ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Destiny พรหมลิขิต ขีดเส้นรัก

    ลำดับตอนที่ #9 : คำอธิษฐานที่เป็นจริง

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 71
      0
      25 พ.ย. 55

                  “ระ...รุ้งไม่เล่นนะ รุ้งกลัว...” ฉันพูดกับเอ็มซี เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าฉัน แต่ดูเหมือนคนสูงกว่าจะไม่ฟังคำพูดของฉันเลย เพราะเขากลับลากแขนฉันไปที่ของเล่นตัวนั้นทันที

                    “ไม่เอาน่ารุ้ง ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้ว ก็เล่นซักหน่อยสิ” ฉันพยายามขืนตัวเองสุดฤทธิ์ แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถต้านแรงของเอ็มซีได้ เฮ้อ~ ให้มันได้อย่างนี้สิ และเหตุผลที่ฉันกับเอ็มซีมายืนอยู่ตรงนี้ก็เพราะ...

     

                    ‘รุ้ง...พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันไหม?คนข้างตัวเอ่ยถามขึ้น พร้อมส่งยิ้มกว้างมาให้ฉัน

                    ‘เอ็มว่าไงนะ? ฉันเอ่ยถามขึ้นด้วยความงงๆ เอ่อ...นึกยังไงถึงได้ชวนฉันไปเที่ยวล่ะเนี่ย? ไม่เห็นเข้าใจเลย

                    ‘ก็พรุ่งนี้วันเสาร์ใช่ไหมล่ะ? แล้วเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาก็เป็นวันเกิดรุ้งด้วย เอ็มก็เลยอยากชวนรุ้งไปเที่ยวไง...ไปไหม?         

                    ฉันกะพริบตาปริบๆด้วยความงุนงงเล็กน้อย นี่เอ็มซีแน่ใจแล้วนะว่าเขาอยากจะถามความสมัครใจฉันจริงๆน่ะ ทำไมฉันรู้สึกว่าคำพูดของเขาดูบังคับฉันกลายๆยังไงไม่รู้

                    ‘แล้ว...ไปเที่ยวที่ไหนล่ะ? ฉันเอ่ยถามออกไปอีกครั้ง เล่นเอาคนที่ได้ยินถึงกับยิ้มตาหยี เพราะนั่นก็หมายความว่าฉันยอมตกลงไปเที่ยวกับเขา

                    ‘เดี๋ยวก็รู้ รับรองว่ารุ้งจะต้องเซอร์ไพรส์แน่ๆ

     

                    และสุดท้าย...ฉันก็ต้องเซอร์ไพรส์จริงๆ เมื่อเห็นว่าที่ที่เอ็มซีพาฉันมาเที่ยวนั้นก็คือ...สวนสนุก!! นี่เขาคิดยังไงถึงได้พาฉันมาเที่ยวสวนสนุกนะ ไม่คิดว่าพวกเราโตเกินไปรึไงนะ และเอ็มซีคงคิดว่าฉันเซอร์ไพรส์ไม่พอ เขาถึงได้ลาก...ย้ำนะ...ว่าลาก!! เขาลากแขนฉันมายืนอยู่ที่หน้ารถไฟเหาะ ซึ่งฉันเป็นเกลียดเครื่องเล่นหวาดเสียวทุกชนิด แต่ร่างสูงกว่าก็ยังจะคะยั้นคะยอให้ฉันเล่นอยู่ดี

                    “เอ็ม...รุ้งไม่อยากเล่นจริงๆนะ T_T” ฉันทำท่าจะร้องไห้ เมื่อเห็นว่าร่างสูงยังคงลากแขนฉันมาต่อแถว เพื่อเล่นไอ้เครื่องเล่นรถไฟเหาะอันนี้

                    “อย่ากลัวไปเลยรุ้ง อย่าลืมสิว่าเอ็มยังยืนอยู่ข้างๆรุ้ง และยังจับมือรุ้งอยู่ด้วย” ร่างสูงว่า พร้อมชูมือที่เขาจับแขนของฉันไว้ ทำให้ฉันอดถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ไม่รู้ทำไม...ฉันถึงได้รู้สึกอบอุ่นแบบนี้ แถมยังรู้สึกดีกับคำพูดของคนข้างตัวอย่างมากๆอีกด้วย

                    เราสองคนยืนต่อแถวกันประมาณเกือบครึ่งชั่วโมง และตอนนี้ฉันกับเอ็มซีก็กำลังนั่งอยู่บนเครื่องเล่น พร้อมดึงเอาไอ้ตัวนิรภัยลงมาล็อคไว้ เพื่อไม่ให้ตัวฉันหล่นลงไป และตอนนี้เองที่ความกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาหาฉัน สายตาของฉันมองขึ้นไปบนไปบนรางรถไฟที่ตัวรถไปกำลังไต่ระดับขึ้นไป เหงื่อเริ่มซึมบนมือฉัน พร้อมๆกับที่ฉันรีบหลับตา เมื่อรับรู้ถึงความเร็วถึงรถไปเหาะที่กำลังไต่ระดับลงอย่างรวดเร็ว

                    “กรี๊ดดดด~

                   



