มนุษย์เราเป็นสัตว์ที่ชอบโกหก และมันจะเลวร้ายมาก หากการโกหกจนประวัติศาสตร์เกือบเปลี่ยน และนี่คือ 10 การโกหกที่เลวร้ายเปลี่ยนโลก
10. ฮัน ฟาน เมเกอเร็น (Han van Meegeren) 
ฮัน ฟาน เมเกอเร็น (1889 –1947) เป็นนักวาดภาพที่ยิ่งใหญ่ของโลก หากแต่ชื่อเสียงของเขาออกจะแปลกหน่อย มื่อเขเลือกเป็นนักต้มตุ๋นที่จะปลอมภาพเหมือนหลอกขาย มากกว่าจะสร้างผลงานขึ้นมาเอง ภาพวาดปลอมที่เขาวาดนั้น เป็นภาพปลอมที่มีชื่อเสียงอายุเป็นร้อยปี แต่สามารถปลอมมันเหมือนมาก ปลอมจนผู้เชี่ยวชาญมองไม่ออก ภาพปลอมหลายภาพถูกแขวนในพิพิธภัณฑ์ยาวนานหลายปีกว่าที่จะรู้ว่าเป็นของปลอม ซึ่งตลอดประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา เขาหลอกได้แม้กระทั่งรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ไปจนถึงแฮร์มันน์ เกอริงผู้นำนาซี ฯลฯ ได้จำนวนเงินมากมายหลายล้าน อย่างภาพเขียนหนึ่งของ Vermeers (ประมาณ ค.ศ. 1665) เขาปลอมจนขายได้ราคาถึง 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (947 ล้านบาท) แม้ว่าจะเป็นนักต้มตุ๋น แต่ต่อมาฮัน ฟาน เมเกอเร็น ถูกยอมรับว่าเป็นนักปลอมรูปภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก จนต่อมามีผู้ปลอมภาพเขียนปลอมของเขาอีกที 9. เบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์ (Bernard Madoff) 
เมื่อปี 2008 เบอร์นาร์ด เมดอฟฟ์ อดีตประธานตลาดหุ้นแนสแด็กที่หลายคนนับถือ ได้สารภาพต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ และหน่วยงานสืบสวนสอบสวนของสหรัฐ ว่า เขาฉ้อโกงประชาชน โดยโน้มน้าวให้เหยื่อมาลงทุนในโครงการ ซึ่งความจริงแล้วมันคือ Ponzi Scheme ( เป็นคำที่ใช้ในสหรัฐอเมริกา เรียกรูปแบบการลงทุนที่มีการจ่ายผลตอบแทนที่สูงผิดปกติผลตอบแทนนั้นส่วนใหญ่มาจากเงินลงทุนของนักลงทุนรายที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ แทนที่จะมาจากผลกำไรจากการดำเนินธุรกิจอย่างแท้จริง หรือถ้าพูดง่ายๆ ก็คือแชร์ลูกโซ่นั้นเอง) และแน่นอน คำสารภาพของเมดอฟฟ์ ไดเกลายเป็นคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ซึ่งสร้างมูลค่าความเสียหายับสถาบันการเงินทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร มูลนิธิ มหาเศรษฐี คนมีชื่อเสียง นักการเมือง เป็นจำนวนประมาณ 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ พูดง่ายๆ คือเป็นจำนวนเงินที่โกงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก
8.แอนนา แอนเดอร์สัน (Anna Anderson) 
