ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะนาวศรี

    ลำดับตอนที่ #40 : ความลับ ที่ถูกเปิดเผย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 207
      7
      9 ก.ค. 62




     " หา.. หมายความว่า ที่ผมเห็นเป็นแสงดาวเมื่อกี้นี้ เป็นร่างแปลง ของค้างคาวอย่างนั้นเหรอ "


    อรัญ  ถามเสียงสั่นแต่อาการขวัญเสียของเขาเริ่มดีขึ้น  


    " ใช่แล้ว  มันบินมาเห็นได้ชัดเลย พี่หมออัครรีบย่องตามมา แสงดาวก็เลยตามมาทีหลังนี่ไง "


    แสงดาว ช่วยพูดยืนยัน


    " โอ..เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ทำผมแทบบ้า แน่ะ ไม่คิดว่าเมื่อไม่มีอะไรจะปีนขึ้นมาแล้วจะมีอะไรจะมา

    แปลงร่างได้อีก มันกลับบินมาในอากาศ  โอ แต่แค่เห็นแสงดาวยืนอยู่ตรงนี้ได้โดยไม่เป็น

    อะไร ผมก็ดีใจมากแล้ว "


    อรัญพูดไปปาดน้ำตาไป เมื่อกี้เขาน้ำตาซึมตอนที่โกรธอัครชัย ทุกคนเข้าใจความรู้สึกเขาดี ไม่มี

    ไครคิดจะหัวเราะอาการของเขา

     
    "ขอโทษมากนะหมออัคร ผมหลงโกรธแค้นหมอมากมาย แต่หมอกลับเป็นคน ที่ช่วยชีวิตผม

    ไว้ จากไอ้ค้างคาวบ้านั่น "


    อรัญขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่


    " ไม่เป็นไร ใครเป็นอรัญ ก็ต้องคิดแบบนี้ทุกคนและ สถานการณ์มังฟ้องขนาดนั้น คงไม่มีทาง

    คิดอย่างอื่นไปได้ "


    อัครชัย กล่าวพร้อมเอามือไป ตบบ่า อรัญเป็นการปลอบใจเบาๆ  


    " เราคงไม่ต้องนอนกันแล้วคืนนี้ มันมาทุกรูปแบบอย่างนี้ ทั้งบนดิน และในอากาศแบบนี้ "


    ปู่อินทร์เปรย


    " ข้าเห็นด้วยนะ อีกครึ่งวันข้างหน้าเราคงพ้นเขตนี้ไปแล้ว ไว้เราไปพักผ่อนเต็มที่กันในที่ไม่มีสัตว์พวกนี้

    ดีกว่า แต่ละตัวร้ายร้ายทั้งนั้น "  


    ปิเยพิษทารีสนับสนุน  ทั้งหมดจึงไม่มีไครได้หลับอีก เพราะเป็นห่วงกลัวจะเจอเหตุการณ์ อย่าง

    เมื่อสักครู่นี้อีก  



    "  หมอว่ามันจะตายใหม ที่หล่นลงไปข้างล่าง ตอนที่มันร่วงไปยังเป็นร่างของแสงดาวอยู่เลย "


    แสงดาว ถามอัครชัยอย่างสงสัย  


    " ไม่รู้เหมือนกันแต่คิดว่ามันคงบาดเจ็บพอสมควร ไม่งั้นคงกลับร่างเดิมแล้ว ข้างล่างตอนนี้ก็

    มองไม่เห็นชัดเสียด้วย ถ้ามันตกลงไปก็ไม่รู้ว่ามันไปอยู่ตรงใหน  ไม่เหมือนเสือนั้นร่างกายมัน

    ใหญ่เห็น ได้ชัด "



    อรัญตอบ


    " ปู่ถ้าอรัญถูกค้างคาวนั่นกัดจะเป็นไรมั่งอ่ะ "


    ดุจปราบถามปู่อินทร์


    " ข้าไม่สามารถคาดเดาสิ่งที่อยู่ที่นี่ได้ รู้อย่างหนึ่ง มันคงเป็นค้างคาวที่ดูดเลือดแน่ ไม่งั้นคงไม่

    จ่ออยู่แต่ที่คออรัญขนาดนั้น ส่วนจะเหมือนในหนัง มันกัดแล้วจะกลายเป็นผีดิบหรือไม่ ไม่อาจ

    คาดเดาได้  ไว้ ถ้ามันตายจริงคงหล่นอยู่ที่ใหนสักแห่งไต้ต้นไม้นี้ เราก็คงจะพอดูมันตอนเช้าได้

