[[SF-SNSD]] :+:why can't I love both:+: (Yuri)
อาจดูไม่ดีที่ฉันเป็นคนโลเล อาจดูแย่ที่ฉันเป็นคนหลายใจ แต่คนเลวคนนี้ก็เสียใจเป็น (YulSic+YoonSica) >> ภาคต่อของSFปวดตับที่มีคอมเมนต์เกิน 100! [ลงแล้วของจริงค่ะ TT]
ผู้เข้าชมรวม
7,574
ผู้เข้าชมเดือนนี้
14
ผู้เข้าชมรวม
หลังจากปล่อย SF ในเซ็ท "คำถามของหัวใจ" (?)
ออกมาทำลายตับของรีดเดอร์อย่างต่อเนื่อง
คราวนี้ก็มาถึงเรื่องของเจสซะทีค่ะ
ไม่มีอะไรจะพูดมากนอกจาก SF เรื่องนี้เป็นภาคต่อ
ถ้าใครยังไม่เคยอ่านสองเรื่องแรกอาจเกิดการสับสน
จนทำให้เสียอรรถรถในการอ่านได้
เพราะฉะนั้นเพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหา บุงขอแนะนำให้อ่านก่อนค่ะ
เริ่มด้วย "Why can't I love you" - เรื่องของคนแอบรัก
"Why can't you love me" - เรื่องของคนถูกทิ้ง
ส่วนเรื่องนี้ขอชื่อภาษาไทยว่า "เรื่องของคนหลายใจ" อิอิ
เอาล่ะ ขอให้สนุกกับความปวดตับให้เต็มที่นะคะ ^^
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
จอง เจสสิก้า
...ฉัน ผู้ซึ่งต้องเจ็บปวดจากความโลเลของตนเอง..
ควอน ยูริ
...เธอ ผู้ซึ่งเป็นได้เพียงแค่ตัวเลือก...
อิม ยุนอา
...เขา ผู้ซึ่งเป็นได้เพียงแค่ตัวสำรอง...
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
[[SF-SNSD]] :+:why can't I love both:+: (Yuri)
อาจดูไม่ดีที่ฉันเป็นคนโลเล
อาจดูแย่ที่ฉันเป็นคนหลายใจ
แต่คนเลวคนนี้... ก็เสียใจเป็น...
- - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
“กลับไปเดินทางที่เจสต้องการซะ...เราเลิกกันเถอะ” ถ้อยคำแผ่วเบาเหมือนดังมาจากที่แสนไกล ทำให้จอง เจสสิก้า เจ้าหญิงน้ำแข็งอย่างฉันถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะอะไรกัน คำบอกเลิกคบเบาๆ ที่ฉันเคยต้องการเพื่อปล่อยอิสระภาพให้ตัวเอง แต่มันกลับเจ็บทรมาน ทิ่มแทงหัวใจให้ขาดวิ่นได้ถึงเพียงนี้ ใบหน้าของยูริไม่มีร่องรอยของการล้อเล่นอย่างที่เธอเคยเป็นอยู่เสมอเลย มันมีแค่ความเจ็บช้ำจากการ ‘ทรยศ’ ของฉันอยู่ในนั้น
น้ำตาที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ไหลผ่านใบหน้ายูริเป็นสาย ขณะที่ฉันในยามนี้คงไม่ต่างกัน เงยหน้ามองเธออย่างคาดไม่ถึงกับสิ่งที่ได้ยิน ควอนยูริ...กำลังจะเดินจากฉันไป แค่คิดทุกอย่างก็เหมือนพังสลายลงตรงหน้าเสียแล้ว
ทั้งที่เคยรู้สึกและแน่ใจกับตัวเองมาโดยตลอด ว่าคนเดียวที่ทำให้ยิ้มหรือร้องไห้ได้มีเพียงอิม ยุนอา คนที่อยู่ในฐานะน้องสาวเท่านั้น แต่ทำไมกัน กับคนตรงหน้ามันช่างอึดอัดทรมานใจเสียยิ่งกว่า
ประโยคสั้นๆ คำเบาๆ อย่างหัวใจที่ใกล้สลายของเธอจะพอมีแรงพูด ฉันเพิ่งรู้ซึ้งว่าคำต้องห้ามคำนี้ ต่อให้พูดดังหรือเบาแค่ไหน ไม่ว่าอย่างไรมันก็เจ็บไม่ต่างกันเลย!!
“...” ลำคอตีบตัน อากาศที่กำลังหายใจเข้าดูเต็มไปด้วยควันพิษ จะไม่หายใจก็ขาดอากาศตาย แต่ถ้าหายใจมันกลับทรมานเหมือนยิ่งกรีดแทงหัวใจยิ่งกว่า ร่างของฉันที่ลุกขึ้นมายืนกับพื้นกำลังโอนเอนอย่างทรงตัวไม่อยู่ เธอดูอยากเข้ามาประคองคนอ่อนแอเช่นฉัน แต่มือที่กำแน่นอยู่นั้น บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่ายูริกำลังสะกดความต้องการที่มี ความเคยชินกำลังเคลื่อนผ่านเป็นเพียงวันเก่า
“อย่าร้อง...เจส” ถ้อยคำอ่อนโยนอย่างสั่นเครือจากเธอ มันไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ระหว่างเราในตอนนี้ดีขึ้นมาได้เลย เสียงร้องไห้ของฉันยังคงดังขึ้นในความเงียบ โลกนี้ที่มีแต่เรา มันเหมือนถูกฉาบลงด้วยสีเทาอันมืดครึ้ม ช่างเหน็บหนาวทรมานในขั้วหัวใจอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อนเหลือเกิน
“จะร้องให้มันได้อะไรขึ้นมาจอง เจสสิก้า” ยูริเบือนหน้าหลบ เพื่อไม่อยากให้ฉันเห็นหยาดน้ำตาของเธอที่ไหลออกมาไม่ต่างกัน “เธอไม่ได้รักฉัน ถึงแม้ฉันจะเป็นคนบอกเลิกเธอ แต่ถามจริงๆ ใครเป็นคนทิ้งไปก่อนกันแน่ ในเมื่อเธอเองก็มียุนอาอยู่ทั้งคน” คำพูดประชดประชัน ทำให้ฉันได้แต่ก้มหน้าหลบ อยากปิดหู อยากเดินหนีไปจากจุดนี้ แต่มันทำไม่ได้ ฉันเลยต้องทนฟังถ้อยคำที่เป็นเหมือนมีดทื่อๆ เมื่อแทงครั้งเดียวอาจไม่เข้า จึงต้องแทงซ้ำๆ หลายๆ ครั้งลงมากลางใจ ความรู้สึกเหมือนอยากตายให้พ้นๆ จากการทรมานแสนสาหัสที่เธอกำลังมอบให้นี่มันหมายความว่ายังไงกัน!?
“ถ้าเธอไม่เจ็บจริง อย่าร้องไห้ให้ฉันรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้ ในเมื่อคนเจ็บมันสมควรเป็นฉัน ที่เธอกับน้องสาวที่ฉันไว้ใจกำลังรักกัน” ไม่ใช่! ฉันเคยเจ็บเพราะต้องคอยมองยุนอาอยู่ห่างๆ อย่างไม่อาจได้ครอบครอง เนื่องจากมียูริอยู่แล้ว แต่มาครั้งนี้มันเป็นความเจ็บปวดคนละรูปแบบที่เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย...
