ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Twins number [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ ๑๑

    • อัปเดตล่าสุด 12 มี.ค. 58


     

     



                31 ธันวาคม 25xx

     

    5.....4.....3.....2.....1!

     

    1 มกราคม 25xx

     

    Happy new year!!” เสียงตะโกนก้องไปทั่ว ไม่ต้องบอกก็รู้ใช่ไหมครับว่านี่มันเวลาเที่ยงคืนหมาดๆ และแน่นอน ต่อให้ไม่ดูวันที่ แค่เนื้อหาไม่กี่บรรทัดนี่ก็ทำให้รู้ได้เลยว่านี่มันวันปีใหม่~!

     

    ไม่นานเสียงโห่ร้องตะโกนก็ถูกกลบด้วยเสียงดังกระหึ่มของพลุไฟหลากสีสันที่ถูกส่งขึ้นท้องฟ้ายามค่ำคืนให้มันได้อวดความงามหลายร้อยนัด

     

    ผมล้วงไอโฟนขึ้นมากรอกรหัสแล้วเปิดกล้องหน้า ก่อนจะใช้มือที่ว่างอยู่อีกข้างขึ้นมาชูสองนิ้ว ยิ้มแยกเขี้ยวแล้วหลับตาข้างหนึ่งแบบเกรียนๆ โดยไม่ลืมให้ติดบรรยากาศข้างหลังที่มีพลุหลากสีกระจายเต็มท้องฟ้าสีดำสนิท

     

    แชะ

     

    เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นเบาๆ ผมชักมือกลับก่อนจะดูรูป แหมะ ถึงหน้ามันจะแดงกรึ่มๆเพราะเบียร์เกือบๆครึ่งโหล แต่ก็นะ คนหล่อ ก็ยังเป็นคนหล่ออยู่ยังวันยังค่ำ อิอิ

     

    ผมออกจากล้องก่อนที่จะลากนิ้วไปจิ้มที่โปรแกรมแชทยอดฮิต...ไลน์ ที่พอเปิดปุ๊ปก็สั่นครืดๆพร้อมด้วยเสียงเตือนจากข้อความอวยพรปีใหม่ทั้งหลายที่หลั่งไหลเข้ามา ผมเลือกที่จะไม่สนใจมัน แล้วใช้นิ้วเลื่อนไปเลื่อนมาสองสามทีผมก็เจอเป้าหมาย ม๊าที่ไปฮันนีมูนรอบที่เท่าไหรไม่รู้กับป๊าที่อิตาลี  ไม่รอช้าผมก็กดส่งรูปพร้อมสติ๊กเกอร์แฮปปี้นิวเยียร์ไปให้หนึ่งรูป เหมือนที่นั่นจะช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมงครับมั๊งครับ ยังเย็นอยู่เลย

     

    ผมส่งข้อความไปหาแกรนด์ที่ดูเหมือนจะไปต่างประเทศกับครอบครัว แล้วไล่ตอบข้อความเฉพาะของบางคน ล็อคหน้าจอแล้วยัดใส่กระเป๋าเสื้อ ก่อนจะชะงักกึกแล้วเอามันขึ้นมาปลดล็อคใส่รหัสอีกรอบ จิ้มเข้าไปที่ไอคอนเดิมแล้วรื้อหาดูใหม่...

     

    ไม่มี...

     

    ตึ๊ง....

     

    [Fu*k!!: sent you an audio message]

     

    แต่ไม่นานเสียงเตือนก็ดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับข้อความใหม่ โอ้ให้ตายสิ ประจวบเหมาะจังนะมึง

     

    หึ...ผมหัวเราะเบาๆกับข้อความที่เห็น กะจะกดล็อคหน้าจอโดยไม่เปิดเข้าไปฟังหรือเข้าไปดูให้มันขึ้น read แต่ก็ต้องชะงักมืออีกครั้ง แล้วเข้าไปเปลี่ยนชื่อใหม่ให้มัน

     

    ลูกหนี้

     

    คำหนึ่งคำ สองพยางค์ ที่ผมบัญญัติขึ้นมาให้มันใหม่ ถือว่าเป็นของขวัญปีใหม่ ตรงตัวกับฐานะมันในตอนนี้ดี และไม่หยาบคาย ฮ่าๆๆ

     

    พอเสร็จผมก็ล็อคน้าจอแล้วหย่อนไอโฟนเครื่องบางๆไว้ในกระเป๋าเสื้อ แล้วคลี่ยิ้มบางๆ

     

    เดี๋ยวเดี๋ยว!! เดี๋ยววววววววว!!!