    หรือไม่มันก็แค่บาดเจ็บบินหนีไป แล้ว "


    ปู่อินทร์ตอบ เขาไม่อยากสรุปสิ่งที่เขายังไม่รู้แน่ชัด    อากาศเย็นมากเนื่องจากอยู่บนต้นไม้สูง

    แสงร่ำไรเริ่มจับขอบฟ้าไกลๆ  


    " ไม่น่ามาตื่นตอนนี้เลย ดูสิบรรยากาศแบบนี้ ทำให้คิดถึงบ้านจนน้ำตาจะใหล "


    จามิกรณ์ กล่าวกับกานต์   กานต์ดึงแฟนสาวมากอดไว้ เขารับรู้อาการนั้นดี การแสดงออกของ

    กานต์ อยากให้แฟนสาวคลายกังวลลงไปบ้าง อย่างน้อย อยู่ที่นี่มีเขาอยู่ ขณะนี้  


    " พรึ๊บๆ พั๊บๆ "


    "  เสียงนี้ดังอีกแล้ว  มันมาอีกแล้ว "


    หลังได้ยินเสียง อรัญ อีกครั้งเขาจำได้ เขาบอกกับทุกคน เนื่องจากเสียงไม่ดังต่อเนื่องปู่อินทร์

    พยายามเงี่ยหูฟังต้นทางของเสียง ทุกคนเตรียมพร้อมและพยายามมองหาไปทั่วในความมืด

    และระหว่างที่ทุกคนกำลังเงียบ จดจ่ออยู่กับการรอฟังนั้น


    " พรึ๊บๆ พรั๊บๆๆ "


    " เสียงมันดังอยุ่ไต้ต้นไม้นี่ เอง สงสัยไอ้ตัวค้างคาวตัว เมื่อกี้คงไม่ตาย  มันคงแค่บาดเจ็บหล่น

    ลงไปแค่นั้น และคงพยายามบินขึ้นมา  ระวังตัวหน่อยก็ดีเหมือนกัน "


    ปู่อินทร์เป็นผู้จับทิศทางของเสียงได้ก่อนและ สันนิฐานเหตุผลว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น  


    " พร๊ึ๊บๆๆๆ แจ๊ก  โฮ๊ก "


     และทั้งหมดก็ได้ยินเสียงปีกของมันกระพือ และเสียงร้องของมัน และมีเสียงเสือ ดังพร้อมมา

    ด้วย ปิเยพิษทารี  สงสัยยิ่งนัก หรือว่าพิษที่เขาสลักไว้ไม่ได้ผล หรือว่ามีเสืออีกหนึ่งตัว  และ

    ความกระจ่างก็ประจักษ์กับสายตาทุกคน  เจ้าของเสียงที่กระพือปีกเมื่อสักครู่นี้ บินสูงขึ้นมาจาก

    ด้านล่างจนพวกเขาเห็น ร่างมันได้ถนัด มองเผินๆ เป็นค้างคาวขนาดใหญ่  แต่นอกจากขนาดที่

    ใหญ่ผิดปรกติแล้ว ส่วนหัวของมัน กลับไม่เหมือนค้างคาว  แต่มันเป็นหัวของเสือที่ต่อเข้ากับ

    ร่างกายค้างคาว นั่นเอง  


    " โฮ๊ก   "  


    เสียงมันแผดลั่น  เสียงที่ดังออกมาเป็นเสียงเสืออย่างชัดเจน ทุกคนเตรียมพร้อม อยู่  มัน

    พยายามหาทางเข้าโจมตีโดยบินโฉบไปโฉบมา แต่ไม่สะดวก มันรู้ว่าทุกคนระวังตัว   และเมื่อ

    เห็นว่าไม่สามารถ เข้าทำอะไรทุกคนได้แล้ว ค้างคาวร่างยักษ์ที่มีหัวเป็นเสือ ก็หันกลับและบิน

    หายไปในความมืด


    " เอ๊ะ ทำไมค้างคาวตัวนี้ถึงมีหัวเป็นเสือไปได้ล่ะ ใช่ตัวเดียวกับที่หมออัคร แทงมันหล่นไปหรือ

    เปล่าไม่รู้ "