“ไม่ต้องคบฉันเพื่อแฟนคลับอีก” เธอกลั้นเสียงสะอื้น “ครั้งนี้ฉันไม่โกรธเธอ เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ส่วนเรื่องของเธอกับน้องยุน...ขอให้รักกันไปนานๆ นะ อย่าให้เป็นแบบเรื่องระหว่างเรา” เท่านั้นร่างสูงของเธอก็ค่อยๆ ห่างไกลออกไปจากสายตา เลือดที่อาบมือของเธออยู่ตกกระทบลงบนพื้นเป็นทางยาว
เมื่อไร้ใครคนนั้น ความอ่อนแอที่ถาโถมเข้ามาในจิตใจ ผลักดันให้ร่างของฉันทรุดลงกับพื้นทันที แต่เพราะเศษจานที่ยังเก็บไม่หมดล่ะมั้ง ทำให้มันบาดบนเข่าของฉันเข้าเต็มๆ เส้นบางๆ ถ้าไม่สังเกตคงมองไม่เห็น เริ่มมีรอยเลือดซิบซึมออกมา ซึ่งมันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บแสบอะไรเลยซักนิด
...ในเมื่อตอนนี้หัวใจของฉัน มันกำลังด้านชาเหมือนที่ใครหลายคนยัยเยียดคำว่าเจ้าหญิงน้ำแข็งให้...
สาสมกันแล้วสิ ฉันทำเธอเจ็บมากขนาดนั้น ทำให้มือที่คอยประคองฉันต้องแปดเปื้อนไปด้วยเลือดจากความโง่เง่าของฉันเอง บางทีการโดนเศษจานจากใบเดียวกันบาดมันจะช่วยชะล้างเลือดของผู้หญิงโลเลไปบ้างซะก็คงดี
ทั้งที่เคยแน่ใจมาโดยตลอดว่าฉันรักยุนอา แต่เพราะความสนิทมากกันเกินเพื่อนระหว่างฉันและยูริทำให้เหล่าแม่ยกเชียร์คู่ฉันกับเธอจนเต็มบ้านเต็มเมือง ฉันจึงมีโมเมนต์กับเธอมากมาย หากทุกครั้งฉันกลับไม่เคยต้องฝืนเลย มันเป็นความต้องการของฉันเองล้วนๆ จนเมื่อเธอขอคบกับฉันมากกว่าแฟนเซอร์วิส... ซึ่งฉันในตอนนั้นก็กำลังสับสนกับหัวใจ และไม่เคยรู้จักความรักแท้จริง จึงตอบตกลงไปโดยไม่ลังเล
เรื่องราวมันบานปลายตรงที่...ฉันกลับเริ่มหวั่นไหวกับน้องคนรองขึ้นทุกที!
มาถึงตอนนี้ฉันอดตั้งคำถามไม่ได้ ว่าหัวใจฉันต้องการใครกันแน่ ใครกันที่ฉันรัก และใครกันที่ฉันเพียงแค่หวั่นไหวชั่ววูบ หรือเพราะฉันแยกความรักกับความผูกพันไม่ออกกันแน่ ถึงต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
มือเลื่อนไปกุมเข่าที่โชกเลือด ขณะอีกข้างใช้มันปิดปากเพื่อกลั้นเสียงสะอื้น
เจ็บทำไมล่ะจอง เจสสิก้า ที่ยูริพูดมันถูกต้องทุกอย่าง ฉันเป็นคนเลือกเดินบนทางเส้นนี้เอง ฉันเลือกที่จะรักยุนอา โดยโยนความอ่อนโยนจากยูริทิ้ง ทั้งที่ก็รู้ตัวว่าขาดมันไม่ได้... ฉันจะร้องไห้ เสียใจทำไม ฉันควรดีใจที่จะได้รักกับยุนอาอย่างไม่ตะชิดตะขวงใจ หรืออย่างน้อยฉันคงแค่รู้สึกผิด เมื่อต้องทำร้ายคนที่รักฉัน
หากทำไมทุกอย่างช่างกลับกันไปหมด...ฉันกำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว ก้อนเนื้อยังแผงอกด้านซ้ายเต้นแผ่วเบาลงทุกที เหมือนกำลังถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น มีดทื่อๆ ที่พยายามทิ่มแทงให้ลึกลงเรื่อยๆ มันทำให้เลือดแห่งความเจ็บปวดไหลเอ่อท่วมจนคับคั่งไปทั้งใจ
“เจส!” ฮโยยอนที่เดินเข้ามาร้องอย่างตกใจ เมื่อเห็นสภาพของฉัน เลือดจากบาดแผลเปรอะเปื้อนไปทั่วกางเกงขาสั้นกับเสื้อสีขาว ดวงตาที่บอบช้ำกับรอยคราบน้ำตาที่ไหลรินจนไม่มีจะรินไหล นี่คงให้คำตอบได้เป็นอย่างดี ถ้าฉันไม่เจ็บอย่างที่ยูริพูดกล่าวหา ฉันคงไม่เสียใจอย่างนี้
ถ้าฉันไม่ได้คิดอะไรกับเธอเลย ฉันคงไม่ทรมานเพราะการตัดสินใจของตนเอง
“เจสเป็นอะไร” ฮโยยอนเดินมาเขย่าตัวฉันที่กำลังเหม่อลอย นาทีนี้เหมือนโลกทั้งใบหยุดหมุนลง แค่คิดว่าเธอคงจากฉันไป กลับไปเป็นเพียงเพื่อนกันเหมือนเดิม และในฐานะเพื่อน ความอ่อนโยนจากใครคนนั้น คงไม่มีให้คนอ่อนแอคนนี้อีกแล้วสินะ มันจะทรมานแค่ไหนกัน ยามไม่มีเสียงนุ่มๆ ข้างหูคอยให้กำลังใจเมื่อเจอแอนตี้แฟน ไม่มีอ้อมกอดอันอบอุ่นที่คอยปลอบโยนยามอ่อนแอ ไม่มีแม้กระทั่งมือที่คอยซับน้ำตาเวลาฉันร้องไห้...
