ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวียงวัง

    ลำดับตอนที่ #31 : พระภรรยาเจ้า

    • อัปเดตล่าสุด 6 มิ.ย. 52


    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ ๓ ทรงมีพระสนมเอกหลายท่าน แต่มิได้ทรงมี พระภรรยาเจ้าซึ่งจะได้เป็นพระชนนีของพระหน่อชั้นเจ้าฟ้า ตามโบราณราชประเพณี

    เมื่อรัชกาลที่ ๑ แม้จะมิได้ทรงสถาปนา พระภรรยาเดิม เป็นพระอัครมเหสี ดังเช่น สมเด็จพระเจ้าท้ายสระทรงตั้งเจ้าท้าวทองสุก พระราชชายาเดิมเป็นพระอัครมเหสี มีพระยศเป็นเจ้าต่างกรม ทรงพระนามว่า กรมหลวงเสนานุรักษ์ ในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ก็ทรงตั้งพระราชชายาเดิมทั้ง ๒ พระองค์ เป็น กรมหลวงอภัยนุชิต พระองค์หนึ่งและ กรมหลวงพิพิธมนตรี อีกพระองค์หนึ่ง ต่อมาในแผ่นดิน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ก็ได้ทรงสถาปนาพระราชชายาเดิม ขึ้นเป็นพระอัครมเหสี เช่นกัน ทรงพระนามกรมว่า กรมหลวงบาทบริจา

    ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ แม้จะมิได้ทรงสถาปนาพระมเหสีเป็นเจ้าต่างกรม ดังสมัยปลายอยุธยาและสมัยกรุงธนบุรี ทว่าก็ทรงสถาปนาให้เป็นเจ้า เป็นพระภรรยาเจ้า พระราชชนนีของสมเด็จเจ้าฟ้า

    เข้าใจว่าในรัชกาลที่ ๑ นี้ คนทั้งหลายจะออกพระนามพระอัครมเหสี ว่า พระพันวัสสา หรือ พระพันวษา

    เมื่อขึ้นรัชกาลที่ ๒ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ทรงมีพระภรรยาเจ้า ซึ่งเป็นพระชายามาแต่ทรงดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงอิศรสุนทร ทรงพระนามว่า เจ้าฟ้าบุญรอดก็มิได้ทรงสถาปนา พระอิสริยยศพระอัครมเหสี ยังคงพระยศ เจ้าฟ้าบุญรอดอยู่เช่นเดิม ทว่าก็เป็นที่ทราบกันโดยปริยายว่า ท่านทรงดำรงฐานะพระอัครมเหสี

    พระอัครมเหสีในรัชกาลที่ ๑ ซึ่งเข้าใจว่าคนทั้งหลายออกพระนามท่านว่า พระพันวัสสา นั้น ถึงรัชกาลที่ ๒ ก็เสด็จอยู่ในที พระพันปี พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้าฯ ทรงสถาปนา พระอิสริยยศ เป็น สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ ที่พระพันปีหลวงเต็มพระอิสริยยศ เป็นทางราชการ ในรัชกาลนี้ คนทั้งหลายน่าจะเปลี่ยนการออกพระนามเป็น พระพันปีตามพระอิสริยยศ (เรื่อง สมเด็จกรมพระและ กรมสมเด็จพระเคยเล่าไว้แล้ว)

    เมื่อขึ้นรัชกาลที่ ๓ สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ ท่านก็เปลี่ยนพระสถานภาพอีกครั้งหนึ่ง ในรัชกาลที่ ๑ ท่านทรงเป็นพระอัครมเหสี ในรัชกาลที่ ๒ ท่านทรงเป็นพระบรมราชชนนี มาถึงรัชกาลที่ ๓ ท่านเสด็จอยู่ในที่ สมเด็จพระอัยยิกา อยู่ ๓ ปี ก็เสด็จสวรรคต

