8. Chained oak
http://en.wikipedia.org/wiki/Chained_oak
โอ๊คถูกล่ามโซ่ เป็นตำนานเก่าแก่ของอัลตั้น, สแตฟฟอร์ดเชอร์ ประเทศอังกฤษ ที่กล่าวถึงที่ตายเพราะคำสาปโดยต้นไม้โอ๊ค โดยคำสาปนี้เริ่มต้นขึ้นในคืนฤดูใบไม้ร่วงในปี 1821 เมื่อเอิร์ลแห่งชรูว์สบิวรี่ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ไก้กลับมายังบ้านของเขาในอัลตั้น และระหว่างทางมีหญิงชราคนหนึ่งปรากฏตัวบนถนน หญิงชราขอเงินจากเอิร์ล แต่เอิร์ลไม่ให้แถมยังด่าเธอแถมท้าเธอให้สาปแช่งเขา และแล้วหญิงชราจึงได้เปร่งคำสาปแช่งว่า “เมื่อกิ่งก้านสาขาต้นไม้โอ๊คที่เก่าแก่ที่แห่งนี้ตกบนพื้นเบื้องล่าล่างเมื่อใด เมื่อนั้นสมาชิกตระกูลเอิรล์ของท่านจะต้องตาย”
เอิรล์ไม่สนคำสาปแช่งของหญิงชรานัก และในคืนนั้นเองได้เกิดพายุกระหน่ำและทำให้กิ่งก้านของต้นโอ๊คที่มีอายุเก่าแก่หักล้มลง และคืนนั้นเองสมชิกของครอบครัวของเอิร์ลก็ตายได้ตายอย่างลึกลับ เอาให้เอิร์ลเริ่มกลัวต้องคำสาปนี้มากเขาเลยสั่งให้ข้ารับใช้ของเขาเอาโซ่ล่ามกิ่งก้านสาขาต้นโอ็คในบริเวณทุกที่ทุกต้นเพื่อป้องกันไม่ให้กิ่งหักล้ม แต่กระนั้นคำสาปก็ยังตามหลอกหลอนเอิร์ธเมื่อมีกิ่งต้นโอ๊คตกลงมาอีกครั้งส่งผลทำให้สมาชิกตระกูลเอิร์ธตายในเวลาต่อโดยสาเหตุจากปาหิน ต่อมารุ่นที่สองซึ่งเป็นบุตรชายของเอิร์ลได้ขี่ม้าผ่านต้นโอ๊คที่ครั้งหนึ่งเป็นที่หญิงชราคนนั้นปรากฏตัวเพื่อขอเงินจากเอิร์ธและทันใดนั้นเองกิ่งต้นโอ๊คนั้นเกิดหักมาลงบนพื้นตัดหน้าม้า ส่งผลทำให้ม้าตกใจและทำให้เขาตกลงจากม้าตาย โดยเรื่องนี้ปรากฏอยู่ในบันทึกอุบัติเหตุที่ระบุเวลาไว้ด้วย และคำสาปนี้ก็สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2007 เมื่อมีกิ่งต้นโอ๊คตกลงมาบนพื้น แต่ปรากฏว่าไม่มีสมาชิกในตระกูลเอิร์ธใดได้รับอุบัติเหตุหรือเสียชีวิตเลย ปัจจุบันเราสามารถพบต้นไม้โอ๊คถูกล่ามโซ่เหล่านี้ได้ในป่าใกล้อัลตั้นใกล้กับทางเข้าของสวนอัลตั้น ทาวเวอร์
7. August curse

คำสาปสิงหาคม เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในรัสเซีย โดยในเดือนสิงหาคมของทุกปีของรัสเซียมักจะเกิดเหตุการณ์ผิดปกติด้านลบเกิดขึ้นบ่อยๆ โดยนักข่าวและผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากได้ตั้งข้อสังเกตว่าตั้งแต่ปี 1991 ในเดือนสิงหาคมมักเกิดเหตุการณ์ที่น่าเศร้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุร้ายแรง ก่อการร้าย หรือสงคราม เช่น19-21 สิงหาคม 1991 