[[SF-SNSD]] :+:why can't I live without you:+: (Yuri)
เธอเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ฉันเดินต่อไปได้ แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร...เมื่อขาดเธอ (SF ปวดตับพาร์ทบทสรุปที่ทุกคนรอคอย) YulSic+YoonSeo
ผู้เข้าชมรวม
8,202
ผู้เข้าชมเดือนนี้
25
ผู้เข้าชมรวม
และแล้วหลังจากถามความเห็นทุกท่านไป
บุงได้ข้อสรุปอันรวดเร็วสำหรับชื่อที่ถูกใจนั่นก็คือ
Why can't I live without you - เรื่องของความเจ็บปวด
แน่นอนค่ะ SF นี้เป็น SF ภาคต่อ
เพื่อความอินและไม่สับสน
กรุณาอ่านทั้งสี่พาร์ทก่อนนะคะ ฮ่าๆ
(เอาของเก่ามาขายได้เรื่อยๆ เลยฉัน)
"Why can't I love you" - เรื่องของคนแอบรัก
"Why can't you love me" - เรื่องของคนถูกทิ้ง
"Why can't I love both" - เรื่องของคนหลายใจ
"Why can't you care me" - เรื่องของคนถูกลืม
เอาล่ะ ขอให้สนุกกับความปวดตับให้เต็มที่นะคะ ^^
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
ควอน ยูริ
..."เธอ" ไม่อาจเดินย้อนกลับไปเจ็บ แต่ไม่มีแรงจะก้าวต่อ...
จอง เจสสิก้า
..."เธอ" ต้องได้รับบทลงโทษอันโหดร้าย อย่างไม่มีโอกาสจะแก้ตัว...
อิม ยุนอา
..."เธอ" ต้องจมอยู่กับความสับสน เมื่อหัวใจไม่อาจเฉลยคำตอบที่แท้จริง...
ซอ จูฮยอน
..."เธอ" ที่ต้องสูญเสียทุกสิ่ง เพียงเพราะคำต้องห้ามคำเดียว...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
...เมื่อความรัก... เปรียบเสมือนหนามแหลมทิ่มแทงหัวใจทั้งสี่ดวง
มันจึงเป็นต้นเหตุของคำถามจากความเจ็บปวด
ที่เกินกว่าจะมีใครให้คำตอบนั้นได้
แม้แต่หัวใจของพวกเธอเองก็ตาม...
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
[[SF-SNSD]] :+:why can't I live without you:+: (Yuri)
เธอเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ฉันเดินต่อไปได้
แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร...เมื่อขาดเธอ
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“ที่ผ่านมาฉันเอาแต่ดูแลใครที่ไม่เคยเห็นค่ามาโดยตลอดใช่มั้ย” ประโยคตัดรอนจากควอน ยูริ แทบตัดหัวใจของ จอง เจสสิก้า ขาดตามไปด้วย ไม่ใช่ความรักเพิ่งซึมเข้าตอนเธอเดินผ่านไปหรอก เพียงแต่เจสสิก้าโง่เองที่มองข้ามความรักที่ร่างสูงมอบให้มาเนิ่นนาน ทั้งที่เพิ่งมารู้ตัวว่าชีวิตนี้คงแทบไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ถ้าขาดความรักจากคนตรงหน้า
ทุกสิ่งทุกอย่างเจสสิก้าขอโยนทิ้งมันไปให้หมด เธอทุ่มทำในสิ่งที่ตนไม่เคยคิดจะทำกับใครมาก่อน... ร่างที่ล้มอยู่กับพื้นกอดขาของคนกำลังจะก้าวเดินไว้แน่น
“อย่าทำอย่างนี้เจส ปล่อยฉันเถอะ” คำพูดสั่นๆ จากยูริ ให้เจสสิก้าได้แต่มองอย่างน้ำตาคลอ
“ถ้าเจสปล่อยยูล ก็เท่ากับเจสเสียยูลไปจริงๆ เจสไม่อยากเป็นอย่างนั้นแล้ว”
“รู้อะไรมั้ย” ประโยคของยูริเงียบหายไป เพราะเจ้าตัวพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บเสียงสะอื้น เธอปรายตามองคนที่กอดขาเธออยู่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเฉยชาและเจ็บปวด “ของที่คายไปแล้ว ไม่มีใครคิดเอากลับมากินอีกครั้งหรอกนะ ฉันเองก็ไม่ได้เข้มแข็งพอจะกลับไปเจ็บเหมือนเดิมได้อีก ยังไงซะ เรื่องของเรา...มันก็ไม่มีวันเหมือนเดิม!”
“ขอร้อง... อย่าจากเจสไปอีกเลยนะ เจสอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มียูล” หยาดน้ำตาไหลรินมาไม่ขาดสาย หากมันกลับถูกซับด้วยกางเกงยีนส์ของใครอีกคน น้ำใสๆ ที่มาจากความทรมานของคนรัก เมื่อสัมผัสกับผิวกายของเธอ ทำเอายูริแทบใจอ่อน เธอรักเจสสิก้ามากเท่าไหร่ เฝ้าดูแลคอยห่วงใยไม่ห่าง แม้แต่หยาดน้ำตาก็เคยซับให้ด้วยความเต็มใจ ทว่ามาวันนี้ เธอกลับเป็นต้นเหตุให้คนรักต้องร้องไห้
...เจสสิก้าเจ็บมากแค่ไหน ตอนนี้หัวใจของยูริก็กำลังเหมือนถูกกรีดแผลเดิมซ้ำๆ ไม่รู้จักจบสิ้น...
“ฉันก็อยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ ทั้งที่คุณรู้อย่างนั้น คุณยังเลือกที่จะไปจากฉันเลย พอเถอะ อย่ารั้งฉันไว้แล้วพากลับไปยังความเจ็บปวดนั้นอีกได้มั้ย” น้ำตาที่คลอเอ่อทำให้ภาพเบื้องหน้าพร่าเลือน ร่างสูงกระพริบตาถี่ๆ เพื่อขับไล่มัน เธอไม่อยากจะเสียน้ำตา เพราะความทุ่มเทที่ไร้ค่าอีกแล้ว
“ขอร้อง...” เสียงสะอื้นที่แหบโหยจนคนฟังหัวใจแทบโรยริน จะทำอย่างนี้ไปเพื่ออะไรนะเจสสิก้า จอง... จะรั้งคนที่เธอไม่มีใจกลับไปทำไมกัน... ยูริได้แต่ตั้งคำถามในใจ ต่อให้คุกเข่าอ้อนวอน หรือขอร้องคร่ำครวญมากแค่ไหน บาดแผลที่เคยเจ็บเพราะน้ำมือของคนๆ นี้ มันก็ไม่ได้เลือนหายไปได้โดยง่ายหรอกนะ
เธอเป็นคนรักใครรักจริงทุ่มให้หมดใจ และถ้าเลือกที่จะเกลียดหรือโกรธใครแล้วก็จะโกรธฝังใจ
ทว่าสำหรับเจสสิก้า เป็นคนที่เธอรักและทุ่มให้หมดใจ และถึงอยากเกลียดอยากโกรธแค่ไหนที่ร่างบางนอกใจเธอ หากยูริก็ไม่อาจกลั้นใจทำอย่างนั้นได้เลย ความรู้สึกที่อยู่กึ่งกลางระหว่างรักและเกลียดนี่มันช่างทรมานนัก จะย้อนกลับไปจุดเดิมก็ไม่กล้า จะก้าวเดินต่อไปโดยไม่มีใครอีกคนก็ทำไม่ไหว...
“ปล่อยยูลนะเจส ความจริงมันเป็นยังไง เจสก็รู้ดี” คำพูดเริ่มอ่อนลงอย่างมีเยื่อใย แต่มือของเจสสิก้ากลับยิ่งรัดแน่นขึ้น เธอไม่มีแรงจะลุกแล้วเพราะบาดแผลที่เข่า แต่เธอคงไม่มีแรงจะหายใจหากขาดความรักจากยูริไป ถ้าเลือกได้เธอจะย้อนกลับไปวันที่หัวใจเธออ่อนแอ แล้วเผลอไผลคิดว่าไปรักยุนอา ถ้าเลือกได้เธอจะสั่งหัวใจตัวเองให้มั่นคงกว่านี้ ให้มันรับรู้ว่าใครคือคนสำคัญจริงๆ ใครคือคนที่ทำให้เธอเหมือนตายทั้งเป็นได้เพียงแค่จะเดินจากไป!
“ขอโอกาสเจสพิสูจน์ตัวเองได้มั้ย...”
“เคยได้ยินคำนี้มั้ยเจส ...หนึ่งวินาทีก็ช้าไป” ยูริตัดใจอย่างเด็ดขาด เธอพยายามอย่างยิ่งที่จะยกขาให้กาวเดินต่อ ทั้งที่ยังมีมือของอีกคนรัดไว้อยู่ เจสสิก้าจะทรมานเธอไปถึงไหน ไม่ใช่แค่ขาที่ถูกรัด หากหัวใจที่ถูกใครอีกคนพันธนาการไว้ เจสสิก้าไม่เคยปลดปล่อยมันคืนมาให้เธอเลย
“ยูล...” เสียงสะอื้นดังไม่ขาดสาย ร่างบางทิ้งกายทอดยาวบนพื้น มือกุมหัวใจไว้แน่นด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลในหัวใจ บทสรุปของคนโลเล มันทรมานราวกับต้องกินยาพิษที่ไม่ได้มีพิษร้ายแรง ฆ่าเราได้ในหยดเดียว ทว่ามันกลับเป็นยาที่ค่อยๆ ทำลายหัวใจของเราทีละนิด...ทีละนิด เจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าหลายเท่า
...สาสมกับสิ่งที่เธอทำพอแล้วใช่มั้ย...
