ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เวียงวัง

    ลำดับตอนที่ #308 : คำพยากรณ์ชะตาเมือง 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 553
      1
      22 ก.พ. 54

      คำพยากรณ์ที่ผิดเพี้ยนกันอีก ๒ ยุค คือ ยุค ๗ กับยุค ๑๐
    คำที่ว่า เป็นของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) กรุงรัตนโกสินทร์ นั้นว่า
             ยุค ๗ ชนร้องทุกข์
             ยุค ๑๐ ชาวศิวิไลซ์
             ซึ่งคำศิวิไลซ์นั้นออกจะเป็นฝรั่งอยู่ น่าจะเป็นศรีวิไลมากกว่า แต่ถ้าหากสมเด็จโตท่านพยากรณ์ไว้จริง หากท่านว่า ‘ศิวิไลซ์’ หรือ ‘ศิวิลัยซ์’ ก็น่าจะเป็นได้เหมือนกัน เพราะถ้าหาก (อีกที) ท่านพยากรณ์ไว้ในรัชกาลที่ ๔ ยุคสมัยนั้นก็ทราบกันดีอยู่ว่า เป็นสมัยภาษาฝรั่งกำลังเฟื่อง ในเอกสารสมัยนั้นหลายฉบับมีคำว่า ประเทศอารยะ บางฉบับก็ใช้ทับศัพท์ว่า ประเทศศรีวิไล เข้าใจว่ามาจาก ‘ศิวิไลซ์’ หรือ ‘ศิวิลัยซ์’ นั่นเอง
             แต่ยุค ๗ กับยุค ๑๐ ที่ว่าสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ใย) ท่านพยากรณ์ นั้นว่า
             ยุค ๗ นั่งทนทุกข์ ยุค ๑๐ ชาววิไล
    ทว่าก่อนกล่าวถึงยุค ๗ ยุค ๑๐ ไม่น่าข้าม ยุค ๖ ราชาโจร หรือราษฎร์ราชาโจร กับยุค ๘ ยุคทมิฬ ยุค ๙ ถิ่นกาขาว
             เพราะเคยได้ยินและได้อ่านว่า มีผู้ให้ความหมายไว้หลายอย่าง
             สำหรับยุค ๖ นั้น อธิบายความหมายไว้ไม่ต่างกันนัก คือข้าราชการและข้าราชสำนักบางพวก ฉวยโอกาสกอบโกยผลประโชยน์ ขอพระราชทานลาภผลนานาประการจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ด้วยถือเอาความโปรดปรานและน้ำพระราชหฤทัยกว้างขวางต่อข้าราชบริพารเป็นโอกาส จึงเปรียบกันว่ามีความประพฤติเสมือนโจรปล้นพระราชา หรือพระราชาเลี้ยงโจร ฉะนั้น
             ยุคทมิฬ ยุค ๘ อธิบายอย่างเดียวกัน คือเป็นยุคที่ฆ่าฟันกันตายแทบตลอดยุค ทั้งฆ่าฟันกันเองด้วยแย่งชิงอำนาจ และทั้งภัยของสงครามโลก คนตายกันเป็นเบือ จนกระทั่งถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯกลับมาก็มาเสด็จสวรรคต
             ส่วนยุค ๙ ถิ่นกาขาว ปลายๆสมัยสงครามจนกระทั่งสงครามเลิก เคยได้ยินผู้คนพากันวิตกวิจารณ์กันว่า ถึงยุคนี้เมื่อไหร่ฝรั่งจะยึดครองเหมือนพวกญวน ลาว เขมร พม่า มลายู เพราะแถบนี้เหลือไทยอยู่ประเทศเดียวเท่านั้น แล้วสงครามเลิกนี่ก็ยังร่วมกับญี่ปุ่นรบฝรั่งเสียอีก นี่แหละท่านถึงพยากรณ์เอาไว้ว่า ยุคที่ ๙ ถิ่นกาขาว