ฉันคงจะเป็นคนโลเลหลายใจจริงๆ ที่ทำให้ใครต่อใครต้องเจ็บเพราะฉันขนาดนี้ แต่ฉันก็เจ็บไม่แพ้คนอื่นเหมือนกัน แล้วเจ็บยิ่งกว่าเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากเธอ คนที่บอกว่ารักฉันมากมาย ฉันมันโง่เหลือเกินที่ทำร้ายเธอลงไป มาถึงตอนนี้ก็สายเกินที่จะเหนี่ยวรั้งทุกสิ่งทุกอย่างให้กลับคืนมาได้อีก
“ฮึก...ฮโย ฉันมันโง่ ฉันมันเลวเอง” ฟูมฟายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่คนข้างกายได้แต่กอดปลอบเบาๆ ความอ่อนล้าที่มีทำให้ดวงตาปิดลง พร้อมกับสติทั้งมวลที่ดับวูบในอ้อมกอดของเพื่อนนั่นเอง
‘มันช่างต่างจากตอนที่ยูริกอดฉันลิบลับเลย’
Seohyun’s Room
หลังจากที่ทนไม่ไหว ยุนอาเลยตามซอฮยอนเข้ามาในห้องนอนเพื่อจะถามให้รู้แล้วรู้รอด เธอเป็นพี่ที่สนิทกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่เด็ก หากไม่เคยเลยซักครั้งที่จะเห็นซอฮยอนร้องไห้จนตาแดงเหมือนคนอดนอนได้ขนาดนี้ ทั้งที่ปกติแล้วร่างบางมักดูแลสุขภาพอย่างดีเยี่ยมอยู่เสมอ
“พี่จะถามเป็นครั้งสุดท้ายนะซอ จูฮยอน” แม้จะถามนับกี่ครั้ง ที่ได้กลับคืนมาก็คือความเงียบและนิ่งเฉย ใบหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ รวมถึงดวงตาที่ไร้แวว ทำให้ยุนอาไม่อาจเดาได้เลย ว่าภายในแล้วน้องเล็กกำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ทำไมต้องเก็บซ่อนความรู้สึกของตนเองไว้ขนาดนั้น ทั้งที่รู้ว่ามันทำให้ต้องทรมานเช่นไรเนี่ยนะ
“ไม่ว่าพี่ยุนจะถามกี่ครั้ง ซอก็ตอบเหมือนเดิมค่ะ ว่าซอไม่ได้เป็นอะไร” ซอฮยอนยืนกรานคำตอบเดิมนับสิบรอบ ทั้งที่เจ็บจนแทบกลั้นไม่ไหว อยากร้องระบายออกมา แต่เพราะคนตรงหน้าคือคนที่เธอ ‘รัก’ แล้วอย่างนี้ซอฮยอนจะทำอะไรได้ นอกจากทนต่อไปล่ะ ในเมื่อถึงบอกไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มีเพียงแต่จะแย่ลงก็เท่านั้น อีกอย่างยุนอารักใครเธอก็รู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะยุนอาบอกเธอเป็นคนแรก!
ซอฮยอนจะห้ามได้ยังไง จะให้เธอบอกไปอย่างที่ต้องการน่ะหรือ ว่าไม่ต้องบอกเธอซักเรื่องได้มั้ย ยิ่งเรื่องยุนอาจะรักใครมากน้อยแค่ไหน เธอไม่อยากฟังเลยถ้าคนนั้นไม่ใช่เธอ แต่เนื่องจากคำว่าน้องสนิทที่ค้ำคออยู่ ซึ่งเธอคงเป็นได้แค่นั้น ทำให้ซอฮยอนต้องฝืนยิ้มรับฟังคำระบายต่างๆ ทั้งที่เธอก็อยากระบายไม่แพ้กัน
“ถ้าพี่ไม่เป็นห่วงพี่ไม่ถามเราหรอกนะซอ ตกลงซอร้องไห้ทำไม ใครทำอะไรบอกพี่สิ” ยุนอายื่นมือมาประคองแก้มใสไว้เหมือนที่เคยทำตลอดเวลาที่ผ่านมา หากซอฮยอนกลับปัดมันออกแล้วหันหน้าหนีทันที
คนที่ทำเธอร้องไห้...ก็ยืนอยู่ตรงหน้าแล้วนี่ไง!
“ซอไม่เป็นไรหรอกค่ะ ซอสบายดี ว่าแต่พี่ยุนกับพี่เจสเป็นไงบ้างคะ” ไม่มีเรื่องอื่นจะเปลี่ยนไปคุยแล้วใช่มั้ย ซอ จูฮยอน ถึงได้ย้อนกลับมาคุยเรื่องที่ทำให้เธอต้องทรมานทุกครั้งที่นึกถึงแบบนี้
“พี่รักพี่เจสไม่ได้ ซอก็รู้”
“คนเรามีสิทธิ์ที่จะรักใครก็ได้ค่ะ มันไม่ใช่เรื่องผิดหรอก” ไม่รู้ว่าเธอกำลังปลอบยุนอา หรือปลอบตัวเองกันแน่ เมื่อมันย้อนกลับเข้ามาแทงใจชัดๆ นั่นสิ...ไม่ใช่เรื่องผิดเลยที่เธอจะรักยุนอาเกินกว่าพี่สาวใช่มั้ย ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่อาจให้เธอได้มากไปกว่าคำว่าน้องเสียที
“พี่จะตัดใจจากพี่เจส...ถึงเราสองคนจะฝืนรักกันไปยังไง มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก พี่ทนไม่ได้ถ้าต้องเห็นพี่ยูลเจ็บปวด ยังไงพี่กับพี่เจสก็รักกันไม่ได้อย่างสนิทใจ” ยุนอาก้มหน้าต่ำ เธอจะกลับไปรักกับเจสสิก้าได้ยังไง เมื่อพวกเธอทั้งสองคนทำร้ายยูริไปมากมายขนาดนั้น ความรู้สึกผิดที่เข้ากอบกุมหัวใจ ทำให้เธอบอกตัวเองได้เพียง ความรักครั้งนี้มันไม่มีหวังตั้งแต่เธอเผลอคิดเกินเลยกับเจ้าหญิงคนนั้นแล้ว
“พี่จะตัดใจทำไมในเมื่อพี่ยุนกับพี่เจสก็คิดเหมือนกัน” ซอฮยอนพูดเสียงสั่น เธอคิดว่าเจ็บมาจนชินชาแล้วเสียอีก แต่ทำไมตอนนี้ก็ยังรู้สึกทรมานอยู่ไม่ต่างจากเดิม
“ก็ซอไม่เคยรักใครนี่ ซอไม่เข้าใจหรอกว่าความรักมันไม่ได้มีแค่คนสองคนที่รักกัน” ยุนอากล่าวเรียบเฉย ขณะอีกคนหัวใจแทบแหลกสลายไปแล้ว
หึ! ไม่เคยรักใคร... ไม่ว่ายังไงยุนอาก็ยังคงเห็นเธอเป็นเด็กเหมือนเดิม เด็กที่เอาแต่ดูการ์ตูนไปวันๆ ไม่เคยสนใจเรื่องความรัก ถ้าเธอไม่เคยรักใคร เธอจะต้องเจ็บอยู่อย่างทุกวันนี้มั้ย
“ใช่สิ! ซอมันก็แค่เด็กไร้สาระ เอาแต่ดูเคโระโระไปวันๆ ความรักบ้าบอเจ็บปวดอะไรนั่น ไม่เห็นอยากจะรู้จักเลยซักนิด!!” ทั้งที่คิดว่าเมื่อคืนร้องไห้จนน้ำตาเหือดแห้งแล้วแท้ๆ หากพอเจอเหตุการณ์เช่นนี้ หยาดน้ำอุ่นๆ ก็ไหลรินผ่านแก้มเนียนใสลงมาอย่างเจ้าตัวก็ไม่คิดจะปาดมันออก ไม่รักเธอเกินน้องสาว ซอฮยอนไม่เคยว่าเลย ขอเพียงแค่ให้ยุนอาเข้าใจคนแอบรักโดยไม่มีสิทธิ์แม้จะบอกความในใจอย่างเธอได้รึเปล่า
และความเจ็บช้ำจนหัวใจที่อ่อนแอเกินจะรับแผลอะไรเพิ่มเติมได้อีก ส่งผลให้ซอฮยอนพลักยุนอาที่ขวางอยู่เต็มแรง ก่อนจะเดินหนีออกจากห้องไปทั้งน้ำตา ให้ร่างสูงได้แต่มองตามอย่างมึนงง ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาจนไม่อาจประมวลผลได้
“ซอ...พี่ขอโทษที่เป็นพี่ที่ไม่ดีพอ ขนาดซอเสียใจเรื่องอะไร พี่ยังไม่รู้เลย...” คำขอโทษบางเบาเลือนหายไปในห้วงอากาศ มันอาจจะดีแล้วที่ซอฮยอนได้ไม่ยินคำพูดนั้นให้ต้องเจ็บหัวใจยิ่งกว่าเดิม...