ภาพที่เคยพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำตา กลับกลายเป็นสีดำ เมื่อสติสัมปัญชัญญะตัดการรับรู้ทั้งมวล อาจเพราะหัวใจเธอไม่อยากรับรู้กับการที่จะเห็นใครอีกคนเดินจากไปก็ได้ล่ะมั้ง
“เจส” ยูริหันกลับมาช้าๆ คนรักนอนหมดสติอยู่กับพื้นห้องที่เย็นเฉียบ ใบหน้าซีดเซียวลงเพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ หยาดน้ำตาที่ไหลอาบทั่วแก้มใสจนตาบวมช้ำ บาดแผลจากเข่าเริ่มฉีกขาดเนื่องจากใครอีกคนคุกเข่ากับพื้นเมื่อครู่ เลือดสีแดงสดที่ไหลรินออกมาจนยูริรู้สึกเหมือนมันเป็นเลือดของความเจ็บปวดที่ไหลเอ่อท่วมทั้งใจของเธอ
“ยูลจะทำไงกับเจสดี” น้ำเสียงสั่นเครือ ขณะก้มลงไปหาร่างบางที่มีลมหายใจรวยรินอย่างอ่อนแรง
เธอรักเจสสิก้ามาก...มากจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ ถึงแม้จะทนทำใจแข็งเพียงใด หากทุกคนก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้วหัวใจของเธอมันช่างบอบบาง อ่อนไหว และใจอ่อนเอาง่ายๆ เมื่อเห็นสภาพคนรักต้องเป็นเช่นนนี้แล้ว เธอยังจะทนไหวได้อีกหรือ...
ต่อให้ไม่ใช่ในฐานะของคนรักที่จะยืนเคียงข้างกันได้เหมือนเดิม แต่แค่เพื่อนร่วมวง ยูริก็ไม่อาจฝืนร่างกายให้อยู่เฉยได้ต่อไป
มือค่อยๆ ช้อนร่างหมดสติไว้ในอ้อมแขน ชั่ววูบหนึ่งของความต้องการ กลับให้เธอรั้งร่างบางเข้ามากอดไว้แนบอกแน่น แค่ช่วงเวลาเพียงไม่นานที่ห่างกัน แต่ทำไมกลับคิดถึงอ้อมกอดของเจสสิก้าได้มากขนาดนี้ คิดถึงรอยยิ้มของเจ้าหญิงน้ำแข็ง คิดถึงทุกอย่างที่รวมเป็นเจสสิก้า
ทั้งที่ยังหายใจอยู่ในหอพักเดียวกัน ใช้ชีวิตด้วยกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ทว่าทำไมกลับรู้สึกห่างไกล เหมือนเกินเอื้อมได้เช่นนี้...
“ตอบฉันสิเจสสิก้า ฉันจะใจอ่อนกับเธอถึงเมื่อไหร่กัน” หยาดน้ำตาที่กลั้นเอาไว้ หยดกระทบใบหน้าใสเบาๆ แม้เพียงหยดเดียว แต่มันแทนความเจ็บปวดทั้งหมดที่มีอย่างเกินจะพรรณนาออกมาได้
เมื่อซูยองรูมเมทของเจสสิก้าไปนอนกับซันนี่ ทั้งห้องจึงเหลือเพียงความเงียบเหงา ยูริวางร่างของคนที่เธอรักหมดใจลงบนเตียง หากความโหยหา และหัวใจที่ต้องการ มันทำให้เธอไม่อาจตัดใจหันหลังก้าวออกจากเจสสิก้าได้อีกเป็นครั้งที่สอง แต่แน่นอนว่าเธอก็เป็นแค่คนธรรมดา ที่เข็ดหลาบกับความเจ็บช้ำ จนไม่อาจพาตัวเองเข้าใกล้ใครอีกคนให้ใจร้าวรานไปได้มากกว่านี้
ที่ทำได้ก็แค่เพียง...ยืนมองร่างหมดสติที่นอนอยู่บนเตียง ด้วยใจอันร้าวไหว...
ฮโยยอนมองคนที่นอนร้องไห้อย่างเงียบๆ บาดแผลที่ซอฮยอนได้รับมาหนักหนาสาหัสในวันนี้ มันจะช่วยหล่อหลอมให้น้องเล็กเข้มแข็งขึ้นได้เอง เธอรู้และพอเข้าใจว่ามันอาจจะเจ็บซักหน่อย สำหรับการแอบรักโดยนอกจากจะไม่ได้สิ่งนั้นกลับคืนมา หนำซ้ำยังต้องพ่วงด้วยท่าทีเหินห่างและหมางเมิน เป็นใครก็ย่อมหลีหนีไม่พ้นความเสียใจ
“ซอ...ไม่เข้าใจเลย... ซ...ซอทำอะไรผิด ทำไมพี่ยุนถึงต้องทำท่าทางอย่างนั้นกับซอ...” ซอฮยอนพึมพำให้อีกคนไม่อาจเดาใจได้ว่าพูดกับเธอหรือพูดกับตัวเอง ฮโยยอนเดินไปนั่งข้างๆ ร่างบาง มือยกขึ้นลูบผมซอฮยอนเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน จนเด็กสาวไม่อาจทนไหว โผเข้ากอดเธอไว้แน่น
“ไม่ผิดหรอกซอ คนที่ไม่ใช่น่ะ ยังไงก็ไม่มีวันใช่... ถ้ายุนต้องการเกลือเพื่อปรุงอาหาร แต่ต่อให้ซอเป็นน้ำตาลที่หวานรสดีขนาดไหน ยุนก็คงไม่หันกลับมาใช้น้ำตาลแทนเกลือได้ ซอไม่ได้ผิดที่เป็นน้ำตาลชั้นยอด แต่แค่ไม่ใช่คนที่ยุนต้องการในตอนนี้ก็เท่านั้นเอง” คำคมจากรูมเมท ทำให้ซอฮยอนที่ร้องไห้อยู่แล้วต้องสะอื้นหนักกว่าเดิม ต่อให้น้ำตาลอย่างเธอรสเลิศ หาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ แต่ถ้ายุนอายังคงต้องการเกลือ
เธอก็คงเป็นได้เพียงแค่เกล็ดเล็กๆ ใสๆ ที่อยู่นอกสายตาเท่านั้นเอง...
“แล้วเมื่อไหร่ที่พี่ยุนจะมองซอ หรือมีซออยู่ในสายตาซะที”
“ก็เมื่อตอนที่ยุนคิดว่าอาหารที่เคยทำอยู่มันไม่เหมาะกับตัวเอง จึงต้องปรุงอาหารจานใหม่ คัดเลือกวัตถุดิบใหม่ ที่อาจต้องใช้น้ำตาลล่ะมั้ง” ฮโยยอนกอดคนสะอื้นอยู่ไหวแน่น รู้ดีว่ายามเสียใจเราอาจต้องการใครซักคน เป็นใครก็ได้ที่แม้เราจะไม่รู้จัก แต่เพียงแค่มีมือคู่หนึ่ง อ้อมกอดอันอบอุ่น มันจะทำให้คนที่กำลังรู้สึกเคว้งคว้างไม่ต้องโดดเดี่ยว
“นานมั้ยคะ กว่าจะถึงวันนั้น” ซอฮยอนพูดเสียงสั่น คนเคยเข้มแข็งที่เก็บทุกอย่างไว้กับตัวเอง ตอนนี้กลับกลายเป็นเพียงแค่ผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ที่หัวใจกำลังถูกทำร้ายมากเหลือเกิน
“ถ้าซอไม่คาดหวัง ไม่ได้รอความรักตอบ มันก็ไม่นานหรอก”
“ซออยากเป็นพี่... ซอก็ไม่ได้อยากรักคนไม่มีใจให้ซอเลยอย่างพี่ยุน ถ้าซอห้ามใจตัวเองได้ ซอจะเลือกเป็นพี่ฮโย ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่เสียน้ำตา ไม่ทรมานเพราะความรัก...”