เกิดรัฐประหารในโซเวียต, 17 สิงหาคม 1998 เกิดวิกฤตการเงินรัสเซีย, 2 สิงหาคม 1999 จุดเริ่มต้นของสงครามเชเชนครั้งที่ 2 , 12 สิงหาคม 2000 เรือดำน้ำเคิร์สด์จมส่งผลทำให้มีผุ้เสียชีวิต 118 ตาย, 24 สิงหาคม 2004 เครื่องบินรัสเซียถูกวางระเบิดส่งผลทำให้มีผู้เสียชีวิต 89 ราย, 17 สิงหาคม 2009 ระเบิดก่อการร้ายในนาซรัน, 29 กรกฎาคม 2010 คลื่นความร้อนของรัสเซีย ฯลฯ หลายฝ่ายพยายามวิเคราะห์ถึงสาเหตุปรากฏการณ์นี้เชื่อว่าเดือนสิงหาคมเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาวของรัสเซียทำให้ผู้ก่อการร้ายใช้ประโยชน์อันนี้ก่อการร้าย หรือเรื่องเหนือธรรมชาติที่ดวงประเทศมีตำแหน่งสัมพันธ์ของดาวเสาร์และดาวยูเรนัสทำให้เกิดเรื่องวุ่นวาย และเดือนสิงหาคมสภาพอากาศที่มักจะร้อนก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว
6. Bell Witch
คำสาปแม่มดเบลล์ เป็นคำสาปที่เกิดขึ้นกับตระกูลเบลล์ ในเมืองอดัมส์ มลรัฐเทนเนสซี อเมริกา ซึ่งเป็นเศรษฐีในเมืองแห่งนี้ โดยเชื่อกันว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากหญิงชราชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของตระกูลเบลล์ ซึ่งเธอโกรธแค้นมากเมื่อตระกูลเบลล์โกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนตายเธอได้สาปแช่งว่าถ้าเธอเป็นผีเหี้ยนให้ดู(นอกจากนี้ยังเชื่อว่าเป็นวิญญาณของสัตว์ที่เจ้าบ้านตระกูลเบลล์เป็นคนฆ่าเพราะมีรายงานการพบสุนัขและหัวกระต่ายปรากฏมาหลอกหลอนด้วย) และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากปรากฏการณ์ผีโพลเตอร์ไกส์ ที่ชอบแกล้งหรือทำลายข้าวของในบ้านข้าวของแตกกระจาย เสียงเคาะและเสียงกัดบนผนังข้างนอก เสียงข่วน ภาพลวงตาของสุนัขดำ และเสียงแปลกประหลาดอื่นๆ ตามมาด้วยการกระทำที่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง ผู้ปูที่นอนที่ถูกดึงออก เข็มทิ่มตามร่างกาย ดึงผ้าคลุมจากเตียง การทุบตี แถมเสียงหัวเราะสยองแกล้งแบบสะใจ แม้กระทั่งตอนสมาชิกในครอบครัวตายผีตนนี้ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ หัวเราะร้องเพลงอย่างเริงร่าและดังยาวนานจนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้ายออกจากงานฝัง ทำให้เจ้าบ้านจอห์น เบลล์ ต้องพบกับความทุกข์ระทมจวบจนวาระสุดท้ายนับตั้งแต่ปี 1817
