ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #41 : ประสานพลัง ยกกำลังล่า

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 155
      4
      9 ก.ค. 62




    "  ไปเหอะ ช้าไม่ได้แล้ว "


    ปู่อินทร์บอกทุกคน ปู่อินทร์รู้ดีว่าการที่เขาหลบมาที่นี่เพื่อต้องการไม่ให้พวกของมัจเจที่อยู่

    อีกด้านหนึ่ง ไม่รู้ แต่เมื่อบัดนี้ความลับนี้ถูกเปิดเผยแล้ว การเคลื่อนที่ไปให้เร็วที่สุดจากจุด

    นี้จึงจะเป็นการที่จะปลอดภัยที่สุด    ทุกคนไม่รอช้า พวกเขาก็รู้เช่นกัน ว่าคำพูดของปู่อินทร

    หมายความว่าอย่างไร  



    " มาทางนี้ "


    เสียงปิเยพิษทารีซึ่งเป็นผู้นำทาง แนะทางที่จะไปอย่างกระวีกระวาด  ทั้งหมดกึ่งวิ่งกึ่งเดิน และ

    เพียงชั่วครู่ ร่างซากเจ้าเสือร้าย ก็พ้นไปจากสายตาทุกคน เพราะห่างมามากแล้ว  



    " เราจะเดินทางกันไม่ได้สบายแล้วนะ มัจเจมันรู้แล้วว่ามีพวกเราอยู่ที่นี่ และก็เป็นถิ่นของมันด้วย

    สักพักเราอาจจะได้เจอกับพวกมันจำนวนมากก็ได้  "  


    ปิเยพิษทารี กล่าว คราวนี้ทุกคนรู้สึกได้ว่า ปิเยพิษทารี ตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด


    " พวกมันต้องมาถึงนี่ในอีกไม่ช้า   พวกเราต้องรีบไปให้ถึงถิ่นของปิเยบิรู  ถ้าเรามีโอกาสไป

    ถึงที่นั่นก่อนเจอพวกมันเราอาจจะรอด "


     ปิเยพิษทารี กล่าวอีก  


    " อะไรนะ ปิเยรูๆ อะไร แล้วทำไมที่นั่นเราจะได้เปรียบพวกมันอย่างไร "


    ปู่อินทร์ถามอย่างสงสัย


    " ไม่ใช่เราจะได้เปรียบ เราไม่มีทางได้เปรียบพวกมันแล้วตั้งแต่นี้เป็นต้นไป แต่ที่นั่นเราอาจ

    พลางตัวไม่ให้พวกมันเห็น เราอาจจะมีทางรอด  ตามข้ามาอย่างเดียว เราต้องไปให้เร็วที่สุด "


    ปิเยพิษทารี กล่าว  ทุกคนรู้คำกล่าวของพิษทารีเหมือนเขาตัดบทเเล้ว ไม่อยากให้ใครถามเขา

    แล้ว  คงคิดว่าเสียเวลาสู้เอาเวลาหาทางเดินไปข้างหน้าให้เร็วที่สุดดีกว่า   และเมื่อเดินมาอีก

    พักใหญ่



    " แอ่งน้ำ "


    แสงดาวอุทาน ข้างหน้ามีแอ่งน้ำขนาดใหญ่พอประมาณ คำอุทานของแสงดาวเหมือนจะบอกว่า

    ปิเยพิษทารี น่าจะหยุดให้พวกเธอ ได้กินน้ำบ้าง  



    " ก็ได้ เราหยุดกินน้ำสักพักก็ได้ ที่จริงข้าอาจกลัวมากไปเอง มัจเจถ้าจะส่งปิเยนักรบหิริน คงอยู่ไกลจาก

    ที่นี่มากเหมือนกัน  กว่าจะมาถึงที่นี่  เราพักกันสักครู่ก็ไม่เป็นไร ยังไงเสียเราก็คงมีเวลามากพอได้ไปถึง

    ป่าปิเยบิรูก่อน"


    ปิเยพิษทารีกล่าว พร้อมกับนำรากของเขาจุ่มลงในน้ำน้้น


    " เอ๊า น้ำที่นี่กินได้ พวกเจ้าไม่ต้องห่วงว่ามีพิษ ข้าได้พิสูจน์แล้ว "  


    สิ้นคำอนุญาติ ทั้งหมดรีบเอามือวักน้ำเข้าปากทันที  เนื่องจากกระหายทุกคนจึงดื่มเข้าไปจำนวนมาก  


    " นั่งพักแป๊บนะ ท่านพิษทารี ขืนรีบไปตอนนี้จุกแน่ "


    อัครชัยกล่าว


    " ได้.. แต่อย่านานนะ อีกไม่ไกลเเระ ให้ไปถึงที่นั่นเราจะได้สบายใจ "