“ถ้าความรักมันมีแต่ด้านเจ็บปวด ก็คงไม่มีคนบนโลกถึงขั้นขาดมันไม่ได้หรอก เหรียญอันเล็กๆ ยังมีตั้งสองด้านเลย สุขหรือเศร้าอยู่ที่ตัวเรา แค่พลิกเหรียญอีกด้านหนึ่งกลับมาก็พอ” คำปลอบใจจากฮโยยอน ทำให้เธอได้แต่กลั้นเสียงสะอื้น ความสุขที่ได้รับของคนแอบรักน่ะหรือ การได้เห็นยุนอายิ้มบางๆ เธอก็มีความสุขแล้ว การได้เห็นยุนอามีความสุขเพราะรักเจสสิก้า เธอเองก็อยากจะร่วมยิ้มยินดี แล้วอะไรที่ทำให้เธอมานั่งร้องไห้อยู่ตอนนี้
เสียใจที่ยุนอารับรู้ความรู้สึกของเธอ แล้วแสดงท่าทีที่เปลี่ยนไป...เสียใจที่ยุนอาไม่เคยมองเธอเกินกว่าน้องสาว ไม่เคยมีเธออยู่ในสายตา
นั่นมันเพราะตัวเธอเองที่หวังมากไปไม่ใช่หรือ เมื่อผลสรุปไม่เป็นดังหวัง หัวใจที่แหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี แต่ใครบางล่ะจะไม่หวังอะไรเลย เธอไม่เชื่อหรอกว่าจะมีจริง ในเมื่อมันต้องมีเศษเสี้ยวความต้องการคืนมาบ้างในทุกครั้งที่ทุ่มเทลงไป อยู่ที่ว่ามากหรือน้อยเท่านั้นเอง
“ซออย่าเป็นแบบพี่เลย เป็นแบบที่ซอเป็น เรียนรู้ความรักพร้อมๆ กับความเจ็บปวดนี้ แล้วฝังมันไว้ในหัวใจเถอะ” หึ! พูดดีไปเถอะคิม ฮโยยอน อย่าเป็นแบบพี่มันหมายความว่า อย่ามาทรมานแบบพี่รึเปล่านะ... ฮโยยอนได้แต่คิดอย่างขมขื่นในใจ ทำเป็นปลอบใจนอื่น ทำเป็นเข้มแข็ง แต่ลึกลงไปแล้วหัวใจช่างเปราะบางพร้อมสลายได้ทุกเมื่อ
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นของซอฮยอน ทำให้ร่างบางปาดหยาดน้ำตาลวกๆ เธอกดรับโดยไม่มองชื่อคนโทรมา ขณะที่เป็นการดีสำหรับฮโยยอน เพื่อเลี่ยงออกมาทำใจกับตัวเองได้บ้าง
เธอดูเหมือนไม่มีความรัก มองดูปัญหาของเพื่อนๆ ในวงทั้งสี่คู่ คอยช่วยแก้ปัญหา ช่วยปลอบใจ เป็นทุกอย่างที่เพื่อนร่วมวงต้องการ แต่เคยมีใครถามเธอบ้างมั้ย ว่าจริงแล้วเธอต้องการอะไร...
ที่ทำเหมือนไม่รักใคร ใช่ว่าจะไม่มี ที่ทำเหมือนเข้มแข็ง ใช่จะยืนหยัดสู้กับปัญหาได้
เธอเองก็เป็นแค่คนๆ หนึ่ง ที่ตกอยู่ในห้วงอารมณ์เหงาๆ ของคนแอบรักเหมือนกัน!
‘...โปรดอย่าถามฉันว่าเธอจะทำยังไงเพื่ออยู่ในสายตาของเขา เพราะฉันยังไม่รู้เลยว่า ฉันจะทำยังไงให้อยู่ในสายตาของเธอเหมือนกัน...’
“ฮัลโหล...” คำพูดจากซอฮยอนที่กรอกเสียงลงโทรศัพท์ ทำให้ฮโยยอนเพิ่งสะดุ้งจากภวังค์ รู้ตัวว่าเธอคงไม่ควรอยู่ที่นี่ต่ออีก จึงเลี่ยงเดินออกมาแทน ถึงแม้จะไม่ไกลมาก แต่ยังดีกว่านั่งฟังน้องเล็กคุยโทรศัพท์อยู่ข้างๆ อย่างนั้น
(“เสียงฟังดูไม่ดีเลยนะซอ ร้องไห้หรอ”) น้ำเสียงอ่อนโยนที่ตอบกลับมาอย่างเป็นห่วง ทำให้คนกำลังอยู่ในความรู้สึกอ่อนไหวแทบกลั้นเสียงสะอื้นไม่อยู่
“ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่นิโคลมีอะไรรึเปล่า”
(“คิดถึง...พ...เพื่อน เลยโทรหาไม่ได้หรอ”) ซอฮยอนไม่ได้รู้สึกไปเอง แต่ตอนแรกเหมือนนิโคลจงใจพูดแค่คิดถึงมากกว่า หากไม่ใช่เรื่องปกติ ที่อยู่ๆ เพื่อนวงคาร่าจะโทรหาเธอก่อน แม้จะสนิทกันมากแค่ไหนก็ตาม
“ได้สิ”
(“ฉันรู้ว่าเธอกำลังร้องไห้... ยังไงเธอก็ยังมีฉันอยู่ ฉันเป็นห่วงเธอนะซอ”) ไม่ว่าเธอเป็นยังไง แต่นิโคลก็ยังคงเป็นห่วงเป็นใย และคอยให้กำลังใจเธอมาโดยตลอด ต่อให้ไม่ได้อยู่วงเดียวกันก็ตาม ถ้าเรื่องของหัวใจมันบังคับกันง่ายๆ เธอคงอยากให้มันรักคนที่แคร์เธอบ้างอย่างนิโคล หรือไม่ก็คนที่คอยปลอบใจเธออย่างฮโยยอนแล้ว
ไม่ใช่รักคนที่คอยพูดถ้อยคำที่ทำให้ใจเจ็บช้ำอย่างยุนอา...
“ขอบใจนะ”
(“เอางี้ พรุ่งนี้เราไปเที่ยวกัน เธอเองก็ไม่มีงานนี่ เป็นอันว่าตกลง แล้วเจอกันนะ ฝันดี...”) แล้วนิโคลก็วางหูไปให้ซอฮยอนได้แต่นิ่งอย่างตั้งตัวไม่ถูก
“นิโคลโทรมาหรอ?” ฮโยยอนหันมาถาม คนที่อยู่ในฐานะเดียวกัน มีหรือจะดูสายตาของนิโคลเวลามองซอฮยอนไม่ออก ในเมื่อมันเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเดียวกับเธอ... ไม่ต่างกันเลย
“ค่ะ โทรมาชวนไปเที่ยว” แม้ความรู้สึกเศร้าหรือเสียใจจะยังไม่ได้หายไปง่ายๆ แต่ซอฮยอนขอเลือกที่จะเก็บทุกอย่างไว้เหมือนเดิม และแสดงออกมาเป็นรอยยิ้มจางๆ แทน ไม่นึกถึง ไม่ร้องไห้ มันก็ไม่เจ็บหรอก เธอพยายามอย่างยิ่ง ที่จะลืมเลือนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนหัวค่ำนี้
“ไม่ใช่แค่ให้ยุนปรุงอาหารจานใหม่หรอกนะ ซอเองก็เถอะ...ถ้าลองเลือกอาหารที่ต้องการวัตถุดิบหลักคือน้ำตาล ความรักที่เคยมองว่าเจ็บอาจเป็นตรงกันข้ามก็ได้” ฮโยยอนยิ้มให้ ขอเพียงแค่เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ ได้แค่ยิ้มให้ซอฮยอน สบตา ปลอบใจ และอยู่เคียงข้างร่างบางไปวันๆ ไม่ต้องให้ซอฮยอนรับรู้ความรู้สึก ไม่ต้องให้เด็กสาวตอบสนองความรักของเธอไปมากกว่าที่เป็นอยู่
...ได้เพียงแค่นี้ ฮโยยอนก็เพียงพอแล้วจริงๆ...
ยุนอาก้าวมาในห้องของยูริกับเธอเงียบๆ ไม่เห็นแม้แต่เงาของร่างสูง ซึ่งนั่นก็เป็นการดีไม่น้อย ที่เธอจะได้ปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับความรู้สึกที่ค้างคาอยู่ในใจนี้ได้อย่างเต็มที่
เจสสิก้าเดินจากเธอไปแล้ว... ไม่สิ บางทีเจสสิก้าก็อาจจะไม่ได้เดินมาหาเธอตั้งแต่ทีแรก เพราะฉะนั้นร่างบางเลือกที่จะไปนั้นก็เป็นสิ่งถูกต้องแล้ว คนมาทีหลังอย่างเธอไม่สมควรมีสิทธิ์จะเข้าไปขัดขวางความรักของใคร โดยเฉพาะพี่สาวที่เธอทั้งรักและเคารพอย่างยูริ
ถ้าเธอไม่สบายใจอย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ใบหน้าของคนแรกที่เธอนึกถึงคงเป็นซอฮยอน คนที่อยู่ข้างๆ เธอมาโดยตลอด แต่ทำไมกัน...ทั้งที่เธอไว้ใจ และมอบความรู้สึกดีๆ อย่างพี่น้องให้ แต่ซอฮยอนกลับแปรเปลี่ยนมันเป็นความรักไปได้ยังไงไม่รู้ ทั้งที่ต่างรู้ดีว่าคำต้องห้ามคำนั้นจะทำลายความสัมพันธ์ที่ยืนยาวของพวกเธอ
‘พี่ยุน...พี่ยุนเป็นพี่สาวที่ซอสนิทที่สุดเลยนะ’
‘ซอก็เป็นน้องที่พี่รักที่สุดเหมือนกัน’
‘แล้วถ้าวันไหนความรู้สึกของเราไม่เหมือนเดิมล่ะคะ อย่างถ้าความสนิทของเรามันกลายเป็นความรัก ทำให้ใครคนหนึ่งอาจหวั่นไหว พี่ยุนว่าเราควรทำยังไง’
‘เก็บความรู้สึกนั้นให้ลึกที่สุด การเป็นคนรักมันไม่ยั่งยืนเท่าพี่น้องหรอกนะ เราคอยดูแลกันอย่างนี้ล่ะดีแล้ว อย่าเป็นมากกว่านี้เลย’
คำพูดในอดีต ย้อนกลับเข้ามาในห้วงความคิด ...เธอไม่น่าพูดอะไรออกไปอย่างนั้นเลย เธอเป็นคนขีดเส้นคำว่าพี่น้องขึ้นกั้นระหว่างตนกับซอฮยอนตลอดมา และเมื่อได้ยินความในใจของอีกฝ่าย มันทำให้เธอค่อนข้างลำบากใจ และวางตัวไม่ถูกเล็กน้อย
เธอไม่ได้อยากใจร้ายด้วยการตัดรอนใครอย่างนั้น เพียงแต่มันก็ดีกว่าการให้ความหวัง หลอกลวงว่าเป็นคนที่รักกันไม่ใช่หรอ ในเมื่อถ้าเธอไม่ได้คิดอะไรกับซอฮยอนเกินพี่น้อง เธอเองก็หลอกตัวเองว่ารักไม่ได้หรอก
หรือความจริงแล้วเธอกำลังหลอกหัวใจว่าไม่ได้รักกันแน่!