     
    ดุจปรายถามความเห็น จากสิ่งที่เห็นเธอคิดว่าคนอื่นก็คงเห็นแบบเธอเช่นกัน


    " ตอบไม่ได้หรอกว่าใช่หรือไม่ใช่ ตอนที่มันหล่นไปก็ไม่เห็นว่ารูปร่างมันเป็นยังไง เพราะตอนนั้น

    มันยังเป็นร่างของแสงดาวอยู่ "


    ปู่อินทร์ตอบ เขาเองก็สังเกตุเห็นเช่นกันตอนที่อัครชัยแทงเจ้าร่างแปลงนั้น  


    " แต่ตอนที่มันบินนั้นรอบตัวพวกเราเมื่อก่อนที่มันจะไปเกาะข้างอรัญ  แสงดาวว่ามันมีหัวเป็น

    ค้างคาวนะ เราสองคนสังเกตุมันบินมาบินไปหลายครั้งจนน่าจะจำได้ คิดว่าไม่น่าจะมีหัวเป็นเสือ

    แบบตัวนี้แน่  คงเป็นคนละตัวกัน  หรือว่าตัวนั้นยังหล่นอยู่ที่นี่ หรือว่ามันตายแล้ว "

     
    แสงดาวกล่าวพร้อมแสดงความคิดเห็น  


    " คงได้รู้กันอีกไม่นานหรอก ดูสิท้องฟ้าเริ่มสว่างมากแล้ว ค้างคาวตัวเมื่อกี้ที่มีหัวเป็นเสือคงเห็น

    ว่าใกล้สว่างแล้วด้วยจึงรึบกลับไปที่อยู่ของมัน พวกนี้มันหากินกลางคืน "


    ปู่อินทรกล่าว แสงแดดยามเช้าเริ่มสว่างอีกครั้ง  เบื้องล่างเสื้อตัวเบ้อเร่อ ยังคงนอนสงบนิ่งอยู่

    แสงสว่างมากพอจะเห็นทั้งหมด ปู่อินทร์เลยให้ทุกคนรีบลงไป  ทั้งหมดต่างทำตาม เมื่อทุกคน

    ลงมาจากต้นไม้กันได้หมดแล้ว



    " เอ๊ะทำปรกติเสือถ้ามันแค่สลบทำไมท้องมันกระเพื่อมมากกว่านี่นะเลย ท้องมันกระเพื่อเล็กน้อยแสดง

    ว่ามันใกล้ตายเต็มทีแล้ว "


    อัครชัยตั้งข้อสังเกตุ  เขาเป็นหมอการสังเกตุเรื่องการเต้นของหัวใจ เป็นความเคยชินอยู่แล้ว


    " อืม จริงด้วย ไอ้เสือตัวนี้สงสัยหายใจอ่อนมาก หรือว่า ท่านปิเยพิษทารี จะสลักพิษแรงไปหน่อย

    เลยทำให้มันใกล้ตาย เพราะดูจะว่าเจ็บหนักเพราะตกลงมาก็ไม่น่าใช่ เพราะร่างกายดูไม่บอบช้ำอะไร "


    ปู่อินทร์ ตั้งข้อสงสัย แต่ปิเยพิษทารี กลับปฏิเสธ


    " ไม่น่าจะเป็นเพราะพิษข้าหรอก ข้ารู้จักปริมาณของพิษข้าที่สลักดี  มันน่าจะแย่เพราะอย่าง

    อื่นมากกว่า พวกเราลองดูให้ทั่วตัวมันซิ เผื่อจะเจอสาเหตุอย่างอื่นบ้าง "


    และทุกคนก็สำรวจไปรอบๆ ร่างของเสือ ที่นอนสิ้นฤทธิ์อยู่  


    " ทุกคนมาดูนี่สิ "


    เสียงดุจปรายเรียก ทั้งหมดไปรวมกันจุดที่ ดุจปรายเรียกไปและชี้ให้ทุกคนดู


    " มีรู เล็กๆ ตรงซอกคอของมันสองรู มีเลือดหยดอยู่ที่รูนี้ด้วย มันเกิดจากอะไรน่ะ จะเป็นสาเหตุ

    ให้เสือใกล้ตายได้ใหม  "


    คำพูดของดุจปรายทำให้ทุุกคนเพ่งพินิจ จุดนั้นเป็นตาเดียว  บริเวรลำคอ ของเสือใหญ่ มีจุด

    แผลเล็กๆ สองจุดอยู่ห่างกันประมาณ หนึ่งคืบ เห็นจะได้ มีเลือดซึมอยู่บริเวรแผลด้วย  


    " เป็นไปได้ว่ามีตัวอะไรอย่างหนึ่งกัดมันตอนที่มันสลบอยู่ รอยนี่อาจจะเป็นการฝังเขีี้ยวลงไป

    และดูดเลือดของมันไปด้วย เลยทำให้มันใกล้ตาย "


    ปู่อินทร์ ตั้งข้อสังเกตุ และพิเคราห์จากแผลที่ได้เห็นนั้น


    " ตัวอะไรล่ะที่กัดมัน "  


    อัครชัยถาม


    " ไม่รู้สิ หรือว่าจะเป็น ..."


