ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    SNSD EXO | MR.OH {HUNTAE}

    ลำดับตอนที่ #2 : SHADE II # Fire

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 59







     

    Only you can set my heart on fire, on fire

    มีเพียงเธอเท่านั้นที่ทำให้หัวใจของฉันลุกเป็นไฟได้

     

     

     

    (please read slowly)

    อ่านช้าๆชัดๆ เน้นย้ำทุกตัวอักษรนะคะ

     

     

     

     

     

    “โอเซฮุนครับ”

    เสียงทุ้มเย็นเอ่ยขึ้น ฉันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด บอกกับตัวเองให้ใจเย็นมากกว่านี้ก่อนที่จะเริ่มสัมภาษณ์เขา

     

    “ค่ะ ฉันทราบ”

    ฉันเว้นวรรคไปพักหนึ่ง เปิดหนังสือที่มีคำถามของไอรีนขึ้น

     

    “อันที่จริงหากคุณยังไม่รู้ ฉันไม่ใช่เบจูฮยอนค่ะ” ฉันตัดสินใจบอกเขา ฉันไม่ใช่คนประเภทโกหกใคร และค่อนข้างซื่อตรงกับความรู้สึกของตัวเองเสียด้วย เขาพยักหน้าให้ฉันราวกับรู้มาก่อน “ฉันชื่อคิมแทยอน”

     

    “ครับ” เขาตอบรับและมองฉันด้วยแววตาที่อ่อนลงกว่าเดิม

     

    “คุณ. .เรียนสาขาไหนครับ?”

    “วรรณกรรมอังกฤษค่ะ” ฉันตอบเขาออกไปตามตรง เม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนที่จะเงยหน้ามองเขา เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเราทั้งสองคน หากแต่เขาก็ทำลายความเงียบนั้นลง ดวงตาคมยังคงมองมาที่ฉันดังเดิม เราประสานสายตากันเพียงครู่เดียว แค่ครู่เดียวจริงๆ!

     

    และแน่นอนว่าคนหลบสายตาก็ต้องฉันอยู่แล้ว!

     

    เขาเอาสะโพกพิงโต๊ะเอาไว้ หากมือกลับปล่อยออกแบบสบายๆ ยื่นผายมาทางฉันเป็นการให้เริ่มการสัมภาษณ์จากบทสัมภาษณ์ในมือ

     

    “คำถามแรก เอ่อ. . คุณทำยังไงถึงได้..”

    “ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจขณะที่อายุยังน้อย”

     

    ยังไม่ทันที่จะได้พูดจนจบประโยค เขาก็พูดขึ้นมาเสียก่อน ริมฝีปากทำท่าเหมือนครุ่นคิดอะไรสักอย่าง แต่ฉันคิดว่าใบหน้าของฉันตอนนี้คงเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามอยู่เต็มหน้าไปหมดแล้ว. . เขารู้ถึงประโยคที่จะพูดโดยที่ไม่ผิดเพี้ยนจากที่ไอรีนเขียนเลยแม้แต่น้อย

     

    “มันก็แค่คำถามพื้นฐานที่นักข่าวต้องถามไม่ใช่หรอครับ?” เขาบอกเสียงนุ่ม ดูเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันคิดอะไรไว้ในใจ และเขาก็สามารถตอบคำถามนั้นออกมาได้โดยที่ฉันไม่ต้องถามอะไรให้มากความ

     

    เขาเอนตัวออกจากโต๊ะทำงานสีดำสนิท ขาเรียวยาวก้าวออกไปยังกระจกบานใหญ่ในห้องทำงาน มันเป็นกระจกที่สามารถมองเห็นบรรยากาศภายนอกตึกได้แบบชัดเจน เขายืนหันหลังและมองออกไปนอกหน้าต่าง

     

    “ธุรกิจไม่ใช่สิ่งที่ทำเพื่อแข่งขันเพียงเท่านั้น” เขาพูดขึ้นทำลายบรรยากาศเงียบ และแน่นอนว่าฉันต้องใช้ปากกาที่เตรียมมาจดคำพูดของเขาเอาไว้ “คุณอาจจะเห็นว่าธุรกิจในโลกใบนี้คือการแข่งขันเพื่อจะก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงสุด หากคุณคิดได้แบบนั้นคุณจะทำธุรกิจแบบไม่ประสบความสำเร็จ”

     

    เขาหันหลังกลับมามองฉัน และนั่นทำให้ฉันกัดปากตัวเองฉับ มันจะต้องมีสักคำถามหนึ่งที่เป็นคีย์เวิร์ดส์ให้เขาพูดต่อ

     

    “คุณจะบอกว่ามีอย่างอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าการแข่งขันหรือคะ?” และดูเหมือนคำถามนี้จะใช้ได้เลยทีเดียว เพราะเขาระบายรอยยิ้มเล็กน้อย ขาเรียวยาวเดินมาจากหน้าต่างบานใหญ่พร้อมกับหยุดลงที่เก้าอี้ตรงกันข้ามกับฉัน. . นี่มันเหมือนกับการสัมภาษณ์ของจริงเลย และฉันไม่ถนัดของแบบนี้!