‘พี่น้อง ความสัมพันธ์ของพวกเธอคงไม่มีวันเปลี่ยนแปลง แม้หัวใจดวงหนึ่งจะแปรเปลี่ยนไปแล้วก็ตามที’
เช้าวันต่อมา
บรรยากาศในโซนยอชิแดเงียบเหงาลงอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ซูยองที่เคยเฮฮาก็ขำไม่ออก เมื่อคู่หูคู่ฮาอย่างยูริเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่พูดไม่จา ขณะที่ซอฮยอนเองอาการแย่ลงกว่าเมื่อวานมากยิ่งขึ้น... ใครว่าน้องเล็กไม่เคยสนใจในความรัก ก็เพราะมันไม่ใช่หรอ ที่ทำให้ซอฮยอนต้องกลายเป็นคนที่เอาแต่เก็บอารมณ์ความรู้สึกของตนเอง จนไม่มีใครรับรู้ได้ว่าเธอเจ็บหรือเธอปวดร้าวมามากแค่ไหน
ฉันมองเพื่อนๆ ทั้งแปดที่นั่งกินข้าวกันอยู่ด้วยความรู้สึกว่างเปล่า... เช้านี้ช่างมืดมนเหลือเกิน แม้ฉันจะเป็นคนสุดท้ายที่ตื่นเหมือนเดิม ทว่ามันต่างออกไปจากทุกวัน
‘เจส...เช้าแล้วนะคะที่รัก ตื่นได้แล้ว’
เสียงอันคุ้นเคยดังเข้ามาในห้วงความคิด มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว ประโยคที่ฟังทีไรก็อบอุ่นจากคนที่หลบตาฉันอยู่ มือของเธอมีผ้าพันแผลสีขาวพันเอาไว้ ขณะเลือดสีแดงยังคงซึมออกมานิดๆ ฉันรู้ว่าเธอเจ็บแค่ไหนทุกครั้งที่ขยับมัน กว่าเธอจะตักอาหารกินได้ก็ใช้เวลามากพอสมควร
แล้วฉันก็อดถามตัวเองกลับไม่ได้... คนที่ฉันควรสนใจ และอยู่ในสายตา ต้องเป็นยุนอาที่นั่งติดอยู่กับยูริไม่ใช่หรอ แต่ทำไมฉันกลับเป็นห่วงเธอได้มากมายอย่างนี้
“เจสมากินข้าวสิ” ซูยองร้องเรียกฉันที่เอาแต่ยืนนิ่ง ฉันจึงเพิ่งได้สติเดินไปนั่งเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่ เท่านั้นน้ำตาก็คลอเอ่อขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะอาหารตรงหน้าคือข้าวผัด แต่เพราะการจัดเรียงของมัน...
แตงกวาถูกแยกออกมาต่างหาก เนื่องจากมันคือสิ่งที่ฉันเกลียดที่สุด แล้วยิ่งฉันเริ่มลิ้มรสมันก็ทำให้ต้องกลั้นน้ำตามากยิ่งขึ้น รสชาติอันคุ้นเคย และมีเพียงคนเดียวที่ปรุงให้ฉันอย่างนี้ได้ คนที่รู้ใจฉันทุกอย่าง
ทำไมกัน! ทั้งที่ฉันทำร้ายเธอไปมากขนาดนั้น แต่ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เธอดูแลฉันอย่างสุดความสามารถที่ใครคนหนึ่งจะทำให้ใครอีกคนได้ ความสัมพันธ์ของเราที่ย้อนกลับไปแค่คำว่าเพื่อน มาวันนี้ฉันไม่อยากจะให้มันเป็นเช่นนั้นแล้ว ฉันอยากให้เธอเทคแคร์ฉันเหมือนเคย ไม่ใช่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ทำเหมือนไม่สนใจอย่างวันนี้
“ฉันอิ่มแล้ว” ยูริพูดขึ้นกลางโต๊ะ ก่อนจะถือจานข้าวที่อาหารยังดูไม่พร่องลงเท่าไหร่เดินออกไปทันที เธอคงไม่ได้อิ่มหรอก เพียงแต่เธอไม่อยากเห็นหน้า อยากเจอคนเลวๆ อย่างฉันสินะ!
“ซอขอตัวก่อนนะคะ” ซอฮยอนลุกขึ้นบ้าง ฉันไม่เคยเห็นใบหน้าของน้องเล็กจะซูบเซียวได้ขนาดนี้ ในเมื่อเธอมีอะไรก็ไม่เคยจะบอกคนอื่นเลย เธอกำลังเสียใจเรื่องอะไร ฉันก็คิดไม่ออก เพราะแม้แต่ตัวเองยังเอาไม่รอด!!
“สมใจพวกเธอแล้วสิ” ซันนี่เปรยขึ้นเบาๆ ฉันรู้ดีว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ฉันเองก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนี้
“ซัน...พอเหอะ” ซูยองปรามคนรักของตนเองไม่ให้พูดเรื่องที่ทำให้พวกเราต้องแตกคอกัน “จากนี้พวกเธอจะทำอะไรก็ตามสบาย ทุกคนเปิดโอกาสให้ทำตามหัวใจตัวเองแล้วนี่”
“พี่ๆ หมายความว่าไงกันคะ” ยุนอาถามอย่างไม่เข้าใจ
“ซูคงหมายความว่า ต่อจากนี้ก็ไม่ต้องทำเพื่อโมเมนต์แฟนคลับอีก ถ้าจะคบกันก็ให้คบกันจริงๆ” แม้ยุนอาจะไม่เข้าใจ แต่สิ่งที่แทยอนพูดคงเฉลยทุกสิ่งได้เป็นอย่างดี ส่วนฉันก็ได้แต่ก้มหน้านิ่ง เพราะไม่เช่นนั้น ทุกคนอาจเห็นน้ำตาของคนอ่อนแอได้ นี่หรือเจ้าหญิงน้ำแข็งผู้เย็นชาไม่ใส่ใจใครอย่างที่ทุกคนยกตำแหน่งให้
ทำไมทุกคนต้องยัดเยียดคำนี้ให้ฉัน ฉันผิดตรงไหนที่แสดงความรู้สึกไม่เป็น พูดไม่เก่ง เพราะงั้นการกระทำจากฉันมันคงดูเย็นชา ดูไร้ค่าสำหรับใครหลายคน แต่คนอย่างฉันก็ยังคงมีความรู้สึก เจ็บได้ร้องไห้เป็น!