     " เป็นไรหรือปู่ปู่คิดว่ามันน่าจะเป็นตัวอะไร "


    กานต์ถามอย่างสงสัย เพราะเมื่อสักครู่ปู่อินทร์พูดค้างไว้


    " ไอ้ค้างคาวตัวเมื่อคืนไง ดูจากอาการมันบินขี้นไป เหมือนกับว่ามันไม่ค่อยตั้งจะทำร้าย

    พวกเราแล้ว เป็นไปได้ว่ามันคงได้อาหารคือ เลือดของเสือตัวนี้ไปแล้ว และหัวของมันคงกลาย

    เป็นเสือ เพราะได้เลือดเสือไป ดูสิตรงนี้ หญ้าราบและเป็นทางมาด้านนี้ แสดงว่าเมื่อคืนค้างคาว

    ตัวมันคงตกลงมาแถวนี้ แล้วมันก็คงเดินมากัดคอดูดเลือดเสือตัวนี้ "


    ปู่อินทร์อธิบายถึงเป็นขอ้สันนิฐาน แต่รูปการณ์และหลักฐานมีความเป็นไปได้สูงทีเดียว แต่ก่อน

    ที่ทุกคนจะพูดอะไรกันต่อ



    " เอ๊ะ รู้สึกเหมือนร่างเสือตัวนี้ มันขยับ...นะ "


    ปิเยพิษทารีกล่าว เขาสังเกตุเห็นถึงความผิดปรกติ  ร่างเสือกระดุกกระดิกได้เบาๆ  ทั้งหมดถอย

    ออกมา และเห็นอย่างที่พิษทารีบอกจริงๆ



    " มันเริ่มจะไม่หายใจแล้วนะแต่ร่างมันขยับได้ จะมีอะไรดันมาจากข้างล่างเหมือนมันทับ

    อะไรที่มีชีวิตอยู่แล้วสิ่งนั้นพยายามดันขี้นมา "  


    จริงอย่างอัครชัยบอก ทุกคนเห็นด้วย เพราะสิ่งที่เห็นเป็นอย่างนั้นจริงๆ


     " ฟึ๊บ ๆ "


    และสิ่งที่ดันออกมาก็ปรากฏกับสายตาทุกคู่  


    " เรคา "


    ทั้งหมดอุทานขึ้นเกือบพร้อมกันหลังจากที่ได้เห็นสิ่งนั้นถนัดตา


    " โอมันตายแล้ว แระเรคาก็กำลังจะกินมัน แต่อีกอย่างหนึ่งเรคามันคงเห็นพวกเราแล้วด้วย เรื่อง

    ที่เราหลบมาด้านนี้ คงไม่เป็นความลับแล้ว "


    ปู่อินทร์ กล่าว

    สิ่งที่ทุกคนกลัวก่อนหน้านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว  การเดินทางที่แอบซ่อนมาเพื่อจะไป มัจติสนั้น ขณะนี้

    คงไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


    ณ. ทัพมัจเจ


    " นายท่านมัจเจ เรียกปิเยข้ามาพบมีอะไรหรือ แล้วทำไมต้องรอท่านโอ๊คคาระหลับด้วย ดูมีลับ

    คมคมในยังไงไม่รู้  "


    ปิเยหิรินร่างหนึ่งได้กล่าวถามมัจเจเมื่อถูกไปเรียกตัวให้มาพบ  


    "  กาเรนซ์ เจ้าเป็นผู้นำ ปิเยหิรินทั้งหลาย  คราที่มีเผ่าพันธุ์ แห่งเจ้าไปสวามิภักดิ์กับ ติอากอนั้น

    ข้า เดือดดาลยิ่งนัก ข้าเคยเจ็บแค้นพวกของเจ้า ที่มีความคิดและอุบายต่อต้านการโจมตี ของข้า