     

    กูจะเข้าไปเช็คทำไม? กูจะทำตัวเหมือนรอมันทำไม? กูจะยิ้มทำไม? มันไม่ใช่อ่ะกิ๊ฟ มันไม่ใช่อ่ะ นี่กูเริ่มเมาแล้วแน่ๆ

     

    ผมสะบัดหัวสองสามที ก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ขึ้นมากระดก แล้วหันไปมองไอ้พวกที่ทำตัวเหมือนเครื่องจักรสูบเหล้าเข้ากระเพาะ

     

    วันนี้ผมอยู่กับสหายกลุ่มเดิมครับ แต่มันพิเศษกว่านั้นที่เราอยู่กันครบองค์ประชุม ผม ไอ้มิลค์ ไอ้มิน ไอ้เต้ ไอ้เจฟ ไอ้เท็น และบุคคลผู้เคยโผล่มาเพียงเสียง ไอ้ซี ที่เพิ่งไปรับมันจากสยามบินเมื่อบ่ายๆ แวะบ้านมันให้ได้ทักทายพ่อแม่หน่อยก่อนจะออกมาสถานที่เคาท์ดาวน์ยอดฮิตของคนเมือง...เซ็นทรัลเวิลด์อีกนั่นแหละ ฮ่าๆๆๆ

     

    ไอ้ซีมันสูงราวๆ 180 ไม่น่าขาดไม่น่าเกิน ผิวสองสี ใส่รีเทนเนอร์ และหน้ากวนตีนที่เข้ากันดีกับหน้าหล่อบรรลัยของมัน

     

    แหมะ... กลุ่มกูนี่มันบอยแบรนด์เกาหลีชัดๆ

     

    ก็ไม่แปลกที่กลุ่มชายหน้าตาดี ไร้หญิงควง แถมโสดสนิทยกวงจะเป็นเป้าหมายของสายตาสาวเล็กสาวใหญ่สาวประเภทสอง เอ๊ะ... ว่าแต่ โสดสนิท?

     

    อยู่เหนือนี่มีสาวมาถูกใจบ้างรึเปล่าจ๊ะผู้บ่าววผมแกล้งหยอดไอ้ซีแล้วเอามือกอดคอมัน ทำให้ไอ้พวกขี้เสือกที่เหลือละจากกระป๋องเบียร์หันมาสนใจผิวปากแซว

     

    มีมากกว่าความสูงมึงอ่ะมันแบมือยักไหล่แล้วทำหน้ากวนตีน แหม...กูถามดีๆนะสัส

     

    อ่าวเหี้ย งั้นก็โคตรน้อยเลยอ่ะดิเสียงไอ้เจฟเข้ามาแทรก เรียกเสียงฮาครืนได้ไม่ยาก มึงหุบปากอยู่เฉยๆก็ไม่มีใครว่านะครับ สัส!! เมื่อไหรจะเลิกล้อซักที กูเตี้ยกว่าพวกมึงแค่ไม่กี่เซนเองนะ

     

    ใครจะรู้ว่าพี่การ์ดจะหยุดสูงตั้งแต่ ม.2 ฮ่าๆๆคราวนี้เป็นไอ้เท็นเสริม

     

    ขอเท้าความไปตอนม.2เลยแล้วกันว่าตอนนั้นผมสูงที่สุดในกลุ่มครับ ประมาณ 170 ไอ้พวกนี้แม่งก็อิจฉากันใหญ่ จนมันเริ่มสูงกว่าผมในขณะที่ผมเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละเซนนี่แหละ นี่คงเป็นเหตุผลหลักเลยครับที่มันชอบแซะผมเรื่องนี้ แล้วผมก็ชอบบ่นเรื่องความสูงบ่อยๆ ....หัวเราะทีหลังนี่มันคงดังกว่าจริงๆแหละน่า

     

    พูดมากพรุ่งนี้ที่บ้านกูงดนะผมเอาเรื่องนัดสังสรรค์ที่บ้านมาขู่ ก็บ้านผมนี่ที่โปรดไว้ชดเหล้าของพวกมัน ถ้าไม่ติดว่าคืนนี้เฮียยึด ป่านนี้พวกผมก็สิงห์สู่กันอยู่เคาท์ดาวน์กันที่นั่นแหละ

     

    โอยยยย ท่านชาย อภัยให้ข้าน้อยเถอะมันแทบจะมาครางหงิงๆสยบแทบเท้าผมเลยครับ ให้มันรู้กันบ้างว่าใครใหญ่ เหอะๆ!