“ยุนกับเจสรักกันจริงๆ หรอ” คำกล่าวจากทิฟฟานี่ ไม่ได้ช่วยให้ความกระจ่างแก่หัวใจที่สับสนเลยแม้แต่น้อย ฉันจะตอบเธอยังไงดี ในเมื่อฉันยังตอบคำถามนั้นกับตัวเองไม่ได้เลย...
แหวนคู่ของเราสองคนที่ใส่พร้อมกันคราวนั้น มันเป็นแบบที่สลักไว้ข้างใน ซึ่งเรานัดกันไปซื้อแล้วสลักกันเล่นๆ โดยฉันสลักคำว่า ‘Yul’ เอาไว้ ส่วนของยุนอานั้นสลักคำว่า ‘Seo’ เพราะอะไรน่ะหรือ... เพราะชื่อของสองคนนั้นเป็นชื่อแรกที่พวกเราจะนึกออกน่ะสิ!
ที่เราบอกว่ารักกัน... ฉันเองก็อยากรู้ ว่าตกลงเรารักกันแบบไหน... เราค่อนข้างสนิทกันมานานตั้งแต่เดบิวต์ใหม่ๆ ฉันกับยุนเอาเลยผูกพันกัน และถึงแม้เราจะถูกแม่ยกจิ้นคู่กับคนอื่นมากมาย หากฉันกับเธอก็ยังคงโหยหา ต้องการกันอยู่ลึกๆ นั่นจะเรียกว่าเป็นความรักได้มั้ย
“ฉัน...ไม่รู้” เสียงแหบพร่าเปล่งลอดผ่านลำคอออกมาอย่างไม่รู้ตัว แต่นั่นทำให้สายตาของเพื่อนบนโต๊ะเต็มไปด้วยความผิดหวังในตัวฉัน
แล้วพวกเขาคิดว่าฉันจะไม่เกลียดตัวเองที่เป็นแบบนี้รึไงกันล่ะ!
“ยุน...รักพี่เจส” คนข้างกายพูดขึ้น แต่น้ำเสียงไม่มีความหนักแน่นอยู่ในนั้น ดูเหมือนเธอคงกำลังไม่มั่นใจเช่นเดียวกัน
“คำว่ารัก เค้าให้พูดในเวลาที่พร้อมและมั่นใจจะพูดมันจริงๆ เพราะมันไม่ใช่คำเล่นๆ ที่จะพูดกับใครเมื่อไหร่ก็ได้ ไปคิดกันดูดีๆ แล้วกัน” สิ้นคำจากฮโยยอนทั้งห้องก็เงียบลงมีเพียงแค่เสียงหายใจเบาๆ อย่างเจ็บปวดของฉันเท่านั้นที่ดังก้องในห้วงความรู้สึก
เพราะฉันพูดไม่เก่ง เลยต้องใช้การกระทำแสดงความรู้สึก นั่นทำให้ดูเหมือนฉันเป็นคนเจ้าชู้ มีคู่กับทุกคนในวงไปหมดทั้งยูลสิก ยุนสิก้า เจนี่ แทงสิก ฉันเองก็ไม่ได้อยากดูเป็นคนโลเลหรือหลายใจ แต่มุมมองของคนภายนอก มันบีบบังคับให้ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันเลยเลือกที่พยายามจะเก็บความรู้สึกที่มี ไม่เดินไปกอดขอกำลังใจจากเพื่อนร่วมวง ทั้งที่ยามท้อแท้ฉันอาจต้องการใครซักคน
ไม่แปลกใช่มั้ย ยิ่งพอฉันหักห้ามการกระทำ ฉันจึงยิ่งดูเหมือนเป็นคนหยิ่ง หึ...นับวันแอนตี้แฟนของฉันก็จะมากขึ้นทุกที นอกจากฉันจะโลเล หลายใจ ฉันก็ตกเป็นจำเลยที่คนอื่นกล่าวหาว่าเลวอย่างไม่ได้เต็มใจ!
...แค่คำว่ารักคำเดียว ที่มีค่ามากมายอย่างนั้น ฉันคงไม่สมควรจะได้รับมันจากใคร หรือไม่สมควรจะมอบมันให้ใครเลยใช่มั้ย...
เสียงเพลง Genie ดังขึ้นในห้องซ้อม ทุกคนพยายามมีสมาธิอย่างเต็มที่ หลังจากเปิดตัวคัมแบ็คครั้งนี้ เพลงก็ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง พวกเราเลยต้องพยายามกันหนักขึ้น เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด
ทั้งที่รู้อย่างนั้น ทำไมฉันกลับเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับเรื่องงานได้!
ทุกท่อนที่ร้องฉันกลับเห็นแต่ใบหน้าที่เธอทำเย็นชาใส่ฉัน เพลงที่เป็นจังหวะสนุก เนื้อหาใสๆ กลับกลายเป็นน้ำเสียงของฉันร้องมันออกมาได้เศร้ายังไงก็ไม่รู้
สายตาของฉัน แทนที่จะมองไปยังกระจกใหญ่เบื้องหน้า หากเปล่าเลย มันกลับจดจ้องแผ่นหลังของยูริเท่านั้น ทั้งที่ยุนอาก็อยู่ใกล้ๆ แต่ฉันกลับไม่มอง ทำไมหัวใจเจ้ากรรมกลับทรยศความต้องการ มองแต่แฟนเก่าที่ฉันเคยให้เธอเป็นเพียงแค่แฟนเซอร์วิสเท่านั้น
มือที่มีอผ้าพันแผลทำให้ฉันเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูก ท่าเต้นนั้นต้องใช้แขนกับมืออยู่ไม่น้อย และการซ้อมหลายชั่วโมงทำให้แผลเธอคงอักเสบขึ้นมา ฉันเห็นได้ถึงเลือดสีแดงที่ซึมเต็มผ้าสีขาว บาดแผลที่เกิดจากความโง่เง่าและความโลเลของฉันเอง!