แม้ทุกวันนี้ครอบครัวเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้วเกือบ 200 ปี ก็ตาม แต่ทุกวันนี้วิญญาณยังปรากฏตัวอยู่ เนื่องจากมีผู้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ ภายในถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณครั้งหนึ่งที่เคยเป็นสมบัติของเบลล์ และเรื่องราวเหล่านี้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์เรื่อง An American Haunting (2006) และThe Bell Witch Haunting (2004) ในเวลาต่อมา
5. Pele's Curse
เปเล่นั้นเป็นชื่อเทพเจ้าของฮาวายนะครับ ไม่ใช่ชื่อนักฟุตบอลบราซิล โดยชาวฮาวายเชื่อว่าเปเลเป็นผู้สร้างเกาะน้อยใหญ่ทุกเกาะของฮาวาย เล่ากันว่าเทพองค์นี้มีนิสัยดื้อรั้น เอาแต่ใจ อารมณ์แปรปรวน เวลาโกรธจะน่ากลัวมากถึงขั้นทำให้โลกสั่นสะเทือนเลยทีเดียว
ในตำนานเล่าว่าเทพองค์นี้ไม่พอใจมากหากนักท่องเที่ยวท่านใดที่หยิบหิน ทราย หรือหินภูเขาไฟ ออกจากเกาะฮาวายโดดยไม่ได้รับอนุญาต ท่านเลยสาปแช่งใครก็ตามที่เอาหินออกจากเกาะจะมีแต่โชคร้าย
ทิโมที เมอร์เรย์ วัย 32 กรอกทรายสีดำใส่ขวดนำกลับบ้านที่ฟลอริดา ในปี 1992 แล้วก็พบว่าธุรกิจล้มละลายไปในพริบตา คู่หมั้นเลิกลา ทุกอย่างเลว จนกนะทั่งวันที่เขาส่งลาวาคืนสู่เกาะ
เดนเวอร์ แลรี่ เบลล์ นักธุรกิจ ต้องเข้าผ่าตัดหัวใจกะทันหัน ชีวิตสมรสเกือบพังทลาย พร้อมกับที่ลูกสาวล้มป่วยลงด้วยโรคประหลาด และธุรกิจล้มไม่เป็นท่า ทั้งนี้มันเริ่มขึ้นหลังจากที่เขาตักทรายสีดำ เพื่อเป็นที่ระลึกจากการท่องเที่ยวหมู่เกาะฮาวาย
แต่ที่น่าแปลกก็คือ มีความเชื่อว่าหากส่งหินกลับไปยังที่ของมันทางพัสดุไปรษณีย์ พวกเขาจะโชคดีตอบกลับมาดังนั้น ทุกวันนี้ยังมีผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม ส่งพัสดุไปรษณีย์บรรจุก้อนลาวา เปลือกหอย หรือแม้แต่ทรายเม็ดเดียว กลับคืนสู่เกาะเป็นจำนวนมาก ซึ่งความจริงแล้วการทำแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายว่าด้วยการเอาแร่ธาตุออกจากสวนแห่งชาติอเมริกา
4. The Crying Boy
http://www.askmedia.co.th/book/webboard_reply.php?id=30415&txt_search=%C3%A1
The Crying Boy หรือภาพชุด เด็กชายร้องไห้เป็นตำนานของประเทศอังกฤษที่เชื่อว่าหากบ้านใดที่มีรูปชุดเด็กชายที่วาดโดย จี บราโกลิน จิตรกรชาวสเปน อยู่กลับบ้านละก็ บ้านนั้นจะมีแต่ความโชคร้าย แม้ภาพเหล่านั้นจะเป็นของก็อปปี้ก็ตาม หลายคนเชื่อกันว่าที่มาของคำสาปนี้มาจากผู้วาดคือ จี บราโกลินที่ได้วาดรูปนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1969 