ในคืนวันที่ 16/17 กรกฎาคม ค.ศ. 1918 มันเป็นคืนมันเป็นโศกนาฏกรรม เมื่อพระเจ้านิโคลัสที่ 2 ของรัสเซีย พร้อมทั้งภรรยา พระโอรส และธิดาสี่คน รวมไปถึงคนรับใช้ประจำตัวถูก กลุ่มบอลเชวิคประหารชีวิตทั้งหมด และนั้นเป็นจุดจบของราชวงศ์โรมานอฟรัสเซียที่ปกครองรัสเซียมายาวนาน 300 ปีด้วย อย่างไรก็ตาม ในปี 1920 มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ แอนนา แอนเดอร์สัน (Anna Anderson) ได้อ้างว่าเธอคือเจ้าหญิงอนาสตาเซียที่รอดชีวิตในคืนสังหารหมู่นั้น ซึ่งเธอมีหน้าตาคล้ายคลึงกับเจ้าหญิง อีกทั้งยังมีความรู้ จนเกือบทำให้หลายคนเกือบเชื่อเธอ แม้กระทั่งวันที่เธอจะหมดลมหายใจ (ปี 1986) เธอยังคงยืนยันว่าเป็นอนาสตาเซีย อย่างไรก็ตามดี ผลการทดสอบทางพันธุกรรมเมื่อปี 1994 ปรากฏว่า ไม่มีสิ่งใดในร่างกายของแอนเดอร์สันเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมกับพระราชวงศ์โรามานอฟเลย
7. การคบคิดพ็อพพิช (Popish Plot)  ระหว่าง ค.ศ. 1678 - ค.ศ. 1681 ที่อังกฤษ มีนักบวชคนหนึ่งชื่อไททัส โอตส์ (Titus Oates) ได้สร้างข่าวลือเท็จข่าวหนึ่งซึ่งเวลาต่อมามันก็ได้ลุกลามใหญ่อย่างคาดไม่ถึง โดยเขาเขียนเอกสารอ้างว่าฝ่ายโรมันคาทอลิกกำลังวางแผนปลงพระชนม์พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 โดยสาเหตุที่สร้างข่าวลือก็เนื่องมาจากความไม่พอใจของโปรเตสแตนต์ที่มีอิทธิพลมากขึ้น อันเนื่องจากเชื้อพระวงศ์ต่างนับถือโรมันคาทอลิก ซึ่งสร้างข่าวลือเพื่อให้โรมันคาทอลิกเป็นผู้ร้ายในสายตาของประชาชน แม้ว่าพระเจ้าชาลส์ไม่ทรงเชื่อข่าวลือ เพราะไม่มีหลักฐานสนับสนุน แต่มันก็เพียงพอที่จะข่าวลือทำให้ประชาชนตกอยู่ในความรู้สึกต่อต้านผู้นับถือโรมันคาทอลิกอย่างรุนแรง และมีการจับกุมผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนร่วมในการคบคิดกันกันทั่วประเทศ บ้างก็ถูกลงโทษบ้างก็ถูกประหารชีวิตโดยไม่มีความผิดไปอย่างน้อย 15 คน และเป็นสาเหตุที่นำไปสู่การออกร่างพระราชบัญญัติยกเว้น ในที่สุดข่าวลือก็จบลงเมื่อโอตส์ก็ถูกจับในข้อหาการสร้างเรื่องเท็จ
6.พิลต์ดาวน์แมน (Piltdown Man)  เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1912 ชาร์ลส์ ดอว์สัน ชาวอังกฤษได้ค้นพบชิ้นส่วนของกะโหลกศีรษะและขากรรไกรจากหลุมกรวดที่หมู่บ้านพิลต์ดาวน์ แคว้นอีสต์ซัสเส็กซ์โดยชิ้นส่วนเหล่านี้วิเคราะห์โดยเหล่าผู้เชี่ยวชาญ พบว่าเป็นฟอสซิลที่ไม่รู้จักมาก่อน และน่าจะเป็นฟอสซิลของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ พร้อมกับตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้กับมนุษย์สายพันธุ์ใหม่เป็นภาษาลาตินว่า Eoanthropus dawsoni (รุ่นอรุณมนุษย์ของดอว์สัน) เรื่องของพิลต์ดาวน์แมนก็กลายเป็นเรื่องชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ด้วยเหตุผลคือการมันเกี่ยวข้องกับการไขวิวัฒนาการมนุษย์ จนมีผู้สร้างอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกบริเวณที่พบฟอสซิล และมันสามารถโกหกได้ยาวนานมากกว่า 400 ปี ก็พิสูจน์ได้ว่าดอว์สันสร้างเรื่องขึ้นมาเอง โดยดอว์สันทำการมิกซ์แอนด์แมตช์ด้วยการเอากะโหลกมนุษย์ ประกอบกับขากรรไกรล่างของลิงอุรังอุตังและฟันชิมแปนซีมาติดเข้าด้วยกัน ส่วนสาเหตุที่จับได้ก็เพราะฟอสซิลของพิลต์ดาวน์แมนไม่สอดคล้องกับเส้นทางการวิวัฒนาการของฟอสซิลที่พบจากที่อื่นๆ นั่นเอง