คนที่เธอนึกถึงคนแรกยามมีปัญหา กลับกลายเป็นคนที่อายุน้อยกว่าเธอหนึ่งปี น้องเล็กของวง ทั้งที่มีคนอื่นอีกตั้งแปดคนแท้ๆ แต่เธอกลับไม่เคยสบายใจเท่ายามที่คุยกับใครคนนั้น
ถ้าเธอไม่ได้หลอกหัวใจตัวเองอยู่ ทำไมต้องหงุดหงิดถ้าไม่ได้คุยกับซอฮยอน แล้วที่เดินเข้าไปแยกร่างบางกับยูริที่ฟังเพลงด้วยกันอยู่ในตอนนั้น ความจริงแล้วเธอทำเพื่อให้เจสสิก้าได้คุยกับยูริ หรือเป็นการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้คุยกับซอฮยอนกันแน่
ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน คนไหนคือใช่ คนไหนคือชอบ แล้วความรักของเธอตอนนี้มันอยู่ที่ใคร!
ยุนอาหลับตาลงช้าๆ อย่างครุ่นคิด เคยเจ็บเพราะเจสสิก้ามาก็มาก หากนั่นคือความเจ็บปวดจากความรักที่แท้จริงอย่างนั้นหรือ... เคยยิ้มเมื่อเห็นเจ้าหญิงน้ำแข็งมีความสุข มันเป็นความรู้สึกที่มากกว่าความวังดีจากน้องสาวคนหนึ่งใช่มั้ย
คิดแล้วก็ไม่เคยเข้าใจหรือค้นคำตอบให้ตัวเองได้เสียที รู้แค่ว่าเธอทำร้ายความรู้สึกของยูริไปจนหมดสิ้น พี่สาวที่เธอรักคงจะโกรธเธอ อาจจะอยากเกลียดเธอไปเลยก็ได้ แต่จะให้เธอทำเช่นไร ใช่ว่ายุนอาเองก็อยากให้เรื่องมันเลวร้ายอย่างนี้ ถ้าเลือกได้เธอคงระบายความรักที่มีต่อเจสสิก้าให้ซอฮยอนฟังเพียงคนเดียว โดยไม่ต้องให้คู่รักอย่างนั้นต้องแตกหักกันตั้งแต่ทีแรก
อีกแล้ว! ทำไมใบหน้าของซอฮยอนต้องเข้ามาอยู่ในหัว เวลาที่เธอคิดถึงเจสสิก้าทุกที มันเป็นความรู้สึกซ้ำซ้อนกันอย่างที่เธอเองก็แยกไม่ออก เพียงแต่ไม่ปรารถนาให้มันเป็นเช่นนี้เลยจริงๆ
อยากรับรู้ได้ถึงหัวใจ ความรักที่เธอมอบให้ใคร ไม่ใช่เป็นคนสับสนอยู่อย่างนี้ แปลกนะ...ทั้งที่เคยคิดว่าถ้าเจสสิก้าต้องเดินไปกับยูริ มันคงจะเจ็บทรมายแทบตาย หากยามนี้กลับเป็นความรู้สึกเจ็บหนึบๆ ที่หัวใจ ไม่ช้ำ ไม่ทรมาน ไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย หากมันแค่ใจหายแต่โหวงเหวงไปบ้างเท่านั้น
“ซอ...พี่ขอโทษนะ” เธอพูดเบาๆ กับตัวเอง อย่างที่ใครอีกคนคงไม่รับรู้
แสงแดดที่สาดทอมาทางหน้าต่าง ทำให้คนที่กำลังหลับอยู่เริ่มเคลื่อนไหว ดวงตากระพริบถี่ๆ เพื่อปรับสภาพแสงจัดจ้านที่กระทบสายตา เจสสิก้าผุดลุกขึ้นช้าๆ ภายในห้องไม่มีใครอื่นนอกจากเธออีก ทำให้อดรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาไม่ได้ เรื่องเมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้น เธอจำได้เพียงแค่กำลังรั้งขาของยูริเท่านั้น แต่สุดท้ายใครอีกคนก็สะบัดมันออกอย่างไม่ใยดี และสติทั้งมวลก็พลันวูบหายไป
เธอมาอยู่ที่เตียงนี่ได้ยังไงกัน? ทิฟฟานี่กับแทยอนก็คงไม่ใช่แน่ ยิ่งซูยองกับซันนี่ยิ่งไปกันใหญ่ ส่วนจะให้เป็นยุนอากับซอฮยอนน่ะหรอ เธอว่าน้องทั้งสองคงปวดหัวใจกับความรักของตัวเองมากพออยู่แล้ว
ชั่ววูบหนึ่งของความคิด หญิงสาวปรารถนาเหลือเกิน ว่าคนที่พาเธอมาที่นี่จะเป็นยูริ ทว่าเป็นไปได้หรือ ในเมื่อร่างสูงดูจะโกรธเธอมากขนาดนั้น แถมยังทำราวกับว่าไม่เคยใช้คำว่ารักด้วยกัน
ความคิดที่จะลุกขึ้นจากเตียงไม่มีอีก เธอล้มลงกลับไปนอนที่เดิม จะให้เธอลุกขึ้นต่อสู้ยังไงไหว ในเมื่อกำลังใจ ความรัก ทุกอย่างที่เคยมีพังสลายลงไปหมดแล้ว
เสียงเปิดประตูห้องดังขึ้น ทำให้ร่างบางลืมตามองผู้มาใหม่ช้าๆ ด้วยความหวังว่าจะเป็นใครที่เธอเฝ้ารออยู่ หากเธอต้องผิดหวังเมื่อคนที่เข้ามากลับกลายเป็นทิฟฟานี่แทน
“เจส...เป็นไงบ้าง” คำถามนั้นทำให้เจสสิก้าอยากย้อนถามกลับไปเหลือเกิน จะให้เป็นไงล่ะ! เจ็บเจียนตายเลยล่ะมั้ง
“ย...ยูลเดินจากฉันไปแล้ว เค้าไม่ให้โอกาสฉันเลย” พูดแล้วหยาดน้ำตาก็รินไหลลงมา ความเข้มแข็งที่เคยมี ดูเหมือนมันจะหายไปเนิ่นนานแล้วตั้งแต่ที่รู้ตัวว่ารักยูริแค่ไหน หึ...คนโง่ คนเลว คนโลเล จะประณามเธอว่ายังไงอีกดี เธอยอมรับว่าเธอโง่ที่ปล่อยให้คนรักหลุดมือไป ทว่าเธอไม่มีโอกาสแก้ตัวจริงหรอ
“ยูลเค้าก็ต้องการเวลาน่ะเจส เรื่องแบบนี้มันทำใจยากอยู่นะ” ทิฟฟานี่กล่าวแล้วดึงเพื่อนรักของเธอมากอด มันเป็นความรักระหว่างเพื่อนที่บริสุทธิ์ เกินกว่าจะก้าวข้ามเขตไปเป็นคนรักได้ ถึงแม้จะมีกระแสเจนี่ออกมาแรงแค่ไหน ทว่าหัวใจของพวกเธอต่างรู้ดี ว่ามันมีไว้เพื่อรักใคร
“ฟานี่...ฉันจะอยู่ต่อไปได้ยังไง ถ้ายูลทิ้งฉันจริงๆ ฮึก...เธอก็รู้ ฉันไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เห็น ฉันเคยมียูลคอยอยู่เคียงข้าง พอตอนนี้ไม่มียูลอีก...ฉันก็ไม่อยากจะอยู่แล้ว” เสียงสะอื้นฟูมฟาย เพื่อให้สาสมกับความทรมานที่มีทำให้ทิฟฟานี่ได้แต่ปลอบโยน
“จะบ้าหรอเจส เธอต้องอยู่ได้สิ ถึงยูลจะกลับมาหรือไม่ เธอก็ต้องอยู่”
“ยูลเป็นลมหายใจของฉัน ฟานี่ตอบฉันสิ ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไงถ้าไม่เหลือหัวใจ ไม่เหลือลมหายใจ มีเพียงแค่ร่างที่ไร้ทุกสิ่งทุกอย่าง...” มือกำชายเสื้อคนที่โอบเธออยู่แน่นอย่างต้องการพักพิงใจที่เหนื่อยล้า ลมหายใจที่อ่อนแรงลงทุกวัน จนเธอกลัวว่ามันจะหยุดลงได้ในทุกเมื่อ หัวใจที่เต้นช้าลงทุกที เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ามันขาดความรักหล่อเลี้ยงให้เต้นต่อไปได้ เจสสิก้ารู้สึกว่าทุกสิ่งมันสิ้นหวังเหลือเกิน เธอพยายามทุ่มเทเพื่อยูริ แต่มันกลับเป็นเวลาที่ใครอีกคนไม่ต้องการเสียแล้ว
“เจส... เจสตอบฉันนะ” ทิฟฟานี่ค่อยๆ คลายอ้อมกอดอยู่ เธอประคองใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของคนตรงหน้า นิ้วค่อยๆ เกลี่ยหยาดน้ำใสให้แผ่วเบา ก่อนจะยื่นกระจกให้เจสสิก้า
“เธอเห็นใครในนั้นมั้ยเจส” คนถูกถามจ้องมองกระจกที่สะท้อนภาพตนเองด้วยความสงสัย เห็นใครหรอ...ก็เห็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ที่เสียใจกับความรัก ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะเหลือ ใบหน้าที่ซีดเซียวลง บดบังความสวยงามที่เคยมี
ใครกันนะ...ที่อยู่ตรงหน้าเธอ...