                    “อ่ะ...น้ำ” เสียงที่คุ้นหูดังขึ้น ก่อนที่มือใหญ่จะยื่นขวดน้ำมาให้ฉันที่เพิ่งจะอาเจียนไปเกือบหมดท้อง แล้วเอ็มซีก็ย่อตัวลง พร้อมหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากให้ฉัน

                    “อะ...เอ่อ...ขอบใจนะ” ฉันพูดกับร่างสูงด้วยความรู้สึกเก้อๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขามาไว้เอง

                    “เอ็มขอโทษล่ะกันนะที่พารุ้งไปเล่นรถไปเหาะน่ะ เอ็มแค่เห็นว่ามันน่าสนุกดี และรุ้งก็น่าจะชอบ ถ้าได้ลองเล่นสักครั้ง แต่เอ็มไม่คิดว่ารุ้งจะเป็นหนักขนาดนี้ ยังไง...เอ็มก็ต้องขอโทษจริงๆนะ”เอ็มซีพูดกับฉันด้วยความรู้สึกผิด ในขณะที่ฉันก็ได้แต่ยิ้มแหยๆให้เขา เพราะจะให้บอกว่าฉันไม่เป็นอะไร แต่สภาพของฉันมันไม่ได้เป็นแบบนั้นจริงๆ

                    เพราะพอฉันลงมาจากเครื่องเล่นรถไปเหาะเครื่องนั้น ฉันก็รีบวิ่งมาอาเจียนทันที ของทุกอย่างที่เคยกินเมื่อตอนเช้า มันตีกันไปหมด จนฉันอาเจียนหมดท้องนั่นแหละ ฉันถึงจะรู้สึกดีขึ้น โชคดีที่เอ็มซีอาสาไปซื้อน้ำมาให้ฉัน ทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาก แม้จะยังรู้สึกมึนๆหัวอยู่นิดหน่อยก็เถอะ

                    “ช่างมันเถอะ รุ้งก็ไม่ได้โกรธอะไรเอ็มหรอก ยังไงก็...ถือว่าสักครั้งในชีวิตล่ะกันเนอะ” ฉันพูดขึ้น และหัวเราะออกมา นั่นทำให้คนข้างตัวฉันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

                    “รุ้งลุกไหวไหม?” เอ็มซีถามขึ้น พร้อมยันตัวลุกขึ้น ก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าฉัน

                    หมับ!

                    ฉันเอื้อมมือไปจับมือของเอ็มซี ก่อนจะยันตัวลุกขึ้นตามร่างที่สูงกว่า เอ็มซีกระชับข้อมือของฉันไว้ พร้อมกับดึงมันไปอีกทางหนึ่ง

                    “บ้านผีสิง!” ฉันเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นว่าเอ็มซีพาฉันมาที่ไหน? หลังจากเจอเรื่องหวาดเสียว ฉันก็ต้องมาเจอเรื่องน่ากลัวๆต่อเนี่ยนะ

                    “รุ้งกลัวเหรอ?” เอ็มซีหันมาถามฉัน พร้อมกับที่ฉันส่งยิ้มแหยๆกลับไปให้เขา

                    “ปะ...เปล่าหรอก รุ้งไม่ได้กลัวเสียหน่อย” น่าแปลก...ที่ครั้งนี้ ฉันกลับไม่ยอมรับว่าตัวเองกลัวเหมือนครั้งที่แล้ว อาจจะเพราะนัยน์ตาสีน้ำตาลของคนข้างตัวที่แสดงออกมาว่าเจ้าตัวอยากเล่นมากแค่ไหนล่ะมั้ง? เฮ้อ~ นี่ตกลงเราสองคนมาเที่ยวเพราะวันเกิดฉันจริงๆใช่ไหม? และจริงๆเอ็มซีก็ควรจะเป็นฝ่ายตามใจฉัน ไม่ใช่กลับกลายเป็นว่าฉันเป็นฝ่ายตามใจเจ้าตัวสิ

                    “แต่ทำไมรุ้งถึงมือเย็นแบบนี้ล่ะ?”

                    “ฮ่ะๆ ไม่มีอะไรหรอก” ฉันว่า พร้อมแอบปาดเหงื่อที่ผุดบนหน้าผากเบาๆ แม้ว่าฉันจะไม่ได้กลัวผีมากนัก แต่ถึงยังไงฉันก็ยังมีกลัวมันอยู่ดี

                    ร่างสูงจูงมือฉันเข้าไปในบ้านผีสิงที่ข้างในตัวบ้านมืดเสียเหลือเกิน  และนั่นก็อดทำให้ฉันกระชับมือของคนข้างตัวไม่ได้

                    “แฮ่~

                    “กรี๊ด~

            หมับ!