    ปิเยพิษทารีตอบ ดุจปรายมองลำน้ำแห่งนี้ มันนิ่งมากหลังจากที่ระรอกคลื่นจากการที่พวกเขาได้

    เอามือวักเมื่อสักครู่นี้



    " โหน้ำนิ่งไวจริงๆ เลย ใสมากด้วย มีปลาไม๊เนี่ย "  


    "  น่าจะมีสัตว์ แต่ไม่รู้ว่าพวกเจ้าเรียกว่าปลาได้หรือเปล่า สัตว์แถวนี้เริ่มมีรูปร่างแตกต่างจาก

    สัตว์ที่โลกของพวกท่านแล้ว  ที่นี่แหละเหมาะที่จะปล่อยสะดือน่าไว้ด้วยห่างจากอุโมงค์ท่านดิวามาไกล

    มากแล้ว "


    ปิเยพิษทารีแสดงความเห็น พร้อมทั้งปล่อยสัตวตัวน้อยที่ติดตัวมาจากอุโมงค์ลง เมื่อตัวมันสัมผัสพื้น มัน

    ก็มุดลงดินไปตามสัญชาติญาณของมัน 


    " ดูสิดำดินมุดไปไต้น้ำหรือเปล่าเนี่ย น้ำกระเพื่อมเลย " 


    ดุจปรายกล่าวพร้อมกับแสดงความเห็นจากสิ่งที่เธอได้เห็น  น้ำกระเพื่อมเล็กน้อยหลังจากที่เจ้าตัวน้อย

    มุดดินลงไป ทุกคนมองดูตามคำของดุจปราย แต่ทุกคนก็เริ่มแปลกใจ น้ำเริ่มกระเพื่อมแรงขึ้นและคราวนี้

    ดูเหมือนกระเพื่อมเป็นจังหวะ จนทุกคนคิดว่า เจ้าตัวน้อยไม่สามารถทำน้ำให้กระเพื่อมแรงถึงขั้นนี้ได้แน่


    " เอ๊ะ มีตัวอะไรอยู่ในน้ำหรือเปล่า ทำไมน้ำกระเพื่อมแรงขึ้น ช่วยกันดูสิอยากเห็นเหมือนกันว่าสัตว์ที่นี่

    หน้าตาเป็นยังไง "


    จามิกร กล่าวอย่างลิงโลด เธอสนใจเรื่องสัตว์แปลกประหลาดตาอยู่แล้ว และเธอเองก็เป็นนัก

    วิจัยแมลง ชอบค้นคว้าอยู่แล้ว ถ้าไม่รีบไปเธอต้องขอพิสูจน์สัตว์ในน้ำนี้แต่แรกอยู่แล้วตั้งแต่ปิเย

    พิษทารีบอก  และเมื่อเห็นน้ำกระเพื่อม เธอก็เห็นเป็นโอกาส และยังอยู่ในช่วงรอการเดินทางต่อ

    น้ำกระเพื่อมไปทั่วทั้งสระ ทุกคนพยายามมอง แต่ปิเยพิษทารี เห็นผิดสังเก
    ตุ  


    " น้ำกระเพื่อมพร้อมกันทั้งสระแบบนี้ และเป็นจังหวะด้วย  ไม่น่าจะใช่สัตว์ในนั้นหรอก ถ้าเป็น

    สัตว์ มันต้องกระเพื่อม เฉพาะที่ตัวมันอยู่สิ แต่นี่มันกระเพื่อมไปทั้งสระ ดูเหมือนว่าเพราะดินมัน

    สะเทือนนะ "


    คำพูดของปิเยพิษทารี ทำให้ปู่อินทร์สะดุด การที่จะรู้ได้ว่าดินสะเทือนหรือไม่ ปู่อินทร์รู้ดีว่าต้อง

    ทำอย่างไร  เขาก้มลงเอาหูแนบกับพื้นทันที  และนี่เป็นวิธีการที่พรานป่าผู้ชำนาญอย่างเขาใช้อยู่

    และสักพักเขาก็กระดกหัวขี้นมา ทุกคนมองดูอาการนั้นอย่างใจจดจ่อ อยากรู้ว่าปู่อินทร์ จะว่า

    อย่างไร  หลังจากที่ได้ก้มลงไปฟังแบบนั้น 


    " เป็นเสียงดินสะเทือนจริงๆด้วย เหมือนมีเสียงการเดินเป็นจังหวะของตัวอะไรก็ไม่รู้ที่มีขนาดใหญ่มาก

    กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ ด้วย เสียงสะเทือนถึ่ๆแสดงว่ามันกำลังวิ่งคาดว่าน่าจะหลายตัวด้วย  "


