ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ดูการ์ตูนอย่างแมว ๆ

    ลำดับตอนที่ #359 : 10 ภาพยนตร์คนแสดงที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่น (ที่ดูมาแบบแมวๆ)

    • อัปเดตล่าสุด 9 ต.ค. 58


    สำหรับบทความนี้ผมขอเขียนถึงภาพยนตร์คนแสดงที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่น ซึ่งแน่นอนว่าหลายปีที่ผ่านมา เราก็ได้เห็นการ์ตูนหลายเรื่องที่ตอนแรกเป็นมังงะ ต่อมาก็เป็นอนิเมะ และต่อมาอีกก็เป็นภาพยนตร์คแสดง (จอเงิน, จอแก้ว) มามากแล้ว ซึ่งบางเรื่องก็น่าจดจำ ในขณะที่บางเรื่องไม่น่าจดจำเสียเลย

    ภาพยนตร์ถือว่าเป็นสื่อบันเทิงรูปแบบหนึ่ง ซึ่งสามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้อย่างอิสระตามประสงค์ผู้สร้างว่าต้องการสื่ออะไรกับคนดู ไม่ว่าจะเป็น ดราม่า ตลก โรแมนติก ได้ข้อคิด ปรัชญา เป็นต้น

    โดยเรื่องที่ภาพยนตร์หยิบมาทำนั้น ซึ่งอาจเป็นเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง (แต่ดัดแปลงเพื่อให้สนุกขึ้น) หรือเป็นจินตนาการของผู้สร้าง (คนเขียนบท) ไปจนถึงการดัดแปลงจากวรรณกรรม นิยาย การ์ตูน เพื่ออกมาดูน่าสนใจเป็นต้น

    การ์ตูนถือว่าเป็นสื่อบันเทิงที่ภาพยนตร์มักหยิบมาดัดแปลงเสมอ เป็นต้นว่า พวกซูเปอร์ฮีโร่ ของ DC และมาเวล อย่างซูเปอร์แมน แบทแมน สไปเดอร์แมน ซึ่งหยิบมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ที่ไร ล้วนดัง ได้รับความนิยม และสร้างรายได้ทั้งสิ้น

    ที่ประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่ขึ้นชื่อเรื่องการ์ตูนก็ไม่น้อยหน้า ในเมื่อการ์ตูนหลายเรื่องมีเนื้อหาเข้มข้นน่าติดตาม ตัวละครมีเสน่ห์ ก็ไม่แปลกแต่อย่างใดที่จะหยิบยกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดง และไม่เพียงแต่ญี่ปุ่นเท่านั้น ประเทศใหญ่อย่างอเมริกาก็หยิบการ์ตูนญี่ปุ่นบางเรื่องมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ตามแบบฉบับของพวกเขาเหมือนกัน

    อย่างไรก็ตามคุณภาพภาพยนตร์ที่ออกมาล้วนสวนทางอย่างสิ้นเชิง

    ที่ผ่านมาภาพยนตร์คนแสดงที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่องทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวัง (ไม่ใช่ผิดหวังธรรมดา แต่โครตฝันร้ายเลย) แม้ว่าบางเรื่องจะออกมาดูดี (ภาพสวย เอ็คเฟ็คสมจริง) รายได้ดีบ้าง แต่มันก็ไม่ค่อยเต็มร้อยที่จะเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมในดวงใจของผมมากนัก หนักไปทางฝันร้ายมากกว่า

    แน่นอนว่ามีเหตุผลอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่น ไม่เป็นที่ถูกอกถูกใจของผมมากนัก แม้ว่าตอนที่เห็นครั้งแรกดูน่าสนใจ เห็นว่าดัดแปลงากการ์ตูนที่เราชอบ แต่พอมาดูกับว่ามันไม่เป็นอย่างที่เราคิดเลย เช่น

    เมื่อหน้าตากนักแสดงไม่เหมือนในการ์ตูน แม้ว่าวงการภาพยนตร์ญี่ปุ่น มีประวัติอันยาวนานมาร่วมร้อยปี และมีการพัฒนามาโดยตลอด โดยเฉพาะในยุคทศวรรษที่ 30 ถือเป็นยุคทองของภาพยนตร์ญี่ปุ่นทีเดียว ซึ่มีความหลายหลาย ตั้งแต่หนังซามูไร หนังเกอิชา หนังรัก หนังตลก จนถึงหนังเพลง

    แต่สำหรับสากลแล้ว ญี่ปุ่นไม่ค่อยส่งหนังออกจำหน่ายนอกประเทศมากนัก   อาจเป็นเพราะยอดผู้ชมภายในประเทศมีมากจนสร้างรายได้พออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องง้อตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่าเนื้อหาของภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายเรื่องมีเนื้อหาดีมาก เห็นได้จากปัจจุบันที่บ้านเรา นำเข้าภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายเรื่องให้เรารู้จัก บางเรื่องอินดี้ บางเรื่องจิกกัดสังคมได้อย่างเจ็บแสบ รวมไปถึงนักแสดงที่เข้าถึงบทบาท จึงไม่แปลกแต่อย่างใดที่คนไทยหลายคนมีภาพยนตร์ญี่ปุ่นอยู่ในใจหลายเรื่อง

    ประกอบกับยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีในการสร้างภาพยนตร์มีความทันสมัยมากขึ้น สามารถเนรมิตโลกแฟนตาซีได้ตามใจผู้สร้าง อย่างอลังการ สมจริง

    แน่นอนว่าการ์ตูนญี่ปุ่นก็เป็นแหล่งชั้นดีที่จะหยิบมาดัดแปลงทำเป็นภาพยนตร์หรือแม้แต่ทีวีซีรีย์  ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการ์ตูนดังที่หลายคนรู้จักกันดี เช่น GTO, นานะ (บงกต), หมอจินทะลุศตวรรษ ซึ่งเป็นแนวดราม่า, ชีวิต. คอเมดี้มากกว่า แต่ช่วงหลังๆ ก็เริ่มนำแนวระทึกขวัญ ไซไฟ แฟนตาซี เอามาทำเป็นภาพยนตร์บ้าง เช่น ไททัน, เดธโน้ต ที่โชว์ความอลังการเต็มที่ ชนิดเทียบเท่าภาพยนตร์พันล้านของชาติตะวันตก

    อย่างไรก็ตาม  ญี่ปุ่นพยายามหลีกเลี่ยงแนวหนึ่งอย่างยิ่งยวด นั้นคือ พวกแนวโมเอะ ฮาเร็ม ตัวละครที่ละครหญิงน่ารัก เพราะการ์ตูนเหล่านี้ไม่สามารถทำดัดเป็นเป็นภาพยนตร์คนแสดงได้ ส่วนหนึ่ง คือบทไม่สามารถทำให้น่าสนใจ และที่สำคัญคือการหานักแสดงที่หน้าตาเหมือนตัวละครในการ์ตูนยาก ปกติแล้วหน้าตาของคนญี่ปุ่นนั้นก็ไม่ได้สวย หล่อเลิศอะไรสักเท่าไหร่ (ตามความคิดเห็นของผม) คือมันปกติตามฉบับคนเอเชียที่พบเห็นทั่วไป ผู้ชายตาตี๋ ผอมๆ  ผู้หญิงจะหน้ากลมหน่อยๆ (จนฝรั่งเอามาแซว ล้อเลียนอย่างที่เห็นกัน) ยาก  ถึงเหมือนก็เล่นแข็งเป็นไม้กระดาน

    ความจริงก็ใช่ว่าไม่มีภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนที่มีลายเส้นโมเอะ แต่ก็อย่างที่เห็นว่านักแสดงนั้นไม่เหมือนตัวละครในการ์ตูนเลยแม้แต่น้อย หลายคนแทบรับไม่ได้ ไม่ดูตั้งแต่แรกเลย แม้ว่านักแสดงเหล่านี้จะแสดงดีมากแค่ไหนก็ตาม

    ส่วนหนึ่งในวงการนักแสดงญี่ปุ่นนั้น มีการลำดับชั้นนักแสดงเข้มข้นกว่าบ้านเรามาก ส่วนใหญ่ตัวละครนำในเรื่องเป็นพื้นที่ของนักแสดงที่มีประสบการณ์สูงเท่านั้น ไม่ใช่นักแสดงหน้าใหม่  อย่างคนรับบทโคนัน นักแสดงก็อายุวัยกลางคนแล้ว ยังแสดงเป็นเด็กมัธยมปลายอีก คิดดู