     

    “การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับมนุษย์ต่างหากที่จะทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ” ดวงตาคมจ้องมายังหนังสือบทสัมภาษณ์ในมือฉัน ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ และนั่นทำให้ฉันก้มหน้าก้มตาจดคำพูดของเขาในทุกพารากราฟ

     

    “หากคุณมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้างจะทำให้คุณเข้ากับคนอื่นได้ง่าย และให้สิ่งที่พวกเขาตั้งใจหรือสิ่งที่พวกเขาอยากได้” เขาเว้นวรรคเอาไว้ช่วงหนึ่ง และนั่นทำให้ฉันปรับใบหน้าขึ้นไปมองเขา

     

    “และถึงตอนนั้นเมื่อเขาได้ในสิ่งที่ต้องการเขามันจะเหมือนกับว่าโลกทั้งใบเป็นของเขา แต่ในทางกลับกัน...”

     

    “...”

     

    “ผู้ให้ต่างหากที่เป็นโลกทั้งใบของคนๆนั้น” ดวงตาคมจ้องลึกมายังตาของฉัน ให้ตายเถอะพระเจ้า! สายตาของเขาเหมือนจะกลืนกินฉันไปทั้งตัว ฉันนิ่งค้างไปชั่วครู่หนึ่ง หากแต่มีเสียงเย็นเยียบที่ฉุดสติของฉันเอาไว้เสียก่อน

     

    “คุณไม่จดหรอครับ” ฉันทำท่าทางเงอะงะใส่เขา! หลังจากได้สติเพราะเสียงทุ้มเย็น ฉันก็จดอะไรลงไปเล็กน้อย และเริ่มคำถามต่อไป

     

    “ที่ผ่านมาคุณใช้ชีวิตยังไงคะ?” ไม่ได้คิดจะเล่นตลก แต่เบจูฮยอนเขียนแบบนี้จริงๆ! เขาแค่นยิ้มเล็กน้อย มือประสานกัน หลังพิงเก้าอี้ด้วยท่าทางสบายๆ

     

    “คนปกติใช้ชีวิตยังไง ผมก็ใช้ชีวิตแบบนั้นล่ะครับคุณคิม” เขาระบายรอยยิ้มให้ฉันเล็กน้อย ก่อนที่จะให้ฉันเริ่มคำถามต่อไปได้

     

    คุณเป็นซาดิสม์..?” ปากเผลอพูดไปไวกว่าความคิด! เบจูฮยอน! นี่เธอเขียนบ้าอะไรของเธอลงไปในบทสัมภาษณ์กันเนี่ย! ฉันเงยหน้ามองเขาซึ่งเขาดูจะแปลกใจไปเล็กน้อย

     

    “ฉันขอโทษค่ะ แต่..” เว้นวรรคไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะถอนหายใจออกมายาว “แต่มันมีเขียนในบทสัมภาษณ์

    ฉันยกบทสัมภาษณ์ของไอรีนให้เขาดู และนั่นทำให้เขาพยักหน้าเล็กน้อย

     

    “ไอรีนค่อนข้างจะจู้จี้ค่ะ แต่ถ้าหากว่าคุณไม่อยากตอบ..”

    “นักข่าวก็แบบนี้แหละครับ” เขายกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย ให้เดาได้ไหมว่าเขากำลังขำกับท่าทางเงอะงะที่ฉันแสดงออกไป “ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านไปทั่ว”

     

    เขายักไหล่ขึ้นอย่างไม่ยี่หระเสียสักเท่าไหร่ นิ้วชี้เรียวข้างขวาเคาะกับพนักเก้าอี้ไปมาเป็นจังหวะสองสามที หลับตาเหมือนกำลังคิดอะไรสักอย่างหนึ่ง , แค่ท่าทางเพียงแค่นั้นก็ทำให้ฉันไม่สามารถละสายตาไปจากเขาได้เลยสักนิด

     

    เหมือนเด็กแอบมอง แล้วพอดวงตาคู่นั้นลืมขึ้นฉันก็รีบหลบสายตาทันที..

     

    “ไม่รู้สิครับ”

    “คะ?”

    ฉันถามเขาเมื่อไม่รู้แน่ชัดว่าสิ่งที่เขาพูดออกมานั้นหมายถึงอะไร แต่หากให้เดา คงหมายถึงคำถามที่ฉันเพิ่งถามไปเมื่อสักครู่. .

     

    คุณเป็นซาดิสม์..?

     

    ภาวนาเถอะว่าอย่าให้เป็นเรื่องนี้!