โดยต้นแบบคือเด็กชายที่วิ่งเล่นอยู่บนท้องถนนในกรุงมาดริด ซึ่งเซวิลล์พบเข้าโดยบังเอิญขณะกำลังเดินเล่น ตอนนั้นเด็กไม่ยอมพูดและมีดวงตาที่เศร้ามาก เนื่องจากอดีตเด็กชายคนนี้ได้เห็นพ่อแม่ของตัวเองเสียชีวิตในกองเพลิงต่อหน้าต่อตา แต่ตัวเองหนีรอดมาได้ หลายคนได้เตือนให้นักวาดคนนี้อย่าไปยุ่งเด็กคนนี้ เพราะที่ที่เด็กคนนี้อยู่มักจะมีเหตุการณ์ไฟไหม้ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นเสมอ เซวิลล์ไม่เชื่อคำเตือนและรับเด็กชายมาเลี้ยงดู นับแต่นั้นเขาก็ขายภาพวาดได้มากขึ้นและภาพชุดเด็กชายร้องไห้ก็ได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม กระทั่งวันหนึ่งก็เกิดไฟไหม้ขึ้นจริงๆ เซวิลล์โกรธมากจนออกปากไล่เด็กชายออกจากบ้าน และไม่มีใครเคยพบเห็นเด็กชายคนนี้อีกเลย
คำสาปนี้ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 4 กันยายน 1985 เมื่อหนังสือพิมพ์เดะซันได้รายงานจากนักดับเพลิงโดยพวกเขาได้รายงานเรื่องประหลาดในระหว่างที่พวกเขาไปดับเพลิงในบ้านของประชาชนว่า พวกเขาได้เห็นภาพเด็กชายร้องไห้ในบ้านที่ถูกไฟไหม้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่พอเพลิงสงบลง ภาพเหล่านั้นได้หงายหน้าขึ้นและไม่โดนไฟเผาแม้แต่นิดเดียว! ส่งผลทำให้พวกเขาและเจ้าของบ้านหวาดกลัวภาพนี้มากและเชื่อว่าภาพเหล่านี้คือสาเหตุเพลิงไหม้ดังกล่าว
หลังจากที่นำเสนอข่าวนี้ไปไม่นาน ผู้อ่านจากทุกสารทิศส่งจดหมายเล่าเรื่องราวร้ายๆที่พวกเขาคิดว่าเกิดเพราะคำสาปจากรูปภาพชุดนี้มายัง เดอะซัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ไฟไหม้ ความเจ็บป่วย การเสียชีวิตของคนในครอบครัวอย่างกะทันหัน ฯลฯ บางฉบับเล่าว่า ภาพสามารถขยับได้เอง หรือรูปภาพทำให้ลูกหลานในบ้านหวาดกลัว เจ้าของจดหมายฉบับหนึ่งเล่าว่า เขาพยายามเผาภาพเด็กชายร้องไห้ที่เขามี แต่ปรากฏว่าภาพไม่ไหม้ไฟ จนเขาไม่กล้าจะทำลายมันอีกเป็นครั้งที่สอง
3. Bhangarh

ที่รัฐราชสถาน ประเทศอินเดีย ที่นั้นเป็นตั้งสถานที่ปรักหักฟังที่มีชื่อเสียงคือ “Bhangarh” ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสถานที่ผีสิงต้องสาปที่น่ากลัว จนรัฐบาลได้ปักป้ายไว้ว่า “สถานที่แห่งนี้ควรมาในช่วงอาทิตย์ขึ้น หากหลังจากพระอาทิตย์ตกดินจงรีบออกจากสถานที่แห่งนี้อย่างเคร่งครัดและห้ามเข้า ไม่งั้นคุณจะไม่มีชีวิตรอดกลับไป” ป้ายดังกล่าวตีความได้สองความหมายคือสถานที่ดังกล่าวอาจเต็มไปดวยสัตว์ป่ากระกอบด้วยไม่มีแสงไฟทำให้มันอันตราย หรืออีกความหมายคือสถานที่แห่งนี้มีผีดุและคำสาปที่จะฆ่าทุกคนที่เดินก้าวมา