             และทันทีที่ผีตัวแรกโผล่ออกมาจากโลง ฉันก็ถึงกับกรี๊ดออกมา และกอดคนที่ยืนข้างๆทันที เรียกเสียงหัวเราะจากคนที่โดนกอดได้เป็นอย่างดี

             “ไหนบอกไม่กลัวไง?” คนข้างตัวฉันถามกลับมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ฉันจึงค่อยๆคลายอ้อมกอด และทำหน้าบึ้งเล็กน้อย

             “ก็รุ้งไม่ได้กลัวจริงๆนี่ แต่คนมันตกใจนี่นา ข้างในบ้านมันมืดซะขนาดนี้ แถมอยู่ๆก็มีตัวอะไรโผล่มาก็ไม่รู้ ใครไม่ตกใจก็บ้าแล้ว”

              เจ้าตัวยังคงไม่หยุดหัวเราะ พร้อมกับไหวไหล่น้อยๆกับคำแถของฉัน แต่ก็ไม่ได้ซักถามอะไรอีก เฮ้อ~ วันนี้มันวันอะไรเนี่ย ทำไมฉันต้องมาเจอแต่สิ่งที่ไม่อยากเจอด้วย

               “ตึง!

               “กรี๊ด!

               หมับ!

               “ถามจริงเถอะ รุ้งอยากแตะอั๋งเอ็มรึเปล่าเนี่ย? เจอผีทีไร ก็รีบเข้ามากอดเอ็มทุกที”

               “บ้า~” ฉันว่า พร้อมใบหน้าที่ขึ้นริ้วสีชมพูเล็กน้อย ก่อนจะคลายอ้อมกอดอีกครั้ง โอ๊ย! นี่ฉันทำอะไรไปเนี่ย เล่นกอดผู้ชายไปแบบนี้ ใช้ไม่ได้จริงๆเลยฉัน “...รุ้งว่าเราออกจากที่นี่กันเถอะ น้า~

             “กลัวเหรอ? ไหนเมื่อกี้บอกว่าไม่กลัวไง..”

             “โอเคๆ รุ้งกลัว...กลัวมากๆเลยด้วย เราออกจากที่นี่กันเถอะนะ นะๆเอ็มซี”

             “คร้าบๆ”

             เอ็มซีรับคำ ก่อนที่เราสองคนจะเดินออกมาจากบ้านผีสิง โดยที่ตัวฉันแทบจะวิ่งออกมาเลยล่ะ แถมระหว่างทางยังไม่วายเจอผีตัวอื่นๆอีก และฉันก็ยังกรี๊ดทุกครั้งที่เจอด้วย เล่นเอาเอ็มซีถึงกับหัวเราะจนท้องแข็งเลย อะไรเนี่ย~ ก็คนมันกลัวผีนี่ ผิดตรงไหนล่ะ หึ

              “งั้นตอนนี้รุ้งขอพาเอ็มไปเล่นเครื่องเล่นที่รุ้งอยากเล่นบ้างนะ” ฉันเอ่ยขึ้น ก่อนจะพาเอ็มซีมายืนอยู่ที่หน้า...

             “ซูเปอร์สแปช?”

             เจ้าตัวพูดขึ้น เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ฉันจูงมือของคนข้างตัวมาต่อแถว และไม่นาน เราสองคนก็มานั่งอยู่บนเรือลำใหญ่ที่ไต่ขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะทะยานสู่สระน้ำขนาดใหญ่และ...

               ซ่า~

               “เย็นดีไหมเอ็ม?” ฉันเอ่ยถามคนข้างตัว เพราะขณะที่ตัวเครื่องเล่นสไลด์ลงมาอย่างเร็วนั้น น้ำในสระก็ถูกสาดมาหาพวกเราทุกคนที่นั่งอยู่บนเครื่องเล่นนี้ เล่นเอาทุกคน และคนที่ยืนอยู่บนสะพานใกล้ๆนี้...เปียกกันหมดเลยทีเดียว

               “ก็เย็นดีนะ หลังจากที่เจอแต่อากาศร้อนๆ” ร่างสูงว่า พร้อมส่งยิ้มมาให้ฉัน ก่อนที่เรือลำใหญ่จะเลื่อนมาหยุดที่เดิม พร้อมกับที่เราสองคนเดินขึ้นไปข้างบน

              กึก!

             “กรี๊ด!

             หมับ!

            ในขณะที่ฉันกำลังจะก้าวออกจากเครื่องเล่น เพื่อขึ้นไปอีกฝั่งหนึ่ง อยู่ๆรองเท้าของฉันกลับพลิก นั่นทำให้เอ็มซีที่ขึ้นไปก่อนฉัน ถึงกับกระชากตัวฉันเข้ามาไว้ในอ้อมกอดของฉันทันที ฉันเงยหน้ามองร่างสูงกว่า ก่อนจะเห็นว่านัยน์ตาสีน้ำตาลมองฉันด้วยความจริงใจซะจนฉันอดหน้าแดงไม่ได้

             “อะ...เอ่อ...ขอบคุณนะ” ฉันว่า พร้อมดันตัวออกจากอ้อมกอดของร่างสูงเบาๆ ก่อนจะยิ้มเก้อๆ เช่นเดียวกับร่างสูงที่ยกมือขึ้นเกาตรงท้ายทอยอย่างเขินๆ และใบหูของเจ้าตัวที่แดงขึ้นมา ก็ยิ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวน่ะ...เขินขนาดไหน