     

     

    “ผมหมายถึงสิ่งที่คุณถามไปเมื่อสักครู่ครับ” เขายิ้มมุมปากเล็กน้อย ท่าทางเขายังคงสบาย ต่างกับฉันที่นั่งตัวสั่นเหมือนกับลูกนกเปียกน้ำ ฉันถอนหายใจออกมายาวๆอย่างแผ่วเบา อย่างน้อยก็ต้องคลายความกังวลของตัวเองไปก่อน

     

    “คุณดูกังวลมากเลยนะครับ”

    “อ่า. . แน่นอนค่ะ” ฉันตอบเขาออกไปตามตรง และนั่นทำให้ท่าทางเขาเปลี่ยนแปลงไป เขาเอามือเท้าคางเอาไว้พร้อมกับมองฉัน ดวงตาคู่นั้นเปลี่ยนจากแววสุขุมปนอ่อนโยน กลายเป็นแววขี้เล่นเล็กน้อยเหมือนเด็กน้อยกำลังจ้องมองของเล่นบนชั้นวางของ

     

    “คุยกับผมสบายๆเถอะครับ” เขายิ้มออกมาจนเห็นฟัน และนั่นเป็นรอยยิ้มที่โคตรจะดูดี! ผู้ชายคนนี้ทำอะไรก็ดูเพอร์เฟคไปเสียหมดจริงๆ!

     

    “พวกเขาบอกว่าคุณเป็นคนที่โหดร้ายมากในแวดวงของธุรกิจ” และทันทีที่เขาบอกให้ฉันผ่อนคลายตัวเอง รู้สึกได้ถึงน้ำเสียงของตัวเองที่ไม่ได้ติดขัดเหมือนกับช่วงแรกอีกต่อไป ฉันเลิกเกร็งตัวเอง แต่ก็นั่นล่ะ! ยังไงฉันก็ยังไม่กล้าจ้องใบหน้าของเขาอยู่ดี

     

    “ก็.. คงจะจริงล่ะมั้งครับ” เขาตอบเพียงเท่านั้น และนั่นทำให้ฉันสบเข้ากับดวงตาคมของเขาโดยที่ไม่ได้ละสายตา

    “แต่ฉันคิดว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น” ฉันเกลียดนิสัยของตัวเองที่พูดทุกอย่างในสิ่งที่คิด! และกลายเป็นว่าตอนนี้เราเหมือนกำลังเล่นเกมจ้องตากันไปมา ฉันไม่ได้หลบสายตาเขาอย่างที่เคยเป็น หากแต่จ้องไปที่ดวงตาคมรัตติกาลนั่นแทน

     

    “คุณรู้ได้ยังไงครับ”

    “ฉันแค่คิดค่ะ แค่คิดเท่านั้น” ฉันเริ่มเม้มปากเข้าหากัน เมื่อเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองเผลอพูดอะไรแบบนั้นออกไป

     

    “บางทีพวกเขาอาจจะไม่รู้จักคุณดีพอ” ฉันตอบตามที่ตัวเองคิด เพราะสายตาของเขานั่นล่ะ สายตาเขาเหมือนคาดคั้นจะเอาคำตอบของฉันเสียให้ได้ เหมือนเขาจะพิจารณาวิธีคิดวิเคราะห์ของฉันก่อนที่จะตอบคำถามคำพูดที่ฉันจะพูดออกมา

     

    “คนที่รู้จักผมดีนั่นล่ะครับเป็นคนบอก” เสียงทุ้มเย็นเอ่ยขึ้นพร้อมกับกระตุกยิ้มเล็กน้อย เขามองมาที่ฉัน และหยุดสายตาลง

     

    โอเค! ฉันแพ้เขาราบคาบ!

     

    “ขอโทษค่ะ ฉันขอโทษ” ฉันรีบขอโทษเขา คิดว่าตัวเองคงถามคำถามอะไรที่ไม่เหมาะสมลงไป ความคิดของฉันล่องลอยไปหมด แต่หากเสียงทุ้มเย็นก็ไล่ความคิดแสนฟุ้งซ่านของฉันออกไปจนหมด

     

    “แทนที่จะถามคำถามของคนอื่น ทำไมคุณไม่ลองถามคำถามที่อยากถามผมล่ะครับ?” หัวของฉันหมุนไปหมด โอเค! ยอมรับเลยว่าฉันไม่ใช่คนที่มีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ดีเท่าไหร่นัก ออกจะเป็นพวกชอบตัดบทของคนอื่นด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นการที่ให้ฉันเริ่มคำถามคุยกับเขา สำหรับคนอื่นมันง่ายมาก แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่!

     

    “ฉัน” ดวงตาของฉันล่อกแล่กไปมา ก่อนที่จะกัดเม้มริมฝีปาก “ฉันไม่มีคำถามค่ะ”

    และแน่นอน จบลงด้วยการก้มหน้าลงอย่างหมดหนทาง

     

    บรรยากาศในห้องมันไม่ได้อึดอัดหรืออึมครึมเสียสักเท่าไหร่ หากแต่ฉันเป็นคนไม่ค่อยพูดเสียมากกว่า เพราะเขาบอกว่าอยากให้ฉันลองถามคำถามที่ฉันอยากรู้ ฉันคิดว่าตัวเองมีแต่ไม่สามารถเรียบเรียงออกมาเป็นคำพูดได้

    แต่มีคำถามหนึ่งที่ฉันเรียบเรียงได้หากแต่ก็ถามไม่ได้!