    คำตอบของปู่อินทร์ ทำให้ปิเยพิษทารี รู้ทันที


    " ไม่ต้องสงสัยเลย เป็นพวกมันแน่ "  


    ปิเยพิษทารีกล่าว ไม่ต้องรอให้บอกว่าต้องทำอย่างไร ทั้งหมดลุกขึ้นทันที  


    " มันมาใกล้ได้ขนาดนี้แต่อีกครึ่งชั่วโมงเราก็ถึงจะไปถึง บางทีเราอาจจะไม่ทัน จำไว้ไม่ว่าจะเกิดอะไร

    ขึ้น หรือพวกเราต้องแยกกันไป เพราะถูกโจมตี ให้ขึ้นไปทางทิศเหนืออย่างเดียวหาทางเข้าไปในถิ่น 

    ปิเยบริลูให้ได้  "


    สิ้นคำปิเยพิษทารี ทุกคนรับรู้ตามนั้น   ทั้งหมดรุดไปข้างหน้า การวิ่งเป็นการเดินทางที่ไวที่สุด  

    แต่กำลังทุกคนไม่เท่ากัน บ่อยครั้ง ที่ข้างหน้าต้องรอพวกผู้หญิง และระหว่างวิ่ง



    " ป่านั้นเป็นอย่างไรหรือพี่อรัญ เผื่อเราแยกกันไปจะได้รู้ว่าหลบเข้าได้อย่างไร  พวกนั้นถึงจะมอง

    ไม่เห็นเรา "


    ดุจปรายถาม เธอรู้สึกว่าเธอจะเป็นคนวิ่งที่ช้ากว่าคนอื่นอาจจะหลงได้ จึงวิตกเรื่องนี้


    " ไม่รู้เหมือนกัน แต่ผมไม่ทิ้งปรายนะ ยังไงเราก็ต้องเข้าป่านั้นพร้อมกัน ท่านพิษทารี กับปู่

    อินทร์ไปข้างหน้าแบบนี้ถามก็คงไม่รู้เรื่องแน่ ไว้ไปถึงที่นั่นเราค่อยหาทางกัน  "


    อรัญตอบ  

    ปู่อินทร์ หันกลับมามองทุกคน เขามีความตระหนกอย่างมาก เขารู้สึกได้ว่าตอนนี้ พื้นดินสะเทือน

    ตอนที่เขาก้มไปฟังนั้นมันกับสะเทือนแรงขึ้น จนรู้สึกได้ตอนที่เขาวิ่งนี้ไม้ต้องก้มไปที่พื้นเพื่อแนบหูฟังก็มี

    แรงสะเทือนที่รับสัมผัสได้แล้ว  


    " ปู่มีอะไรเหรอ "


    อัครชัยรู้สึกถึงอาการของปู่อินทร์ได้ จากสีหน้าของเขา


    " พวกเราคงไม่ทันแล้วแหละเรามาได้ไม่ถึงห้านาที อึกยี่สิบนาทีเราจึงจะไปถึง เสียงพวกมันอยู่

    ใกล้ๆนี่เอง "



    ปู่อินทร์ ตอบ   และเป็นจริง ป่าใหญ่เริ่มแหวกออก ร่างไดโสเสาร์ขนาดใหญ่ ก็ปรากฏ

    กายให้เห็น   ปิเยพิษทารีเรียกทุกคนให้เข้าที่กำบังทันที


    " พวกมันยังมองไม่เห็นเรา แต่คงไม่นานปิเยหิรินที่อยู่บนร่างมัน มีความฉลาด มันคงให้ไอ้สัตว์

    ยักษ์นั้นวิ่งลุยป่าไปมาแถบนี้จนพบพวกเราแน่ "


    ปิเยพิษทารีกล่าว


    " ฟิ๊ว ปึ๊ก."


    ยังไม่ทันได้กล่าว อะไรต่อเสียงธนูลูกหนึ่งก็ปริว หวือ มาในอากาศ และข้ามหัวทุกคนไป


    " โอ..มันเล่นทั้งวิ่งตลุยและยิ่งสุ่มแบบนี้ พวกเราลำบากแน่ มันเอาสัตว์พวกนี้เป็นพาหนะมานี่เอง

    มันถึง ได้มาที่นี่ได้เร็วมันคงสงสัยแล้วว่าเราอยู่แถวนี้ พอมันมาเก็บลูกธนูเราต้องอ้อมไปด้านนู้นนะ "


    ปิเยพิษทารี แสดงความเห็น และบอกทุกคนไว้  เป็นจริงตังปิเยพิษคาด ร่างสัตว์ใหญ่นั้นมันเดิน

    มาจริงๆ  พวกเขาพยายามอ้อมไปอีกด้าน แต่ก็ต้องก้มลงต่ำอีกเพราะด้านนั้นมีอีกตัวนั้นยืนอยู่