เป็นห่วงเธอจนลืมห่วงตัวเอง... กว่าฉันจะรู้สึกเจ็บกับแผลที่เข่าก็ตอนยกขาไม่ขึ้นซะแล้ว ส่งผลให้ร่างของฉันล้มลงกับพื้นทันที เมื่อเกินจะฝืนยืนได้ต่อ เพื่อนๆ วิ่งเข้ามารุมล้อมฉันด้วยความเป็นห่วง จึงเห็นว่าแผลเมื่อวานมันฉีกกว้างกว่าเดิม อาจเป็นเพราะท่าเตะตะกร้อด้วยล่ะมั้ง เลือดเลยไหลออกมาไม่หยุดอย่างนี้
“ไหวมั้ยเจส” แทยอนหัวหน้าวงถาม นิ้วเรียวของเธอที่แตะลงบนบาดแผลเบาๆ ทำให้ฉันได้แต่นิ่วหน้า แต่แผลแค่นี้มันจะสู้แผลในใจที่เธอทำลังทำได้มั้ย ในเมื่อเธอได้แต่ปรายตามองฉันอย่างเย็นชา
‘เจสไหวมั้ย...เหนื่อยรึเปล่า...ถ้าไม่ไหวก็อย่าฝืนสิ...ง่วงก็หลับซะยูลอยู่นี้แล้ว...โอ๋ๆ ไม่เจ็บนะ ยูลทายาให้แล้ว เดี๋ยวก็หาย’
ฉันคงไม่มีโอกาสจะได้ยินประโยคอย่างนั้นอีกอแล้ว ในเมื่อฉันเป็นคนเลือกเดินทางนี้เอง ฉันเป็นคนเดินกลับจากทางที่เคยมีเธออยู่เคียงข้าง มายืนอยู่ยังจุดเดิมที่หัวใจกลับไม่ยินยอมจะเดินต่อไปพร้อมกับยุนอา
“ไหว” ฉันพูดพลางพยุงกายขึ้น ทว่าต้องล้มลงไปเหมือนเดิม เนื่องจากขาไม่มีแรงเอาซะเลย เศษจานเมื่อวานคงบาดค่อนข้างลึกอยู่ล่ะมั้ง พอมาวันนี้แค่ขยับเต้นไม่กี่ชั่วโมง ก็ทำให้ปวดร้าวไปทั้งขาแล้ว
“อย่าฝืนสิพี่เจส พักเถอะ” ยุนอาเข้ามาประคองฉันไว้ ขณะที่ฉันยังคงมองยูริอยู่ แต่เธอกลับหันหน้าหนี ริมฝีปากขบแน่นอย่างสะกดความเจ็บปวด เธอเจ็บเพราะเห็นฉันอยู่ในอ้อมกอดของยุนอา ส่วนฉันแทนที่จะดีใจเมื่อคนที่ฉัน ‘คิดว่ารัก’ เป็นห่วง แต่กลับกลายเป็นว่าฉันเจ็บเนื่องจากเธอไม่แคร์ฉันเลย
คำถามที่เคยถามหัวใจซ้ำๆ เริ่มได้คำตอบชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนฉันไม่อยากจะรับรู้ถึงมันอีกแล้ว!
“ทายาให้เจสด้วย” ยูริว่าเสียงเรียบ ก่อนจะโยนยาที่ใช้ทาแผลสดขวดเล็กๆ ลงมาข้างฉัน แล้วเดินออกจากห้องไปทันที
‘ทำไมเธอไม่ทาให้ฉันเหมือนเมื่อก่อนแล้วล่ะ...’ ฉันร่ำร้องถามอยู่ภายในอย่างเกินจะเอื้อนเอ่ยออกมาได้
“เดี๋ยวซอไปดูพี่ยูลให้เองค่ะ” ซอฮยอนวิ่งตามยูริออกไป ขณะที่ยุนอาทายาลงบนบาดแผลของฉัน รู้สึกได้ถึงน้ำอุ่นๆ ที่ไหลผ่านแก้มลงมาเมื่อไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตาได้อีก คนอื่นคงคิดว่าฉันเจ็บจากแผลที่ฉีกนี่ล่ะมั้ง แต่ไม่เลย ความเจ็บปวดมันไม่เท่าครึ่งหนึ่งที่เธอเดินจากฉันไป
ก็แค่แฟนเซอร์วิสไม่ใช่หรอจอง เจสสิก้า เธอจะเจ็บทำไม!!
“...” ไม่มีคำพูดใด นอกจากเสียงสะอื้นของฉันที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ให้ยุนอากอดปลอบเบาๆ อ้อมกอดที่เคยคิดว่าอบอุ่นและโหยหา มาวันนี้ฉันกลับไม่รู้สึกอะไรกับมันมากไปกว่าอ้อมกอดจากน้องสาวคนหนึ่ง ดวงตามองภาพพร่าเลือนเต็มที แต่ใบหน้าของยูริทีเคยยิ้มให้ฉันยังกระจ่างชัดในความคิด
ฉันจะได้รับรอยยิ้มอย่างนั้นจากเธออีกมั้ย...
“เราเลิกกันแล้ว...” ยูริพูดเบาๆ กับตัวเอง มือข้างที่เจ็บเผลอทุบลงบนกระจกข้างทางเดินเต็มแรงเพื่อกลั้นความทรมานที่กัดกินหัวใจ แค่เห็นเจสสิก้าล้มลงกับพื้น หัวใจเธอก็แทบหลุดลอยแล้ว นี่ยังเลือดที่ออกมากขนาดนั้น ไหนจะสีหน้าเจ็บปวดจากร่างบาง เธอต้องกลั้นความต้องการแค่ไหน ที่จะไม่เดินเข้าไปทายาให้ ไม่เดินเข้าไปถามไถ่ว่าเจ็บมั้ย ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะปลอบโยนในฐานะเดิมได้อีก
“เธอมีคนดูแลอยู่แล้ว แกจะมาเป็นห่วงบ้าบออะไรอีกวะยูริ หน้าที่แฟนเซอร์วิสมันหมดไปตั้งนานแล้ว!!” ยูริตะโกนก้องพลางทรุดลงกับพื้น เข่าตั้งชันขึ้น แขนทั้งสองข้างถูกใช้กอดตัวเอง ราวกับจะคลายความหนาวเหน็บภายในใจได้ ใบหน้าซุกลงเพื่อใช้เป็นที่ซับน้ำตา
น่าแปลกมั้ย คนๆ เดียว ทำให้เรายิ้มได้ มีความสุขกับทุกสิ่งทุกอย่างในวันที่มีปัญหา แต่ทำไมคนๆ นั้นกลับทำให้เราที่เคยเข้มแข็งอ่อนแอลงได้อย่างเหลือเชื่อ น้ำตาที่ไม่เคยจะเสียง่ายๆ บัดนี้กลับกลายเป็นว่ายูริห้ามมันไม่ได้ ร้องจนแทบไม่มีให้ร้อง สะอื้นจนลำคอแห้งผากแต่ความเจ็บปวดก็ไม่เลือนหายเสียที
“พี่ยูล...” ซอฮยอนเรียกเบาๆ ก่อนจะนั่งลงเคียงข้าง ซึ่งยูริที่กำลังอ่อนแอก็ดึงน้องเล็กเข้ามากอดแน่น เสียงสะอื้นที่ดังอยู่ข้างหูทำให้เธออดเจ็บตามไปด้วยไม่ได้ มือลูบแผ่นหลังของยูริเบาๆ อย่างปลอบโยน แต่ก็เกินจะมีคำพูดปลอบใจให้ยูริได้ ในเมื่อเธอเองก็ตกอยู่ในฐานะไม่ต่างจากอีกคนเลย
“พี่เคยคิดว่าพี่จะทนได้ ถ้าเห็นเจสมีความสุขกับคนที่เจสต้องการ” เสียงสั่นๆ ทว่าซอฮยอนก็เข้าใจได้ทุกคำพูด “แต่มันก็แค่ความคิด เพราะจริงๆ แล้วพี่อยากเป็นคนนั้นที่ได้ยืนข้างเจสเหมือนเคย”
“ซอก็เจ็บเหมือนพี่ยูลแหละค่ะ พี่ยุนเอาแต่พูดว่าเพราะซอไม่เคยรู้จักความรัก ซอเลยไม่เข้าใจพี่ยุน ทั้งที่พี่ยุนนั่นแหละไม่เคยเข้าใจซอเลย ว่าซอรักเค้ามากแค่ไหน” จากที่เคยทนเก็บความรู้สึกทุกอย่างเมื่ออยู่ต่อหน้ายุนอา มาตอนนี้มันก็ระเบิดออก ส่งผลให้น้ำตาตกกระทบไหล่มนของยูริอย่างไม่ได้ตั้งใจ
เขาว่าเวลาจะช่วยเยียวยาแผลใจให้หายดี แล้วนี่พวกเธอต้องใช้เวลานานแค่ไหน ถึงจะหายเจ็บกับความรักเสียที ...หรือต้องใช้เวลานานตลอดทั้งชีวิตกันแน่...