“เห็นสิ”
“รู้จักเค้ามั้ย รู้มั้ยว่าเค้าชื่ออะไร” ทิฟฟานี่ถามต่อเสียงอ่อนๆ ขณะที่เจสสิก้าก็ไม่รู้ว่าคนผมสั้นจะเล่นอะไรกับเธอกันแน่ เพียงแต่อย่างน้อยๆ มันคงทำให้เธอเลิกฟุ้งซ่านได้พักหนึ่ง
“รู้จัก ชื่อจอง เจสสิก้า”
“เป็นอะไรกับเค้า”
“เป็น...ตัวเค้า” เจสสิก้าจ้องมองตัวเองในกระจก นั่นสิ...เธอยอมรับไม่ได้เต็มปากเต็มคำเลย เงาในนั้นเหมือนไม่ใช่ตัวเธอ ไม่ใช่จอง เจสสิก้า เจ้าหญิงน้ำแข็งคนเดิมที่ใครๆ เคยรู้จัก เป็นเพียงแค่หญิงอ่อนไหวเจ้าน้ำตาเท่านั้นเอง
“เธอรักเค้ามั้ยเจส” ทิฟฟานี่ถามเป็นความนัยแอบแฝง ให้คนฟังแทบสะอึก
“รัก...สิ” เจสสิก้าตอบเสียงแผ่วเบาลงทุกที รักเค้ามั้ย...เธอรักคนที่กำลังร้องไห้ตรงหน้าเธอ รักคนที่มีใบหน้าเหมือนเธอ คนที่กำลังเจ็บช้ำทรมานคนนั้นมั้ย
“แล้วเธอเคยรักใคร มากกว่าคนในนั้นรึเปล่า” สิ้นคำถาม คำตอบที่ทิฟฟานี่ได้รับคือการโผเข้ากอด และร้องไห้จากเจสสิก้า แผ่นหลังบางสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น มือที่เคยถือกระจกอยู่ปล่อยลงข้างลำตัว ก่อนจะยกขึ้นมาลูบผมยาวของคนเสียใจเบาๆ
“ยูลเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอก็จริง แต่ชีวิตเธอยังเป็นของเธอนะเจส รักตัวเองบ้าง...ถ้าเธออยู่ไม่ได้เมื่อขาดยูล มันหมายความว่าเธอจะยอมแพ้แค่นี้หรอ... ถ้าเธอจะไม่มีลมหายใจเมื่อไม่มียูล ก็พยายามใหม่ เพื่อดึงลมหายใจนั้นคืนมา น้ำตาคือสิ่งที่ระบายความเจ็บปวด แต่สุดท้ายสิ่งที่เยียวยาได้ดีที่สุด คือหัวใจที่เข้มแข็งของเธอเองนั่นแหละ” คำปลอบโยนไม่ได้ทำให้เจสสิก้าหยุดร้องไห้ แต่กลับกลายเป็นว่ายิ่งเสียน้ำตามากขึ้นไปอีก
“เมื่อคืน...ยูลไม่ได้นอนที่ห้องหรอกนะ เค้าเป็นคนพาเธอมาที่นี่ แล้วก็นอนกับเธอจนถึงเช้า เพราะเค้าไม่อยากปล่อยเธอไว้คนเดียว... ยูลน่ะรักเธอมากแค่ไหนเธอเองก็รู้ดี แต่เค้าเจ็บเพราะเธอขนาดนั้น ก็เลยต้องใช้เวลาในการสมานแผลใจของเค้าบ้าง”
“แล้วฉันควรทำยังไงล่ะฟานี่ ยูลถึงจะให้โอกาสฉันพิสูจน์ตัวเองซะที”
“เธอใช้เวลาเพียงคืนเดียว ทำลายความรักและหัวใจที่มีต่อเธอมาตลอดสองปีจนหมดสิ้น... พูดขอโทษ อ้อนวอนยังไง ความรู้สึกที่เสียไปแล้ว มันก็ไม่กลับคืนมาง่ายๆ หรอกนะ” ถึงรู้ว่าเจสสิก้าจะเจ็บถ้าได้ยินอย่างนั้น แต่ทิฟฟานี่อยากให้เพื่อนอยู่กับความเป็นจริง มากกว่าจะให้ความหวังที่ลวงหลอกแล้วต้องจมอยู่กับความฝันที่เจ็บช้ำซ้ำๆ
“คำว่าเธอรักยูลน่ะ ใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยวนาทีเพื่อพูดมัน แต่การจะแสดงให้เห็นว่าเธอรักยูลมากแค่ไหน มันอาจต้องใช้เวลาตลอดชีวิต อยู่ที่ว่าเธอจะทำได้มั้ย”
“ฉันจะทำทุกอย่าง เพื่อให้รู้ว่าทุกสิ่งที่ฉันพูดเป็นความจริง ว่าหัวใจที่โลเลของฉัน มันให้คำตอบตัวเองได้ในวันที่สายเกินไป”
“มันไม่สายเกินไปหรอกเจส ร้องไห้ได้แต่อย่าฟูมฟาย มันไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากดึงตัวเองกลับไปเจ็บที่เดิม ให้ความรักของเธอเป็นเครื่องพิสูจน์ตัวเองนะเจส”
“ขอบคุณมากฟานี่ ขอบคุณจริงๆ” เจสสิก้าพึมพำขอบคุณ ขณะทิฟฟานี่ได้เพียงแต่ยิ้มพร่ำบอกว่าไม่เป็นไร แล้วปล่อยให้ร่างบางจมอยู่กับความคิดของตัวเอง เพื่อไตร่ตรองเรื่องราวทุกอย่างที่ผ่านเข้ามา แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อถูกโอบกอดทางด้านหลังจากคนที่ยืนรออยู่หน้าห้อง ใบหน้าที่เกยไหล่อยู่ ทำให้ทิฟฟานี่รับรู้ได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ ที่ทำเอาหัวใจแทบละลาย
“วันนี้คนรักของฉันพูดดีจัง” แทยอนยิ้มกริ่ม
“ฉันก็แค่อยากให้ยูริกับเจสสิก้ากลับมาคืนดีกันเหมือนเดิมน่ะ ในเมื่อหัวใจต่างตรงกันทั้งคู่ เหลือเพียงแค่ให้เวลาทุกอย่างเป็นเครื่องพิสูจน์ก็เท่านั้น”
“อืม ดีแล้วล่ะ ความรักที่ได้มายาก จะได้รู้ว่ามันมีค่ามากเพียงใด” แทยอนพึมพำ ขณะพลิกคนรักให้หันกลับมาหาตนเอง “ฟานี่ก็เหมือนกันนะ รักคนในกระจกให้มากๆ มากกว่าฉันก็ได้... ไม่มีอะไรคงอยู่ตลอดไปหรอก ความรักของเราก็เหมือนกัน ถ้าวันใดวันหนึ่งที่เราต้องเกิดปัญหา สัญญากับฉันนะ ว่าฟานี่จะต้องเข้มแข็งเพื่อคนในกระจกที่เธอมองเห็น”
“ไม่เอาสิแทแท อย่าพูดเป็นลาง” ใบหน้าที่คิดมากของทิฟฟานี่ทำให้แทยอนยิ้มออกบางๆ เธอเขย่งปลายเท้าก่อนจะแตะเรียวปากบางบนหน้าผากมนด้วยความอ่อนโยน
“อนาคตมันไม่แน่นอนหรอกฟานี่ เอาเป็นว่าวันนี้เธอรักฉัน ฉันรักเธอ เรารักกัน และเราจะทำวันพรุ่งนี้ให้เป็นอย่างวันนี้ทุกๆ วันเลย”
“ฉันก็อยากให้พรุ่งนี้เป็นอย่างวันนี้เหมือนกัน” ทิฟฟานี่พูดก่อนจะกอดคนตรงหน้าหลวมๆ
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่แน่นอน และไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเราได้ตลอดไป ยามนี้เวลาที่มีอยู่ควรใช้ให้คุ้มค่ามากที่สุดเท่าที่ต้องการ เพราะเมื่อสิ่งนั้นจากเราไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่และมีค่ามากที่สุดก็คือ
...หัวใจของเราเอง...