    ยังโชคดีที่มันหันไปมองด้านอื่น  ปิเยหิรินบนร่างทีเร็กซ์นั้น กระโดดลงมาเก็บลูกธนูของมัน และ

    จังหวะนั้น มันก็สังเกตุเห็น



    "  พวกมันอยู่แถวนี้ "


    เสียงที่ตะโกนไป  พวกเขาได้ยินถนัด เนื่องจากปิเยหิรินร่างนี้ พบเห็นรอยเท้าการเดินของพวก

    เขานั่นเอง แต่มันไม่รู้ว่ามันอยู่ห่างจากพวกเขาเพียงแค่ต้นไม้บังเท่านั้นเอง  ปิเยหิรินร่างนี้ ไม่

    ขึ้นไปขี่ที่คอทีเร็กซ์อีก มันพยายามจะเริ่มเดินแกะรอยของทุกคน นั่นคืออีกไม่เกินสองนาทีนี้มัน

    ก็จะต้องพบพวกเขาแน่  


    " นิ่งไว้ให้มันเข้ามาอีกนิด "


    ปิเยพิษทารีกระซิบ เขาพยายาม ลอบมองปิเยหิรินร่างนั้นอีกฝั่งของต้นไม้  ปิเยหิรินไม่คิดเลยว่า

    มีเจ้าของรอยเท้าเหล่านั้น อยู่ใกล้ขนาดนี้ มันพยายามมองไปก็ไม่เห็นเพราะพวกนั้นได้หมอบลง

    แนบกับพื้นด้วย และทันทีที่มันได้สัมผัสกับต้นไม้ ก็ได้ระยะของปิเยพิษทารีพอดี ทันทีที่ปิเยหิริน

    ปล่อยมือที่เกาะต้นไม้ไว้ ร่างมันก็หมุนคว้าง  มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดขึ้นอะไรกับมัน เพราะสิ้นสติ

    ไปก่อน  แต่การล้มของมันทำให้พาหนะของมันตกใจ ซากทีเร็กซ์ที่ถูกควบคุมด้วยเรคารียะ

    ของมัจเจถอยหลังกรูด ชนเข้ากับต้นไม้สะเปะสะปะ ยังผลให้ พวกมันอึกหลายตัวรับรู้ความผิด

    ปรกตินั้นได้ ทั้งหลายตัวต่างหันหน้ามาทางต้นเสียง และปิเยหิรินก็ได้สังเกตุเห็นพวกของมันร่าง

    หนึ่งนอนอยู่ใกล้ต้นไม้นั้น และมันร่างหนึ่งก็ยกธนูขึ้นเพราะว่าเห็นร่างของพวกอัครชัยนอนอยู่กับ

    พื้นตรงนั้น ใกล้ร่างพวกของมัน


    " หลบมาทางนี้ "


    ปู่อินทร์ ตะโกน เขาลุกพร้อมกระโดดเข้าบังอีกด้านตรงข้ามกับปิเยหิรินที่ยกธนูด้านนั้น และ

    พยายามลากร่างทุกคนที่อยู่ด้านนั้นมา ลูกธนูแหวกอากาศ พุ่งเข้าสู่เป้าหมาย อย่างแม่นยำ ถ้า

    ทุกคนยังนอนอยู่ตรงนั้น



    " ฉึก"


    เสียงลูกธนูปักเข้าที่ดินอย่างจัง ตรงที่พวกเขานอนอยู่เมื่อสักครู่นี้  พวกเขาเป็นเป้าหมายแน่ ถ้าลุก

    ออกมาจากตรงนั้นไม่ทัน  แต่ถึงหลบได้สถานการณ์กับเลวร้าย เมื่อพวกเขาเห็นว่า เหล่าสัตว์

    ร้ายที่มีร่างปิเยหิรินขี่อยู่นั้น ได้กระจายกำลังกันรายล้อมพวกเขาในทุกทิศทุกทาง


    " โอ มันไม่บุกมาโจมตีเราในระยะกระชั้นชิด เราทำอะไรมันไม่ได้แน่ ไดโนเสาร์ร้าย เหล่านั้น ก็

    ดูคราวนี้มันจะรอบคอบขึ้น มันพยายามเลี่ยงไม่เข้ามากัดพวกเราในระยะใกล้ ๆ เราจะฆ่ามันได้

    เหรอ "



    เสียงปู่อินทร์ กล่าว เป็นอย่างนั้นจริงๆ พวกซากไดโนเสาร์และปิเยหิริน พวกเขารู้ว่าร่างเหล่านั้น

    มีเรคารียะ  ควบคุมอยู่ แต่ เมื่อคมมีดที่พวกเขาที่ตั้งใจว่าจะป้ายด้วยเลือดพวกเขาที่มีเรคินของ