    ไม่ทราบแน่ชัดว่าในรัชกาลที่ ๓ คนทั้งหลายออกพระนามท่านว่าอย่างไรแน่

    อย่างไรก็ตาม ในรัชกาลที่ ๓ นั้น พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงมีทั้งสมเด้จพระราชชนนี แม่ตัวซึ่งทรงสถาปนาพระอิสริยยศ ขึ้นเป็น สมเด็จกรมพระศรีสุลาลัย เสด็จอยู่ในที่พระพันปีหลวงพระองค์ที่ ๒ ของกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วท่านก็ยังมีทั้ง แม่เลี้ยงซึ่งทรงเป็นพระมเหสีในรัชกาล สมเด็จพระบรมชนกนาถ อยู่ในฐานะสูงส่งมาก่อน จะออกพระนามเป็นอย่างอื่นก็ไม่ควร ในรัชกาลนี้ จึงออกพระนาม เจ้าฟ้าบุญรอดว่า พระพันวัสสาเป็นคู่กันกับ พระพันปีและเมื่อท่านกราบบังคมทูลลาเสด็จออกไปประทับ ณ พระราชวังเดิมด้วยพระราชโอรสพระองค์น้อย (คือพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ แต่ครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์) คนทั้งปวงก็เลยออกพระนามว่า พระพันวัสสาฟากขะโน้น คือฟากกรุงธนบุรี

    เมื่อแรกเคยเข้าใจผิดว่า พระพันวัสสาฟากขะโน้นหมายถึง สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี หรือ สมเด็จกรมพระอมรินทรามาตย์ เพราะในรัชกาลที่ ๑ ท่านมิได้เสด็จประทับแรมในพระบรมมหาราชวัง หากแต่เสด็จอยู่ ณ จวนเดิมตรงที่เป็นกรมอู่ทหารเรือขณะนี้ เวลานั้นเรียกกันว่า บ้านหลวงเมื่อใดมีพระราชพิธีจึงจะเสด็จข้ามมา แล้วก็เสด็จกลับในวันเดียวกันนั่นเอง ต่อมาคุณพี่ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ได้ทักท้วงว่า พระพันวัสสาฟากขะโน้นหมายถึง สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี (เจ้าฟ้าบุญรอด) ต่างหาก

    พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ รัชกาลที่ ๓ มิได้ทรงมีพระภรรยาเจ้า เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์พระชนมายุได้ ๓๗ พรรษา จริงๆ แล้วหากมีพระราชประสงค์จะมีพระหน่อเป็นเจ้าฟ้า ในฐานะพระเจ้าแผ่นดินสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จะโปรดเกล้าฯ รับเจ้านายพระองค์ใด เป็นพระภรรยาเจ้าก็ย่อมจะทรงกระทำได้ เชื่อว่า คงไม่มีท่านผู้ใดคัดค้าน เล่ากันต่อๆ มาว่า ขณะนั้น พระเจ้าน้องนางเธอ พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๒ รวมทั้งพระราชธิดาวังหน้า และพระญาติวงศ์ ชั้นหม่อมเจ้าซึ่งอาจทรงสถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้านั้นมีที่ทรงพระโฉมอยู่ก็หลายองค์

    แต่ก็ไม่โปรดรับท่านผู้ใดเป็นพระภรรยาเจ้า เพื่อจะได้ทรงมีพระหน่อเป็นเจ้าฟ้า

    เป็นที่เข้าใจกันว่า เป็นเพราะทรงมองการณ์ไกล ไม่มีพระราชประสงค์จะให้เกิดปัญหาในการครองราชย์ ซึ่งตามกฎมณเฑียรบาล หากมีพระหน่อเป็นเจ้าฟ้า ก็ย่อมจะมีผู้ต้องการให้พระหน่อขึ้นครองราชย์

    เรื่องนี้ อาจเกิดขึ้นได้จริงๆ ตามที่ทรงมีพระราชาวิจารณญาณ สมมติว่าทรงมีพระราชโอรสเป็นเจ้าฟ้าในเวลาต้นรัชกาล ไม่ว่าจะเสด็จสวรรคตเวลาใดก็ต้องเกิดปัญหาการแบ่งพวกสนับสนุน ระหว่างเจ้าฟ้าพระราชโอรสสองรัชกาล

    และหากเหตุการณ์มิได้เป็นไปด้วยความปรองดองเหมือนเมื่อพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ ความแตกแยกอาจทำให้ถึงกับรบราฆ่าฟันกันเอง ข้อนี้ทรงพระราชวิตกเป็นอันมากและตลอดเวลา แม้เมื่อใกล้เสด็จสวรรคต ก็ได้ทรงพระราชปรารภ สั่งเสียถึงเรื่องนี้กับบรรดาขุนนางที่โปรดฯให้เข้าเฝ้าฯในที่พระบรรทม