“กินไอติมมั้ยซอ” ถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ เพราะไอศกรีมโคนรสช็อคโกแล็ตถูกยื่นมาตรงหน้าซะแล้ว นิโคลนั่งลงข้างๆ ร่างบางแล้วละเลียดกินไอศกรีมของตนเองบ้าง
“ทำไมถึงอยากมาเที่ยวกับฉันล่ะ” ซอฮยอนถาม เธอไม่ได้มองคนที่กำลังซบไหล่อยู่ข้างกาย ทว่ากลับมองไปรอบๆ ส่วนสาธารณะมากกว่า บนม้านั่งอาจมีเพียงเธอสองคน แต่ท่ามกลางความกว้างของสนามหญ้านั้นกลับมีผู้คนอีกมากมาย ภายใต้รอยยิ้มที่มีให้แก่กัน เด็กสาวก็อยากรู้เหมือนกันว่าลึกลงไปพวกเขาต้องฝืนยิ้มมั้ย พวกเขาจะมีความสุขอย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า
“เอาตรงๆ นะ ฉันอยู่กับเธอแล้วสบายใจดี อีกอย่างฉันรู้ว่าเมื่อวานเธอเสียใจ ฉันก็เลยอยากให้เธออยู่กับฉันแล้วสบายใจบ้างไง” บทจะตรงนิโคลเองก็ตรงซะเหลือเชื่อ แต่ใช่ว่าซอฮยอนจะรังเกียจหรืออะไร หากเธอกลับยินดีเสียมากกว่า เพราะเธอเองก็ชอบความตรงไปตรงมาเหมือนกัน
ไม่ใช่ความอ้อมค้อม เหมือนจะรักแต่กลับกลายเป็นว่าหักเลี้ยวไปทางอื่นแทน!
“ฉันรู้ว่าฉันไม่ใช่ใครที่เธอต้องการ แต่ขอแค่เวลานี้ที่มีแค่เราสองคนก็คิดถึงแต่ฉันได้มั้ย”
“ไม่รับปากนะ...” ซอฮยอนหันกลับมา ใบหน้าของคนที่เคยบนไหล่ห่างกับเธอเพียงเล็กน้อย เธอคงไม่รู้ว่าหัวใจของนิโคลเต้นแรงขนาดไหน ช่างต่างจากของเธอที่เงียบสนิท ไม่สั่นไหวหรือเผลอไผลไปกับคนๆ นี้เลย ต่อให้ใกล้ชิดกันอย่างเพื่อนสนิทหรือเกินเพื่อนมากเพียงใด ทว่าก็ไม่เท่ากับใครอีกคนแม้อยู่ไกลแค่ไหน แต่หัวใจกลับโหยหาอยู่เสมออย่างไม่ควรเป็น
“ฮ่าๆ รู้แล้วล่ะว่าเธอทำไม่ได้ ช่างมันเถอะ ฉันก็พูดไปอย่างนั้นเอง อย่าใส่ใจเลย”
“คำว่าพี่น้อง มันมั่นคงกว่าคนรักจริงหรอนิโคล”
“หืม? ฉันก็ไม่รู้สิ ฉันว่านะ ถ้าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน จะรูปแบบไหนมันก็ยืนยาวได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเพื่อน พี่น้อง หรือคนรักก็ตาม ความจริงแล้วเรื่องนี้มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่เรายืน เพียงแต่หัวใจของเราเองต่างหาก บางทีใจตรงกันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นอยู่ข้างกันในฐานะแฟน หรือถ้าเป็นคนรักกันความรู้สึกจริงๆ อาจแค่พี่น้องก็ได้ อย่ายึดติดกับสิ่งภายนอกนักเลย ให้หัวใจที่เรารู้จักกับมันจริงๆ ตอบดีกว่า ว่ามันเป็นยังไง” คำอธิบายยาวเหยียด ทำให้ซอฮยอนต้องเก็บมาคิด อย่ายึดติดกับสิ่งภายนอกงั้นหรอ...
‘ซอเราจะเป็นแบบนี้กันตลอดไปนะ มีพี่กับซอยืนอยู่ข้างๆ กันตลอดไป’
‘พี่อยู่กับซอแล้วสบายใจที่สุดเลย พี่ไม่เคยรักใครได้อย่างซอจริงๆ ถึงไม่ใช่แบบแฟน แต่พี่จะเก็บความรู้สึกอย่างนี้ไว้ให้ซอคนเดียว’
‘พี่ไม่ชอบเห็นซอร้องไห้เลย แต่ถ้าซอร้องไห้เมื่อไหร่ พี่สาวคนนี้จะเช็ดน้ำตาให้เองนะ’
“ขอบคุณนะนิโคล ฉันคิดอะไรได้เยอะเลยล่ะ” รอยยิ้มแรกอย่างบริสุทธิ์ใจ โดยไม่ต้องฝีนยิ้มทั้งที่ใจด้านชาเป็นครั้งแรกในรอบกี่เดือนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าซอฮยอนไม่เคยยิ้มอย่างนี้ได้มาก่อนเลย
“ดีแล้ว อีกอย่างที่ฉันอยากจะบอกเธอก็คือ ความรักมันก็เหมือนไอติมนี่แหละ”
“ทำไมหรอ”
“ก็ไอติมช็อกโกแล็ตในมือเธอน่ะ... มันมีทั้งขมและหวานใช่มั้ยล่ะ แต่ถ้ามีหวานอย่างเดียว มันคงเลี่ยน กินได้ไม่นานก็อยากจะเปลี่ยนรสชาติ เปลี่ยนแท่งใหม่ ถ้าขมเกินไปมันก็รับไม่ไหว จนอยากเลิกกินซะดื้อๆ แต่ถ้ามีสองอย่างควบคู่กันไป มันก็ทำให้ชีวิตเรามีรสชาติขึ้น” นิโคลพูดพลางขณะเอนกายพิงคนที่กำลังโอบไหล่เธออยู่ ความอบอุ่นจากซอฮยอน ขอแค่ช่วงเวลาสั้นๆ นี้ที่เธอจะได้รับมันก็เพียงพอแล้ว ให้เธอเองก็มีโอกาสได้ลิ้มรสช็อกโกแล็ตนี้อีกซักพัก
“ไม่มีอะไรเศร้าที่สุดหรือเจ็บที่สุด ในขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไรสุขที่สุดเหมือนกัน ทุกอย่างมีสองด้านทั้งนั้น อยู่ที่เราเลือกจะมองมุมไหน ความเจ็บปวดน่ะ ที่จริงแล้วอยู่ในหัวใจของเราเองต่างหากว่าเราจะเลือกอะไร”
“ข...ขอบใจนะนิโคล” ซอฮยอนยิ้มให้คนที่เธอเลือกว่าเพื่อน แต่อยู่ๆ กลับรู้สึกว่าภาพมันพร่าเลือนพิกล เธอพยายามกระพริบตาถี่ๆ หากเสียงเรียกชื่อของเธอจากปากนิโคลช่างเลือนลางหายออกไปทุกที โลกทั้งใบราวกับถูกฉาบไว้ด้วยสีดำที่มืดสนิท...
“พี่มันเป็นพี่ที่แย่ใช่มั้ยซอ...” ยุนอาพึมพำขณะดึงมือของคนที่กำลังนอนหลับอยู่ขึ้นมากุมแนบแก้มไว้แน่น เธอเป็นห่วงคนๆ นี้มากแค่ไหน ตอนที่รู้ว่าอยู่ๆ ซอฮยอนก็หมดสติลงไป เพราะอาการไข้ขึ้นค่อนข้างสูง รวมถึงร่างกายที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ยุนอาจึงได้แต่โทษตัวเองซ้ำๆ ว่าเธอดูแลซอฮยอนไม่ดีพอ
“อย่าโทษตัวเองเลย ถ้าซอรู้ ซอคงไม่อยากให้ยุนต้องรู้สึกแบบนี้” ฮโยยอนพูดปลอบทั้งที่ตนเองก็ร้อนรนไม่ต่างจากคนข้างกายเท่าไหร่นัก อยากโทษตัวเองเหมือนกัน ที่แม้รู้ดีว่าเมื่อเช้าซอฮยอนไม่ค่อยสบาย ยังยอมให้ออกไปกับนิโคลอีก เธอมันบ้าแท้ๆ เลยฮโยยอน แค่น้องรักคนเดียว ทำไมยังปกป้องไม่ได้
สมแล้วล่ะ ที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของใครเลย...