    ติอากออยู่  แต่เมื่อปลายมีดไม่สามารถเข้าใกล้เป้าหมายได้  ในระยะที่ปลายมีดถึงเนื้อหนังพวก

    มันก็ไม่ได้ประโยชน์



    " ฉึก "


    และทันทีทุกคนจะคาดคิด ลูกธนูดอกหนึ่งพวกเขาไม่รู้ว่ามันมาทางทิศใหน แต่เห็นมันเมื่อมัน

    ลอยมาเสียบเข้าแขน ของปู่อิินทร์ อย่างแม่นยำ ความแรงของมันทำให้มันทะลุผ่านแขนปู่อินทร์ไป 

    ทำให้เกิดบาดแผลฉกรร


    " โอ๊ย "  


    ปู่อินทร์ สะดุ้งสุดตัว และร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บปวด  ลูกธนูนั้น เล็กกว่าแขนของเขาเพียง

    เล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ท่อนแขนของปู่อินทร์ คล้ายจะหัก เมื่อถูกมันพุ่งมากระทบ  


    " โอ๊ะ..แขน แขนข้า "


    ปู่อินทร์พยาพยุงแขนข้างที่ บาดเจ็บไว้ ปิเยพิษทารีและอัครชัยก็เข้าช่วย


    " เลือดทำไม เลือดที่ใหลจึงมีสีดำ "


    อัครชัยอุุทาน จากสิ่งที่เขาเห็น  

    " ลูกธนูมีิพิษอาบมาด้วย ไม่เป็นไร ข้าจะแก้ให้ "


    ปิเยพิษทารี จับแผลไว้และมีอะไรอย่างหนึ่งในร่างเขาใหลออกมาตรงแผลฉกรรจ์นั้น


    " เลือดเปลี่ยนเป็นสีแดงเเล้ว  "  


    อัครชัย กล่าวอย่างตื่นเต้นเมื่อได้เห็นการเปลี่ยนแปลงน้้น  


    " ดูสิพวกมันอยู่รอบเราเลยเราแย่แน่ๆ "


    ดุจปราย กล่าวอย่างขวัญเสียเมื่อเธอมองไปรอบๆ  ห่างออกไปไม่มาก ทีเร็กนับสิบตัวที่มีปิเย

    หิรินขี่อยู่เคลื่อนเข้ามารายล้อมพวกเขาในระยะที่ไม่ไกลเท่าใดแล้วและทั้งหมดจ้องมาที่พวก

    เขาพร้อมยกธนูขึ้น  



    " มีอะไรพูดกันก่อนนะท่าน อย่างไรเราก็เคยอยู่ร่วมกันมา "


    เสียงปิเยพิษทารี กล่าวออกไป อย่างใจดีสู้เสือ เขาไม่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ แต่ตอนนี้ไม่มี

    วิธีที่ดีกว่านี้


    "  ฮ่าๆๆๆ หมดทางสู้แล้วหรือพวกเจ้า ใหนท่านมัจเจบอกว่าเก่งนักเก่งหนา ส่วนเจ้าปิเยใด คง

    ข้าไม่รู้จักหรอก เป็นพวกของ ติอากอ สินะ  ดีจะได้ตัดกำลังไปบ้าง พวกเจ้าไม่ต้องคิดจะถ่วง

    เวลาหรอกอย่างไรเสีย พวกเราก็ไม่ใจอ่อนหรอก คำพูดเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นคำพูดสุดท้ายของ

    พวกเจ้าเลยละกัน พวกเราเตรียมตัว "


    ปิเยหิรินร่างหนึ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นผู้นำศึกในครั้งนี้ ประกาศกร้าว พร้อมทุกร่างยกธนูขึ้นเล็งมายังกลุ่ม

    พวกเขา  ปิเยหิรินร่างนี้เป็นปิเยหิรินรุ่นใหม่ที่  กำเนิดได้ไม่นาน จึงไม่รู้จักปิเยพิษทารี


    " โฮ่งๆๆ "


    เสียงหนึ่งดังขึ้น ปิเยหิริน และทีเร็กซ์มอง กันเลิกลั๊ก ลดคันธนูลง และพยายามมองหาต้นทาง

    ของเสียง  และเจ้าของเสียงก็โผล่มาจากแนวป่าด้านหนึ่ง


    " โอ๊ ไอ้หมาป่าพวกนั้นนี้ ตายแล้วลำพังพวกนี้ก็แย่แล้ว ยังจะมีหมาป่าพวกนั้นมาอีก "


    จามิกร เสียงสั่นลั่นบอกทุกคนหลังจากที่ได้เห็นสิ่ง ที่มาชัดเจน


    " พวกมันไม่ตายหรือ สงสัยมันจะตามมาแก้แค้นพวกเราแน่ "