             “มะ...ไม่เป็นไรหรอก รุ้งไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ร่างสูงกว่าตอบกลับมา พร้อมกับยื่นกระเป๋าสะพายสีขาวที่วางอยู่บนชั้นวางของมาให้ฉัน “เอ็มไม่เคยเล่นซูเปอร์สแปชมาก่อนเลยนะ”

             “ทำไมล่ะ? เอ็มรู้ไหมว่าซูเปอร์สแปชนี่เป็นของเล่นที่รุ้งชอบมากที่สุดเลยนะ”

             “ก็เอ็มไม่อยากเปียกนี่”

             ฉันหัวเราะออกมากับเหตุผลที่คนข้างๆตัวฉันไม่เคยเล่นซูเปอร์สแปชมาก่อน แค่กลัวเปียกเนี่ยนะ? มันช่างเป็นเหตุผลที่ตลกดีจริงๆ

            หมับ!

            ฉันเอื้อมไปคว้าข้อมือของร่างสูงกว่า พร้อมกับดึงเขามายืนอยู่ตรงกลางสะพานตรงข้างหน้าซูเปอร์ สแปช พร้อมกับที่...

             ซ่า!

             “ฮ่าๆ เอ็มดูเหมือนลูกหมาตกน้ำเลยอ่ะ” ฉันยิ้มกว้าง และหัวเราะออกมา เมื่อมองเห็นสภาพของเพื่อนชาย ก็เพราะว่าปกติผมซอยสั้นสีน้ำตาลทองของเอ็มซีมักจะอยู่เป็นทรง ในขณะที่ตอนนี้มันกลับลู่ลง เพราะโดนน้ำ จนดูเหมือนลูกหมาตกน้ำจริงๆเลย

           “รุ้งก็ไม่ต่างกันหรอกน่า” ร่างสูงว่าไม่พอ เขายังเอื้อมมือมายีหัวฉันอีกต่างหาก ก่อนที่เราสองคนจะพยายามแย่งกันยีผมของอีกฝ่ายอย่างสนุกสนาน เล่นเอาคนที่เดินผ่านมาผ่านมมาถึงกับอดหัวเราะออกมาไม่ได้

     
     

          “ขอบคุณที่พารุ้งมาวันนี้นะเอ็ม รุ้งสนุกมากๆเลย” ฉันหันไปขอบคุณคนข้างตัว พร้อมยิ้มกว้าง นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้มาเที่ยวเล่นที่สวนสนุกแบบนี้ มันอดทำให้ฉันย้อนไปคิดถึงเมื่อตอนเด็กๆที่แม่มักจะพาฉันมาที่นี่ไม่ได้

           “ด้วยความยินดีครับผม” เอ็มซีตอบกลับมาด้วยท่าทีทะเล้น พร้อมกับยกมือตะแบะอย่างกับว่าตัวเองเป็นทหาร เรียกเสียงหัวเราะจากฉันได้เป็นอย่างดี

            หลังจากที่เราสองคนเล่นซูเปอร์สแปชเสร็จ ทั้งฉันและเอ็มซีก็พากันไปเล่นเครื่องเล่นต่างๆทั่วสวนสนุก ไม่ว่าจะเป็นไวกิ้ง สไปเดอร์ เฮอริเคน เมืองหิมะ และอื่นๆอีกมากมาย และไม่น่าเชื่อเลยว่าการมาเที่ยวในครั้งนี้ มันจะทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายมากขนาดนี้ รวมทั้งยังรู้สึกอุ่นใจที่มีเอ็มซีคอยอยู่ข้างๆอีกด้วย

         ~~

          เสียงโทรศัพท์ของฉันดังขึ้นขัดการพูดคุยของเราสองคน ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมากระเป๋า และแอบนิ่วหน้าเล็กน้อย เมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรมา ฉัน...ไม่ได้บอกฟิวส์ว่าวันนี้ฉันมาเที่ยวกับเอ็มซี ฉันรู้ว่าฟิวส์ไม่ค่อยจะชอบเอ็มซีมากนัก และเอ็มซีก็ไม่ชอบฟิวส์เช่นกัน ส่วนต้นเหตุมันก็มาจากตัวฉันนี่แหละ ฉันไม่อยากให้ฟิวส์รู้เลยว่าฉันมาเที่ยวกับเอ็มซี แต่ฉันก็ไม่ได้อยากโกหกเขาเช่นกัน

           ติ๊ด~

           ฉันตัดสินใจกดรับสายของเพื่อนสนิท โดยที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้ลุกเดินออกไปไหน นี่ฉัน...ทำถูกรึเปล่านะ

          “ฮัลโหล”

          [รุ้ง...เย็นนี้รุ้งว่างไหม?ทันทีที่ฉันกดรับสาย และกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ คนปลายสายก็รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงร่าเริงทันที

          “เย็นนี้เหรอ?”

          [อื้อ ตอนช่วงห้าโมงหรือหกโมงน่ะ รุ้งว่างรึเปล่า...มาบ้านฟิวส์หน่อยได้ไหม?]