“อื้อ...” เสียงครางแผ่วดังมาจากคนที่กำลังหลับอยู่ให้ทั้งสองต่างพากันตกใจ ยุนอาเขย่าร่างบางเบาๆ
“ซอ! เป็นไงบ้าง” ถามทันทีเมื่อเห็นซอฮยอนลืมตาตื่นขึ้นมาเสียที ขณะที่ฮโยยอนกลับเลือกจะเดินออกจากห้องของตนเองและเด็กสาวออกไป บางทีถึงแม้คนที่เราต้องการเขามากแค่ไหน เขาอาจไม่เคยต้องการเราเลยก็ได้ แล้วเรื่องอะไรที่เธอต้องอยู่ให้เห็นภาพบาดใจด้วยเล่า ในเมื่อหัวใจเราก็มีขนาดแค่กำปั้น เธอจึงไม่อยากให้มันต้องมาเจ็บช้ำได้ง่ายๆ
“ม...ไม่เป็นไรค่ะ แค่หน้ามืดนิดหน่อยเอง” ซอฮยอนส่ายหน้ายิ้มๆ
“หน้ามืดไปตั้งเกือบสี่ชั่วโมงเนี่ยนะ!” ยุนอาแทบตะโกน ใครจะรู้บ้างว่าเธอแทบบ้าตายแค่ไหนตอนนิโคลโทรมาบอก ซอฮยอนเป็นคนที่ดูแลรักษาสุขภาพดีมาก จึงไม่ใช่เรื่องเลยที่เธอจะมาหน้ามืดเป็นลมเอาง่ายๆ เช่นนี้ ยิ่งคิดยุนอาก็โยนความผิดทั้งหมดกองที่ตัวเอง เพราะเธอนั่นแหละ ทำให้ร่างบางต้องเป็นอย่างนี้ เธอเป็นพี่ที่แย่จริงๆ
“พี่ขอโทษที่ไม่ได้ดูแลซอ ขอโทษที่เมื่อวาน...” เธอกำลังจะพูดความในใจ ว่าขอโทษที่เมื่อวานเผลอทำตัวเหินห่าง เนื่องจากตั้งรับไม่ทัน ทว่ามือเรียวของใครอีกคนยกขึ้นมาทาบทับเสียก่อน
“เรื่องเมื่อวานก็ส่วนเมื่อวานค่ะ พอแล้ว...อย่าพูดถึงมันอีกเลย” ซอฮยอนรีบห้ามเสียก่อน บาดแผลที่เคยถูกกรีด มันไม่ได้หายง่ายๆ ถ้ามีอะไรไปสะกิด แผลที่พยายามปิดไว้ก็อาจฉีกขาดขึ้นมาอีก เธอไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นแล้ว ให้แผลมันแห้งตกสะเก็ดไปตามกาลเวลาดีกว่า... ไม่ไปโดนมันก็ไม่เจ็บหรอก!
“ค่ะ พี่จะไม่พูดแล้ว พี่ขอโทษนะถ้าพี่ดูแลซอไม่ดี ทำให้ซอต้องไม่สบาย ทำให้ซอต้องเจ็บ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ซอไม่ได้โกรธพี่” ซอฮยอนนึกดีใจเหลือเกิน ที่ความหมางเมินเมื่อวานกลับเลือนหายไปบ้าง คำว่ารักมันอาจทำให้เราห่างกัน แต่หัวใจสองดวงมันกลับผูกพันจนแยกออกไม่ได้แล้ว ยุนอาเองก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวตีจากคนๆ นี้ทำไม มันไม่มีเหตุผลเลยซักนิด ที่เธอจะปล่อยให้คำๆ เดียว ทำลายความสัมพันธ์นับหลายปีลงได้ อีกอย่างคือความเป็นห่วงที่เธอมีใครซอฮยอนมันก็มากมายเสียจนล้น คงให้คำตอบได้เป็นอย่างดีว่าเธอและซอฮยอนคงไม่อาจไกลห่างจากกันได้เลย
“พี่สัญญานะว่าต่อจากนี้จะเป็นพี่สาวที่ดี พี่อยากดูแลซอตลอดไปเลย”
“ได้ ค...แค่นั้นก็ดีแล้วค่ะ” ซอฮยอนโผเข้ากอดยุนอา พอกันทีเถอะกับความหวังลมๆ แล้งๆ พอกันทีกับการยึดติดแต่สิ่งเปลือกนอกของตนเอง
เธอเคยเจ็บมามากเพราะมัวแต่เฝ้ารอวันที่ยุนอาจะหัวใจตรงกับเธอ เฝ้ารอคำว่ารักจากร่างสูงที่จะเปลี่ยนไปจากฐานะพี่น้องบ้าง ฝังใจรออยู่กับแค่คำๆ เดียว หากเธอลืมมองย้อนกลับไปว่าทุกการกระทำและคำพูดของยุนอาที่มีต่อเธอมันสำคัญมากแค่ไหน ทั้งที่ตลอดเวลาที่ยืนเคียงข้างกัน ยุนอาก็แสดงทุกอย่างให้เห็นเด่นชัดเจนอยู่แล้ว เธอต่างหากที่เป็นคนมองข้ามมัน แล้วเลือกจะฝังตัวเองอยู่กับความเจ็บช้ำ
ยุนอามองร่างบางในอ้อมกอดตัวเองด้วยความรู้สึกหลากหลาย อาจเพราะเธอพยายามขีดเส้นกั้นความสัมพันธ์ระหว่างตนและซอฮยอนเอาไว้ ไม่อยากให้มันเกินเลยคำว่าพี่น้อง ซึ่งถึงแม้ภายนอกเธอจะเป็นพี่น้องกัน แต่ความหวังดี และรักอย่างบริสุทธิ์ใจอย่างนี้ ยุนอาไม่คิดจะให้ใครอื่นอีกแล้ว
กำแพงที่กั้นไว้ไม่ให้พวกเธอก้าวข้ามเส้นระหว่างพี่น้อง อาจทำให้ความสัมพันธ์ในครั้งนี้ลึกซึ้งมั่นคงกว่าเดิม เนื่องจากไม่มีสิ่งใดจะทำลายเส้นกั้นนั้นลงไปได้ และถึงแม้จะไม่ได้ยืนเคียงข้างกันในฐานะคนรักก็ตาม หากท้ายที่สุด ความผูกพันและรักสลักแน่นก็คงผูกพันหัวใจทั้งสองดวงไว้ด้วยกันตลอดไป
...คำว่าแฟนหรือคนรักใครก็พูดได้ คำว่ารักสั้นๆ ใครก็เอ่ยได้ แต่การกระทำนับล้าน แม้ไม่ต้องแสดงให้มันชัดเจนมากไปกว่าสิ่งที่หัวใจต้องการ ทว่านั่นแหละที่ลวงหลอกกันไม่ได้...
“ยูล...ออกไปไหนมา” เจสสิก้าถามเสียงอ่อน เมื่อร่างสูงของใครอีกคนกลับเข้ามายังหอพักเสียที ทั้งที่เข็มสั้นของนาฬิกาใกล้จะถึงเลขสิบสอง และเพื่อนร่วมวงก็หลับกันหมดแล้ว
“เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ยูลจำเป็นต้องบอกเจสด้วยหรอ” เหตุการณ์หวั่นไหวเมื่อคืน ทำให้หัวใจที่เคยปิดตาย เผลอเปิดแง้มขึ้นมาอย่างที่เธอเองก็ไม่รู้สึก ยูริเผลอพูดแทนตัวเองด้วยคำพูดเช่นเดิมให้อีกคนได้นึกถึงวันคืนเก่าๆ และคิดว่าตนเองโง่มากที่ยอมปล่อยช่วงเวลาแห่งความสุขเช่นนั้นไป
“ไม่บอกก็ไม่เป็นไรหรอก แค่อยากให้รู้ว่ามีคนเป็นห่วงเท่านั้นแหละ” ท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจสสิก้าทำเอายูริแปลกใจไม่น้อย ร่างบางไม่ร้องไห้ทั้งที่เสียงค่อนข้างสั่นเครือ คนรักไม่ได้อ้อนวอน ขอร้องฟูมฟาย แต่กลับเลือกที่จะพูดความรู้สึกที่แท้จริงออกมาเสียมากกว่า นั่นทำให้ยูริถึงกับนิ่งอึ้งไป
“อย่าพูดออกมา ถ้าไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ” ยูริกำลังจะเดินหนี หากคนรักกลับมาขวางหน้าเธอเอาไว้เสียก่อน
“เจสจะพูดอย่างที่เจสรู้สึก”
“รู้สึกว่ารักคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันรึไง”
“ยูลหัดเป็นคนขี้ประชดตั้งแต่เมื่อไหร่หืม” ท้ายประโยคขึ้นเสียงสูงเบาๆ เจสสิก้าพยายามห้ามตัวเองไม่ให้ดึงคนที่ทำเป็นเย็นชามากอดไว้แน่น เธอเก็บความเจ็บปวดที่เคยมีไว้ให้อยู่ลึกสุดของหัวใจ พอกันทีกับความเจ็บช้ำ เธอปล่อยให้ทุกอย่างมันมาสายเกินไปแล้ว และเธอก็ไม่อยากเสียเวลาเพื่อหยาดน้ำตาพวกนั้นอีก เอาแต่ร้องไห้มันไม่มีประโยชน์อะไร น้ำตาไม่เคยช่วยให้ยูริเห็นใจหรือใจอ่อน ทว่ามันกลับดูอ่อนแอ และทำให้ยูริเจ็บมากยิ่งขึ้น เจสสิก้าจึงเลือกที่จะพิสูจน์ในคำพูดของตัวเองแทน
“ตั้งแต่โดนนอกใจมั้ง” ยูริประชดประชัน ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าตกลงเจสสิก้าต้องการอะไรจากเธอกันแน่ จะผลักไสกันไกลๆ ไปให้พ้น หรือรั้งเธอไว้ให้ยืนอยู่เคียงข้างเหมือนเดิม ยูริอยากเดินหนีจากความเจ็บปวดที่เคยเจอเหลือเกิน ทว่าขามันล้าจนหมดแรงจะก้าวต่อ เธอจึงได้แต่หวังว่า จุดที่เธอยืน จะไม่มีใครนำความทรมานมาเพิ่มก็พอ
“เจสจะพูดคำนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะยูล... จอง ซูยอนรักควอน ยูริ” คำพูดที่จริงใจ มั่นคงและหนักแน่น ให้ยูริรับรู้ได้จากทางสายตา ทำเอาหัวใจของเธออ่อนยวบลง เขาว่ากันว่าเจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย เธอจะโง่ไปมั้ย ถ้ายูริจะบอกว่าเธออยากเลือกที่จะก้าวกลับไปทนเหมือนเดิม ให้เป็นตัวอะไรก็ได้ ที่มีเจสสิก้าอยู่ข้างๆ...