     

     

    ฉันอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ ได้มั้ยคะ?. .

     

     

    จะให้ฉันพูดโต้งๆแบบนี้รึไง!? บ้าไปแล้วเถอะ!

     

    ในขณะที่ฉันต่อสู้กับความคิดของตัวเองอย่างหนัก เขาก็เอ่ยปากและพูดเสียงทุ้มนุ่มทำให้ฉันหยุดความคิดของตัวเองลงและคิดในสิ่งที่เขาพูดแทน

     

    “แทนที่จะรู้จักตัวตนของผมจากบทสัมภาษณ์ ทำไมคุณถึงไม่อยากรู้จักตัวตนของผมด้วยตัวของคุณเองล่ะครับ”

     

    เขาพูดถูก! นั่นเป็นสิ่งที่ฉันอยากรู้ แต่ตลอดช่วงชีวิต 21 ปีที่ผ่านมา แทบไม่มีผู้ชายคนไหนกล้าเข้าใกล้ฉันเลยแม้แต่สักคน เพราะฉันมันเป็นพวกไม่มีมนุษย์สัมพันธ์!

     

    “ฉันคิดว่า..” มันไม่เหมาะสักนิดที่ฉันจะรู้จักเขา

    “ผมแค่อยากให้คุณกลับไปคิดครับ” เขากำลังยื่นข้อเสนอให้ฉันชัดๆ! ดวงตาคมลอบมองฉันเล็กน้อย ริมฝีปากอิ่มแดงเผยอขึ้นและแลบลิ้นไล้เลียรอบริมฝีปากเบาๆ

     

    เซ็กซี่ชะมัด!

     

    อ่า! หยุดคิดเดี๋ยวนี้เลยนะคิมแทยอน!

     

    “คุณโอคะ ได้เวลาเข้าประชุมแล้วค่ะ” เสียงของพี่สาวเลขาฯหน้าห้องเหมือนระฆังที่ดังขึ้นเพื่อช่วยชีวิตของฉัน มิสเตอร์โอลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของเขา เขาผายมือไปที่ประตูเหมือนให้ฉันเดินออกไปจากห้องเช่นกัน

     

    “ผมจะไปส่งแขกก่อนแล้วเดี๋ยวจะเข้าประชุม” ดวงตาเย็นชาตวัดไปที่เลขาฯสาวคนเดิม เธอยิ้มพยักหน้าก่อนที่จะเดินออกไป เขาหันใบหน้ามาทางหญิงตัวเล็กที่กำลังลุกขึ้นและเก็บของเข้ากระเป๋าของตัวเอง

     

    “เชิญทางนี้ครับ”

     

     

     

    เขาเดินออกมาส่งฉันที่หน้าลิฟต์ มือเรียวยาวกดปุ่มลงให้ขณะที่ฉันได้แต่มองพื้นสีขาวสะอาดตา ไม่ได้จ้องใบหน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย ประโยคของเขาเมื่อสักครู่ยังคงวนเวียนอยู่ในความคิดของฉันไปมา

    ประตูลิฟต์เปิดออก และฉันก็ไม่รอช้าเลยที่จะเข้าไปด้านใน ใบหน้าหล่อเหลาราวเทพบุตร มองใบหน้าของฉันอย่างตรงไปตรงมา

     

    “ผมหวังว่าคุณจะตอบตกลงนะครับ” เสียงทุ้มมีเสน่ห์เอ่ยบอกประโยค เขายิ้มให้ฉันเล็กน้อย แน่นอนว่าฉันไม่มีอะไรจะตอบเขา ฉันจึงทำได้แค่ส่งยิ้มที่มุมปากให้เขาทั้งๆที่ในใจเต็มไปด้วยความประหม่าไปหมด

     

    เสี้ยวหน้าของเขาเริ่มหายไป พร้อมกับประตูลิฟต์ที่ปิดสนิทลง

     

     







     

     

     


     

     

    พระเจ้า! นี่เขาคิดว่าตัวเป็นใครถึงทำให้ฉันสับสนได้มากมายขนาดนี้!

     

    ตอนนี้ฉันกำลังนั่งอยู่บนโซฟาสีครีม ในมือถือขนมคุกกี้รสโปรดพร้อมกับเรื่องราวของหนังที่ถ่ายทอดซ้ำไปซ้ำมา ฉันดูหนังเรื่องนี้ไม่ต่ำกว่า 3 รอบแล้ว หากแต่เนื้อเรื่องก็ยังคงทำให้ฉันติดตามได้เหมือนอย่างเคย

     

    แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีอะไรทำให้ฉันสนใจมากกว่าหนังเรื่องโปรดซะแล้วสิเนี่ย. .