          “ไปบ้านฟิวส์เหรอ?” ฉันเอ่ยถามกลับไปด้วยความรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ฟิวส์มีอะไรอย่างนั้นเหรอ? อยู่ๆถึงได้ชวนฉันไปบ้านแบบนี้น่ะ และถ้าฉันมองไม่ผิด ฉันแอบสังเกตว่านัยน์ตาสีน้ำตาลของคนข้างตัวฉันวูบไหวเล็กน้อย เฮ้อ~

         [ใช่ๆ วันนี้ฟิวส์มีอะไรเซอร์ไพร์สรุ้งด้วย รุ้งต้องแต่งตัวสวยๆเลยนะ ฟิวส์รับรองเลยว่ารุ้งจะต้องชอบแน่ๆ...รุ้งมาได้ไหม?]

        ฉันยิ้มแค่นๆกับน้ำเสียงที่ร่างเริงสุดๆของคนปลายสาย ถ้าเป็นเรื่องของฉัน ไม่ว่าจะสำคัญ หรือไม่สำคัญ ฟิวส์ก็จะเห็นว่ามันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเขาทุกอย่าง นี่ฉัน...ไม่ได้กำลังจับปลาสองมือใช่ไหม? แต่ทำไม...ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังเป็นแบบนั้นเลย

        “...”

        [รุ้ง...มาได้รึเปล่า?]

        “อะ...อ๋อ...ได้สิ แล้วฟิวส์จะให้รุ้งไปถึงบ้านฟิวส์กี่โมงล่ะ?”

       [อืม...สักหกโมงเย็นเป็นไง?]

       “ได้สิ...งั้นไว้เจอกันนะ” ฉันตอบรับคำพูดของคนปลายสาย ก่อนที่ฟิวส์จะตัดสายทิ้งไป และทันทีที่ฉันเก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋า ฉันก็ได้รับรู้ถึงความอึมครึมระหว่างเราสองคนทันที บางที...ฉันไม่ควรจะรับโทรศัพท์ของเพื่อนสนิทใช่ไหม? โอ๊ย! ฉันเกลียดบรรยากาศแบบนี้ที่สุดเลย

      “ไอติมโบราณคร้าบ~ ไอติมโบราณ~ อ้าว...พวกหนูสองคนน่ะ...อยากกินไอติมโบราณไหม?” เสียงของลุงแก่ๆคนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับที่เขาเข็นรถไอติมมาตรงหน้าพวกเรา พร้อมถามขึ้น

      “อะ...เอ่อ...”

      “ขอไอติมสองแท่งล่ะกันครับลุง”

      ในขณะที่ฉันรู้สึกใบ้กินกับสถานการณ์อึมครึมแบบนี้ แต่อยู่ๆเอ็มซีก็เป็นฝ่ายเอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน พร้อมกับที่เขาเดินมายืนอยู่ตรงหน้ารถขายไอติมโบราณ

      “อยากได้ไอติมรสอะไรล่ะ...เจ้าหนู?”

      “ผมขอรสถั่วดำแล้วกันครับ...รุ้งล่ะอยากได้รสอะไร?”

      “อืม...รุ้งขอรสช็อกโกแลตก็แล้วกันค่ะ”

      ลุงขายไอติมหยิบแท่งไอติมรสถั่วดำ และรสช็อกโกแลต พร้อมยื่นมาให้เราสองคน ในขณะที่เอ็มซี และฉันก็กำลังจะยื่นเงินค่าไอติมให้กับลุงตรงหน้า

      “ลุงไม่เอาเงินหรอกหนู ลุงแค่เห็นพวกหนูทำหน้าเศร้าๆ สงสัยคงจะทะเลาะกันล่ะสิ...บางทีเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้ามันไม่สำคัญมากนัก ก็อย่ามาทำให้ต้องทะเลาะกันเลย ชีวิตหนึ่งจะเจอคนที่เรารัก และรักเราสักกี่คนเชียว ในเมื่อเจ้าหนูทั้งสองเจอกันแล้ว ก็น่าจะรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ให้ดีที่สุดนะ”

       “...”

      “...ลุงไปล่ะ ขอให้โชคดีนะ”

      “คุณลุง / ลุง...” ฉัน และเอ็มซีต่างพึมพำเรียกลุงขายไอติมโบราณที่เดินจากไป ทิ้งความเงียบให้เกิดขึ้นกับเราสองคน ถ้าเจอแล้ว...ก็ให้รักษาไว้อย่างนั้นเหรอ? ลุงคงเข้าใจว่าฉันกับเอ็มซีเป็นแฟนกันสินะ แต่ทำไมเรื่องแค่นี้...แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกกังวลใจเหลือเกินนะ

       “เอ่อ... / คือ...”

       “รุ้งพูดก่อนสิ...”

       “เอ็มซีพูดก่อนเถอะ...”

       “รุ้งนั่นแหละพูดก่อน...รุ้ง...มีอะไรรึเปล่า?”

       “ฮ่ะๆ เอ่อ...” หลังจากที่เราสองคนมัวแต่เกี่ยงกันว่าใครจะเป็นคนพูดก่อน และสุดท้ายก็กลายมาเป็นฉันที่พูดก่อน แม้ว่าฉันจะอยากพูดเรื่องที่คุณลุงขายไอติมเอ่ยทัก แต่สุดท้ายฉันก็เปลี่ยนใจในที่สุด “...ไอติมรสถั่วดำอร่อยไหม?”

