้า” มาช่วยเพิ่มแขกมางานเพื่อไม่ให้งานนี้เงียบเหงา ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงานหรืองานศพอาชีพนี้จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อรักษาหน้าตาเจ้าภาพ
เล่ม 5 “เตรียมตัวออกเดินทาง” ในหน้าที่ 160 พวกคาราซึไปดูบริการไครโอนิกส์(การเก็บศพด้วยอุณภูมิต่ำติดลบ) เทคโนโลยีนี้มีอยู่จริงเรียกเต็มๆ ว่า เทคโนโลยี Cryonics มันคือเทคโนโลยีที่มีแนวคิดประมาณว่าเอา ร่างของมนุษย์ที่ ‘ตายแล้ว’ ในเชิงกฎหมาย (หรือเป็นโรคร้ายแรง) นำไปแช่แข็งในอุณหภูมิที่ต่ำกว่าศูนย์องศา เพื่อรักษาสภาพร่างกายเอาไว้ (และเขาอ้างว่าสามารถรักษา ความทรงจำและบุคลิกภาพในสมองไว้ได้ด้วย) และเก็บรักษาไปเรื่อยๆ พอมีวิธีรักษาโรคที่คนๆนั้นป่วย เราก็ปลุกเขากลับขึ้นมาเพื่อรักษาโรคนั้นให้หาย
เทคโนโลยีมีอยู่จริงในหน่วยงานชื่อ Alcor Life Extension Foundation หน่วยงานนี้เป็นองค์กรที่ไม่ได้แสวงหากำไร และมีเป้าหมายอยู่กับการเก็บอวัยวะบางส่วน(ศีรษะ) ไว้ในภาชนะที่ลดอุณหภูมิมากๆ บริการนี้มีไว้สำหรับผู้เป็นสมาชิกเท่านั้น ส่วนเหตุผลของการเก็บรักษาศีรษะของผู้ตายไว้ก็เพราะปัจจุบันเครื่องมือที่นี่ยังไม่สามารถเก็บรักษาร่างกายทั้งร่างของมนุษย์ไว้ได้ดีพอ เนื่องจากร่างกายของเรามีความหนาแน่นของอวัยวะแต่ละส่วนไม่เหมือนกัน อุณหภูมิที่จะเก็บรักษาจึงแตกต่างกันมากด้วย สมองจึงเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดของคนๆ หนึ่งที่ควรเก็บรักษาไว้ เพี่อรอคอยเทคโนโลยีในอนาคตที่จะสามารถทำให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ ศีรษะที่ถูกรักษาไม่ให้เน่าเปื่อยนั้นจะถูกนำไปใส่ไว้ในภาชนะอะลูมิเนียม โดยถังหนึ่งใบจะบรรจุหนึ่งศีรษะ จากนั้นถังอะลูมิเนียมดังกล่าวจะนำไปแช่ในในถังสูง(Dewar Fiask) ที่เรียกกันในหมู่เจ้าหน้าที่ของที่นั่นว่า Biofoot ถังนี้มีลักษณะผอมสูงรูปร่างคล้ายถุงกรองน้ำข้างในบรรจุไนโตรเจนเหลวที่มีอุณภูมิต่ำถึง -120 องศาเซลเซียส การเก็ยรักษานี้เรียกว่า vitrification ซึ่งต่างจากการแช่งแข็งที่เรียกว่า Freezing เพราะอุณหูมิต่ำขนาดนั้นให้ความเย็นที่ไม่มีน้ำแข็งเกิดขึ้น ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่จะทำให้เนื้อเยื่อของอวัยวะที่ต้องการเก็บรักษาด้วยความเย็นนั่นเสียหาย