     

    ว่านอนสอนง่ายงี้สิ แสนรู้จริงจริ๊งงผมว่าแล้วเอื้อมมือไปดึงแก้มมันส่ายไปมาสองสามที ก่อนจะสัมผัสได้ถึงแรงสั่นตรงอก และตามมาด้วยริงโทน

     

    Ice cream Ice cream . I'll melt you down like Ice cream. Ice cream Ice cream. I'll melt you down like Ice cream~~~~.

     

    ถึงแม้เสียงรอบข้างจะดัง แต่ฮยอนอาของผมก็ยังทำหน้าที่ได้ไม่ขาดตกบกพร่องเลยซักนิด น่ารักจริงๆ

     

    (Happy birthday to you… Happy birthday to you… Happy birthday… Happy birthday… Happy birthday to you~~) ผมปล่อยให้ปลายสายมันบ้าร้องจนจบเพลง และขอบอกก่อนเลยครับว่านี่ไม่ใช่วันเกิดผม -____-

     

    กินยากล่อมประสาทแล้วไปนอนได้แล้วนะเฮียอืม ครับ เขาคือทันตแพทย์ ไม่เชื่อผมมีใบจบมายืนยันนะ แถมตรวจสุขภาพทุกปีครับ พี่แกไม่มีอาการทางจิต หรืออัลไซเมอร์

     

    (เออ กูผิดเอง เลี้ยงน้องมาลืมสอนให้มันรู้จักมารยาทในการรับมุข)

     

    โอ๋เอ๋เบบี๋ อย่างอนนะคะคนดี เอาใหม่ๆ .......เฮ๊ย!! จำวันเกิดการ์ดได้ด้วยหรอวะเฮีย!!!” ผมตะโกนสุดเสียงจนไอ้พวกรอบข้างหันมามองแถมท้ายด้วยบริเวณใกล้เคียง

     

    (ขอบคุณ ถุ๊ยยไอ้นี่)

     

    ฮ่าๆๆ

     

    Happy new year เว้ยไอ้น้องชาย

     

    เลทไป 15 นาทีนะพี่นะ

     

    (...)

     

    ฮ่าๆๆๆเฮียมันไม่ตอบอะไรแต่ผมก็จินตนาการได้เลยครับว่าพี่แกทำหน้ายังไงกับความกวนประสาทของน้องชายสุดหล่อ

     

    (เออ...นี่กูก็ผิดอีกแหละที่เลี้ยงน้องมาให้มันกวนประสาทมากไปหน่อย)

     

    ก็สมกันดีกับพี่ปากหมากวนตีนไม่ใช่หรอฮ๊าฟฟฟ

     

    (กูเลิกคุยกับมึงดีกว่าว่ะ)

     

    ฮ่าๆๆๆ Happy new year คร๊าบเฮียยยย

     

    (นึกว่ามารยาทจะไม่มีและ) ประโยคนี้ทำให้นึกถึงไอ้โฟล์คขึ้นมาหน่อยๆแฮะ

     

    ฮ่าๆๆ อย่าดื่มหนักมากนักนะเฮีย

     

    (บอกตัวมึงเหอะ เอาแค่พอขับกลับบ้านไหวนะ) อันนี้ค่อยทำให้ภาพลักษณ์ดูดีขึ้นมาหน่อย ฮ่าๆๆ

     

    จ้า ไม่ไหวเดี๋ยวค้างบ้านไอ้พวกนี้เอา เพื่อนเป็นฝูงงง

     

    (เออๆ ไปและ เพื่อนกูเรียก) แล้วเฮียแกก็ตัดสายไป

     

    เฮ๊ย พวกมึง ปวดฉี่ มีใครจะไปป่ะ?” ผมหย่อนไอโฟนลงกระเป๋าเสื้อแล้วจะโกนถามพระสหาย หลังจากที่รู้สึกว่าเหล้าเบียร์ที่ซดเข้าไปมันถูกดูเอาสารอาหารที่ไม่ค่อยมีเสร็จแล้ว ต้องขับของเหลวทิ้ง

     