     ดังนั้นไม่แปลกที่ส่วนใหญ่การ์ตูนญี่ปุ่นที่เลือกเป็นภาพยนตร์ จะต้องมีลายเส้นที่ดูจริงจัง ดูแล้วน่าจะเหมาะมาทำเป็นภาพยนตร์คนแสดงมากกว่า

     การเขียนบท มันเป็นโจทย์ที่ยากว่า ทำยังไงให้ภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูนญี่ปุ่ให้สนใจ ในเมื่อคนอื่นเขารู้เนื้อหาตั้งแต่ต้นจนจบจนหมดแล้ว และนั้นทำให้ผ้ผลิตจำเป็นต้องเขียนบทใหม่ขึ้นมา เพิ่มเนื้อหา เพิ่มตัวละคร ที่ไม่มีในต้นฉบับการ์ตูนลงไป ไปจนถึงสร้างเนื้อเรื่องใหม่จนเหมือนต้นฉบับเลยก็มี ดังนั้นไม่แปลกแต่อย่างใดที่ภาพยนตร์หลายเรื่องมีเนื้อหา เนื้อเรื่องไม่ตรงกับของมังงะ เช่น เดธโน้ต, ปรสิต ที่สร้างเนื้อเรื่องขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนการจบใหม่เพิ่มเข้ามา

                    แน่นอนว่าการเขียนบทแบบนี้เป็นดาบสองคม ข้อดีคือทำให้เนื้อเรื่องน่าติดตามขึ้น เพราะเราเดาทางไม่ออกว่าจะจบยังไง ไม่ทำให้น่าเบื่อ แต่ข้อเสียก็มีมากกว่า คือ ทำให้หลายคนรับไม่ได้กับเนื้อเรื่องที่เปลี่ยนไป ขาดความเคารพต้นฉบับ แค่เอาชื่อการ์ตูนมาขายกินเท่านั้น จนบางคนเลิกดูกลางคันเลยก็มี

    อลังการแต่ไม่สนุกเลย ภาพยนตร์บางเรื่องเน้นกราฟฟิกที่อลังการงานสร้าง ภาพสวย แต่ในขณะเดียวกัน บทเนื้อเรื่องไม่น่าติดตามเลย การดำเนินเนิ่บนาบ น่าเบื่อ ตัวละครก็เล่นแข็งๆ บทก็ไม่อิน สิ่งเหล่านี้เหมือนกับว่า ขายภาพ มากกว่าขายการแสดงอย่างงั้น

    ทั้งหมดนี่คือหลักๆ ของปัญหาภาพยนตร์ที่เอาการ์ตูนญี่ปุ่นมาสร้าง ซึ่งเราต้องทำใจดู สักเรื่อง ถ้าเรื่องไหนดีก็ดีไป

    นอกเรื่องมาเสียนาน ต่อไปนี่คือ 10 ภาพยนตร์คนแสดงที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่น เท่าที่ผมดูมา ส่วนจะดีหรือไม่ดี ก็ขึ้นอยู่กับท่านเองว่าเห็นด้วยกับผมหรือเปล่า

     

    10. City Hunter (1993)

    มาถึงก็ล้มโต๊ะ!? เรื่องของเรื่องคือ นานมาแล้ววงการหนังฮ่องกงได้นำการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องดัง City Hunter เรื่องและภาพโดย ซึกาสะ โฮโจมาดัดแปลงตามแบบฉบับหนังฮ่องกง โดยเฉินหลงที่ตอนนั้นกำลังเป็นดาราขาบู๊ที่กำลังดังสุดขีดมารับบทเป็น ซาเอบะ เรียว” นักสืบเอกชนบ้าหม้อ, รูปหล่อ ยิงปืนแม่น โดยมีชื่อไทยๆ คือ ใหญ่ไม่ใหญ่ข้าก็ใหญ่

    สำหรับเนื้อหาภาพยนตร์ไม่เกี่ยวข้องกับตอนใดๆ ในการ์ตูนเลยแม้แต่น้อย โดยเรียวกับคาโอริ (นำแสดงโดยหวังสู่เจี่ยน) ได้ถูกว่าจ้างโดยเศรษฐีชาวญี่ปุ่น ให้เขาช่วยตามหาลูกสาวจอมซน ที่หนีออกจากบ้านไป  จนต้องขึ้นเรือสำราญ ที่พระเอกของเราต้องไปพัวพัน กับพวกแก็งโจรต่างชาติที่วางแผนยึดเรือด้วย

    แม้ว่าตัวภาพยนตร์จะไม่มีอะไรใกล้เคียง City Hunter เลยสักอย่าง นอกจากชื่อพระเอก กับนางเอกเหมือนกันเท่านั้นเอง แถมมีปัญหามากมายในการถ่ายทำ แต่อย่างไรก็ตาม ตัวภาพยนตร์กับเป็นหนังแอ็คชั่นตลกที่ดีอีกเรื่องของเฉินหลงที่ดูเมื่อไหร่ก็สนุกเมื่อนั้น เพราะเต็มไปด้วยฉาก โหด มัน ฮ่า รวมไปถึงฉากต่อสู้คลาสสิกเฉินหลงแต่งหญิง (ชุนลี) ทำได้ฮ่าสาดมัก

    ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่เอาชื่อการ์ตูนญี่ปุ่นมาหากินจนประสบความสำเร็จ แม้ไม่เหมือนต้นฉบับก็ตาม

    นอกจากนี้ City Hunter ยังเคยนำมาดัดแปลงเป็นทีวีซีรีย์เกาหลี ชื่อเรื่องเดียวกัน นำแสดงโดย ลี มินโฮ และ พัก มิน-ย็อง ฉายทางช่อง 7

     

    Dragon Ball: The Magic Begins

                   

                  แม้แต่การ์ตูนในตำนาน ดราก้อนบอล ของอากิระ โทริยามะ ก็ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดง และก็เหมือนซิตี้ฮันเตอร์ตรงที่มันไม่ได้เป็นของคนญี่ปุ่น

                    หลายคนอาจไม่รู้ว่าก่อนที่จะมีดราก้อนบองคนแสดงของฝรั่ง (ที่ทำออกมาเจ๊ง) ก่อนหน้านั้นยังมีดราก้อนบอลของฮ่องเก ในชื่อไทย ดราก้อนบอล ศึกอภินิหาร7ลูกแก้วมังกร ซึ่งเป็นหนังฮ่องกง แอ็คชั่น ผสมแฟนตาซี ฉายเมื่อปี 1991 ซึ่งเนื้อหาไม่ได้เกี่ยวอะไรกับดราก้อนบอลมังงะเลย นอกจากเอาของเขามาใช้ และเนื้อเรื่องตามฉบับผู้กำกับเท่านั้นเอง 

    ที่น่าสนใจคือภาพยนตร์ทั้งเรื่องถ่ายทำในประเทศไทย และมีกลิ่นอายของประเทศไทยในเรื่องเพียบ โดยถ่ายทำกาญจนบุรี มีฉากเด่นที่สะพานมอญ อำเภอสังขละ ด่านเจดีย์ 3 องค์ แถมฉาก ตัวละครตัวประกอบก็ออกไปทางหนังจักรวงศ์ๆ ช่อง 7 มากกว่าด้วยซ้ำ ซึ่งเป็นเรื่องของมนุษย์ต่างดาวคิงฮอร์น นำยานอวกาศและสมุนออกตามหาลูกแก้วมังกรทั้ง 7 ที่ว่ากันว่าหากรวบรวมครบจะได้ขอสิ่งปรารถนาได้หนึ่งอย่าง โดยหนึ่งลูกแก้วเหล่านั้น ลูกหนึ่งอยู่ในการครอบครองของราชา จอมมารเลยจัดการถล่มเมือง ส่วนลูกที่เหลืออยู่ในการครอบครองของ หงอคง (ตอนเป็นเด็ก) , หมู, ลาปิง, ผู้เฒ่าเต่าและซีโต้ (บลูม่า) แต่ละคนมีฝีมือที่ต่อสู้กับสมุนคิงฮอร์นได้ คนทั้ง 5 คนก็ได้มาร่วมตัวร่วมมือกันต่อสู้ครั้งใหญ่