     

    ฉันกลับมาที่บ้านขนาดกลางพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าของตัวเองให้อยู่ในชุดแสนสบาย ยุนอาแปะโน้ตเอาไว้ว่าเธอออกไปเรียนที่มหาลัย เย็นๆถึงจะกลับ และนั่นทำให้ฉันต้องมาอยู่ในบ้านแสนอ้างว้างนี่คนเดียว!

     

    อาจจะจริงที่ว่าฉันควรชินกับมันได้แล้ว เอาตามตรงว่าฉันก็ค่อนข้างชินนะกับการอยู่บ้านหลังนี้คนเดียว แต่รู้อะไรไหมล่ะ. .ตั้งแต่กลับมาจากสัมภาษณ์คุณโอฉันก็รู้สึกเหมือนว่าตัวเองคิดถึงแต่คำพูดของเขาตลอดเวลา

     

    น้ำเสียงทุ้มลึก

    รูปร่างที่โคตรจะแดมฮอต

    ริมฝีปากบางแสนเซ็กซี่

    รวมถึงดวงตาคู่นั้นที่สะกดฉันให้แพ้อย่างราบคาบ

     

    ในชีวิตนี้ฉันไม่เคยต้องการผู้ชายคนไหนมากมายเท่านี้มาก่อน!

     

    และฉันคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นบ้าได้!

    ฉะนั้นฉันควรจะหยุดคิดอะไรก็ตามที่มันเป็นไปไม่ได้สักที

     

    ท้องเริ่มส่งเสียงประท้วงถึงความหิวอีกครั้งหนึ่ง ฉันเดินจากโซฟาสีครีมตรงไปยังห้องครัวสีมิ้นท์สะอาดตา เครื่องครัวส่วนใหญ่มีแต่สีครีม ยุนอากับฉันเป็นพวกประเภทชอบสีพาสเทลเอาเสียมากๆ และแน่นอพวกสีครีม สีเขียวมิ้นท์ สีชมพูหวานๆ สีฟ้าอ่อนๆ จำเป็นต้องมีในบ้านของเราสองคน

     

    ฉันหยิบซีเรียลที่อยู่ในตู้ออกมาใส่ชามพร้อมกับเทนมสดในตู้เย็นลงไป อาหารมื้อกลางวันแสนไม่มีประโยชน์ที่ผลิตโดยคิมแทยอนเดินกลับมานั่งที่โซฟาสีครีมอีกครั้งหนึ่ง หนังเรื่องเดิมฉายขึ้นซ้ำตอนเดิมอีกครั้ง แต่ก็นั่นล่ะอย่างที่บอกไปดูเท่าไหร่ก็ไม่เคยคิดที่จะเบื่อเลยแม้แต่น้อย

     

    เสียงออดหน้าบ้านที่ดังขึ้นทำให้ฉันวางชามกระเบื้องสีเหลืองสดใสลงกับโต๊ะด้านหน้า ผุดลุกขึ้น พร้อมกับเดินไปที่หน้าประตูบ้านเพื่อไปเปิดประตูให้กับบุคคลที่มากดออด

     

    และพระเจ้า! คุณต้องไม่เชื่อฉันแน่ๆ

     

    ร่างสูงสมส่วน เสื้อสูทแบบเดียวกันกับที่ฉันเห็นไปเมื่อตอนช่วงสายของวัน หากแต่ผมที่เปิดหน้าผากขึ้นกลับปรกลงทำให้เขาดูมีลักษณะที่เหมือนเด็กหนุ่มมากกว่าชายหนุ่มที่ทรงเสน่ห์ เนคไทถูกร่นลงจากคอหนาและกระดุมเสื้อเชิ้ตที่ปลดเม็ดบนออกไป เขาส่งยิ้มอ่อนๆมาให้ฉัน แต่คุณเชื่อไหมว่าฉันช็อกมากแค่ไหน

     

    “ไม่คิดจะเปิดประตูให้ผมหน่อยหรอครับ?” เสียงของเขาฉุดสติฉันขึ้นมาอีกครั้ง คำถามผุดขึ้นมามากมายในหัวสมองและกำลังโลดแล่นด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่าเครื่องยนต์ดีกรีหลายแรงม้าแล่นบนถนนเลยสักนิด

     

    “ข ขอโทษค่ะ” ฉันเดินออกไปหน้าบ้าน แต่หากมือกลับจับรั้วและยังไม่ได้เปิดประตูให้เขาเข้ามาแต่อย่างใด ฉันสงสัยจริงๆนะว่าเขารู้จักบ้านของฉันได้ยังไง!