    พระราชปรารภนี้ แม้ปรากฏอยู่แล้วในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ ๓ ทว่านานๆ เข้า ไม่มีผู้ใดค้นคว้าก็อาจจะลืมเลือนกันไป โดยเฉพาะในยุคซึ่งบรรดาบุคคลที่เรียกกันว่า นักการเมือง ส่วนมาก แย่งชิงอำนาจในการปกครองบ้านเมือง ด้วยวิธีต่างๆ

    พระราชปรารภว่าดังนี้

     ทรงพระราชดำริ มีพระราชดำรัสว่า กรุงเทพมหานคร ศรีอยุธยา ของขัณฑเสมาอาณาจักรกว้างขวาง พระเกียรติยศก็ปรากฏไปทั่วนานาประเทศ ถ้าทรงพระมหากรุณาพระราชทานอิสริยยศมอบให้พระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ซึ่งพอพระทัย ให้ขึ้นเสวยราชสมบัติแทนพระองค์ต่อไป แต่ตามชอบอัธยาศัยในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์เดียวนั้น เกลือกเสียสามัคคีรสร้าวฉาน ไม่ชอบใจไพร่ฟ้าประชาชน และคนมีบรรดาศักดิ์ผู้ทำภารกิจทุกพนักงาน ก็จะเกิดอุปัทวภยันตรายเดือดร้อน แด่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยสมณชีพราหมณ์ อาณาประชาราษฎรจะได้ความลำบาก เพราะมิได้พร้อมใจกัน ด้วยกำลังทรงพระมหากรุณาเมตตากับไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นอันมาก ทรงพระมหากรุณาดำรัสให้จดหมายกระแสพระราชโองการปฏิญาณยกพระนามพระรัตนตรัยสรณคมณ์ อันอุดมเป็นประธานพยานอันยิ่ง ให้เห็นจริงในพระราชหฤทัยแล้ว ทรงพระราชดำรัสยอมอนุญาตให้เจ้าพระยาพระคลัง ซึ่งว่าที่สมุหพระกลาโหม พระยาศรีพิพัฒ์รัตนราชโกษา พระยาราชสุภาวดีว่าที่สมุหนายก กับขุนนางผู้น้อยทั้งปวง จงมีความสโมสรสามัคคีรสปรึกษาพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์ใดที่มีวัยวุฒิปรีชารอบรู้ราชานุวัตร เป็นศาสนูปถัมภก ยกพระบวรพุทธศาสนา และปกป้องไพร่ฟ้า อาณาประชาราษฎร รักษาแผ่นดินให้เป็นที่สุขสวัสดิ์โดยยิ่ง เป็นที่ยินดีแก่มหาชนทั้งปวงได้ ก็สุดแท้แต่จะเห็นดี ประนีประนอมพร้อมใจกันยกพระบรมวงศ์องค์นั้นขึ้นเสวยมไหสวรรยาธิปัตย์ถวัลยราช สืบสันตตวงศ์ดำรงราชประเพณีต่อไปเถิด อย่าได้กริ่งเกรงพระราชอัธยาศัยเลย เอาแต่ให้ได้เป็นสุขทั่วหน้า อย่าให้เกิดการรบราฆ่าฟันกันให้ได้ความทุกข์ร้อนแก่ราษฎร

    ในสมัยรัชกาลที่ ๑ ๒ ตลอดจนในรัชกาลของพระองค์ พวก ท้าวต่างแดนไม่ว่จะเป็นญวน เขมร ลาว และแม้แต่เมืองเล็กเมืองน้อยสิบสองพันนา เกิดการแย่งชิงราชสมบัติกันในหมู่เจ้านายพี่น้องญาติวงศ์ จนต้องหนีเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารสยามตลอดเวลา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ คงจะทรงตระหนักพระราชหฤทัยในเรื่องการแย่งชิงอำนาจกันของพวก ท้าวต่างแดนจึงทรงพระราชวิตกตลอดมา
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×