    กานต์ กล่าว เขาดูรูปการณ์น่าจะเป็นอย่างนั้น  แต่ทุกคนกลับเดาผิด สถานการณ์กลับไม่ได้เป็น

    เช่นนั้น เมื่อหมาป่าที่มาถึงต่างแยกย้ายกันกระโจนเข้าหาปิเยหิรินบนร่างของ ทีเร็กซ์ทันที ปิเย

    หิรินไม่ทันได้ระวังตัว มันถูกหมาป่าร่างยักษ์ ลากร่างมันลงมาจากหลังทีเร็กซ์ แต่หมาป่าก็ต้อง

    ปล่อย เมื่อทีเร็กซ์ได้แว้งกัด ร่างพวกมัน เพื่อช่วยปิเยหิรินให้หลุดพ้นจากคมเขี้ยวของหมาป่า

    นั้น 


    " ฉีก "


    ปิเยหิริน บางร่างรอดพ้นไปได้เพราะพวกมันถูกฝึกให้คล่องแคล่วในการต่อสู้ มันปล่อยลูกธนูเข้า

    ร่างเจ้าหมาป่าทันที ลูกธนูพุ่งเข้าร่างพวกสุนัขป่าอย่างจัง แรงพอที่จะทำให้ปลายแหลมของมัน

    โผล่ไปอีกด้านหนึ่งของร่างหมาป่าเคราะห์ร้าย  แต่ทว่าปิเยหิรินเหล่านั้นกลับคิดผิด หมาป่าได้

    กระโจนเข้าอีกครั้งทั้งๆ ที่ยังมีลูกธนูติดอยู่ที่ร่างของมัน พวกปิเยหิริน แปลกใจยิ่งนัก ที่ธนูของ

    พวกมันทำอะไรหมาป่าพวกนั้นไม่ได้ พวกอัครชัยก็เช่นกันรู้สึกประหลาดใจมากที่เห็นเหตุการณ์

     เช่นนั้น  


    " ไป พวกเราจะรออยู่ไม่ได้ ได้โอกาสหนีแล้ว "


    เสียงปิเยพิษทารีดังขึ้น ทำให้สติทุกคนกลับมา หลังจากที่จดจ่ออยู่กับภาพการต่อสู้เบื้องหน้า

    พวกเขา  



    "  ช่วยกันพยุงปู่อินทร์ไปด้วยพยายามอย่าให้บาดเจ็บมากกว่านี้  "


    ปิเยพิษทารีกล่าวมาอีก ปู่อินทร์เอื้อมมีออีกข้างเพื่อจะมายกมือข้างที่บาดเจ็บแต่ทว่า


    "  แผลหายไปแล้ว เป็นปรกติแล้ว หายไปได้ยังไงไม่รู้ตัวเลย "


    ปู่อินทร์ พูดด้วยความดีใจ  


    " สงสัยเป็นเพราะเราเคยกินผลอะไรนะของท่านติอากอ "


    อัครชัยกล่าวเขายังพอจำได้ ร่างกายเขาเองก็เคยได้รับมา เข้าถึงจำได้ดีแต่ตอนแรกคิดไม่ถึงว่า

    จะมีผลกับร่างกายพวกเขาตลอดและรวดเร็วเพิ่มขึ้นแบบนี้  



    " สนุกล่ะ พวกเราก็มีดีเหมือนกัน "


    ปู่อินทร์ กล่าวเขารู้สึกมั่นใจขึ้นอีกเยอะเมื่อเห็นว่าร่างกายหายได้จากอาการบาดเจ็บเช่นนี้

    ทั้งหมดรุดไปทันที ปิเยหิริน มองเห็นแต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะมัวสาระวันกับเจ้าหมาป่าเป็น

    พัลวัน  ทีเร็กซ์ เองถึงมีความใหญ่โตและเเข็งแกร่งกว่าหมาป่ามาก แต่มันเป็นรองเรื่องความ

    คล่องแคล่ว มันถูกหมาป่าวิ่งวนหลอกล่อ จนงงไปหมด หนำซ้ำ หมาป่าที่ได้รับลูกธนูปักที่ร่าง

    ไปตัวละสามสี่ดอกก็ไม่มีทีท่าว่าจะบาดเจ็บและอ่อนแรงแต่อย่างใด  แต่ทุกคนไม่มีเวลาดูว่าผล

    จะเป็นอย่างไร  


    สิบนาทีต่อมา  


    " อีกนิดเดียวจะถึงแล้ว "

     
    ปิเยพิษทารี ร้องบอก ขณะวิ่งนำหน้า  


    " ท่านคิดว่าหมาป่าพวกนั้น จะต้านพวกนั้นใหวไม๊ "