                    ในเรื่องนำดราก้อนบอลมาดัดแปลง ทำให้ชื่อตัวละครบางตัวไม่ได้ใช่ชื่อตัวละครจากการ์ตูนโดยตรง เช่น ซีโต้คือบลูม่า, ลาปิงคือหยำฉา, เต่าฤาษีคือผู้เฒ่าเต่า เป็นต้น แม้ชื่อจะเปลี่ยนไป แต่ดูตัวละครก็รู้เลยว่าใครเป็นใคร เพราะลักษณะและชุดนั้นเหมือนมาก

                    แม้ตัวหนังจะดัดแปลงจากมังงะ จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม แต่สำหรับหนังฮ่องกงสมัยก่อนแล้ว ไม่ได้มีใครคิดมากเรื่องเหล่านี้มากนัก ภาพยนตร์เคยฉายทางช่อง 7 ผมเองที่เป็นเด็กเวลานั้นก็ดูด้วยความสนุกสนานไม่ได้คิดมากสักเท่าไหร่ คือสนุกดี แนวปราบมาร ตลกตามสไตล์หนังฮ่องกง ฮ่าตัวละคร แถมมีจักรวงศ์ๆ ไทยๆ ผสมด้วย บันเทิงมาก

    สรุปคือเป็นหนังฮ่อกงที่สนุก หากไม่คิดมากเรื่องดราก้อนบอล และบางทีสนุกกว่าดราก้อนบอลของฝรั่งด้วยซ้ำ (ของฝรั่งำเป็นจริงจังแต่เห็นแล้วอนาถแทน)


    Blood The Last Vampire 

    ปกติผมก็ไม่ค่อยได้ดูภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่นมากนัก เพราะส่วนหนึ่งการ์ตูนที่เอามาทำภาพยนตร์ ก็ไม่ใช่เรื่องโปรดของผมสักเท่าไหร่ ถ้าจะดู ก็จะดูภาพยนตร์ที่สร้างจากการ์ตูนที่ผมชอบจริงๆ หรือเห็นว่าน่าสนใจ ถึงจะดู

                    Blood เป็นอีกการ์ตูนที่ผมชอบนะ เพราะแนวเลือดสาด ดิบ โหด หลายคนอาจจะจดจำซีรีย์อนิเมะอย่าง Blood+,  Blood-C ก็เถอะ แต่ต้นตำรับจริงๆ คือภาค Blood  ของ Hiroyuki Kitakubo ซึ่งได้รับรางวัลอนิเมชั่นยอดเยี่ยมจาก World Animation Celebration ในปี 2001 (มีซับไทยไปหาดูได้) และถูกทำเป็นมังงะ 2001 ซึ่งเป็นเนื้อหาของเด็กสาวในชุดนักเรียนสีดำชื่อ “ซายะ” ที่เป็นลูกครึ่งแวมไพร์ และใช้ดาบคาตานะล่าแวมไพร์ตัวอื่นๆ

                    แม้ซีรีย์ Blood จะไม่ได้โด่งดังมากนัก แต่ก็ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดงในชื่อ Blood The Last Vampire หรือชื่อไทยคือ ยัยตัวร้าย สายพันธุ์อมตะ ฉายในปี 2009  เป็นภาพยนตร์สร้างร่วมกับฝรั่งเศส ฮ่องกง และอังกฤษ (ตอนแรกผมคิดว่าญี่ปุ่นทำเสียอีก) โดยเนื้อหากล่าวถึงซายะ เด็กสาวอายุ 16 ปีตลอดกาล ที่ออกตามล่าแวมไพร์ถึงฐานทัพอเมริกา ในกรุงโตเกียว ได้รู้จักลูกสาวนายพล และต่อสู้กับนายใหญ่ผู้ชั่วร้ายของเหล่าแวมไพร์โอนิกัน ที่อดีตเคยฆ่าพ่อของเธอ

                    ภาพยนตร์เรื่องนี้มีจุดเด่นตรงที่ได้จอน จี ฮุนมารับบทเป็นนางเอก แถมทุนสร้าง 35 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื้อหาแม้จะดัดแปลงจาก Blood แต่ช่วงหลังๆ ดำเนินเรื่องต่างกัน แม้ว่าตัวภาพยนตร์จะดูน่าสนใจ นักแสดงมีคุณภาพ แต่อนิจจาสำหรับผมแล้ว มันเป็นภาพยนตร์ที่ไม่สนุกเสียเลย

                     แม้ว่าตัวภาพยนตร์จะดูมีพลังในช่วงแรก คือ เลือดสาด ศิลปะ ภาพสวย แต่หากเมื่อถึงกลางเรื่อง เนื้อเรื่องก็ไม่มีพลังที่น่าติดตามเสียเลย ยิ่งช่วงศึกสุดท้ายก็ทำออกมาง่ายเกินไป จนไม่น่าเชื่อว่านี้กำลังสู้กับบอสใหญ่อยู่เรอะ ไม่ใช่ลูกกระจอกใช่เปล่าเนี้ย พูดง่ายๆ บทของตัวหนังเดาทางไม่ยาก

                    ส่วนยิบย่อยเองก็ไม่ได้เนียนตามากนัก จอน จี ฮุนก็ไม่ได้แสดงบทบู๊อะไรมากสักเท่าไหร่ ไปจนถึงลูกสาวนายพล ตัวละครอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นต้องใส่มาก็ได้ ส่วนประเด็นมนุษย์กับปีศาจ ที่ไม่ว่าซีรีย์ไหนก็เอามาเล่นเอามาตีความได้อย่างน่าคิด แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ประเด็นเหล่านี้ไม่ได้เน้นมากนัก สรุปคือการพบเพื่อนเก่าครั้งนี้มันไม่ประทับใจเสียเลย  (ในฐานะที่ผมประทับใจมังงะ Blood ก่อนมาดูภาพยนตร์เรื่องนี้)

    ขอตำหนิอีกเรื่องสำหรับวงการนักพากย์ไทย ที่เอาแพนเค้กมาพากย์เป็นซายะ ขอพูดตรงๆ ว่า พากย์ “ห่วย” มาก คือเสียงไร้ซึ้งอารมณ์ ไร้ความไม่อยากจะฟัง ปกติหนังไม่สนุกอยู่แล้ว ไปเจอเสียงแพนเค้กอีก ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่เลย


                     Azumi

                               

                จากภาพยนตร์ต่างประเทศที่ดูเอาสนุก เอามันๆ  มาคราวนี้มาที่ภาพยนตร์ญี่ปุ่นบ้าง  แม้ว่าญี่ปุ่นมีภาพยนตร์ดีๆ หลายเรื่อง  แต่พอเอาการ์ตูนญี่ปุ่นของตนเอง เอามาทำหนังนี้  มันคนละเรื่องเลย

    เรื่องที่ผมพูดถึงคือ Azumi อาสึมิ สวยประหาร มังงะผลงานขึ้นหิ้วของโคยาม่า ยู โครงเรื่องเป็นช่วงที่เซกิกาฮาระจบลง  ในหุบเขาลับลูกหนึ่ง อาสึมิ เด็กกำพร้าที่ถูก โอบาตะ เก็นโซ เก็บมาเลิ้ยงและฝึกให้เป็นยอดนักสังหาร พร้อมกับเพื่อนอีก 9 คน เมื่ออาสึมิฝึกสำเร็จ ออกมาทำงานรับใช้ โตกุกาว่า อิเอยาซึ คอยสังหารผู้ที่คิดจะแข็งเมือง แม้ฝีมือสังหารของอาสึมิ จะไม่มีใครทาบได้ สามารถเอาตัวรอดได้ทุกครั้ง แต่ก็พบกับชะตากรรม อันแสนโหดร้าย จนเธอแทบรับไม่ได้

    ความสนุกของอาสึมิคือการถ่ายทอดยุคหลังสงครามกลางเมืองที่ไม่ได้สงบสุขอย่างที่หลายคนคิด แม้จะไม่มีสงคราม แต่สังคมยังคงเสื่อมโทรม รวมไปถึงการผจญภัยของอาสึมิที่อยากจะหาที่สงบสุขหากแต่ทางที่เดินกลับเต็มไปด้วยการฆ่าฟันอย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งฉากต่อสู้ฟันดาบของอาสึมินั้นดุเดือดเสือดสาดและโหดมาก ชนิด แขนหลุด หัวขาด ไส้ไหลเลยทีเดียว

    ดังนั้นมันเป็นเรื่องยากมากที่ภาพยนตร์คนแสดงจะเอาการ์ตูนในตำนานนี้มาดัดแปลง และออกฉายในปี 2003 กำกับโดย ริวเฮ คิตามูระ  และคนรับบทเป็นอาซูมิคือดาราสาว อายะอู เอโดะ ซึ่งพลิกคาแร็คเตอร์บทาทสาวหน้าหวานมารับบทสาวนักฆ่าดราม่าอาสึมิ