“คำว่ารักพูดมากไป ยูลคงมองว่ามันไร้ค่า จะพูดเมื่อไหร่ก็ได้ แต่เจสแค่จะบอกยูลว่า เจสไม่พูดคำนี้กับใครถ้าไม่รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เจสขอโอกาสให้เจสได้แก้ตัวได้มั้ย เจสไม่ขอให้ยูลเปิดใจยอมรับเจสวันนี้หรือพรุ่งนี้ แต่ขอแค่ไม่ทำท่าทีเย็นชาใส่เจส...ได้มั้ย” คำหลังอ้อนวอนเสียงหวาน ทำให้คนที่กำลังหวั่นไหวและสับสนกับตนเองอยู่แล้วยิ่งไหวหวั่น ยูริอยากจะหลีกหนีไปให้พ้นๆ เหลือเกิน เพราะกลัวจะห้ามใจไม่ได้ ทว่าหัวใจไม่ฟังคำสั่งใด มันเลือกจะอยู่กับคนตรงหน้า
เป็นอย่างนี้อีกแล้ว ยูริจึงไม่เคยไปไหนพ้นได้เลย เหมือนมีพันธนาการรั้งเธอเอาไว้ตลอด ต่อให้ทำใจแข็ง อยากตัดใจ พูดจาทำร้ายเจสสิก้าไปขนาดไหน มันก็เหมือนบูมเมอแรง สุดท้ายมันจะย้อนกลับมาทำร้าย และคนที่เจ็บสุดก็คือเธอที่ต้องกลับมาเจ็บช้ำเองเหมือนเดิม
“กอดหน่อยนะ...” เจสสิก้าเปรยเบาๆ อย่างไม่ทันให้อีกคนตั้งตัว หญิงสาวก็เดินเข้าไปกอดร่างสูงทันที หัวใจของใครอีกคนเต้นแรงจนเธอสัมผัสได้ราวกับมีหัวใจข้างขวาอีกดวงหนึ่ง
อ้อมกอดที่เคยโหยหายามท้อแท้และอ่อนแอ ไม่มีใครกอดเธอแล้วรู้สึกอย่างนี้มาก่อน และเธอก็ไม่คิดว่าจะเป็นใครอื่นนอกจากยูริได้อีกด้วย ขอเพียงแค่กอดเดียวเท่านั้น จากนี้เรื่องระหว่างเธอและร่างสูงจะดีขึ้นหรือแย่ลง อย่างน้อยเธอขอจดจำวันเวลาดีๆ สัมผัสสุดท้ายในครั้งนี้ไว้ในหัวใจตลอดไป...
“เปิดใจ...ให้โอกาสเจสนะคะ” คำขอร้องไม่ได้รับคำตอบเป็นคำพูดจากยูริ มีเพียงมือที่เคยแนบอยู่ข้างกาย ยกขึ้นมากอดคนตรงหน้าหลวมๆ
ไม่ต้องมีคำพูดใด แต่แค่ยูริยอมเปิดใจให้เธอบ้าง ต่อจากนี้จะใช้เวลานานแค่ไหน เจสสิก้าก็จะไม่ท้อ เธอขอยอมทุ่มเทเพื่อความรักครั้งนี้แบบสุดๆ ซักครั้ง บทเรียนสำหรับคนหัวใจโลเล เธอก็ได้รับมันมาอย่างสาสม ตอนนี้หญิงสาวอยากได้เพียงแค่โอกาสให้เธอแก้ตัวก็เท่านั้น
เธอรู้ว่าทำร่างสูงเจ็บมามากแค่ไหน ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องใช้เวลาด้วยกันทั้งนั้น มันอาจไม่สำเร็จในวันนี้หรือพรุ่งนี้ ทว่ามันก็ต้องมีซักวันที่เธอจะได้กลับไปยืนอยู่ยังจุดเดิม ได้อยู่เคียงข้างกับยูริในฐานะคนรักอีกซักครั้ง
‘อาจใช้เวลาเพียงแค่เสี้ยววินาทีเพื่อบอกว่ารักใครซักคน
แต่อาจใช้เวลาทั้งชีวิต เพื่อแสดงให้เห็นว่ารักคนๆ นั้นมากเพียงใด’
เวลาทั้งชีวิตที่เหลือ เจสสิก้าก็จะขอใช้มันเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ทำให้อีกคนได้รับรู้ว่าหัวใจเธอขาดยูริไปไม่ได้จริงๆ ถึงแม้นานแค่ไหน เธอก็จะรอ...
...รอวันที่ยูริยอมให้อภัยและยอมรักเธออย่างเต็มหัวใจจริงๆ...
The End.
จบจนได้ค่ะ SF ปวดตับทั้งห้าพาร์ท
อยากบอกว่ารู้สึกพาร์ทนี้ไม่ค่อยปวดตับเลย
บุงว่ามันค่อนข้างอบอุ่นมากกว่านะคะ
พยายามสะท้อนหลายๆ มุมมองของความรักออกมาค่ะ (คำคมเลยกระจายว่างั้น?)
บุงคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสุขหรือเศร้าอยู่ที่เรากำหนดนั่นแหละค่ะ
อีกอย่างหนึ่งคือชอบมุกส่องกระจกมากๆ เพราะเคยโดนถามกับตัวมาอย่างนี้แล้ว
รักคนในกระจกรึเปล่า และเคยรักใครมากกว่าคนในนั้นมั้ย? ^^
ส่วนเรื่องอารมณ์ตัวละคร ออกแนวว่าเรื่อยๆ ตามเดิมค่ะ
เนื้อหาไม่เคลื่อนที่มากเท่าไหร่ แต่พยายามให้อารมณ์คงที่มากที่สุด
บทสรุปบุงคิดว่ามันออกมาชัดเจนและโอเคแล้วนะคะ
ถึงแม้มันจะไม่ได้สรุปชัดเจนตายตัวและแน่นอน
แต่มันพอให้คำตอบทุกท่านได้แล้วว่าเส้นทางของหัวใจทั้งสี่ดวงจะเป็นยังไง
สุดท้ายขอขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ถึงพาร์ทนี้นะคะ
ยังไงอ่านจบแล้วช่วยคอมเมนต์ติชมกันด้วยน้า
ไม่อยากกำหนดเมนต์ แต่ขอให้เยอะหน่อยเถอะ บุงอยากได้กำลังใจ >/|\<
แล้วเจอกันใหม่เมื่อชาติต้องการนะคะ ^^
ปล. มาตอบคำถามค่ะ ซึ่งคิดว่าอาจไม่เห็นก็ได้มั้ง (?)
เรื่องคำคมบุงก็แบบว่าแอบๆ จำเค้ามาใช้บ้าง เคยเจอกับตัวเองบ้าง (เอิ่ม ได้ข่าวเธออายุสิบห้า = =^)
ส่วนเรื่องรวมเล่ม
"รวมแน่นอน" ค่ะ รวม SF ทุกเรื่องที่บุงแต่งมาและกำลังจะแต่ง
รวมหมดเลยไม่ว่าจะชุด Believe, Why และทุกเรื่องที่เป็นเรื่องเดี่ยว
ยังไงก็ฝากอุดหนุนล่วงหน้าด้วยนะคะ ฮ่าๆ (ขายของแล้วชิ่ง)
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง) ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง)
ความคิดเห็น