    ปู่อินทร์ถามความเห็นปิเยพิษทารี ทั้งคู่วิ่งตามกันมา


    " ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ดูปิเยหิรินผิวหนังมันก็ไม่ได้ระคายเวลาโดนกัดนะ เพียงแต่ว่ามัน

    เสียหลักไปมา ข้าเกรงว่าสักพักมันจะจับทางพวกหมาป่าได้ "


    ปิเยพิษทารีตอบ  


    " พวกมันตามมาแล้ว "

    ก่อนที่ทั้งสองจะพูดอะไรกันต่อก็ได้ยินข้างหลังตะโกนมา เสียงอรัญนั่นเอง เขารอดุจปรายอยู่

    ด้วยจึงทำให้การวิ่งต้องอยู่ข้างหลังจึงมองเห็นสิ่งที่ตามมา  ปิเยพิษทารีและปู่อินทร์หันกลับไป

    มอง เขาได้เห็นกลุ่ม ทีเร็กทั้งหมดตามมา


    " สงสัยพวกหมาป่าคงเสียทีมันแล้ว "

    ปู่อินทร์กล่าวกับปิเยพิษทารี


    " ไม่เป็นไรนี่ถึงแล้ว ปิเยบิรู "


    สิ้นคำปิเยพิษทารี ปู่อินทร์หันกลับมามอง เบื้องหน้า ผืนป่าแห่งหนึ่งปู่อินทร์แปลกใจยิ่งนัก

    ต้นไม้ทั้งหมด เป็นสีน้ำเงิน  และทำให้พื้นดินและทุกสิ่งที่อยู่ที่นั่นเป็นสีน้ำเงินไปหมด  ปิเย

    พิษทารีไม่รอช้า เขาวิ่งเข้าไปในนั้นทันที ปูอินทร์หยุดรอทั้งหมดและเมื่อทุกคนมาถึงเขาก็ผลัก

    ให้ตามปิเยพิษทารีเข้าไป ทั้งหมดแปลกใจอีกครั้งทุกคนเข้ามาในป่าสีน้ำเงินนี้ ปิเยพิษทารีบอก

    ก่อนนี้ ได้อย่างไรว่าที่นี่เป็นที่หลบซ่อนได้ สีร่างกายและเสื้อผ้าของพวกเขากลับเป็นจุดเด่น ตัด

    กับสีน้ำเงินของผืนป่าอย่างชัดเจน จนทำให้ความเด่นชัดเป็นจุดหมายให้ พวกทีเร็กซ์และปิเย

    หิรินมุ่งมาตรงจุดนี้ทันที  



    " ซ่อนยังไงล่ะท่านพิษทารี ใหนท่านบอกว่ามีที่ซ่อนที่นี่ ร่างพวกเรากับตัดกันเห็นชัดเจนเข้าไปอีก"


    รัญถามอย่างร้อนรน เขาเห็นว่ากลุ่มทีเร็กซ์เข้ามาใกล้มากแล้ว และปิเยหิรินบนหลังมันเริ่มง้าง

    คันธนูแล้ว


    " อีกนิดเดียว พวกเจ้ามองดูผิวของพวกเจ้าไว้ "  


    ทุกคนแปลกใจกับคำตอบของปิเยพิษทารี แต่ก็ได้ดูอย่างที่เขาบอก และก็ต้องแปลกใจ ร่าง

    ของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำเงิน


    "  นี่ไงล่ะ ร่างพวกเราจะเปลี่ยนสี เป็นสีเดียวกับสิ่งเเวดล้อมที่นี่  ปิเยบิรูสีน้ำเงินที่นี่มีเซลกระจาย

    ออกจากร่างของมันทุกร่าง  พวกมันจะแยกไม่ออกว่าพวกเราอยู่ตรงใหน ในป่านี้ "


    ปิเย พิษทารีกล่าว  


    "  ท่าน..ท่าน แต่เสื้อผ้าของพวกเราไม่ได้เปลี่ยนสีด้วยนะ "  


    แสงดาวบอกหลัง จากที่เสื้อผ้าของเธอตอนนี้ตัดกับสีผิวสีน้ำเงินของเธออย่างชัดเจน


    " ตายแล้ว เสื้อผ้าพวกท่านทำด้วยอะไรเนี่ย ไม่ได้เป็นปิเยหรือ อะไรที่เป็นธรรมชาติหรือทำไม

    ปิเยบิรูถึงกลืนสีเสื้อผ้าพวกท่านไม่ได้ "



    ปิเยพิษทารี ตอบซึ่งนั่นก็หมายความว่า พวกเขาพลางสีของเสื้อผ้าไม่ได้ ปิเยพิษทารีตกใจยิ่ง