     

    “คุณ. .มาได้ยังไงคะ?” เป็นคำถามที่โคตรโง่! ฉันรู้ตัวดีว่ามันโง่มากที่ถามแบบนี้ ในเมื่อรถของเขาก็จอดอยู่ข้างหน้าต่อหน้าต่อตาของตัวเองแท้ๆ เขาระบายรอยยิ้มอ่อนๆมาให้กับฉันพร้อมกับหัวเราะในลำคอเล็กน้อย

     

    “ผมมักจะอยากรู้ในทุกสิ่งที่ผมสนใจนั่นล่ะครับ” ให้ตาย! ทำไมต้องมาทำสายตาบ้าๆแบบนั้นใส่ฉันด้วย! คุณโอนี่มัน. . ให้ตาย ให้ตาย! เขาจะฮอตเกินไปแล้วนะ แทบไม่ต้องทำอะไรเลยแต่สามารถสยบฉันได้เพียงแค่ปรายสายตากับคำพูด

     

    อันตราย! เขาอันตรายเกินไปจริงๆ

     

    ฉันเปิดประตูรั้วให้เขา. . แต่ไม่ได้หมายความว่าเชิญเขาเข้าบ้านอะไรทำนองนั้นนะ แค่เปิดให้ไม่มีรั้วกั้นระหว่างเขากับฉันแค่เท่านั้น และแน่นอนว่าเมื่อสบตาตรงๆ.. ฉันแทบจะตายเอาซะให้ได้จริงๆ!

     

    “คุณ มาทำไมคะ?” ฉันกลั้นหายใจถามคำถามเขาออกไป คงไม่ได้มีคำตอบประมาณว่า ผมสนใจคุณหรือทำนองว่าฉันไปทำนิสัยเงอะงะของฉันใส่เขาเช่น คุณลืมของ อะไรเทือกนั้นหรอกนะ

     

    “ผมมาเอาคำตอบครับ”

     

    ยังผ่านไปไม่ได้ถึงวันเลยนะ! ทำไมเขาถึงได้รีบร้อนอะไรขนาดนั้นกัน!

     

    ฉันจ้องหน้าเขาเล็กน้อย ขมวดคิ้วขึ้นและเม้มปากในแบบที่ชอบทำบ่อยๆ แต่ราวกับไฟฟ้าช็อตร่างของตัวเองไปชั่วขณะ . . เขาเอื้อมมือและใช้ปลายนิ้วชี้เย็นนั่นแตะเข้าที่ริมฝีปากของฉันอย่างแผ่วเบา

     

    “อย่าเม้มปากแบบนั้นสิครับ” เสียงเย็นเอ่ยขึ้น เขาผละนิ้วมือของตัวเองออกไปแล้ว มีแต่ฉันนี่ล่ะที่ยืนแข็งราวกับรูปปั้น. .

     

    ฉันพูดใช่มั้ยว่านิ้วเขาเย็น. . ใช่มันก็เย็น แต่พอแตะที่ริมฝีปากของฉันแล้ว มันทำให้ร่างกายฉันร้อนขึ้นมาได้แบบกะทันหันเลยล่ะ. . อ่า! มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ!

     

    “คำตอบล่ะครับ”

    “เรื่องนั้น..”

     

    ฉันอึกอักต่อท่าทีของเขาที่ดูจะเหมือนใจเย็น แต่ให้เดาเถอะว่าแววตาคู่นั้นฉายแววไม่สบอารมณ์อยู่เล็กน้อย ก็ต้องให้ฉันคิดบ้างสิ! ฉันก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่ไม่คิดหน้าคิดหลังเลยนะ เอาเถอะ ยอมรับว่าอยากเข้าใกล้เขาใจจะขาด อยากรู้เรื่องของเขาแทบตาย แต่จู่ๆจะให้พูดไปแบบนั้นหรอ มันไม่ตลกไปหรอ

     

    แล้วเขาเป็นคนแบบไหน ถ้าเขาเป็นซาดิสม์ล่ะ!

    ฉันควรจะเอาชีวิตของตัวเองไปเสี่ยงใช่มั้ยแบบนั้น?!

     

    “คุณเพิ่งจะถามฉันเมื่อช่วงสายเองนะคะ” ฉันไม่ได้ตอบประโยคตรงๆด้วยการบอกว่า ขอเวลาคิดก่อน อะไรทำนองนั้น หากแต่พูดประโยคอ้อมและทำให้เขาเข้าใจถึงคำตอบที่แท้จริงซะมากกว่า

     

    “ผมแค่ไม่อยากรออะไรนานๆน่ะครับ” รอ? รออะไร? แค่รอคำตอบเนี่ยนะ?! เขาเป็นคนใจร้อนขนาดนี้เชียวหรอ? ฉันว่าเขาก็ดูสุขุมดีออกนะ . . หรือว่าฉันจะมองเขาผิดไปอย่างที่เขาเคยบอกจริงๆ. .

     

    “รอ รออะไรหรอ. .” คะ. .

     

    พูดไม่จบประโยคหรอก. .