ว่ากันว่าครั้งในสถานที่แห่งนี้เคยเป็นเมือง และที่เมืองแห่งนี้มีเจ้าหญิงคนหนึ่งชื่อ “Ratnavati” ที่เมื่ออายุสิบแปดจะต้องหาคู่ครอง แต่พระองค์ไม่สามารถหาใครเป็นคู่ครองได้เลย จนกระทั้งมีชายคนหนึ่งเป็นจอมขมังเวทย์ชื่อ “Singhia” ที่หลงรักองค์หญิง และพยายามที่จะใช้มนต์ดำในการเข้าถึงตัวพระองค์ จนกระทั้งวันหนึ่งเขาได้สังเกตเห็นคนรับใช้ของเจ้าหญิงกำลังซื้อน้ำหอมให้พระองค์ เมื่อสบโอกาส เขาจึงได้ร่ายมนต์สะกดไปที่น้ำหอมดังกล่าวเพื่อหวังว่าเวลาที่เจ้าหญิงใช้มันจะทำให้เธอหลงรักเขา หากแต่แผนดังกล่าวล้มเหลว เพราะมีคนเข้าเสียก่อนจึงได้ทำการปาขวดกระแทกกับหิน ก่อนที่หินดังกล่าวจะจะเทราดไปบนทับร่างของจอมขมังเวทย์คนนั้น(หินต้องสะกดแทน) ก่อนจะตายจอมเวทย์ได้สาปแช่งให้กับคนที่อยู่ในพระราชวังต้องตาย และวิญญาณจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกหลายร้อยปีโดยไม่มีการกลับชาติมาเกิดใหม่ และจากนั้นเป็นต้นมาก็เกิดเหตุประหลาดขึ้นคือหลังคาบ้านทุกหลังในเมืองแห่งนี้พังทลายโดยไม่ทราบสาเหตุและเมื่อสร้างใหม่หลังคาก็กลับมาพังอีก จนทำให้หลายบ้านตัดสินใจไม่สร้างหลังคา และในเวลาต่อมาเกิดการต่อสู้ระหว่าง Bhangarh และ Ajabgarh ทำให้ทุกคนที่อยู่อาศัยใน Bhangard ตายหมด นั่นรวมไปถึงเจ้าหญิงด้วย และจากนั้นเป็นต้นมาสถานที่แห่งนี้จึงเป็นที่รวมภูตผีและคำสาปในที่สุด
2. The Cursed Iceman

http://www.mummytombs.com/otzi/curse.htm
Ötzi the Iceman เป็นมัมมี่ที่มีสภาพสมบูรณ์ของชายอายุ 5300 ปีมาแล้ว โดยพบในเดือนกันยายน1991 ในเทือกเขาแอลป์ Ötzi พรมแดนระหว่างออสเตรียกับอิตาลี โดยร่างของเขาถูกคนพบในน้ำแข็งครึ่งร่าง ถือว่าเป็นมัมมี่สมบูรณ์ที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษย์ ปัจจุบันอยู่ในพิธภัณฑ์โบราณคดีในโบลซาโน ภาคเหนือของอิตาลี
มัมมี่ดังกล่าวเต็มไปด้วยเรื่องประหลาดและน่าพิศวง ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุการเสียชีวิตว่าเขาตายเพราะอุบัติหตุหรือถูกฆาตกรรม แต่ที่น่าพิศวงกว่านั้นคือมีคำสาปเหมือนคำสาปฟาโรต์ด้วย โดยเชื่อว่าใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับมัมมี่ตนนี้ไม่ว่าจะเป็นคนค้นพบและคนตรวจสอบจะตายอย่างลึกลับ โดยมีเหยื่อตายเพราะคำสาปทั้งสิ้นเจ็ดราย