       “แล้วไอติมรสช็อกโกแลตล่ะ...อร่อยไหม?”

       ฉันเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความอึดอัดใจเล็กน้อย ฉันไม่รู้ว่าเอ็มซีอยู่ในสถานะไหนสำหรับฉันกันแน่ คนรู้จัก เพื่อน หรือว่าเพื่อนสนิท...ตัวฉันเองก็ตอบไม่ได้ เพราะนอกจากฟิวส์แล้ว ก็ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนที่เข้าใกล้ฉันได้มากขนาดนี้ เพราะปกติแล้ว ฉันมักจะไม่ยอมเปิดใจรับใครเลย แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นเอ็มซีด้วย...ที่ฉันยอมให้เขาเข้ามาใกล้แบบนี้

       แต่อยู่ๆนัยน์ตาสีน้ำตาลของคนข้างตัวก็หันมาสบตาฉัน พร้อมกับใบหน้าที่เลื่อนใกล้เข้ามาด้วย นะ...นี่เอ็มซีจะทำอะไรน่ะ แต่...ทำไมฉันกลับไม่หลบตาเขาล่ะ? เพราะอะไรฉันถึงยังสบตาเขานิ่งอยู่แบบนี้ ร่างสูงเอื้อมมือมาปาดช็อกโกแลตที่เลอะบนแก้มฉัน ก่อนจะลองชิมมัน พร้อมเอ่ยขึ้น

    “รสช็อกโกแลตนี่...อร่อยดีนะ”

    ฉันกะพริบตาปริบๆ พร้อมกับรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนจัดขึ้นมา นะ...นี่ฉันคิดอะไรของฉันเนี่ย ฉันคิดว่า...เอ็มซีจะ...จูบฉันเสียอีก โอ๊ย! ยัยรุ้ง...นี่เธอคิดบ้าอะไรของเธอเนี่ย? น่าอายชะมัดเลย

    “รุ้งเป็นอะไรรึเปล่า...หน้าแดงเชียว”

    “ปะ...เปล่า...ไม่มีอะไรหรอก”

    “งั้นเรากลับกันเลยไหม?”

    “อะ...อื้อ”

     “แม่คะ...วันนี้รุ้งจะไปบ้านฟิวส์นะค่ะ” ฉันเอ่ยขึ้น ในขณะที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถที่ลุงพลขับออกมาจอดที่หน้าบ้าน พร้อมกับที่แม่เบือนหน้ามาหาฉัน

    “มีอะไรพิเศษรึเปล่า...ลูกของแม่ถึงได้แต่งตัวสวยขนาดนี้”

    คำพูดของแม่ศุ ทำให้ใบหน้าฉันขึ้นสีเล็กน้อย ฉันก้มลงมองชุดที่ตัวเองใส่ด้วยใบหน้ายิ้มๆ เดรสสีขาว แขนตุ๊กตาที่เย็บติดกับกระโปรงสั้นเหนือเข่าสีครีม และมีเข็มขัดสีดำอันโตคาดตรงกลางลำตัว และรองเท้าส้นสูงที่เพิ่งลูกเล่นด้วยลายสีขาวสลับดำ

    “ก็...ฟิวส์บอกรุ้งว่าวันนี้เขาจะมีเซอร์ไพรส์ แล้วฟิวส์ก็ยังอยากให้รุ้งแต่งตัวสวยๆไปด้วย” ฉันถูมือตัวเองไปด้วย ในขณะที่ตัวเองตอบคำถามของคุณแม่

    “จ้าๆ ยังไงก็ขอให้สนุกนะจ้ะ”

    “ค่ะแม่...รุ้งไปก่อนนะค่ะ” ฉันว่า พร้อมยกมือไหว้ผู้เป็นแม่ ก่อนจะเดินไปขึ้นรถที่รออยู่หน้าบ้าน ไม่นาน ฉันก็มายืนอยู่ข้างหน้าบ้านของเพื่อนชายคนสนิท

    “รุ้ง...” ร่างสูงกว่าเอ่ยเรียกชื่อของฉัน พร้อมกับมองฉันด้วยสายตาอึ้งๆ มันยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเขินเข้าไปกว่าเดิมเสียอีก จะ...จะมองอะไรนักหนาเนี่ย ฉัน...เขินจะแย่อยู่แล้วนะ

    “ฟิวส์...”

    “หะ...หือ?” เมื่อฉันเรียกชื่อของเพื่อนสนิท ก็ดูเหมือนเขาจะรู้ตัวว่ามองฉันมากเกินไป เขายิ้มร่า พร้อมเดินมายืนตรงหน้าฉัน “...รุ้งสวยมากๆเลย”

    “ขะ...ขอบคุณนะ” ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าหน้าตัวเองร้อนขนาดนี้เนี่ย โอ๊ย! ฉันอยากจะหนีไปจากตรงนี้จริงๆ ทำไมฟิวส์ต้องมองหน้าฉันด้วยแววตาสื่อความนัยขนาดนั้นนะ ฉันเขินจะแย่อยู่แล้วรู้ไหม?