     

     การเคลื่อนที่แสนรวดเร็วของคนตรงหน้าทำให้ฉันผงะเท้าถอยหลังไปหนึ่งก้าว หากแต่เขาก็จับข้อมือของฉันเอาไว้พร้อมกับดึงเข้ามาใกล้ และประกบริมฝีปากลงไปอย่างรวดเร็ว และมันไม่ใช้จูบแบบเด็กอนุบาลที่ปากแตะปากจุ้บกันอะไรทำนองนั้นหรอก. .

     

    นี่น่ะ. .ดีพคิสของแท้เลย. .

     

    ฟันล่างของเขาขบกัดที่ริมฝีปากของฉันพร้อมกับดึงมันออกมาเล็กน้อย จูบซับที่ริมฝีปากอย่างเอาใจ ก่อนที่จะส่งลิ้นร้อนเข้ามาทักทายในโพรงปาก และแน่นอนว่าฉันก็ไม่ใช่คนที่จูบไม่เป็น. . แต่จูบร้อนแรงสูบพลังชีวิตแบบนี้ก็เพิ่งจะเคยได้รับเป็นครั้งแรกเนี่ยล่ะ. .

     

    “อ๊ะ” กลิ่นคาวเลือดคลุ้งบริเวณปลายลิ้นของฉันเล็กน้อย ให้เดาได้เลยว่าตอนที่เขาขบริมฝีปากล่างมันคงจะมีแผลและทำให้เลือดไหลออกมา ฉันเบือนหน้าหนีเขาเล็กน้อย หากแต่คนตรงหน้ากลับขับปลายคางเรียวมน พร้อมกับมอบจูบแบบดีพคิสให้อีกระลอก

     

    หากแต่คราวนี้กลับกันกับรอบแรก. .

     

    เขาไม่ได้ลดความร้อนแรงแต่อย่างไร หากแต่กำลังกระหวัดลิ้นไปมาเหมือนให้ฉันเรียนรู้ไปด้วย ฉันจูบตอบเขาไปแบบ และนั่นดูเหมือนเขาจะชอบใจที่ฉันกระหวัดลิ้นกลับ น้ำสีใสไหลเยิ้มลงมาจากมุมริมฝีปากของฉัน ฉันทุบไหล่เขาเล็กน้อย เมื่ออากาศเริ่มที่จะหมดลง เขาผละริมฝีปากออกเล็กน้อย น้ำสีใสเชื่อมต่อกันระหว่างริมฝีปากของเราสองคน จมูกโด่งสันห่างจากปลายจมูกของฉันไม่ถึงครึ่งเซนติเมตรเลยด้วยซ้ำ. .

     

    เขากดจูบหนักๆลงมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับผละตัวออกไป

     

    “ทีนี้คุณ..” เขาใช้หลังมือปาดมุมปากที่เปื้อนน้ำสีใสเช่นเดียวกันกับฉัน พร้อมกับใช้ลิ้นร้อนที่เขาไปซุกซนในปากของฉันเมื่อสักครู่ กวาดเลียไปรอบริมฝีปากของเขา ส่งสายตาร้อนแรงมาให้ฉันที่กำลังยืนหอบหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดตัวเอง

     

     

     

    “ยังอยากจะรู้จักผมอยู่รึเปล่าครับ?”

    “สิ่งที่ผมเป็น. . ตัวตนของผม. .” เขาเว้นวรรคไปเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งปาดมุมริมฝีปากให้ฉันอย่างอ่อนโยน ชั่วพริบตาที่ฉันเห็นแววตาของเขาอ่อนโยนลงเล็กน้อย. .

     

    ผู้ชายคนนี้เป็นคนแบบไหนกัน?

     

    “โลกของผม” จบประโยคฉันหันไปมองหน้าเขา. . เขาเป็นคนที่คาดเดาไม่ได้ และถ้าหากคุณคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ไม่ชอบเรื่องวุ่นวายในชีวิต หรือตรรกะอะไรที่ซับซ้อนแบบนั้น ฉันคงต้องบอกคุณเลยว่าคุณน่ะ. . คิดผิดถนัดเลยล่ะ

     

     

    ถึงฉันจะดูเอื่อยเฉื่อยในบางเรื่อง แต่ว่าฉันก็ชอบเรื่องที่ท้าทายมากพอสมควรเลยล่ะ. .

     

     

    เพราะฉะนั้นคำถามของเขา. .

     

    คำตอบของฉันคือ. .