5. เหตุการณ์แดรฟุส (The Dreyfus Affair)  ในปี 1894 ร้อยเอก อาลแฟรด แดรฟุส นายทหารประจำกรมเสนาธิการถูกได้จับกุม ในข้อหาทรยศต่อชาติ เพราะขายความลับทางการทหารให้แก่พันเอก มักซ์ ฟอน ชวาทซ์คอพเพิน (Max von Schwartzkoppen) ผู้ช่วยทูตทหารบกเยอรมันประจำฝรั่งเศส โดยหลักฐานสำคัญคือ "บันทึกข้อมูลบอร์เดอโร" ซึ่งมีข้อมูลเรื่องความลับทางการทหารฝรั่งเศส ศาลทหารมีมติเอกฉันท์ให้จำคุกแดรฟุสตลอดชีวิต แดรฟุสจึงถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะเดวิลส์ ซึ่งเป็นเกาะโดดเดี่ยว ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปอเมริกาใต้ ท่ามกลางกระแสสังคมที่ต่างแค้นเคืองแดรฟุสและคิดว่าเขาควรถูกประหารชีวิต อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเรื่องก็ถูกเปิดเผยว่าเอกสารหลักฐานที่ว่านั้นเป็นของปลอม โดยเป็นฝีมือของนายพล ฮูเบิร์ต โจเซฟ เฮนรี่ ซึ่งในที่สุดก็ยอมรับว่าได้ปลอมเอกสารและต่อมาก็ฆ่าตัวตัวตาย แดรฟุสก็ได้รับการอภัยโทษ และเหตุการณ์ครั้งนี้ก็ได้เปลี่ยนโฉมหน้าการเมืองฝรั่งเศส ทำให้มีการร่างกฎหมายแยกรัฐและศาสนจักรออกจากกัน
4.โมนิกา ลูวินสกี (Monica Samille Lewinsky) 
ในเดือนมกราคมปี 1998 มีข่าวอือฉาวจากทำเนียบขาว เมื่อประธานาธิบดีในสมัยนั้นอย่าง บิล คลินดันมีความสัมพันธ์กับโมนิกาลูวินสกี้ ซึ่งเป็นนักศึกษาฝึกงานที่ทำเนียบขาว (ตั้งแต่ 1995-1996) ซึ่งลูวินสกีได้ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ทางเพศด้วยปาก (ออรัลเซ็กส์) ประธานาธิบดีคลินตัน ในห้องทำงานรูปไข่ (โอวัลออฟฟิศ) ในปีกตะวันตกของทำเนียบขาว แต่ไม่ได้มีการร่วมเพศแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม คลินตันกลับปฏิเสธเรื่องนี้ต่อหน้าสาธารณชน จนกระทั่งหลักฐานชี้ชัดเรื่องอื้อฉาวนี้เป็นเรื่องจริง จนในที่สุดคลันตันก็รับสารภาพ ส่งผลให้เกิดการถอดถอน (หรืออิมพีชเมนต์) คลินตันจากตำแหน่งประธานาธิบดี หมดสิ้นอนาคตการเมือง อีกทั้งทำให้พรรคเดโมแครตขาดความเชื่อถือ ทำให้จอร์จ ดับเบิ้ล ยู บุชได้กล่าวสู่อำนาจการเมืองจนกลายเป็นประธานาธิบดีในที่สุด และแล้วคดีลูวินสกีก็กลายเป็นการโกหกที่คำโตที่สุดในประวัติศาสตร์ของอเมริกันจนทุกวันนี้
3.วอเตอร์เกท (Watergate scandal) 
ในช่วงฤดูร้อน เดือนมิถุนายนค.ศ. 1972 ก่อนการเลือกตั้งที่นิกสันกำลังจะได้เป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ก็ ได้มีคนห้าคนบุกเข้าไปลักลอบโจรกรรม (ติดตั้งเครื่องดักฟัง) สำนักงานใหญ่ของพรรคเดโมแครต ณ อาคารวอเตอร์เกตคอมเพลกซ์ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งต่อมามันถูกเรียกว่า “คดีวอเตอร์เกท” แน่นอนว่าเมื่อการจับได้ ซึ่งสำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) เชื่อมโยงเส้นทางการเงินของคนร้ายทั้งห้าคนจนสาวไปถึงกองทุนหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มระดมทุนสำหรับการลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่สองของนิกสัน อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ก็ได้ทำสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่า เขาปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด อีกทั้งยังพยายามปกปิดหลักฐานถึงการข้องเกี่ยวในเหตุโจรกรรมดังกล่าว จนในที่สุดเรื่องอื้อฉาวนี้นำไปสู่การลาออกของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1974 ซึ่งเป็นการลาออกครั้งแรกและครั้งเดียวของประธานาธิบดีในประวัติศาสตร์อเมริกัน และถือว่าเป็นการโกหกที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา และเหตุการณ์นี้ยังนำไปสู่การฟ้องร้อง, การไต่สวน, การลงโทษ และการจำคุกบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้ง 43 คน รวมไปถึงคณะทำงานระดับสูงของรัฐบาลนิกสันอีกหลายสิบคน 2. อาวุธที่มีพลังอำนาจทำลายสูง (Weapons of Mass Destruction) 
หลังเหตุการณ์ 9/11 จอร์จ ดับเบิ้ล ยู บุชได้สัญญากับประชาชนว่าจะตามล่าบินลาเดนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ก่อการร้ายที่เลวร้ายในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ จึงนำไปสู่สงครามในอัฟกานิสถานที่เชื่อว่าบินลาเดนหลบซ่อนอยู่ หากแต่หลังสงครามพวกเขาก็ไม่พบ จนในที่สุดเป้าหมายต่อมาคืออีรัก และแล้ว จอร์จ บุชก็ได้อ้างกับคนทั่วโลกว่าอีรักมีนิวเคลียร์ที่หวังจะถล่มอเมริกา แม้ว่าอีรักจะเปิดให้ผู้เกี่ยวข้องมาเตรียมสอบอาวุธและยืนยันว่าพวกเขาไม่มีนิวเคลียร์ แต่อเมริกาก็ยังคงส่งคนมาถล่มอิรักอยู่ดี (โดยอ้างว่า อีรักจะดีขึ้นหลังกำจัดซัดดัม ฮุสเซ็น, ลดการแกร่กระจายอาวุธให้กลุ่มก่อการร้าย, ทำให้ชาวอเมริกันปลอดภัยหลังเหตุการณ์ 9/11) ผลของสงครามทำให้อิรักกลายเป็นประเทศบ้านแตก แถมหลังสงครามก็ไม่มีร่องรอยของนิวเคลียร์แต่อย่างใด อเมริกาก็ไม่รับผิดชอบและยึดสัมปทานน้ำมันอิรัก และต่อมาคำกล่าวอ้างของจอร์จ บุชก็ได้เป็นคำโกหกคำโตที่คนนับล้านทั่วโลกเสียความรู้สึกนับแต่นั้น
1.โฆษณาชวนเชื่อของนาซี 
ในช่วงที่ฮิตเลอร์กำลังเรืองอำนาจใหม่ๆ นั้นพรรคนาซีของฮิตเลอร์ได้ทำการโกหกที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อแก่ชาวเยอรมันให้เกลียดชาวยิว โดยพวกเขากล่าวหาชาวยิวว่าเป็นต้นเหตุของทุกปัญหาที่เยอรมนีกำลังเผชิญ ชาวยิวเป็นพวกขี้โกง เป็นมะเร็งร้ายของสังคมที่ควรกำจัดไปเสีย แม้แต่ในหนังสือเด็ก Der Giftpilz ที่เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของนักเรียนสมัยนาซีเยอรมัน ยังเรียกคนยิวว่า 'พวกเห็ดพิษขี้โกง' การโฆษณาชวนเชื่อของนาซีถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อทำให้ชาวยิวตกเป็นเหยื่อระหว่างการสังหารหมู่ที่เลวร้ายที่สุดในเวลาต่อมา
อ้างอิง http://www.wonderslist.com/10-biggest-lies-in-history-that-befooled-us/ http://www.sparknotes.com/mindhut/2014/01/09/the-top-20-biggest-lies-in-history
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
|