    หากใครไม่เคยอ่านการ์ตูนมาก่อน อาจชอบภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่มากไม่น้อย เพราะจัดเต็มความสนุก ฆ่าฟันแบบซามูไร สนุกเห็นอาสึมิลุยเดี๋ยวถล่มซามูไรเถื่อนเป็นร้อย ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ตอบสนองความสะใจคนดูที่ชอบแอ็คชั่นซามูไรเป็นอย่างยิ่ง แถมผู้มารับบท อาซูมิ นั้นถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลของญี่ปุ่นในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมจากบทนี้ พร้อมทั้งหนังได้ถูกเชิญไปหลายเทศกาลหนังรวมถึงไปคว้ารางวัลขวัญใจมหาชนจากเทศกาลหนังฟิลาเดเฟียมาแล้วด้วย

    นอกจากนี้ตัวของภาพยนตร์ยังสอดแทรกเรื่องของอาสึมิที่ต้องทำตามหน้าที่ ของนักฆ่า และบททดสอบที่เธอต้องทำนั้น มันเป็นสิ่งที่เธอแทบรับไม่ได้ เช่น ฆ่าคนรัก ฆ่าชาวบ้านตาดำๆ แต่เธอก็ต้องทำเพราะมันเป็นหน้าที่ และเชื่อว่าสิ่งที่เธอทำคือสิ่งที่ถูกต้อง หากแต่เมื่อเธอทำภารกิจจริงๆ คือ ต้องสาวขุนนางที่จะก่อสงครามอีกครั้ง เธอก็เริ่มตั้งคำถามว่า “มันเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วเหรอ?

    อย่างไรก็ตาม สำหรับหลายคนที่อ่านการ์ตูนมาก่อน จะพบว่าภาพยนตร์นั้นแตกต่างจากเยอะมาก ถึงเยอะมาก เช่น บทการตายของตัวละคร การดำเนินเรื่อง ซึ่งก็เข้าใจว่าฉบับมังงะนั้นคนเขียนเน้นการดำเนินเรื่องแบบเนิ่บๆ ช้าๆ มากกว่า แต่สำหรับภาพยนตร์คนแสดงไม่สามารถทำสิ่งแบบนี้ได้ จำเป็นต้องดำเนินเรื่องโดยใจความสำคัญมากที่สุด  โดยส่วนตัวก็มีทั้งชอบไม่ชอบบ้าง  

    แม้ว่าภาพยนตร์คนแสดงจะแตกต่างจากมังงะ แต่สาระสำคัญยังคงเท่าเดิม และดูสนุกด้วยซ้ำ มันอาจไม่ดีมาก แต่ก็แนะนำให้หลายคนได้ดูกัน

    ปล. นอกจากนี้ยังมีอาสึมิภาคสอง แต่.....เอาตามตรงนะ “ห่วย” มาก เพราะเนื้อหากลายเป็นแนวเกรดต่ำ แค่เอาอาสึมิสู้ศัตรูตามรายทาง ซึ่งไม่สนุกเลย


    Sakigake!! Cromartie Koukou คุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม

    แม้แต่การ์ตูนในตำนานบ้านเรา อย่างคุโรมาตี้ ก็ยังมีภาพยนตร์คนแสดง ซึ่งคุโรมาตี้ คุโรมาตี้ โรงเรียนคนบวม เป็นการ์ตูนตลก เขียนโดย เอย์จิ โนนากะ  ซึ่งมีเนื้อหาเป็นเรื่องเกี่ยวกับนักเรียนในโรงเรียนคุโรมาตี้ ซึ่งเป็นโรงเรียนเด็กเลวอันดับหนึ่งของญี่ปุ่นที่รวบรวมเหล่านักเลงเอาไว้มากมายหลายชนิด หากแต่คามิยามะ ทากาชิเด็กนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาดนต้องเข้าไปเรียนโรงเรียนที่สดเลวร้ายแห่งนี้ แต่แทนที่จะเจอพวกเด็กเลว กลับพบแต่เรื่องหลุดโลกมากมาย เพราะที่โรงเรียน มีทั้ง นักร้องวงควีน, หุ่นยนตร์ และกอลิล่าเข้ามาเรียนด้วย

    ความจริงเป็นเรื่องจากที่จะเอาการ์ตูนตลกมาทำเป็นภาพยนตร์ เพราะแม้แต่ฝรั่งเองก็ล้มเหลวมานักต่อนัก แถมการ์ตูนตลกแบบมีเอกลักษณ์อย่างคุโรไมตี้นั้น ก็เป็นตลกในตำนานที่แม้แต่บ้านเรายังจดจำ และนิยามคำว่า บั่นทอนปัญญาที่หมายถึง เรื่องราวที่หาสาระไม่ได้ ซึ่งเป็นนิยามของการ์ตูนเรื่องนี้เป็นอย่างดี

    ตลกแบบคุโรไมตี้ ก็ฮ่าบ้าง ไม่ฮ่าบ้าง แต่ที่สำคัญคือเอกลักษณ์ของตัวละครมากกว่า ว่ามันโดดเด่นมาก หากเจอตัวละครที่ว่าในคุไมตี้ ก็รู้ทันทีว่าเล่นยังไง

    นอกจากนี้การ์ตูนคุโรไมตี้นั้นมีเนื้อหาภายในเล่มแบ่งออกเป็นตอนสั้นๆ โดยส่วนมากในแต่ละตอนจะมีเนื้อหาไม่ต่อเนื่องกัน โดยจะจบภายในตอน ดังนั้นไม่เหมาะในการสร้างภาพยนตร์ทำเนื้อหายาวๆ สักเท่าไร่

    แน่นอนว่ามันเป็นโจทย์ที่ยากมาก ที่ภาพยนตร์คนแสดงจะดัดแปลงการ์ตูนเรื่องนี้ ให้เป็นภาพยนตร์ตลก ในเมื่อเรารู้มุกในการ์ตูนหมดแล้ว รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ แน่นอนสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องทำก็คือทำยังไงให้ภาพยนตร์มีความเป็นคุโรมาตี้มาที่สุด

    ความจริงผมเองก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แต่พอเหนว่าเป็นการ์ตูนที่ชอบ ก็เลยเช่ามาดู  ยอมรับว่าตอนแรกประทับใจดี โดยเฉพาะตัวละครอย่างคามิยามะในภาคภาพยนตร์รับบทโดยทาคามาสะ สุกะก็ทำเหมือนดี การดำเนินเรื่องตอนแรกก็ยอมรับว่าฮ่าบ้าบอดี

    อย่างไรก็ตาม พอมาถึงช่วงกลางเรื่อง เนื้อเรื่องดร็อปลงเยอะ ออกไปทางหน้าเบื่อ แถมนอกจากคามิยามะแล้ว ตัวละครอื่นๆ ไม่เหมือนต้นฉบับเลย อย่าง มาเอดะหน้าเหมือนยายชาระเบิดเทิดเทง ฮายาชิดะก็ไม่ได้ฮ่าเหมือนในมังงะสักเท่าไหร่ เฟรดดี้ดันเอาคนญี่ปุ่นมาเล่นไม่เหมือนนักร้องวงควีนเลย

    ทางด้านมุกตลกนั้น ก็ยอมรับว่า มีขำเป็นระยะ มุกก็เอามาจากการ์ตูนที่ทำออกมาดูดี  มุกตลกเอกลักษณ์ของตัวละคร ยอมรับว่าผมฮ่า มุกพี่โม่งถอดหน้ากาก   แต่อย่างไรก็ตาม เพราะเนื้อเรื่องที่น่าเบื่อทำให้พลังมุกเหล่านี้ไม่ค่อยทรงพลังมากนัก

    โชคดีที่เสียงพากย์ในเรื่องใช้ ทีมงานนักพากย์พันธมิตร สำหรับนักดูหนังบางคน อาจไม่ชอบทีมพากย์นี้สักเท่าไหร่ เพราะชอบพากย์เอาตลกนอกลู่นอกทาง ไม่ตรงต้นฉบับ แต่ส่วนตัวหนังตลก ควรพากย์ให้นอกลู่นอกทางบ้าง หากพากย์ตรงตำรามากไปก็น่าเบื่อ ยิ่งเป็นแนวที่ดูไม่ตลกเลย ทีมพากย์จะช่วยดีขึ้นเยอะ (อย่างน้อยก็มีมุกตลกนอกลู่นอกทางมาช่วยด้วย) ทำให้ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้จนจบโดยไม่เลิกกลางคันได้