ปี 1992 เมื่อ Rainer Henn อายุ 64 นักพยาธิวิทยานิติเวชที่ว่างร่างกายไอซ์แมนในถุงห่อศพด้วยมือเปล่า เขาก็ได้รับอุบัติเหตุจากรถจนตายในขณะประชุมหาลือเรื่องไอซ์แมนในที่ประชุมโลก ถัดไป เคิร์ต ฟริตซ์ อายุ 64 ปี นักพยาธิวิทยาที่เปิดใบหน้าไอซ์แลนด์ออกจากน้ำแข็งก่อนที่ในเวลาต่อมาเขาก็ได้ถูกหิมะถล่มทับใส่ตาย ต่อมา Rainer Hölz อายุ 47 ปีตายเพราะเนื้องอกในสมองในเวลาต่อมา แต่ที่น่าพิศวงก็คงเป็นเรื่องของ เฮลมุท ไซม่อน ที่เขาเป็นคนพบไอซ์แมน และต่อมาในปี 2004 เขาก็ได้หายไป ก่อนที่จะมีการพบร่างของเขาในวันที่ 23 ตุลาคมในภูเขาออสเตรีย ลักษณะวางคว่ำหน้าเหมือนร่างไอซ์แลนด์ตอนพบครั้งแรกไม่มีผิดสันนิษฐานเขาตกจากเขาเพราะอุบัติเหตุจากการขึ้นภูเขา และต่อมา Dieter Warnecke หัวหน้าทีมกู้ภัยที่พบศพของ เฮลมุท ก็หัวใจวายตายหลังจากร่วมงานศพของ เฮลมุท ต่อมาก็ คอนราด อายุ 66 ปีซึ่งเป็นทีมงานวิทยาศาสตร์ที่ตรวจสอบไอซ์แมนในปี 1991 ก็เสียชีวิตจากเส้นโลหิตตีบตัน และทอม ลอย อายุ 63 ปี นักโบราณคดีที่ตรวจสอบอาวุธและเครื่องแต่งกายของไอซ์แมน และเขาก็ตายในเวลาต่อมาด้วยโรคเลือดพันธุกรรม อย่างไรก็ตามมีคนหลายร้อยคนที่มีส่วนร่วมตรวจสอบมัมมี่ดังกล่าวและยังคงสุขสบายดีจนถึงปัจจุบัน(และสังเกตว่าคนที่ตายอายุมากเกือบยกกลุ่ม)
1. RMS Titanic
http://www.psychics.co.uk/coincidences/amenra.html
หลังจากไทนานิก เรือเดินสมุทรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในเวลานั้นได้จมลง ได้มีข่าวลื่อแปลกๆ ว่ามีคำสาปอยู่บนเรือ โดยเฉพาะเรื่องของมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-รา ผู้ที่อาศัยอยู่เมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล และเมื่อเธอได้เสียชีวิตลง ศพของเธอก็ได้ถูกบรรจุลงบนโลงศพไม้ที่ตกแต่งอย่างสวยงาม และฝังในสุสานลัคซอว์ จนกระทั้งในปี 1890 ชายหนุ่มชาวอังกฤษ 4 คน ได้เดินทางไปเที่ยวลัคซอว์ และถูกชักชวนให้ซื้อหีบมัมมี่หีบหนึ่ง นั้นคือเจ้าญิงอาเมน-ราซึ่งมีความสวยงามมาก โดยคนอังกฤษคนหนึ่งในกลุ่มได้ซื้อในราคาหลายพันปอนด์แล้วนำโลงศพเอาไว้ในโรงแรม ไม่กี่ชั่วโมงต่อมามีคนเห็นเขาเดินมุ่งหน้าไปทะเลทรายและไม่มีใครพบเห็นเขาอีกเลย ต่อมา ชายคนถูกคนรับใช้ชาวอียิปต์ยิงบาดเจ็บสาหัส ต้องตัดแขนทิ้ง ต่อมาชายคนที่ 3 ทราบข่าวร้ายระหว่างเดินทางกลับบ้านว่าธนาคารที่เค้าฝากเงินไว้เกิดล้มละลาย ในขณะที่ ชายคนที่4 คนเกิดเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงจนตกงาน และกลายเป็นคนขายไม้ขีดไฟตามท้องถนน อย่างไรก็ตามโลงศพก็ได้ถึงอังกฤษโดยนักธุรกิจลอนดอนเป็นถูกซื้อแต่แล้วก็พบกับเรื่องร้ายเมื่อสมาชิกครอบครัวของเขาบอดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุทางถนน และบ้านก็ถูกไฟไหม้ เขาเลยบริจาค โลงมัมมี่ให้แก่ พิพิธภัณฑ์อังกฤษ ขณะลำเลียงโลงศพรถบรรทุกที่บรรทุกมัมมี่เกิดถอยหลังไปทับคนงาน และคนที่เดินไปเดินมาแถวนั้น คนงาน2คนที่ยกโลงขึ้นบันได้กิดตกลงมาขาหักอีกคน 2 วันต่อมาก็เสียชีวิตไปโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อโลงมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราไว้ในห้องโชว์แล้ว เหตุประหลาดก็ตามมาอีก เมื่อกลางคืนได้จะได้ยินเสียง ทุบตีอย่างบ้าคลั่ง และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาจากโลงศพ แถมยังได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมออกมาจากห้องนั้น ยามคนหนึ่งก็ตายในหน้าที่อีก ทำให้ทุกๆคนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้อีกเลย และเหตุการณ์ร้ายๆ ก็มีมาไม่จบจักจบสิ้นเมื่อมีคนรอบตัวพบกับอุบัติเหตุแปลกประหลาดมากมาย จนในที่สุดก็มี นักโบราณคดีชาวอเมริกันก็ได้ตัดสินใจจ่ายเงินเพื่อซื้อมัมมี่และเตรียมขนย้ายไปนิวยอร์ค ในเดือนเมษายน 1911และเรือขนย้ายก็คือ"เรือไททานิค" นั่นเอง
อย่างไรก็ตามในบัญชีสิ่งของที่ต้องส่งเรือไททานิกไม่ปรากฏว่ามีมัมมี่เจ้าหญิงอาเมน-ราอยู่บนเรือแต่อย่างใด ทำให้คำสาปนี้เป็นเพียงตำนานเมืองที่เล่าขานจากปากสู่ปากเท่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกลวง
เนื้อหาส่วนใหญ่มาจากการสุ่ม ส่วนที่มาอยู่ใต้หัวเรื่อง+
+
เอิร์ลแห่ชรูวบิวรี่(earl of shrewbury)
กำลังเดินทางกลับคฤหาสน์อัลตั้น.ทาวเวอร์.(Alton tower )
เขาได้พบกับหญิงแก่ผู้หนึ่ง(บางปากเล่าว่าเป็นชายแก่)
หญิงแก่ได้ขอเศษเงินจากท่านเอิร์ล แต่เขาปฏิเสธ.
หญิงแก่โกธแค้นจึงได้สาปเอิร์ลว่า "เมื่อใดก็ตามที่ต้นโอ๊คอันเก่าแก่ที่คฤหาสน์ของท่านเอิร์ลมีกิ่งก้าร่วงหล่นลงสู่พื้น จะต้องมีคนในครอบครัวเอิร์ลตายลง" แต่เขาก็ไม่สนใจ
ทว่าเอิร์ลกลับมาถึงคฤหาสน์ปรากฏว่ามี่ภายุโหมกระหน่ำ ทำให้กิ่งก้านหนึ่งของต้นโอ๊คในคฤหาสน์หักร่วงลง และสมาชิกในครอบครัวคนหนึ่งขอลเขาได้ตายอย่างปริศนาในคืนนั้นด้วย
เอิร์ลได้หวาดกลัวมาก เขาจึงตัดสินใจสั่งให้คนรับใช้นำสายโซ่มารัดทุกๆกิ่งก้านของต้นโอ๊คเพื่อไม่ให้กิ่งใดร่งลงมาสู่พื้นอีก