แต่อย่างไรมันก็ยังมีข้อถกเถียงกันอยู่หลายๆเรื่อง เช่นเทคโนโลยีนั้นไม่สามารถอธิบายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันสามารถทำได้หรือเปล่า สามารถปลุกคนที่แช่งแข็งมาได้หรือเปล่า แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ทดลองกับสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช้คน เช่นทดลองในกบ สุนัข นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องกฎหมายที่ยังถกเถียงหลายรอบว่าถ้าเกิดคนที่ตายแล้วทางกฎหมายคืนชีพในอนาคตละสถานะบุคคลจะเป็นเช่นไร
เล่มที่ 7 “พริตตี้ พริตตี้” พวกคุโรซากิไปดูงานอีกแล้ว คราวนี้ไปดูมิมิเม้าส์ หรือหนูที่มีหูที่หลัง ที่เกิดจากเซลล์ ES หรือเอ็มบริโอนิคสเต็มเซลล์ที่สร้างอวัยวะสำรองปลูกถ่ายลงหลังหนู มีการทดลองเพาะอวัยวะมนุษย์บนหลังหนูเมื่อปี 1995 ปลูกหูของมนุษย์บนหลังหนูจริง ๆ ขึ้นบนหลังหนูได้สำเร็จ เพื่อเตรียมการไว้เป็น “ อะไหล่มนุษย์” ในโลกอนาคต
เล่ม 9 “ประสบการณ์สีองุ่น” เป็นตอนที่พวกคุโรซากิไปเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีล่องหนครับ และเทคโนโลยีนี้ก็มีอยู่จริงในโลกของเราเรียบร้อยแล้ว คือเทคโนโลยีเป็นของซุสุมุ ทาชิ นักวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโตเกียวได้กำเนิดเทคโนโลยีที่เรียกว่า Retro -Reflectum ซึ่งว่ากันว่าเป็นความสำเร็จใหญ่ที่สุดของมนุษย์...จนกระทั่งมันถูกใช้โดยตัวอย่างแรกเป็นเสื้อที่สวมใส่แล้วมองทะลุตัวไปได้เหมือนผ้าคลุมโดเรมอนไม่มีผิด!
ซุสุมุ ทาชิ ศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมของมหาวิทยาลัยโตเกียว กล่าวว่า Retro -Reflectum จะช่วยให้วัตถุที่อยู่ใต้อุปกรณ์อำพรางดูใสแจ๋ว ราวกับล่องหนได้ โดยมันถูกสร้างขึ้นจากวัสดุสะท้อนด้านหลัง ที่ทำตัวเหมือนจอสะท้อน ทำให้เกิดผลกระทบอย่างที่เห็น และถ้าอยากจะเห็นภาพให้ได้ โฟกัสดีเหมือนจริงที่สุด ผู้มองจะต้องมองผ่านรูเข็ม นิตยสารต่างประเทศได้ยกย่อง Retro Reflectum ว่าเป็น "สิ่งประดิษฐ์ที่สุดเจ๋งที่สุดของปี 2003" และมันจะออกวางขายในปี 2008 ในอนาคตข้างหน้านี้
ประโยชน์ของ Retro -Reflectum ก็มีเยอะนอกจากทำให้เราหายตัวได้ โดยการแพทย์จะช่วยให้ศัลยแพทย์ทำการผ่าตัดได้อย่างสะดวกโดยไม่มีนิ้วมือหรืออุปกรณ์ผ่าตัดไปกีดขวางการมองเห็น นอกจากนี้ยังติดไว้ที่พื้นห้องนักบิน ก็จะช่วยให้พื้นล่องหนหายไปทำให้นักบินนำเครื่องลงจอดได้ง่ายขึ้น แต่เทคโนโลยีนี้ก็สามารถนำมาใช้ในเรื่องร้ายๆ เช่นกัน เช่นพวกแอบคนข้างบ้าน เวลาคุณอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าคุณจะไม่รู้ตัวเลยว่ายังมีใครคนหนึ่งกำลังจ้องดูคุณอย่างหื่นกระหายบ้ากามจากมุมอับๆ อยู่ ตั้งนั้นตอนนี้จะนำเสนอเรื่องความหื่นกระหายที่ว่า.......