    ต่อ ติอากอ และปิเยทรานส์  แต่ข้ามาคิดๆแล้ว เผ่าพันธุ์ของเจ้าที่อยู่กับมัจเจนั้น คงไม่มีทาง

    เลือกเช่นกัน พวกมันไม่ทำอย่างนั้น ก็คงถูกสังหารหมดสิ้น คงทำเพื่อเอาชีวิตรอด "


    สิ้นคำมัจเจที่ตอบ


    " ท่านมัจเจมีอะไรว่ามาเลย ท่านไม่ต้องอ้อมค้อมหรอก  ท่านมีอะไรจะใช้พวกเราใช่ใหม "

     
    กาแรนซ์  หัวหน้าปิเยหิริน ถามทันที เขารู้นิสัยมัจเจดีเขารู้สึกได้ว่ามัจเจ กำลังชักแม่น้ำทั้งห้า

    เพื่อหว่านล้อมเขา หรือเพื่ออะไรสักอย่างหนึ่ง  เขารู้ว่าไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกันมากเพราะ

    อย่างไรเสีย พวกเขาก็ต้องทำตามคำสั่งอยู่แล้ว เพราะถ้าขัด เรคาที่ครอบงำพวกเขาอยุ่ คงไม่

    ยอมแน่ๆ  



    "  ข้าย้ำว่าเรื่องนี้เป็นความลับนะ ถ้ารู้ถึงหูโอ๊ค..เอ๊ย ท่านโอ๊คคาระ พวกเราไม่ปลอดภัยแน่ "


    มัจเจ กล่าว


    " ท่านบอกมาเถอะ "


    กาแรนซ์ ตัดบท เขาอย่างจะรู้รายละเอียดมากกว่า เพราะอย่างไร ก็ต้องทำตามทุกอย่างอยู่

    แล้ว  



    " ข้าอยากให้เจ้า แอบส่งพวกของเจ้าไปสังหารพวกมนุษย์พวกนั้นก่อน "


    " หมายความว่าอย่างไรเมื่อไปถึงที่นั่นเราก็ต้องทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องส่งพวกข้าแอบ

    ไปสังหารพวกมนุษย์ก่อน  แล้วทำไมต้องเป็นความลับด้วย ท่านโอ๊คคาระทำไมต้องรู้ไม่ได้ เขา

    ก็มีประสงค์ จะสังหารพวกมนุษย์อยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ เมื่อไปถึงที่นั่น "


    กาแรนซ์ถามอย่างสงสัย

     
    " ก็เพราะตอนนี้พวกมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่นั่นนะสิ "


    มัจเจตอบ  


    " พวกมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่นั่น ....แล้วพวกมันอยู่ที่ใหน เห็นท่านเคยบอกที่หนึ่งแล้วว่าคนของเราไม่

    เห็นมนุษย์ที่ตะเนยา มาหลายวัน แล้วท่านรู้แล้วเหรอว่าพวกมันอยู่ใหน "


    กาแรนซ์ ถาม


    " ตอนนี้เรคาแห่งข้า พบพวกมันโดยบังเอิญ ที่ลำแคล่ง  คาดว่าพวกมันน่าจะเดินทางขี้นเหนือ ไปที่

    ใหนสักแห่ง "


     มัจเจตอบ


    " พวกมันขึ้นไปถึงลำเเคล่งเลยเหรอ เอ๊ะทำไมพวกเราถึงไม่มีใครรู้หรือเห็นว่าพวกมันเดินทาง

    ขึ้นมาเลยล่ะ แต่ก็ไม่เป็นไรนี่ให้พวกข้าไปฆ่ามันที่นี่ก็ได้ในถิ่นเราด้วย แต่ข้าไม่เข้าใจทำไมต้อง

    ปิดท่านโอ๊คคาระด้วย ในเมื่อไม่ว่าจะเป็นที่ใหน ถ้าเราฆ่าพวกมนุษย์ได้ ท่านโอ๊คคาระต้องพอใจ

    แน่ "



    กาแรนซ์แสดงเห็น แต่ก็ยังแปลกใจในเหตุผลบางอย่างของมัจเจ


    " เจ้าไม่รู้อะไร  ลำแคร่ง ไปจดลำเเควอี้ ท่านโอ๊คคาระ สั่งห้ามพวกเราไว้ไม่ให้พวกเราไปแถว

    นั้น ขนาดสงสัยกันว่ามีอุโมงค์แถวนั้นคาดว่าพวกมนุษย์อาจเข้าไป ยังไม่ยอมให้เข้าไปดูเลยข้าถาม