    นัก ขณะนี้ร่างของเขาเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน จนกลืนกับสีของที่นี่ไปแล้ว แต่เป็นเพราะยังยืนอยู่

    ใกล้ๆกันจึงยังสังเกตุเห็นได้ แต่ทำไมเสื้อผ้าของมนุษย์พวกนี้จึงไม่เป็นเช่นนั้น เขาคาดหมายผิด

    ถนัดว่าจะสามารถพลางได้ทุกสิ่งทั้งหมดที่นี่  


    " ถอดมันออกเร็ว "


    สียงปู่อินทร์ดังขึ้น เขาคิดว่าเมื่อร่างกายพรางได้แต่เสื้อผ้าพรางไม่ได้ ทางแก้ไขก็คือแยกทั้ง

    สองออกจากกันเพื่อร่างกายจะได้พรางจนมองไม่เห็นอะไร แต่ทว่า


    " อะไรนะปู่ถอดเหรอ โป้ อายนะ "


    เสียงแสงดาวลั่น  


    " นั่นสิ "


    เสียง ทั้งสองสาวสนับสนุนแสงดาวเป็นพัลวัน


    " จะยอมอายหรือยอมตายก็เลือกเอา ถ้ายังเห็นเด่นชัดอยู่อย่างนี้ เป็นเป้าธนูของพวกมันแน่

     ถอดเร็ว "


    สียงปู่อินทร์กล่าวอีก จริงอย่างที่ปู่อินทร์ว่าเมื่อเสื้อผ้าพรางไม่ได้ ที่ทำได้คือถอดออกไป เพื่อ

    ให้ร่างกายพรางอยู่ แต่เรื่องจะให้มาแก้ผ้าสำรับผู้หญิงสำหรับต่อหน้าคนอื่นแบบนี้มันเป็นเรื่องที่

    กระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก แต่สำหรับผู้ชาย ยังไม่ค่อยเท่าไร 


    " โยนมันออกไปให้ห่างตัวไว้ ถอดกางเกงและกางเกงในด้วย  "


     เสียงปู่อินทร์ กำชับ เขาและหนุ่มทั้งสามบัดนี้พรางตัวได้แล้ว นั่นคือไร้ซึ่งเสื้อผ้าล่อนจ้อนแล้ว


    "หันไปทางอื่นก่อนเลย "


    แสงดาวตวาด เมื่อเห็นหนุ่มซึ่งพรางตัวเรียบรอ้ยแล้ว ยิ้มอย่างมีเลศนัย  เธอทั้งสามรึบถอดทันที

    รู้สึกอายและหน้าแดงซ่าน  



    " จะอายทำไม่ปิเยอย่าง พวกข้าทั้งชีวิตก็ไม่เคยมีผ้าสักผืน ไม่เห็นอายเลย "


    ปิเยพิษทารีกล่าว เขาเห็นเป็นเรื่องปรกติ  

    ปิเยหิรินเริ่มแปลกใจยิ่งนัก เมื่อสักครู่เห็นร่างทั้งหมดวิ่งมาและหายไปจากสายตาทีละคน ตอนนี้

    เห็นแต่เสื้อผ้าที่เคลื่อนที่ได้อยู่สามชุด และที่กองแอ้งแม้งอยู่อีกหนึ่งกอง  มันลดคันธนูลงด้วย

    ความแปลกใจ    เพ่งมองเสื้อผ้าที่เคลื่อนใหวอย่างยุกยิกนั้นแต่ก็ไม่เห็นร่างใครเพราะทุกร่าง

    กลืนกับสิ่งเเวดล้อมไปแล้ว

    แสงดาวและดุจปรายถอดชิ้นสุดท้ายคือกางเกงในออกไปแล้ว เธอได้ใช้มือปิดของสงวนของ

    เธอไว้  แต่จามิกรกลับถอดได้ช้า เนื่องจากสะโพกของเธอมีสัดส่วนที่ค่อนข้างใหญ่และเธอเอง

    พึ่งจะมีประจำเดือน  เจ้าทีเร็กซ์เริ่มเดินเข้ามาใกล้ๆ มันทำจมูกฟุตฟิต  จามิกรเห็นเช่นนั้น ด้วย

    ความโมโห กอร์ปกับการที่กางเกงในชิ้นสุดท้ายของเธอก็ถอดยาก หลังจากที่ถอดออกแล้ว

    เธอจึงขว้างใส่มันสุดแรง  เจ้าสัตว์ร้ายตกใจ ที่อยู่ๆ ก็มีสิ่งหนึ่งปลิวหวือเข้าหาร่างของมัน แต่

    ด้วย สัญชาติญาณ  มันได้งับสิ่งนั้นไว้


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×