    เออ... ไม่ไหวติงกันซักตัว ไปคนเดียวก็ได้ว่ะ

     

    ผมทำธุระเสร็จเรียบร้อยก็มายืนล้างมือแล้วดูสภาพตัวเอง ก่อนจะเห็นเงาสะท้อนในกระจกเป็นผู้ชายสองคนที่กำลังเดินเข้ามา

     

    อ่าว สวัสดีครับท่านศาลที่เคารพรัก ท่านนายพลผมแกล้งยกมือไหว้พวกมันอย่างนอบน้อม

     

    กูเอาแค่อัยการพอ ไอ้ห่า

     

    นายร้อยกูยังไม่จบเลยมันสองคนแก้ต่างให้ตัวเอง พวกมันเป็นเพื่อนสมัยมัธยม ถึงจะไม่ได้สนิทชนิดรู้ไส้รู้พุงกันแบบไอ้พวกนั้นแต่ก็อยู่ในระดับสนิทสนม เล่นบาสด้วยกันบ่อยๆน่ะ

     

    ฮ่าๆๆ แล้วนี่พวกมึงเป็นไงกันมั่งวะ?”

     

    ก็สบายดีอ่ะ มึงยังเล่นบาสอยู่ป่ะเนี๊ย?” ถามไปก็รูดซิบไปครับ ไอ้เด็กนิตินี่มันชื่อปกป้อง หรือไอ้ป้องครับ

     

    เหอะ แม่ง นี่กูจมอยู่กับงานจนไม่ค่อยมีเวลาเลยเนี๊ย ชักจะเริ่มคิดแล้วว่าสิ่งที่กูรักมันกำลังทำกูจะอ้วกผมว่าติดตลกแล้วนึกไปถึงงานออกแบบนานาชนิดที่ขนกันมาหาผมซะเต็มตัก

     

    “ฮ่าๆ เสียดายเหมือนกันนะเว่ย ตอนนั้นซ้อมกันแทบตายกว่าจะได้ตัวจริง เสือกทิ้งง่ายๆเลย” ไอ้ป้องทำหน้าเหมือนรื้อฟื้นความหลัง

     

     “ว่าแต่มากับใครวะ?” ไอ้เซียน ว่าที่นายร้อยถามไปยืนฉี่ไป

     

    ครบแก๊ง

     

    เอ๋ ไอ้ซีด้วยหรอ?”

     

    อือ... เฮ้ย มึงเรียนม.เดียวกับมันนี่หว่าถ้าจำไม่ผิดนะ ดูเหมือนไอ้ป้องจะเรียนมหาลัยเดียวกับไอ้ซี

     

    อือ...กูนึกว่าพวกมึงจะมองหน้ากันไม่ติดซะอีกมันว่าต่อแล้วหันมารูดซิบกางเกง ผมแอบเห็นกางเกงในสีเขียวของมันแพลมออกมาด้วย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ทำไมมันถึงพูดเหมือนว่าผมกับไอ้ซีต้องมีเรื่องกันวะ?

     

    ทำไมวะ?”

     

    อ่าว... มึงยังไม่รู้หรอมันทำน้าตกใจออกนอกหน้า ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้ามาเป็นแบบที่ผมอ่านได้ว่า ‘ไม่น่าเลย’ อะไรแบบนี้

     

    มึง... ทำไมวะ? มีอะไรปิดบังกูรึป่าว?” ผมถามแล้วค่อยก้าวประชิดตัวมันจนหน้าซีดลงเล็กน้อย

     

    ไม่มีอะไรๆ กูเบลอๆอ่ะ จำผิดจำถูก สงสัยเมาและ

     

    เฮ๊ย!! เชี่ย แฟนกูรอแย่และ ไปเหอะๆ เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่นะเว่ยอยู่ๆไอ้เซียนว่าที่นายร้อยมันก็มาขัดก่อนจะลากตัวจำเลยของผมไป แต่มีหรือผมจะยอมปล่อย เลยจัดการคว้าหมับเข้าที่ต้นแขนอนาคตอัยการที่กำลังตกเป็นจำเลย ยิ่งมันทำแบบนี้ผมยิ่งอยากรู้ และยิ่งแน่ใจว่ามันสองคนมีเรื่องปิดบังผม แล้วมันร้ายแรงขนาดที่บอกผมไม่ได้เลยหรอ...?

     

    บอกกูมาเหอะ...