    “วันนี้ฟิวส์มีอะไรจะเซอร์ไพรส์รุ้งด้วย...รุ้งช่วยหลับตาได้ไหม?” ฉันยอมหลับตาตามที่คนตรงหน้าขอ ก่อนที่ฟิวส์จะนำผ้าสีดำมาพันไว้ที่รอบดวงตาของฉันอีกชั้นหนึ่ง เอ่อ...นี่ต้องทำกันขนาดนี้เลยเหรอ? ฟิวส์มีอะไรเซอร์ไพรส์ฉันกันแน่นะ “ค่อยๆเดินตามฟิวส์มานะรุ้ง”

    หมับ!

    ร่างสูงว่า พร้อมเอื้อมมือมาจับข้อมือไว้ แต่นั่นกลับทำให้ชะงักเล็กน้อย ทำไมอยู่ๆ...ฉันถึงรู้สึกเหมือนภาพซ้อนที่เอ็มซีเอื้อมมือมาจับข้อมือของฉันไว้เมื่อตอนเช้า ตอนที่ฉันก้าวพลาด ในระหว่างที่กำลังจะขึ้นจากเรือซูเปอร์สแปช และดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทของฉันจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงของฉันด้วย

    “รุ้งเป็นอะไรรึเปล่า?”

    “ปะ...เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”

    ฉันเดินร่างสูงไปเรื่อยๆ ก่อนจะรู้สึกว่าฟิวส์กำลังพาฉันมาที่ด้านหลังของบ้าน ซึ่งเป็นสวนหญ้า พร้อมกับที่เขาเอื้อมมือมาแกะผ้าปิดตาออก

    “ลืมตาสิ...”

    ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น และสิ่งที่ปรากฏต่อสายตาของฉันก็คือที่รอบตัวฉันถูกประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว และเทียนสีฟ้าที่ถูกจุดตลอดทางเดิน ก่อนที่สายตาของฉันจะเห็นว่าเพื่อนสนิทของฉันกำลังเดินเข้ามาหาฉัน พร้อมกับเค้กช็อกโกแลตสีขาว ปักเทียนสิบแปดเล่ม และที่ตัวเค้กเขียนว่า...

    สุขสันต์วันเกิดสายรุ้ง

    “ขอบคุณนะฟิวส์” ฉันว่า พร้อมร้องไห้ออกมา ฉันก็ไม่เข้าใจนักว่าทำไมตัวเองต้องร้องไห้ อาจจะเป็นเพราะไม่เคยมีใครทำให้ฉันมากขนาดนี้ล่ะมั้ง ทั้งเอ็มซี และฟิวส์...ทั้งสองคนทำ...ในสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำให้ฉัน ทั้งเรื่องการไปเที่ยวสวนสนุก และการทำเซอร์ไพรส์ มันทำให้ฉันอดกลั้นน้ำตาไม่ได้จริงๆ “รุ้ง...ขอบคุณฟิวส์จริงๆ”

    “ไม่เป็นไรหรอกน่า” ร่างสูงกว่าเอื้อมมือมายีหัวฉันเบาๆ พร้อมเอ่ยต่อ “...ทำตัวเป็นเด็กขี้แยไปได้” ฟิวส์หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมา ก่อนจะนำมันมาเช็ดน้ำตามให้ฉันอย่างเบามือ อีกครั้งที่เหมือนว่าฉันจะเห็นภาพเอ็มซีซ้อนทับมา ตอนที่เขาใช้ผ้าเช็ดหน้าของเขามาเช็ดปากให้ฉันที่เพิ่งจะอาเจียน หลังจากเล่นเครื่องเล่นรถไฟเหาะอันนั้น

    “รุ้ง...รุ้งเป็นอะไรรึเปล่า? ฟิวส์รู้สึกว่าวันนี้รุ้งดูแปลกๆไปนะ”

    “ไม่มีอะไรหรอกฟิวส์ รุ้งก็แค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยน่ะ” ฉันบอกปัดคำถามของเพื่อนสนิท พร้อมยิ้มตอบกลับไป แม้ว่าร่างสูงยังมีท่าทางสงสัยอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก อาจจะเพราะว่าฟิวส์รู้นิสัยฉันดีว่าถ้าฉันไม่อยากบอก ต่อให้ซักยังไง ฉันก็ไม่มีทางบอก นอกเสียจากว่าฉันจะตัดสินใจเป็นฝ่ายบอกเองเสียมากกว่า

    “รุ้งเป่าเค้กสิ...” ฟิวส์ว่า ก่อนที่ฉันจะเตรียมเป่าเค้กอย่างที่เพื่อนสนิทว่า แต่เขาก็ขัดขึ้นมาอีก “...รุ้งอธิษฐานก่อนสิ...”