    Kami-sama no Iutoori

    เป็นอีกเรื่องที่ส่วนตัวแล้วค่อนข้างน่าผิดหวัง ทั้งตัวละคร, บท, การดัดแปลง รวมไปถึงสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการสื่อ

    ยอมรับว่าเป็นภาพยนตร์ที่ตอนแรกอยากดูพอสมควร เพราะสร้างจากการ์ตูนที่ชอบ โดย Kami-sama no Iutoori หรือ เกมเทวดา (2014)  เป็นเรื่องราวของชุน ทาคาฮาตะ (แสดงโดย โซตะ ฟุคุชิ) เป็นนักเรียนไฮสคูลธรรมดาที่รู้สึกเบื่อชีวิต เขามีเพื่อนสมัยเด็กชื่อ อิจิกะ อากิโมโตะ (แสดงโดย ฮิโรนะ ยามาซากิ) วันหนึ่ง จู่ๆห้องเรียนของเขา ก็มีตัวดารุมะ โผล่ออกมาและคอยไล่ล่า เขาและเพื่อนๆเพื่อเล่นเกมแห่งชีวิต โดยที่ไม่รู้ว่าจะเล่นไปเพื่ออะไร

    แม้การ์ตูนเรื่องนี้จะไม่ได้ดีถึงขั้นขึ้นหิ้ง แต่มันก็สนุกน่าติดตาม ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การ์ตูนเรื่องนี้ ใช้ตัวละครทิ้งเยอะมาก ตายเป็นเบือ บางตัวเปิดตัวมาอย่างเท่ หน้าต่อมาตายเลยก็มี ทั้งที่ยังไม่ทันรู้ชื่อ หรือบางตัว มีปูประวัติ แบบว่าตัวนี้ จะเป็นฮีโร่  เป็นตัวหลักแน่นอน แต่ตอนท้ายตายอนาถ คือมันเป็นการ์ตูนที่คาดเดาไม่ได้เลยว่า ตัวนี้จะได้ไปต่อหรือเปล่า ทุกคนมีสิทธิตายหมด (ยกเว้นพระเอก)    มีอะไรให้ลุ้นอยู่ตลอดว่า  

                    ส่วนตัวภาพยนตร์ เกมเทวดา (2014) เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจนดำเนินเรื่องไม่เหลือเค้าโครงเดิมจากต้นฉบับ ซึ่งก็เข้าใจ เพราะว่าหากทำเหมือนต้นฉบับ คนที่เคยอ่านมังงะ (และน่าจะเป็นกลุ่มที่จะดูภาพยนตร์เรื่องนี้มากที่สุด) ก็คงรู้ลึกหนาบางบ้างแล้ว  ดังนั้นตัวภาพยนตร์เลยเปลี่ยนบทตัวละคร เพิ่มความหนาลึกของตัวละคร ไปจนถึงการดำเนินเรื่องที่แตกต่างจากมังงะพอสมควรในช่วงหลัง

                    อย่างไรก็ตาม การดัดแปลงก็มีข้อเสียเหมือนกัน เพราะหากดัดแปลงไม่ดีพอ ไม่สามารถนำจุดแข็งของต้นฉบับไปใช้ได้ละก็ มันจะทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สนุกเสียเลย  

                    ยอมรับว่าในช่วงต้น (เกมดารุมะ และเกมแมว) นั้นสนุกมาก แม้จะดูในมังงะมาแล้วก็ตาม แต่ตัวภาพยนตร์เอามาทำได้น่าระทึกใจ แม้เกมดารุมะจะเปลี่ยนจากยิงคนเลือดสาดมาเป็นยิงคนแล้วเลือดออกมาเป็นลูกแก้ว ทำให้ลดความโหดมากโข แต่มันก็น่าสนใจดี และยังคงอารมณ์ว่า มันเกิดอะไรขึ้น!? อะไรฟ่ะ!? เรื่องบ้าระยำ!???  รวมไปถึงสื่อในเรื่องการดินรนมีชีวิตรอดของมนุษย์ เล่นเกมแห่งความตายได้ดี ส่วนหนึ่งเพราะต้นฉบับมันดีอยู่แล้ว เพียงแค่ใช้เทคนิคภาพยนตร์มาใส่ให้น่าสนใจเท่านั้นเอง

                    อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงกลางเรื่อง ช่วงท้ายเรื่อง มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องไม่เหลือเค้าเดิมของต้นฉบับ ด้วยการเพิ่มฉากใหม่ ตัดตัวละครในต้นฉบับออก เพิ่มเกมใหม่เข้าไป รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงการตายของตัวละคร ทั้งหมดนี้ไม่ช่วยให้ดีขึ้นมากนัก เพราะเกมใหม่ไม่ช่วยทำให้ลุ้นระทึกเหมือนสองเกมแรก  ดูแล้วขัดๆ มากกว่า  มันช้า เนิ่บนาบ ไม่สะใจท่า

                    ในส่วนตัวละครนั้น คนที่รับบทพระเอกชุนนั้น ค่อนไม่ค่อยอินเมดดีนัก ดาราที่แสดง (ผมไม่สนผลงานที่ผ่านมา) ค่อนข้างรูปร่างสูงโปร่ง บุคลิกไม่ดีนัก คอเหมือนอีแร้งป่วย ทำให้ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนพระเอกที่พลังชีวิตที่เปี่ยมล้นเหมือนพระเอกในมังงะ แม้ในเรื่องจะมีการเพิ่มเกี่ยวกับการเบื่อชีวิตประวันจำที่สงบสุขของพระเอกชุนเพิ่มเข้าไป แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรขึ้นเลย เพราะดูแล้วน่าเบื่อด้วยซ้ำ

     โอเคประเด็นเกี่ยวกับการเบื่อชีวิตประจำวันที่สงบสุขของชุน จนทำให้ชุนในภาพยนตร์เริ่มกลายเป็นเด็กต่อต้านสังคม หากแต่หลังเล่นเกมก็ได้รู้ว่าชีวิตสงบสุขนั้นดีสุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ภาพยนตร์ต้องการสื่อมากที่สุด แต่สำหรับผมแล้วสานที่ภาพยนตร์สื่อนั้นพบเห็นในสื่อหลายเรื่องมาเป็นร้อยเรื่องเห็นจะได้ ก็นำเสนอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำได้น่าเบื่อมากเกินไป บางอย่างก็ไม่ต้องย้อนไปย้อนมาก็ได้ (ในมังงะไม่ย้อนเยอะขนาดนั้นหรอก)   ส่วนพระรอง (ขอโทษทีผมจำชื่อไม่ได้) ไม่ค่อยจดจำสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่มังงะ แม้จะบ้าน่ากลัวอยู่บ้างแต่ก็เป็นคนที่พึ่งได้ แต่ในภาพยนตร์เป็นตัวอันตรายที่ดูปัญญาอ่อนมากกว่า

    สิ่งที่ไม่ชอบคือการให้ตัวละครอากิโมโตะ ในภาพยนตร์กากมาก ถ้าเป็นในมังงะนั้นแม้จะเป็นตัวละครที่ดูจืดๆ แต่ความจริงเป็นโครตจิต และมีแววจะเป็นบอสด้วยซ้ำ แต่ในภาพยนตร์ดาราที่แสดงนี้เหมือนเลยเด็กมัธยมมาหลายปี บทก็จืดจาง แถมตายตอนท้ายอีก

    สรุป Kami-sama no Iutoori สนุกช่วงแรก ช่วงกลางน่าเบื่อ ช่วงท้ายห่วย ดนตรีประกอบไม่ค่อยมี ไม่เหมาะสำหรับคอที่ดูมังงะมาแล้ว



    KAIJI The Ultimate Gambler

     

    เรื่องนี้ตลกอยู่อย่าง เพราะผมพึ่งมารู้ที่หลังว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงจากการ์ตูนดังของญี่ปุ่น  แต่ที่สนใจแล้วเช่ามาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะว่าเห็นทะสึยะ ฟุจิวะระแสดงเป็นพระเอกเรื่องนี้ พอดีติดจากบทหม่ำใส่วิก (ไลท์) เดธโน้ต เล่นได้ฮ่าดี เลยเช่ามาดู หวังว่าจะได้เห็นฉากมันๆ ผลปรากฏว่าไม่ผิดหวัง