             ครั้นถึง พ.ศ.๒๕๑๘ หลวงพ่อฤษีลิงดำ ท่านบรรยายถึงคำพยากรณ์นี้ว่า
             ทีนี้มารัชกาลที่ ๙ ท่านบอกว่าถิ่นกาขาว เราก็ดูซี ฝรั่งเต็มบ้านเต็มเมือง อะไรๆก็เป็นเรื่องของฝรั่งไปหมด แถมคนไทยก็กลายเป็นฝรั่งขี้นกไปด้วย ความจริงเรื่องของฝรั่งนี่ ถ้าเราจะลอกแบบเขาก็เอามาทั้งดีทั้งชั่ว ที่ดีก็มีอยู่อย่างหนึ่ง คือถึงเวลาวันอาทิตย์ที เขาตีระฆังฝรั่งต้องไปโบสถ์ แต่ว่าเราไม่เอาซี วันพระของเราตีระฆังแตกไปหลายแสนลูกแล้ว ไม่มีใครไปวัดกันไม่อยากไป แต่ไอ้ของเลวๆจากฝรั่งอยากเอามาใช้กัน...อะไรๆก็ฝรั่งจ๋าไปหมด...ฯลฯ...”
             ทีนี้ คำพยากรณ์ที่ใช้คำต่างกันเล็กน้อย คือ ยุค ๗ ที่ว่า ชนร้องทุกข์ และ นั่งทนทุกข์
             ‘ชนร้องทุกข์’ มีผู้อธิบายความหมายว่าราษฎรเดือดร้อน ประชาชนเดือดร้อน ถึงต้องร้องทุกข์ให้มีบุคคลที่อาจช่วยให้หายทุกข์ได้มาช่วย ยุคนี้ เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองใหม่ๆ มีผู้ย้ำกันบ่อยๆว่า ยุค ๗ นี้ ท่านทำนายไว้ว่าประชาชนจะเดือดร้อนยากจนถึงต้อง ‘ร้องทุกข์’ จนกระทั่งมีผู้เห็นใจในความทุกข์ของราษฎร ทนอยู่ไม่ได้ ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยโดยตั้งเป็นคณะราษฎร์
             ส่วนคำพยากรณ์ที่ว่าพยากรณ์แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ที่ว่า ‘นั่งทนทุกข์’ นั้น หลวงพ่อฤษีลิงดำท่านว่า
             “รัชกาลที่ ๗ ท่านพยากรณ์ไว้ว่า นั่งทนทุกข์ จะเห็นว่า เมื่อพระองค์ทรงเถลิงราชสมบัติ ประเทศชาติตกอยู่ในความยุคเข็ญ และไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศไทย ทั่วโลกด้วยกัน ต้องดุลย์ข้าราชการออกจากราชการเพราะไม่มีเงินเดือนจ่ายพอ ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพื่อให้บรรดาประชาชนทั้งหลายจะได้มีเงินกินเงินใช้กัน...ฯลฯ...”
             ในเรื่องคำพยากรณ์นี้ มีอยู่ตอนหนึ่งหลวงพ่อฤษีลิงดำ ท่านบรรยายว่า เมื่อท่านอ่านคำพยากรณ์ทั้ง ๑๐ รัชกาลที่ว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ใย) ทำนายแล้ว
             “ได้กราบเรียนถามหลวงพ่อปานว่า กรุงเทพพระมหานครนี่ จะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือขอรับ ท่านก็ตอบว่ากรุงเทพพระมหานครไม่ได้มีพระมหากษัตริย์แต่เพียง ๑๐ พระองค์ จะมีพระมหากษัตริย์ต่อไปคู่กับประเทศไทยจนกว่าโลกจะสลายตัว แต่ที่ไม่ได้พยากรณ์ไว้ ดูรัชกาลที่ ๑๐ ท่านบอกว่าชาววิไล เป็นอันว่าสุขสบายด้วยประการทั้งปวง...การพยากรณ์นั้น...ถ้าเป็นปกติไม่มี ใครเขาพยากรณ์...”