    “นั่นสินะ...” ฉันพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ก่อนจะอธิษฐานในใจสักพัก แล้วจึงก้มลงไปเป่าเค้กอีกครั้งหนึ่ง

    “สุขสันต์วันเกิดอีกครั้งนะรุ้ง...” เพื่อนสนิทพูดกับฉัน ก่อนที่เราสองคนจะนั่งลงบนพื้นหญ้า พร้อมกับที่ฉันเอ่ยขึ้น

    “อื้ม...รุ้งก็ต้องขอบคุณฟิวส์เหมือนกันนะที่ทำของพวกนี้ไว้ให้รุ้งน่ะ รุ้งชอบมากๆเลย และรุ้งก็ต้องขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ฟิวส์เคยทำให้รุ้ง รวมทั้งการที่ฟิวส์ยังอยู่เคียงข้างรุ้งแบบนี้ตลอดด้วย ขอบคุณจริงๆ”

    “ก็เพราะว่าเป็นรุ้ง...ฟิวส์ถึงทำได้ทุกอย่างไง”

    ฉันยิ้มรับ พร้อมเอนศีรษะไปพิงหัวไหล่คนข้างๆ ก่อนที่เราสองคนจะแหงนหน้ามองดูดวงดาวที่ส่องแสงอยู่เต็มท้องฟ้า

    “นานเท่าไหร่แล้วนะที่เราสองคนไม่ได้มาดูดาวด้วยกันแบบนี้...”

    “นั่นสินะ...”

     

    ย้อนกลับไป เมื่อเกือบ 6 ปีก่อน ฉัน...ในวัย 12 กำลังนั่งเล่นชิงช้าอยู่กับฟิวส์ในสวนหลังบ้านของเขาในตอนเย็น และบรรยากาศในวันนั้น ก็ไม่ต่างจากวันนี้เลย...ที่จะมีดวงดาวเต็มท้องฟ้าแบบนี้ จะต่างกันก็ที่...

    นั่นมัน...ดาวตกนี่... ฉันเอ่ยขึ้น พร้อมชี้ไปที่สะเก็ดดาวที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า ก่อนที่คนข้างๆจะตีมือฉันเบาๆ

    เขาไม่ให้ชี้ดาวตกกันรุ้ง เพราะคนโบราณเชื่อกันว่าการที่มีดาวตกคือการที่จะมีเด็กมีบุญหนักมาเกิด ถ้าเราชี้นิ้วไปที่ดาวตก เด็กคนนั้นจะไม่ได้เกิดมา และคนโบราณยังเชื่อกันอีกว่าถ้าเราอธิษฐานกับดาวตก คำอธิษฐานนั้นจะเป็นจริง...

    คำพูดของเพื่อนสนิท ทำให้ฉันรีบอธิษฐานกับดาวตก เช่นเดียวกับเขาที่ทำเช่นเดียวกัน ถ้าเราอธิษฐานกับดาวตก...แล้วคำอธิษฐานจะเป็นจริงอย่างนั้นเหรอ? แปลกดีจัง

    ฟิวส์อธิษฐานว่าอะไรเหรอ?

    รุ้งล่ะ?

    ฟิวส์บอกก่อนสิ แล้วรุ้งถึงบอกของรุ้ง...

    รุ้งก็บอกก่อนสิ...

    และสุดท้าย เราสองคนก็มัวแต่เถียงกันว่าให้อีกฝ่ายบอกก่อน แต่แล้วก็ไม่มีใครยอมบอกก่อน และเราสองคนก็ไม่มีใครล่วงรู้คำอธิษฐานของอีกฝ่ายเลย

     

    “ในวันนั้น...รุ้งอธิษฐานกับดาวตกว่าอะไรเหรอ?”

    “รุ้งอธิษฐานว่า...ขอให้ฟิวส์อยู่เคียงข้างรุ้งตลอดไป” แต่ครั้งนี้ ฉันกลับบอกคำอธิษฐานของตัวเองกับเพื่อนสนิทอย่างไม่เกี่ยงงอน และดูเหมือนว่าคำอธิษฐานของฉันจะทำให้คนข้างตัวฉันตกใจพอตัว ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงอธิษฐานออกไปแบบนั้น อาจจะเพราะว่าความที่ฉันเป็นเด็ก และฉันก็มีเขาเป็นเพียงเพื่อนผู้ชายคนเดียวล่ะมั้ง “...แล้วฟิวส์ล่ะ...อธิษฐานว่าอะไร”

    “ฟิวส์อธิษฐานว่า...ต่อให้เราต้องจากกันไป ก็ขอให้ฟิวส์ได้กลับมาเจอ และกลับมาอยู่เคียงข้างรุ้งเหมือนเดิม”

    คำพูดของคนข้างตัว ทำให้ฉันอดยิ้มออกมาไม่ได้ ไม่ว่านานเท่าไหร่ เขาก็ยังคงเห็นฉันเป็นคนสำคัญของเขาเสมอสินะ

    “ทำไมฟิวส์ถึงอธิษฐานออกไปแบบนั้นล่ะ?”

    “ไม่รู้สิ...ฟิวส์แค่คิดว่ามีพบ ก็ต้องมีจาก ฟิวส์ก็เลยอธิษฐานออกไปแบบนั้น ดูเหมือนว่าคำอธิษฐานของเราทั้งคู่...จะเป็นจริงเสียด้วย”

    “นั่นสินะ...”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×