    ไคจิเป็นภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากการ์ตูนผลงานของ Fukumoto Nobuyuki เชื่อว่าหลายคนอาจไม่คุ้นเคยคนวาดการ์ตูนคนนี้ (ซึ้งผมเองก็ไม่รู้จัก) ความจริงก็ไม่แปลกสักเท่าไหร่ เพราะเนื้อหาการ์ตูนเป็นแนวการพนัน แต่หลายคนก็คุ้นเคยลายเส้นที่เป็นเอกลักษณ์ (โครตๆ) ที่พระเอกคางแหลม จมูกแหลม ชอบทำหน้าตาจิตตกตลอด

    สำหรับตัวภาพยนตร์ เป็นเรื่องของไคจิที่มีเป็นชายหนุ่มที่มีปัญหาเรื่องการเงิน และต้องการเงินเป็นอย่างมาก จนกระทั่งวันหนึ่งมีบริษัทหนึ่งมามาแนะนำให้ไคจิหาเงินแบบง่ายๆ ด้วยการไปเสี่ยงโชคบนเรือสำราญ แต่กลายเป็นว่าบนเรือเต็มไปด้วยคนที่ชะตากรรมเดียวกับไคจิ และต้องมาเล่นเกมประหลาด ซึ่งหากชนะก็ได้เงินก้อนโต ส่วนผู้แพ้ต้องพบชะตากรรมตกนรกทั้งเป็น ซึ่งไคจิจำเป็นต้องเล่น แม้ตอนแรกเขาจะสามารถชนะเกมได้ หากแต่เขาเลือกที่จะแพ้เกม เพราะอยากช่วยลุงอิชิดะ(ที่ช่วยให้เขาชนะเกม) และนั้นทำให้ไคจิต้องกลายเป็นแรงงานทาส สร้างเมืองการพนันใต้ดินของบริษัทไร้มนุษยธรรม แน่นอนว่าไคจิอยากหนีออกจากนรกแห่งนี้  จนวันหนึ่งไคจิก็ได้เสนอตัวเพื่อเล่นเกม “สะพานคนกล้า” ร่วมกับคนอื่นๆ  โดยหารู้ไม่ว่าเกมที่เขาเล่นต้องเดิมพันด้วยชีวิต

    ไคจิ เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ค่อนข้างน่าประทับใจ และแนะนำให้ดู ใครที่ชอบบทบาททะสึยะ ฟุจิวะระในบทของไลท์ ยิ่งใครชอบฉากไลท์ร้องไห้ดิ้นไปดิ้นมาในตอนใกล้จบละก็ ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดเต็ม

    แม้ว่าผมจะไม่ได้อ่านการ์ตูนก็ตาม แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้สื่อถึงการดิ้นรนเอาตัวรอดของมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างชัดเจน             

    ไคจิไม่ใช่ไลท์ ที่เก่งไปหมด เพราะไคจินั้นเป็นคนขี้แพ้ แม้ว่าบางครั้งดูเหมือนจะฉลาด เจ้าแผนการ แต่ถ้าพบว่าแผนการณ์ไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ก็จะแสดงอาการจิตก โวยวายออกมา แบบไม่อายสายตาใครเลยก็ตามได้

    แม้ไคจิจะเป็นคนขี้แพ้ แต่กระนั้นเขาก็เป็นคนดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น สงสารคนที่มีชะตากรรมเดียวกัน เป็นคนรักษาสัญญา บ้างครั้งที่เขาหน้าด้านอยู่บ้าง แต่ก็เป็นปกติของมนุษย์ที่ดิ้นรนต่อสู้ ทิ้งศักดิ์ศรี เพื่อชัยชนะ

    KAIJI The Ultimate Gambler  เป็นภาพยนตร์ที่สอนอะไรเราหลายเรื่อง ชีวิตก็เหมือนเกม มีกราฟชีวิต มีขึ้น มีลง แต่พอลงแล้วตกต่ำ ก็ต่ำยิ่งกว่าหมา จนดูน่าสมเพช โดนคนหลอกลวง โดนคนรวยเห็นเป็นของเล่น

    อย่างไรก็ตาม แม้คนเราจะตกต่ำ กลายเป็นคนน่าสมเพช แต่หากไม่ยอมแพ้ กัดฟัน พยายามทุกวิธีทาง (แม้จะเป็นวิธีไม่ดีก็ตาม) เพื่อหลุดพ้นความตกต่ำ

    สรุป เป็นภาพยนตร์ที่สนุกครับ น่าติดตามตั้งแต่ต้นจนจบ ตัวละครแสดงดี ได้อารมณ์ความรู้กดดัน, โกรธ, ยินดี, มีความสุข ทุกอารมณ์


    Hentai Kamen The Movie

    จะเห็นว่าอันดับส่วนใหญ่ที่ผมทำมาพูดถึงจะเป็นภาพยนตร์ที่มีระดับปานกลาง ไม่ก็คนรู้จักน้อย เหตุผลก็ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะเอาเรื่องที่ดังคนพูดถึงไปแล้วก็ใช่ว่า อีกทั้งผมไม่เก่งการรีวิวหนัง ดังนั้นขอพูดถึงเรื่องที่ไม่ค่อยดังสักเท่าไหร่นะครับ

    ยอมรับว่าผมดูเรื่อง Hentai Kamen The Movie  ไม่จบ สาเหตุเพราะมันอินดี้เกิน ใครดูเรื่องนี้จบก็อยากตบมือในความเก่งกาจของท่านที่สามารรับไข่ตุงของพระเอกเรื่องนี้ได้นะครับ

    Hentai Kamen The Movie หรือ เทพบุตรหลุดโลก (เฮ็นไตคาเมน ) ดังดแปลงจากมังงะตลกแนวโชเน็ง โดยเคอิชู อันโด ตีพิมพ์ในโชเน็งจัมป์รายสัปดาห์ของสำนักพิมพ์ชูเอชะ ระหว่างปี ค.ศ. 1992 ถึง 1993 จำนวน 52 ตอนจบ โดยเป็นเรื่องราวของพระเอกมัธยมปลายชื่อเคียวสึเกะ ชิกิโจ เด็กหนุ่มมัธยมที่แทบจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เมื่อนำกางเกงในผู้หญิงมาสวมไว้บนศีรษะ พลังแห่งความลามกจะถูกปลุกขึ้นมาในตัวเขา!! จนมีผลไปถึงบุคลิกอันสุดโต่ง นอกจากนั้นยังดึงศักยภาพร่างกายออกมาจนเหนือมนุษย์ รวมถึงฝีไม้ลายมือในการต่อสู้แบบไร้เทียมทาน เพื่อออกปราบปรามเหล่าร้ายเป็นซูเปอร์ฮีโร่

    การ์ตูนหน้ากากหลุดโลกถือว่าเป็นหนึ่งในการ์ตูนในตำนานในยุค 90 แม้ว่าลายเส้นการ์ตูนจะไม่ได้เจ๋งเหมือนสมัยนี้ แต่มันโดดเด่นคือมุกตลก ที่เน้นความอัปรีย์ของพระเอก ไม่ว่าจะเป็นความเป็นโรคจิต เอากางเกงในผู้หญิงครอบหัว เครื่องแต่งกายสุดแสนสยิว (โชว์หุ่นตลอดเวลา มีการเกงในรัดเป้าอันกระจิ๊ดนึง)  รวมไปถึงท่าไม้ตายไข่มรณะ (การเอาเป้าไข่ตุงคร่อมหน้าตัวร้าย)  ที่สร้างความเจ็บปวดทั้งร่างกายและจิตใจของศัตรูไม่น้อย เรียกว่าเรียกความสนใจต่อคนอ่านเป็นอย่างมาก

    แน่นอนว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จัดเต็ม กับความอัปรีย์ของพระเอก (จนไม่น่าเชื่อว่าจะหาคนแสดงแต่งชุดหน้ากากหลุดโลกได้)  แถมความอุบาทว์ท่าไม้ตายที่พระเอกงัดมาใช้กำจัดคนร้ายก็เต็ม ทำได้อย่าง

    ถ้าถามว่าขำไหม อธิบายยาก อารมณ์ประมาณ ขำอุบาทว์ รวมไปถึงความอนาถของตัวโกงในเรื่องที่ผจญกับท่าไม้ตายของหน้ากากหลุดโลกมากกว่า