     

     

     

     

     

     

     



     

    “ตกลงค่ะ”

     

     

     

     

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    เฮือก. ถ้าไรท์เป็นปรี้แทจะตอบตกลงตั้งแต่อยู่ในลิฟท์ -/-

    เอ้อ เราแต่งพวกฉากหวือหวาไม่เก่งนะแก ดูได้จากการบรรยาย

    นี่พยายามสุดฤทธิ์สุดเดชจริงๆ 5555555

     

     

     

     

     

    #ทอล์คกับไรท์แบบยาวๆสักครั้งเถอะ# (เราอยากให้ทุกคนอ่านจีจีนะแก)

                    เอ้าว่ากันไป. . ทอล์คครั้งแรกเล้ยยย หลายๆคนก็คงคุ้นเราแหละเนาะ แต่คือทอล์คใหม่ได้ 5555 ชอบคุยชอบเวิ่นจย้า 5555 – หลายคนคือรู้กิตติศัพท์อิไรท์คนนี้ดีว่าเป็นคนที่ชอบดองฟิคชิบหายวายวอดค่ะ 55555 #ดองเค็มเป็นปียังมี แต่คือช่วงนี้ก็ว่างๆแหละ หลังจกาดูนู่นนี่จนพอใจแล้วคือไม่มีไรทำจริงๆ ก็เลยเอ้า อัพฟิคหน่อยแก เราเคยตั้งแพลนไว้ว่าปีนี้ขอนิยายจบสักเรื่องเห้อะ ซึ่งเรื่องไหนอันนี้ไม่รู้เลย เพราะคาดเดาตัวเองไม่ได้จริงๆแก ตอนนี้ไรท์อยู่ม.6 ละนะ คือเข้าใจใช่มั้ยว่าหลังจากนี้คืออินี่ต้องอ่านหนังสือสอบมหาลัยค่ะทุกคน คงแบบหายหัวอีกแน่ 55555 เราหวังว่าทุกคนจะเข้าใจเรา #กระซิก ต่อมาคือนิสัยเราล้ากัน อันนี้ทุกคนควรรู้นะ สังเกตว่ามีบางคำคือก็หยาบอ่ะ คือไรท์ก็ไม่ใช่คนโลกสวยเว่อร์ไม่พูดคำหยาบนะคะ คืออินี่พูดค่ะพูด แต่คือก็รู้ว่าตอนไหนพูดไม่พูดไง ไรท์เป็นคนเฮฮาเว้ยแก ไม่เคยซีเรียสไรเลย แล้วอีกเรื่องที่ทุกคนควรรู้คือไรท์เป็นคนที่หื่นพอใช้ได้เลยค่ะ วันดีคืนดีอาจมีวันช็อต 18+ มาให้ทุกคนอะไรแบบนี้ -.,- เอ้อ. .ก็คงไม่มีอะไรแล้วล่ะแก อีกเรื่องคือนี่ไม่ซีเรียสเรื่องคอมเม้นละนะ ใครอยากเม้นเม้นเลยจ้า ใครไม่เม้นก็ไม่เป็นไรจ้า เอาเถอะหนูแล้วแต่พวกหนูสะดวกเม้นเลยลูก บางคนมันก็ออนมือถือไงอันนี้เข้าใจว่า เออ ออนมือถือมันก็ลำบากตอนเม้นนิดนึง แต่ถ้าเม้นให้หน่อยก็ดีนะคะ #เอ๊ะยังไงวะ คือไม่ใช่ไร จะได้รู้ว่าควรปรับปรุงอะไรตรงไหนมั้ยไงแก แบบบางทีไม่พอใจไรท์แบบเนี้ย ก็แบบไม่พูด คือพูดได้เว้ย พูดได้ แนะนำได้ แล้วก็ไม่เกรียนมาโหวตต่ำให้นะ ไรท์ไม่ปลื้มค่ะ แต่ถ้าหนูหมั่นไส้ไรท์มากเมนชั่นทวิตมานะ @byunnismine จ้ะ แล้วก็เกรียนก้อปออกจากนิยายไรท์นะคะ คืออันนี้ก็ไม่ปลื้มอย่างแรงเลยแก เอาเถอะ แค่นี้แหละ คุยยาวชิบหายวายวอด เขียนนิยายได้อีกหลายพารากราฟ 55555

                    สำคัญมากเลยแก บางคนคือตามนิยายฉันทุกเรื่อง ยิ่งกว่าฝาหอยที่คู่กัน ไรท์รู้ว่าเราเกิดมาคู่กันค่ะ #โดนถีบหน้าหงาย คือจะบอกว่าน่ารักกกกกกกก ชอบจัง #มากอดทีนึงสิ้ โอ้ยยยย สรรหาคำพูดมาอธิบายไม่ได้ คือตื้นตันใจชิบหายวายวอดเลยค่ะรีดเดอร์ น่ารักมากๆ คือ ฮรืออออ #ซึ้งมาก #ร้องไห้แรงๆ บางคนก็คือจำได้จริงๆนะว่าเออแบบคนนี้เม้นตลอดติดตามตลอด โอ้ยยยย ปลื้มมมมมมมมมมมมมมม #รอบที่ล้านห้า / รักนะ รักรีดเดอร์ทุกคนจริงๆ หน้าเก่าหน้าใหม่รักหมดเลย ขอบคุณนะคะที่รัก ขอบคุณน้า จุ้บแรงๆ #โดนตบกลับมา

     

     





    ’ cactus
    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×