             “แล้วหลวงพ่อปานยังพูดต่อไปว่า ไม่ใช่มีแต่รัชกาลที่ ๑๐ ต่อไปจะมีเรื่อยๆ พระมหากษัตริย์ในประเทศไทย แล้วชาวโลกทั้งหลายทั้งหมดก็จะกลับปฏิวัติจากระบบประชาธิปไตย หรือระบบประธานาธิบดีทั้งหลาย กลับมาเป็นกษัตริย์อย่างเดิม เรียกว่ากลับมามีกษัตริย์อย่างเดิม”
    สำหรับที่ท่านว่า หลวงพ่อปาน กล่าวในตอนหลังนี้ สะกิดใจให้เห็นประหลาดอยู่
             เพราะหลวงพ่อท่านพูด เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ ถึงบัดนี้ พ.ศ.๒๕๔๙ เป็นเวลา ๓๑ ปีมาแล้ว เมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ ลัทธิการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ยังเฟื่องฟูอยู่
             วันเวลาผ่านมา ๓๑ ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทรงครองราชย์ ครบ ๖๐ ปี วันเฉลิมฉลองที่เพิ่งผ่านมา มีพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศ์ผู้แทนพระองค์พระมหากษัตริย์ เสด็จมาทรงร่วมงานทั้งโลกที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และทุกพระราชวงศ์ล้วนเป็นที่รักเคารพและนิยมยินดีแห่งประชาชนในประเทศนั้นๆ
             ถึงแม้ประเทศที่เคยมีพระมหากษัตริย์และเคยเป็นผู้นำคอมมิวนิสต์ของโลกอย่าง รัสเซีย ก็ยังหวนกลับไปค้นหาพระศพพระเจ้าซาร์ กษัตริย์พระองค์สุดท้ายที่ถูกพวกบอลเชวิคปลงพระชนม์ เชิญกลับมาบรรจุ ณ โบสถ์ที่บรรจุพระศพกษัตริย์ และอีกหลายประเทศกลับมามีกษัตริย์อย่างเดิม เช่นประเทศกัมพูชา
               ทีนี้มาถึงยุค ๑๐
               ที่ว่าสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ท่านเรียกว่าชาวศิวิไลซ์ แต่เท่าที่เคยฟังเคยอ่านเห็นนั้น บางทีก็เรียกศรีวิไล
               คำพยากรณ์ที่ว่าเป็นของกรุงศรีอยุธยา ท่านเรียก ชาววิไล ซึ่งก็คล้ายๆกัน
               ชาวศิวิไลซ์ หรือ ศรีวิไล หรือวิไล นี้ คนสมัยเก่าท่านว่า คือ ยุคพระศรีอาริย์ หรือพระศรีอาริยเมตไตรย นั่นเอง ซึ่งส่วนมากจำกันต่อๆมาเพียงข้อสำคัญไม่กี่ประการ อันถือกันว่าเป็นความสุขที่สุดของมนุษย์ คือ สมัยพระศรีอาริย์นั้นจะมีต้นกัลปพฤกษ์เกิดขึ้น ๔ มุมเมือง ชาวเมืองไม่ต้องทำงานทำการอะไรให้เหนื่อยยาก ใครอยากได้อะไรก็ไปขอเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์
               ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ลัทธิโซเชียลิสม์ กำลังเริ่มแพร่หลายขึ้นในโลก ปลุกคนหัวสมัยใหม่ในสมัยนั้นให้นิยมยินดี บางคนนั้นก็เลยว่า ชาวศิวิไลซ์ หรือ ศรีวิไล ก็คือ ยุคโซเชียลิสม์ (ซึ่งเป็นต้นตำราของคอมมิวนิสต์)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×