    อย่างไรก็ตาม ในด้านเนื้อหาของภาพยนตร์ โดยส่วนตัวแล้ว ไม่ค่อยมีเนื้อมากนัก  ช่วงแรกๆ ก็ดีอยู่หรอก แต่หลังๆ เริ่มมั่วแล้ว วนเวียนการปราบเหล่าร้ายเรื่อยๆ (พวกเหล่าร้ายในเรื่องก็แสนปัญญาอ่อน) เหมือนภาพยนตร์ญี่ปุ่นเกรดบีมากกว่า (คือไม่ค่อยจริงจังกับเนื้อหา)

    สรุปคือ เป็นภาพยนตร์ที่ดูเอาขำๆ เสียดายที่น่าจะสอดแทรกเนื้อหาที่เป็นเรื่องเป็นราวหน่อย  ในด้านนักแสดงนั้นนางเอกไม่ค่อยเด่นเท่าไหร่นัก (พระเอกหน้าไม่หล่อเลย)

    ที่เหลือเชื่อคือ เทพบุตรหลุดโลก Hentai Kamen ได้รับการตอบรับจากเหล่าแฟนๆ อย่างท่วมท้น และ ได้คว้ารางวัลจากงาน New York Asian Film Festival ได้รับรางวัลในสาขา Audience Award ที่ผ่านมา


    Devilman (2004)

                   

               จากภาพยนตร์คนแสดงที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่น ที่อันดับที่ผ่านมาดีบ้าง และไม่ดีบ้าง มาคราวนี้มาถึงสองเรื่องที่ฝังอยู่ในความจำผมบ้าง ซึ่งออกไปทางด้านลบ มากกว่าด้านบวก และแสดงให้เห็นว่ามีความอลังการมันไม่ได้ช่วยให้ภาพยนตร์น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย

                    Devilman (2004) เป็นภาพยนตร์ดัดแปลงจากการ์ตูนในตำนาน (๙อเดียวกัน) ผลงานของ อาจารย์ โก นางาอิ ผู้วาดเดียวกับเรื่อง Mazinker Z และ Getter สองหุ่นยนต์ซุเปอร์โรบอทชื่อดัง เรื่องนี้วาดมาตั้งแต่ปี 1972 แล้ว แต่ก็ยังตงเป็นที่รู้จัก มีซีรีย์ใหม่ๆ เรื่องๆ ล่าสุดเห็นว่าจะมีอนิเมะภาคใหม่ ด้วย ส่วตัวภาพยนตร์นั้นเป็นภาพยนตร์ค่อนข้างเก่าหน่อย คือประมาณ 2004 โดยใช้เนื้อเรื่องอิงจากการ์ตูนทั้งหมด กำกับโดย ฮิโรยูกิ นาซุ และนักแสดงนำ อิซาโตะ อิซากิ  และยาซุกิ ฮิซากิ

    เป็นเรื่องราวของอากิระ ฟูโด คือเเด็กกำพร้า ที่ถูกครอบครัว มากิมูระ รับไว้เลี้ยงดู หลังจากที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิต จากนั้นเขาก็ใช้ชีวิตตามประสานักเรียนม.ปลายทั่วไปกับเพื่อนสนิทชื่อ เรียว อาซุกะ แต่แล้ววันหนึ่งกองทัพปีศาจได้เคลื่อนทัพเข้าบุกโลก อากิระจึงยอมให้ปีศาจชั้นสูงตัวหนึ่งเข้าสิงร่าง  และ.ยืมพลังจากปีศาจ เพื่อแปลงร่างเป็น เดวิลแมน และได้ใช้พลังเข้าห้ำหั่นกับพวกปีศาจเพื่อปกป้อง มิกิ หญิงคนรัก และมวลมนุษยชาติ

                    อย่างที่บอก Devilman (2004) เป็นภาพยนตร์ดัดแปลงจากการ์ตูนเดวิลแมน โดยพยายามนำฉากคลาสสิกในการ์ตูนใส่เข้ามา ไม่ว่าจะเป็น อยากต่อสู้กับปีศาจเต่าจินเมน,ศึกเวหาระหว่างเดวิลแมนกับไซเรน รวมไปถึงฉากการตายที่แสนโหดร้ายของเพื่อนสมัยเด็ก และฉากถล่มโลกระหว่างเดวิลแมนกับซาตาน

                    นอกจากนี้ตัวภาพยนตร์ยังใช้เทคนิคกราฟฟิกเนรมิตให้สมจริงเต็มที่ โดยเฉพาะเหล่าสัตว์ประหลาดมากมายในเรื่อง เดวิลแมนที่ดูเท่ ประกอบกับต้นฉบับที่เต็มไปด้วยความรุนแรง การต่อสู้แบบโหดๆ เนื้อเรื่องค่อนข้างโหดร้าย ก็ไม่แปลกแต่อย่างใดที่ทำให้หลายคนสนใจภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่น้อย รวมไปถึงผมด้วย

                    อย่างไรก็ตามหลังจากได้ดูภาพยนตร์แล้ว ค่อนข้างผิดหวัง ไม่สมกับความคุ้มค่าที่ได้ดูเลยแม้แต่น้อย ตัวาพยนตร์มีเรื่องบกพร่องมากมาย การดำเนินเรื่องที่ดูเนิ่บๆ (แทนที่จะมันอย่างในการ์ตูน) ขนาดฉากต่อสู้ยังจบไม่กี่วินาที เทคนิคพิเศษต่างๆ ในเรื่องไม่ได้ช่วยให้ภาพยนตร์ดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย เอาเข้าจริงกราฟฟิก  ที่สร้างสัตว์ประหลาดในเรื่องดูค่อนข้างกระจอก ไม่ทรงพลังเลย นอกจากนี้การยัดฉากสำคัฯของการ์ตูนลงไปภาพยนตร์กลับถูกมองเป็นการยัดเยียด และดูซอฟต์ไปนิด ไม่ได้อินเหมือนในการ์ตูน อย่างสัตว์ประหลาดจินเมนที่เปลี่ยนเนื้อหาจากการ์ตูน ที่กินเพื่อนร่วมชั้นแทนที่จะกินเด็กสาวข้างบ้าน และจบอย่างกระจอก ไม่กี่วินาที ไม่ได้ช่วยให้คนดูรู้สึกอินกับภาพยนตร์เลยแม้แต่น้อย

     ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทบาทของตัวละครในเรื่องที่การแสดงไม่อินพอ (อาจเป็นเพราะบทด้วย) แถมยังอุตส่าห์เพิ่มตัวละครที่ไม่มีต้นฉบับ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องเลย เข้ามาอีก ยิ่งทำให้ตัวภาพยนตร์น่าเบื่อเป็นทวีคูณ และดูหงุดหงิดด้วยซ้ำ


     Casshern


    ถ้าถามว่าภาพยนตร์ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องใดที่สร้างผิดหวังกับผมมากที่สุด ถึงขั้นเก็บไปฝันร้าย  Casshern:The Movie ถือว่าเป็นคำตอบสุดท้าย โดยภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากการ์ตูนยอดนิยมของค่าย Tatsunoko .Pro ที่ได้รับความนิยมมากในยุค 70 กำกับโดยคิริยะ คาซูอากิ เปิดฉายครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นเมื่อกลาง 2004 ซึ่งตอนแรกที่ออกมานาน หลายคนชมว่าเป็นภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นไซไฟที่โดดเด่นมาก และได้รับการยกย่องว่าเหนือกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่น ๆ ในแนวเดียวกัน หากแต่หลังจากที่ผมดูภาพยนตร์เรื่องนี้ผมกลับเห็นตรงข้าม คือ หนังไม่สนุกเลย