หลังจากอ่านจบ เห็นไหมครับว่าการ์ตูนนี้มีความรู้จริงๆ นี้เป็นเพียงการยกตัวอย่าง ยังมีอะไรแฝงๆ อีกเยอะ ถ้าเราสนใจจุดไหน ก็เอาจุดนั้นไปขยายต่อด้วยการหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เพียงเท่านี้การอ่านการ์ตูนเรื่องนี้ของคุณกลายเป็นประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ
แม้การ์ตูนเรื่องนี้มีลายเส้นไม่สวยงาม และภาพศพเปลือยเห็นอล่าม แต่กระนั้นก็ไม่มีฉากเพศสัมพันธ์ อันนี้น่าชมเชยเหลือเกิน และยังแทรกหลักธรรมคำสั่งสอนตามหลักศาสนาพุทธ ศพก็คือ “ดอกไม้สด” ที่มองแล้วปลงสังเวรเท่านั้น, การตายคือสิ่งที่ยุติธรรมต่อทุกชนชั้นอย่างแท้จริง, กงกรรมกงเกวียน, การให้สำคัญต่อจิตใจมากกว่าวัตถุ, ความพึงพอใจและความสุขต่อการทำงานแม้ธุรกิจคุโรซากิจะมีฐานะการเงินลุ่มๆ ดอนๆ ในขณะที่บริษัทคู่แข่งรุดหน้าไปดาวอังคารแล้วก็ตาม แต่บริษัทคู่แข้งนั้นเบื้องหลังมีแต่ผลประโยคและเรื่องที่ผิดกฎหมาย ใช้พลังเหนือธรรมชาติในทางไม่ดี ซึ่งพวกคุโรซากิเห็นพร้อมต้องกันว่าจะไม่ทำธุรกิจแบบบริษัทคู่แข่งเด็ดขาด ขออยู่แบบจนๆ ประกอบอาชีพที่ไม่ผิดศิลธรรมดีกว่า สบายกว่ากันเยอะ
นอกจากนั้นการ์ตูนเรื่องนี้ยังเห็นด้านมืดของสังคมญี่ปุ่น แม้เศรษฐกิจเติบโต แต่ความเติบโตนั้นเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ดิ้นรนแสวงหา การใช้ประโยชน์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นศพเพื่อหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าของตนอย่างผิดศิลธรรม ไม่สนความเดือดร้อนของผู้อื่น พูดไปแล้วสังคมของญี่ปุ่นก็ไม่แตกต่างจากไทยเท่าไหร่เลย เพราะทุกวันนี้หนังสือพิมพ์มีแต่ข่าวฆ่ากันตายลงหน้าหนึ่งประจำ บางข่าวก็ชวนช็อก บางข่าวก็หวาดเสียว บางข่าวก็เหลือเชื่อว่ามันจะฆ่าเพราะสาเหตุเพียงแค่นี้ แต่เราก็ไม่ร฿สึกสะเทือนใจกับข่าวพวกนี้แต่อย่างใดเลย เพราะมันได้กลายเป็นเรื่องแกติประจำของบ้านเราเสียแล้ว
สรุป เป็นการ์ตูนที่อ่านแล้วสนุกไม่น่าเชื่อ ขึ้นอยู่กับรสนิยมของคนอ่านแหละว่าคุณจะรับลายเส้นเหล่านี้ได้ไหม?? ถ้ารับได้ ขอต้อนรับการบริการของคุโรซากิครับท่าน!~
ปล. มีหลายคนบอกว่าการ์ตูนนี้เป็นการ์ตูนโรคจิต ผมขอเถียงเลยว่าไม่ใช้สักนิด เพราะว่าตอนหน้าการ์ตูนคุโรซากิจะเป็นเด็กอมมือเลยเมื่อเจอการ์ตูนสุดโรคจิตเรื่องนี้......
+ +
ความคิดเห็น