    กี่ครั้งก็ไม่บอกเหตุผล ซ้ำยังเกรี้ยวกราดด่าข้าทุกครั้งที่ข้าถาม  และถ้ารู้ว่ามีเรคาของ

    ข้าไปเจอ พวกมนุษย์ตรงนั้น ก็รู้ว่าเรคาของข้าแอบไปแถวนั้นนะสิ ก็เท่ากับข้าขัดคำสั่งเขา

    ปรกติข้าบอกตามตรงนะ แถวนั้นข้าส่งเรคาไปหากินซาก เพราะถิ่นนั้นมีสัตว์อยู่ด้วย พวกมันตาย

    เมื่อไรก็เป็นอาหารข้า และไม่เคยเห็นอะไรที่น่าสงสัย ของท่านโอ๊คคาระที่ห้ามพวกเรานั้นด้วย

    จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ บังเอิญ เรคาของข้าไปเห็นพวกมนุษย์เข้า "


    มัจเจอธิบายเหตุผลที่ต้องให้ กาแรนซ์ หัวหน้าหิริน เก็บซ่อนเรื่องนี้เป็นความลับ


    " เเละอีกอย่างพวกเราจะโดนตำหนิ อย่างมากที่ปล่อยให้พวกมนุษย์ เข้ามาได้ในถิ่นของเราที่ลึก

    ขึ้นมาถึงนี่ โดยที่เราไม่ได้ระแคะระคายมาก่อนเลย ท่านโอ๊คคาระจะดูถูกพวกเรา ยิ่งช่วงนี้ มีตัว

    สำรองทำงานที่อาจจะดีกว่าพวกเราอีกด้วย รอโอกาสเสียบอยู่ ทางที่ดีเจ้าต้องส่งพวกของเจ้า

    ไปฆ่ามนุษย์พวกนั้น เพื่อทำลายหลักฐาน ท่านโอ๊คคาระจะได้ไม่รู้เรื่องนี้  และไว้ใจพวกเรา

    เหมือนเดิม "



    มัจเจตอบ


    " อืม ..ท่านนี้ก็คิดได้เฉียบแหลมจริง ยิงกระสุนนัดเดียวได้ผลหลายทางจริง ว่าแต่พวกหิรินเรา

    เรื่องการต่อสู้ไม่เป็นรองพวกมนุษย์ แน่ แต่ที่นี่ห่างจากลำแคร่งหลายวันอยู่ เกรงว่าการเดินทาง

    ของพวกเราที่ลอบออกไป จะไม่ทันมนุษย์พวกนั้น การเดินเท้าของมนุษย์ น่าจะเดินได้เร็วพอพอ

    กับพวกเราด้วย อย่างนั้นเมื่อไรจะตามกันได้ทัน และขบวนของท่านก็ลงไต้ไปเรื่อยๆ ข้าเกรงว่า

    ท่านโอ๊คคาระ จะผิดสังเกตุก่อน ถ้าพวกเราบางร่างหายไปนานผิดปรกติ "


    กาแรนซ์ ตั้งข้อสังเกตุ  


    " อันนั้นไม่ต้องเป็นห่วงข้ามีแผนอยู่แล้ว ข้ารู้ว่ามีซากดิโนสิกใหญ่ๆ อยู่แถวนี้ สักสิบร่าง ข้าจะส่ง

    เรคารียะ เข้าควบคุมมัน และให้มันพาพวกเจ้าไป จะเดินทางได้เร็วขึ้น พวกดิโนสิก พวกนี้เป็นสัตว์

    เพชรฆาตรและใหญ่กว่า ดิโนสิกที่เราส่งไปจัดการพวกมนุษย์ครั้งก่อนมาก แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังมีจุด

    อ่อนอยู่ คือเรคารียะของข้า และเจ้าด้วย  คืออ่อนแอต่อเลือดของมนุษย์ พวกนั้น เพราะเลือดของ

    มนุษย์ พวกนั้น มีเรคินของ ติอากอ อยู่ เมื่อไปถึง เจ้าต้องป้องกันร่างพวกมันด้วย อย่าให้พวกมนุษย์เข้า

    ถึงตัวพวกมันและเจ้าได้ และความใหญ่โตและพลังอันหมาศาลของดิโนสิคพวกนี้ จะเป็นส่วนช่วยให้

    พวกเจ้าฆ่ามนุษย์โลกพวกนั้นได้เอง "


    +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×