                    อย่างแรกเลยที่ไม่ประทับใจคือเนื้อหาของภาพยนตร์แทบแตกต่างจากการ์ตูนต้นฉบับ ไม่มีส่วนไหนเหมือนเลย กล่าวคือของต้นฉบับนั้น โดยกล่าวถึงโลกที่มนุษย์ถูกหุ่นยนต์ (ที่ฉลาดและมีความคิดเป็นของตนเอง) กดขู่มนุษย์ แล้ว พระเอก "อาสุมะ เท็ตสึยะ" หรือ "Casshern" (อ่านว่า "แคชเชิร์น หรือ "คัชชาน" แบบญี่ปุ่น)อ่านว่า "แคชเชิร์น หรือ "คัชชาน" แบบญี่ปุ่น) ได้เปลี่ยนตัวเองเป็นไซบอร์กเพื่อทำลายล้างหุ่นยนต์ให้หมดไปจากโลก  "เฟรนเดอร์" หุ่นยนต์สุนัข และ "ลูน่า" สาวน้อยน่ารักเมาช่วยเหลือเพื่อปราบ "เบรคิงบอส" ตัวการใหญ่ผู้ปกครองหุ่นยนต์เพื่อปกป้องมวลมนุษย์ชาติ เห็นไหมพล็อตลิเกขนาดไหน ซึ่งเนื้อเรื่องของ Casshern ฉบับการ์ตูน จะออกไปทางโลกที่หายนะ แทบไม่มีอะไรเลย มีแต่ทะเลทราย ผู้คนผอมโซ พวกหุ่นยนตร์ก็โครตเกรียน และฉากพระเอกเท่ๆ ใส่ชุดรัดรูปสีขาว ทั้งหมดคือจุดขายของการ์ตูนเรื่องนี้

                    อย่างไรก็ตามในโครงเรื่องในภาพยนตร์ไม่เหมือนในการ์ตูนเลย แตกต่างชนิดฟ้ากับเหว คือโลกในภาพยนตร์กล่าวถึงโลกหลังสงครามโลกครั้งใหญ่ ที่เต็มไปด้วยสารพิษตกค้าง ทำให้มนุษย์ล้มตายเป็นจำนวนมาก ทำให้มนุษย์ที่เหลือพยายามค้นคว้าชื่อโครงการนีโอเซล คือสร้างอวัยวะต่าง ๆ ของมนุษย์ขึ้นมาใหม่  แต่จู่ ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อฟ้าผ่าลงมายังสถานีทดลอง ทำให้เซลของมนุษย์ที่กำลังทำการทดลองอยู่นั้นพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งกลายเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ และทำให้ทหารต้องเข้ามาสกัดกั้น หากแต่ก็มีมนุษย์กลายพันธุ์บางส่วนที่มีพละกำลังเหนือมนุษย์หนีรอดมาได้ (ให้นึกภาพพิภพวานร) พวกหนีรอดโกรธแค้นมนุษย์ จึงสร้างอาณาจักรใหม่ขึ้นมา พร้อมกับสร้างกองทัพหุ่นยนต์เพื่อทำสงครามมมนุษย์ชาติ (มนุษย์ในหนังยังพอสามารถต่อสู้กับพวกหุ่นยนตร์ได้)  

                    ส่วนด้านพระเอกอาสุมะ เท็ตสึยะ พึ่งเสียชีวิตจากการทำสงคราม พ่อของเท็ตสึยะจึงใช้นีโอเซลมาผ่าตัดรวมเข้ากับร่างกายของเท็ตซึยะ  และสวมชุดพาวเวอร์สูทที่พ่อของ ลูน่า ประดิษฐ์ขึ้น จนกลายเป็นยอดมนุษย์ต่อสู้กับมนุษย์กลายพันธุ์

    เรียกได้ว่าพล็อตหนังไม่เหมือนในการ์ตูนเลย จากสู้หุ่นยนต์ (ไซบอร์ด) เปลี่ยนมาเป็นสู้กับพวกมนุษย์กลายพันธุ์ แถมพวกตัวร้ายในภาพยนตร์ไม่ได้ชั่วร้ายมากเท่ามนุษย์ในเรื่อง ที่พวกมนุษย์ (พวกมีอำนาจ) ในเรื่องเต็มไปด้วยความกระหายอำนาจ การทำสงคราม สังหารหมู่ ประชาชนตกอยู่ในความทุกข์ แถมยังฆ่าพวกกลายพันธุ์ ทำให้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ถูกบีบบังคับ และมีความแค้นต่อมนุษย์ ในขณะที่มนุษย์บ้าอำนาจ และทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเอง (แถมมนุษย์กลายพันธุ์ในเรื่องอนาถอีกต่างหาก)

    นอกจากนี้ภาพยนตร์เน้นเรื่องปรัชญา ข้อคิด มากกว่าเน้นเรื่องแอ็คชั่นต่อสู้เอามันอย่างเดียว (จนกลายเป็นฉากแอ็คชั่นในเรื่องเป็นเรื่องรองด้วยซ้ำ) ส่วนตัวพระเอกก็ต้องแบกรับภาระอันใหญ่หลวง เพราะตนเองมีพละกำลัง (แบบเดียวกับสไปเกอร์แมน)  เอาง่ายๆ คือเป็นพระเอกที่เชยสะบัดมาก สำหรับผม ที่ปัจจุบันเห็นมุกแบบนี้เยอะแล้วในฮีโร่ตะวันตก

    อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือภาพยนตร์มันไม่ตรงต้นฉบับเลย แถมเนื้อหามันก็ไม่ได้เหมาะสำหรับเด็กที่จะดู เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ไม่เหมือนการ์ตูนที่มีเนื้อหาเจาะกลุ่มเด็กมากกว่า แม้ตัวภาพยนตร์จะเหมือนดึงแฟนรุ่นเก่าที่กลายเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ตาม แต่ผมคิดว่าสิ่งที่ภาพยนตร์ถ่ายทอดมันก็ไม่ช่วยทำให้แฟนรุ่นเก่าประทับใจ ซาบซึ้งได้เห็นเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานสักเท่าไหร่ ให้อารมณ์แบบว่า “มิ่งเป็นใครว่ะ ไม่รู้จัก” มากกว่า

    นอกจากนี้ตัวภาพยนตร์ยาวถึงสองชั่วโมง แต่การดำเนินเรื่องออกไปทางน่าเบื่อ ไม่ค่อยตื่นเต้นอย่างที่คิด แม้จะมีฉากแอ็คชั่นบ้าง แต่มันก็มาเป็นช่วงๆ จากนั้นก็น่าเบื่อยาวก็ว่าได้ รวมไปถึงฉากจบของเรื่องที่ทำเหมือนตบหน้าคนดู

    Casshern (2004) ใช้ทุนสร้างกว่า 600 ล้านเยน เพื่อเนรมิตโลกแฟนตาซีไซไฟในภาพยนตร์ให้ดูสมจริงมากขึ้น ทุกอย่างอลังการหมด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า ฉากกราฟฟิก คิวบู๊ มุมกล้อง (แต่เชื่อเถอะดูนาน จะโครตเอียน)  และฉายตามโรงต่างๆ ซึ่งก็ได้กำลังพอสมควร (13 ล้านดอลลาร์) แต่แง่ของคนที่ดูการ์ตูนเรื่องนี้มาก่อน และหวังมากกว่านี้ เรื่องนี้ตอบสนองไม่ได้ครับ ออกไปทางน่าผิดหวังด้วยซ้ำ (บางคนอาจชอบ หรือไม่ชอบ ก็แล้วแต่ครับ แต่สำหรับผมไม่เลย ออกไปทางฝันร้ายด้วยซ้ำ)



    ทั้งหมดนี่เป็นส่วนหนึ่งของการรีวิวคร่าวๆ ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่นที่ผ่านมา จะเห็นว่ามีทั้งดีบ้าง พอใช้บ้าง (ไม่ได้ดี แต่ก็ไม่ถึงกับแย่) ไปจนถึงย่ำแย่เลวร้ายบ้าง เพราะถึงยังไงมันเป็นโจทย์ที่ยากที่จะเอาการ์ตูนญี่ปุ่นสักเรื่องมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ให้คนดูประทับใจทุกคน ไม่ว่าจะเป็น คนที่เป็นแฟนการ์ตูน หรือคนที่ดูการ์ตูนเรื่องนี้มาก่อน

    สังเกตว่าวิวัฒนาการการสร้างภาพยนตร์ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน มีการพัฒนาต่อเนื่อง โดยเฉพาะเทคนิคพิเศษ การใช้คอมพิวเตอร์กราฟฟิกเข้ามาช่วย ทำให้ภาพยนตร์สมจริง อลังการ แต่ในขณะเดียวคุณค่าของบทนั้นกับถูกละเลย การใส่ใจในด้านเนื้อหาก็ลดลง สวนทางกับความอลังการของภาพอย่างสิ้นเชิง

     ซึ่งก็หวังว่าอนาคตข้างหน้าเราจะได้เห็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากการ์ตูนญี่ปุ่นที่เราชื่นชอบ แล้วทำออกมาดี ไม่ผิดหวัง และอยู่ในใจนะครับ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×