“พี่เจส...เราจะทำยังไงต่อไปดี” ยุนอาถามฉันเมื่อห้องนี้เหลือเพียงแค่เราสองคน ทำไงหรอ ฉันจะตอบเธอได้ยังไงล่ะว่าสิ่งที่ฉันต้องการไม่อาจย้อนคืนมาได้อีกแล้ว
“ยุนรักพี่มั้ย”
“อื้ม” เธอตอบพึมพำอยู่ในลำคอ คำพูดของฮโยยอนดังขึ้นในความคิด คำว่ารักต้องพูดต่อเมื่อมั่นใจที่จะมอบมันให้ใครจริงๆ ไม่ใช่คำที่จะมาพูดพร่ำเพรื่ออย่างในทุกวันนี้
“เราเคยถามตัวเองกันมั้ย ว่าเรารักกันแบบไหน”
“แล้วพี่เจสว่าความรักมันมีกี่รูปแบบล่ะคะ” เธอย้อนถาม เรามองตากันไปมา เรื่องราวความรักมันไม่มีคำว่าผิด เพราะมันไม่เคยกำหนดไว้ว่าการที่เรารู้สึกแบบไหนถึงเรียกว่ารักแท้จริง หรือแบบไหนคือหวั่นไหว ในเมื่อคำว่ารักก็คือคำสั้นๆ คำเดียวที่เรียกอารมณ์ ทุกอย่างที่เรารู้สึกกับใครบางคน
ฉันไม่ได้อ้าง แต่แค่อยากให้รู้ว่าคนเรามีสิทธิ์จะสับสนกับมันได้ เมื่ออารมณ์ในหัวใจมันไม่เคยแน่ตรง มันไม่ใช่พจนานุกรมที่เปิดออกมากี่ครั้ง ก็ยังคงความหมายเดิมไว้
แม้แต่ภูเขากว้าง ต้องมีซักวันที่พังทลาย แล้วหัวใจคนที่อ่อนไหวง่ายกว่านั้น ความรู้สึกพร้อมจะแปรเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ ความสับสนย่อมมีอยู่ในทุกจิตใจ แต่ทำไมต้องยกคำโหดร้ายให้แก่คนที่สับสนกับตัวเอง ที่ไม่รู้ตัวว่าต้องการอะไรกันแน่ให้เป็นคนโลเล คนหลายใจ คนเจ้าชู้ด้วยล่ะ
ฉันซึ่งไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รักใคร หวั่นไหวกับใคร หรือผูกพันกับคนไหน แค่นั้นก็เจ็บมากพออยู่แล้ว ยิ่งมาเจอกับคำสบประมาทจากใครหลายคนมันก็ยิ่งทำให้ฉันต้องปวดใจมากยิ่งขึ้น
“ตอนนี้ยุนรู้สึกยังไงกับพี่ล่ะ อยากคบพี่เป็นแฟนมั้ย” ฉันไม่ได้ตอบคำถามเธอหลังจากนิ่งไปนาน แต่กลับพยายามหาทางออกที่ดีสำหรับเรา
“ถ้าเมื่อก่อนน่ะใช่ค่ะ แต่ตอนนี้ไม่แน่ใจแล้ว ยุนคิดว่ายุนกับพี่เจสไม่เหมาะจะเป็นแฟนกันเท่าไหร่” แม้แต่ยุนอาที่เคยสดใส ฉันยังเห็นความสับสนเต็มดวงตาคู่สวยนั้น
ที่ผ่านมาระหว่างเรามันคืออะไรฉันก็ตอบไม่ได้หรอก รู้แค่ว่าถ้าการรู้ตัวช้า เป็นคนโลเลนี่เรียกว่าเลว ฉันก็ยอมรับได้เลยว่าฉันมันเลวจริงๆ
แล้วที่เลวยิ่งกว่านั้นคือ... ‘คนที่ฉันอยากให้อยู่ข้างๆ ในตอนนี้ ไม่ใช่ยุนอาแต่เป็น...ยูริ’
“เราเคยเป็นแค่พี่น้องกัน จะให้เปลี่ยนเป็นมากกว่านั้นมันเลยดูแปลกๆ ล่ะมั้ง”
“ยุน... ยุนไม่อยากเห็นพี่ยูลต้องเจ็บเพราะพวกเราเลย ในขณะที่เรากำลังสับสนกับหัวใจตัวเองอยู่อย่างนี้ แต่พี่ยูลเค้าต้องเจ็บเจียนตาย เพราะหัวใจเค้ามีคำตอบชัดเจนว่าคนเดียวที่เค้าจะรักคือพี่เจส”
“เรากำลังทำร้ายคนอื่นเพราะความหวั่นไหวใช่มั้ย” เงยหน้าถามเธอทั้งที่น้ำตาคลอเอ่อ ให้เธอใช้นิ้วเกลี่ยซับบนนั้นเบาๆ ทั้งที่การกระทำไม่ต่างกัน แต่หัวใจฉันกลับนำไปเปรียบเทียบซะแล้ว... ยูริเคยเช็ดน้ำตาให้ฉันอย่างนี้ หากความอบอุ่นที่ได้รับ ทำให้ฉันหยุดร้องไห้ได้ แต่มาวันนี้ ความเหน็บหนาวและร้าวรานทำให้ฉันยิ่งร้องมากกว่าเดิม
“เรื่องคืนนั้นมันไม่น่าเกิดขึ้นเลย ถ้ายุนห้ามใจตัวเองมากกว่านี้ พี่ยูลกับพี่เจสอาจยังคบกันอยู่”
“พี่ผิดเองแหละ ทั้งที่พี่มียูลอยู่แล้วทั้งคน แต่พี่ก็ยังหวั่นไหวกับยุน”
“เราก็ผิดกันทั้งสองคนแหละค่ะ ยุนแย่งพี่เจสมาจากพี่สาวที่ยูลรัก แต่กลับกลายเป็นว่ายุนไม่กล้าคบพี่เจส ส่วนพี่ทั้งที่ควรดีใจที่มีอิสระ แต่พี่กลับเจ็บเพราะการกระทำของตนเอง” สิ่งที่ยุนอาพูดแทงใจดำ จนไม่อาจแย้งอะไรได้อีก ทำให้ฉันได้แต่นั่งฟังนิ่งๆ
“ถ้าพี่ไม่รักพี่ยูล พี่จะไม่เจ็บที่พี่ยูลบอกเลิก ถ้าพี่รักยุน พี่จะมาคบกับยุนได้อย่างไม่ต้องลังเลแบบนี้”
“พี่รู้ตัวช้าเกินไปแล้ว...” และเมื่อคำตอบทุกอย่างกระจ่างชัดในหัวใจที่เคยสับสน มันกลับเป็นวันที่ฉันเพิ่งเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป ฉันเสียคนที่ฉันรักมาตลอดโดยไม่รู้ตัวเพราะความสับสน ฉันเสียความรักแท้จริงของฉันเพราะความหวั่นไหว ฉันเสียใจเพราะความโลเลของตนเอง