(*ต้นโอ๊คดังกล่าวปัจจุบันตั้งอยู่ในป่าใกล้หมู่บ้านอัลตั้น(alyon village )เขตสแตฟฟอร์ดชาร์ย(Staffordshire )ประเทศอังกฤษ) ด้วยความกำกวมของตำนานในหลายๆจุด ทำให้ยากจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง เพราะตำนานไม่ได้ระบุชัดเจนว่า ผู้ที่ถูกสาปคือใคร แม้มีการอ้างปีทีรเกิดตำนาอยู่สองช่วงได้แก่ ค.ส.1821 ไม่ก็ราวๆปี.1840 ผู้สืบทอดยศนี้ในช่วงนี้มีอยู่สองคน (เิร์ลแห่งชรูวส์บิวรี่ที่15 กับ.เอิร์ลแห่งชรูวส์บิวรี่ที่16) และตำนานไม่ได้ระบุว่าสมาชิกในครอบครัวเอิร์ลนั้นคือใคร แต่เท่าที่มีการบันทึกไว้ ครอบครัวของเอิร์ลที่15-16 ไม่มีใครตายอย่างปริศนาตามที่ตำนานกล่าวไว้
นอกจากนี้ บันทึกเหตุการณ์ในสมัยนั้นอธิบายว่า ที่ต้นโอ๊คดังกล่าวถูกพันโซ่ไว้ ไม่ใช่เพื่อป้องกันคำสาป.แต่เพื่อป้องกันการล้มและเพื่อรักษามันไว้ในช่วงที่มีการปรับปรุงหอคอยอัลตั้นในสมัยนั้นเอง
ชอบจอมขมังเวทที่รักเจ้าหญิงด้วย
PS. อย่าขาดความมั่นใจในตนเองและอย่าตระหนกตกใจในสิ่งที่คุณทำ เพราะทุกๆสิ่งคือประสบการณ์
ปล.รูปเด็กชายร้องไห้หลอนสุดแล้ว (วาดหน้าได้เศร้าจริงๆ)
PS. ถ้ารักคือทุกข์ แล้วสุขคืออะไร ถ้ารักคือไฟแล้วทำไมฉันจึงต้องการ
PS. คุณฮิบาริ....
PS. ความรักเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับฉัน ฉันจะไม่ค้นหามัน ฉันจะให้มันมาค้นหาตัวของฉันเอง
PS. ลิลลี่-ลิล
PS. เคยมีรักหลายครั้ง แต่มีพี่คนเดียวที่ตัดใจไม่ได้ จริงๆนะพี่เนียร์
PS.
มัมมี่ที่แม่น้ำน่ากลัวจัง...
PS. !!@'MBLAQ ! ♥ I falling in love with U ! :)
ง่ะ... น่ากลัว
ไททานิค เนี่ยหละสุดยอด
คนละซีกโลกเลยอ่ะ ออสเตเรียกับอิตาีลี :3
PS. เมฆา...เมฆที่ล่องลอยไปตามใจตน ไม่ผูกมัดอยู่กับใคร สายหมอก...ภาพลวงตาซึ่งไม่สามารถจับต้องตัวจริงได้
PS. ไม่ชอบคำอธิบาย แต่ต้องการแค่ผลลัพธ์ [ I Ma Mom ]
เห็นอย่างนี้ ไม่กล้าเลยแฮะ
วาดสวยมากภาพเด็กร้องไห้ ตอนแรกจะก็อปไปลองหัดวาดดู
แต่พออ่านแล้วไม่เอาดีกว่า พอดีเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ(ปอดแหก)
PS. คนอ่านคือชีวิต เม้นคือจิตใจ แอดเอาไว้คือจะกลายเป็นความพยายาม ฝากนิยายผมด้วยครับ เรื่อง ปฏิบัติเปลี่ยนนายให้กลายเป็นเธอ
มาอัพต่อไวๆนะคะ
PS. ฉันจะทำทุกอย่าง ให้พวกนายมีตัวตน...
PS. เมฆา...เมฆที่ล่องลอยไปตามใจตน ไม่ผูกมัดอยู่กับใคร สายหมอก...ภาพลวงตาซึ่งไม่สามารถจับต้องตัวจริงได้
ถ้ายังสถิติดีแบบนี้รัฐบาลน่าจะขอเปิดให้ใช้ต่อนะ