“ยุนจะไม่เห็นแก่ตัวรั้งพี่เจสไว้ เพราะยุนบอกแล้วว่ายุนจะเป็นคนเดินออกมาจากพวกพี่เอง เพราะฉะนั้นถ้าพี่จะรักใคร ก็เลือกซักคนค่ะ” ยุนอากระชับไหล่ฉันเอาไว้ ดวงตาของเธอเริ่มมีน้ำเอ่อคลอ หากใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เคยมีคนบอกยุนว่า อวัยวะทุกชิ้นในร่างกาย ถ้าไม่อยู่ทั้งซ้ายขวาก็จะอยู่ตรงกลาง มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่อยู่ด้านซ้าย... เหตุผลที่เป็นอย่างนั้น เพราะหัวใจเราไม่ได้มีมากพอจะแบ่งเป็นสองให้อยู่ซ้ายขวาเท่าๆ กัน และมันก็ไม่หนักแน่นพอที่จะอยู่ตรงกลาง”
ถูกของเธอทุกอย่าง แม้แต่แขนยังมีซ้ายขวา หากที่หัวใจไม่ได้อยู่ตรงกลางอย่างจมูกหรือปาก นั่นเพราะความไม่หนักแน่นของมัน และหัวใจฉันเองก็เหมือนคนอื่น ที่ไม่ได้มีความหนักแน่น มันเต็มไปด้วยความหวั่นไหวและสับสน ฉันจะทำยังไงให้มันชัดเจนในความรู้สึกของตนเองเสียที จะได้ไม่ต้องมีใครเจ็บเพราะพวกเราอีก
“ยุนจะไม่ขอเป็นคนนั้นในใจพี่เจส ยุนขอแค่อยู่ข้างๆ เมื่อพี่ต้องการ ยังไงก็คิดให้ดีนะคะ ว่าสุดท้ายแล้วพี่จะเลือกใคร”
ฉันจะตอบเธอไปได้ยังไงล่ะว่าฉันเลือกใครในตอนนี้ เมื่อพอฉันแน่ใจในทุกอย่าง ฉันก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...
หรือนี่คือผลตอบแทนของคนโลเลเช่นฉัน แบ่งใจไม่ได้เป็นสองสำหรับสองคน ในที่สุดก็ต้องเสียใจเพราะการตัดสินใจผิดพลาดของตนเอง ทุกคนย่อมเคยเดินทางผิด แต่คนที่เดินผิดซ้ำๆ อย่างฉัน ไม่มั่นใจว่าจะไปซ้ายหรือขวา เลยเดินๆ ไปหน้าแล้วกลับหลังอย่างวกวน ไม่ถึงจุดหมาย หนำซ้ำยังพาให้คนข้างกายต้องเหนื่อยไปกับความสับสนของตนเอง
ฉันต้องกลายเป็นคนเลวในสายตาเธอ ซึ่งนั่นมันก็สมควรพอแล้ว ฉันไม่อาจย้อนกลับไปรักคนที่เพิ่งทำร้ายเธอลงไปได้อีก ในขณะเดียวกัน ฉันก็ไม่อาจเป็นคนรักกับคนที่ฉันเพิ่งได้คำตอบว่าแค่ ‘ผูกพัน’ อย่างยุนอาได้
คนอย่างฉันมันสาสมแล้วที่ต้องถูกทิ้ง ในเมื่อความรักอันมีค่าที่ฉันเคยมียังไม่อาจรักษาเอาไว้ได้ ฉันคงไม่สมควรจะไปรักใคร หรือได้รับความรักจากใครจริงๆ
...ไม่ควรเลย...
The End.
มาแล้วค่ะภาคหญิงเจส รอกันนานมั้ยเอ่ย ^^//
อยากบอกว่าแต่งไปสงสารไป แต่ก็ยังแต่งปวดตับออกมาอยู่ดี (แต่งแล้วปวดเอง แต่งทำไมเนี่ย =[]=)
บุงชอบภาคนี้นะคะ คือไม่อยากให้ว่าเจสว่าเป็นคนโลเลหรือสวยเลือกได้อะไรทำนองนั้น
แต่บุงอยากให้รู้อย่างที่เขียนไปน่ะค่ะ แม้แต่กระจกที่เที่ยงตรงสะท้อนทุกสิ่งทุกอย่างตรงไปตรงมา
หากภาพที่เห็นยังกลับด้านจากความเป็นจริงเลย
แล้วหัวใจที่ไม่มีหน่วยวัดบอกว่าสิ่งไหนเรียกว่าความรัก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสับสนได้
(บุงเชื่อว่าหลายคนก็เคยสับสนที่กว่าจะมั่นใจว่าเรารักใครซักคนจริงๆ ใช่มั้ย ^_^)
รู้ตัวเหมือนกันยิ่งแต่งยิ่งค้างชอบกล จนไม่เป็น SF แล้ว จะเป็น fic ยาวแทน ฮ่าๆ
เอาล่ะค่ะ ต่อไปถ้าไม่มีภาคน้องซอคงไม่ได้แล้ว (ไม่งั้นรีดเดอร์ฆ่าตาย)
สำหรับของน้องซอบุงขอเป็น 100 คอมเมนต์นะคะแล้วจะอัพต่อค่ะ
คงไม่มากไปน้า (เพราะตอนนี้ก็เกือบ 40 เมนต์แล้วอ่ะ T^T)
รีดเดอร์อยากอ่านฟิค บุงก็อยากอ่านคอมเมนต์เหมือนกัน
แล้วเจอกันใหม่เมื่อนักอ่านต้องการนะคะ ^^//
ปล. มาแก้คำผิดรอบสี่ค่ะ!! ทำไมพิมพ์ชื่อ ยุนกับยูลสลับกันมั่วไปหมดเลย
เดี๋ยวประชดสายตาตัวเองด้วยการแต่งยูลยุนซะลยนี่!!
(เอ่อ...ฟิคสั้นที่ยาวๆ มาสามภาคเนี่ยมันก็เพราะเธอจะประชดยุนสิก้าไม่ใช่หรอ
เดี๋ยวประชดไปประชดมาได้เป็นมหากาพย์อีกหรอก = =^)
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง) ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Ma-Bung (มะบุง)
ความคิดเห็น