     

    -------------------------------------------

     

    ผมยืนยกกระป๋องเบียร์แล้วกรอกไอ้ของเหลวนั่นลงคออย่างกับมันเป็นน้ำเปล่า ในหัวก็นึกถึงเรื่องที่เพิ่งคุยไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อน...

     

    เชี่ยนี่เป็นไรวะ หน้าเครียดเชียว เข้าห้องน้ำแล้วโดนตุ๊ดจับไข่หราไอ้มิลค์เดินถือกระป๋องเบียร์มากอดคอผม

     

    กูไม่ใช่มึงที่เกือบเสียตูดให้น้องเทย

     

    สัสมันอุทานออกมาเบาๆ คิดแล้วนี่ยังขนลุกไม่หาย

     

    หึหึผมเค้นหัวเราะ ก่อนจะมองไปที่ไอ้ซีที่นั่งเฮฮาอยู่กลางวง

     

    การ์ด กูเพื่อนมึงนะ มีอะไรบอกดิคราวนี้เสียงมันอ่อนลงจนรู้สึกได้

     

    “....ถ้ามึง....อยากต่อยใครซักคน มึงจะทำไงวะ?” ผมไม่ตอบคำถาม แต่กลับเป็นฝ่ายถามมันกลับแทน

     

    ก็ชกแม่งดิอือ... ก็คิดงั้น

     

    คำพูดเป็นเป็นเหมือนมีดที่ตัดเส้นความอดทนของผมขาดผึง ทั้งๆที่ไม่อยากขัดความสุขคนอื่น คิดว่าจะหาเวลาไปคุยกับมันตัวต่อตัวแท้ๆ แต่ผมเดินดุ่มๆเข้าไปหาไอ้ซี ก่อนจะ...

     

    พลัก!!

     

    กำปั้นหลุ่นๆของผมปะทะเข้ากับแก้มขวาไอ้ซีจนมุมปากมันมีเลือดไหลซิบ นั่นผมออมมือแล้วนะ... เหตุการณ์นี้ทำให้ไอ้พวกที่เหลือมันลุกขึ้นมาคว้าตัวผมไว้ด้วยท่าทีตกใจ ก่อนคำถามมากมายจากพวกมันจะประดังเข้ามาหา ผมไม่ปริปากพูดอะไร ได้แต่มองไอ้ซีที่ยืนนิ่งมองผมกลับด้วยแววตาไม่เข้าใจ ขัดกับของผม ที่มันมีทั้งโมโห ไม่เข้าใจ เสียใจ ผิดหวัง และ...เจ็บปวด

     

    ซีมันคบกับมิว’ เสียงของไอ้ป้องยังคงวนเวียนอยู่ในหัวผมจนมันอื้อไปหมด

     

    ฮะ?’

     

    การ์ด มึงใจเย็นๆนะ

     

    นาน...ยังว่ะ...?’ ความรู้สึกผมตอนนั้นมันว่างเปล่าไปหมด ทั้งหัวมันขาวโพลนจนคิดไม่ออก จับต้นชนปลายไม่ถูก แค่เสียงที่จะเปล่งก็มาก็แห้งแหบเหมือนถูกดูดกลืนไปกลับความรู้สึก… เพื่อนผม กับ แฟนเก่า...?

     

    .................ก่อน...

     

    ไอ้เหี้ย พอเหอะ’ แต่ยังไม่ทันจบประโยคเซียนมันก็เข้ามาขัดก่อน

     

    ป้อง...กูอยากรู้....ทั้งหมด’ แค่คำๆแรกของมันผมก็พอเดาได้แล้วว่ามันเป็นยังไง แต่ขอร้อง อย่าเลย มันต้องไม่ใช่แบบนั้น

     

    ก่อน........มึงกับมิวเลิกกันสองอาทิตย์’ ไม่จริง...

     

    หัวใจผมมันบีบตัวจนเจ็บแปล๊บไปหมด ตาผมเหมอลอยเหมือนคนคิดอะไรไม่ออก แต่สมองกลับคิดว่าไม่อยากจะเชื่อ... และไม่อยากจะคิด ว่าผมกับมิว...เลิกกันเพราะมือที่สาม...ไอ้ซี...

     

    ซี... กูถามจริงๆนะ แล้วสิ่งที่กูอยากได้ก็คือความจริงด้วยผมสะบัดสิ่งที่ผมเพิ่งได้ยินมาเมื่อไม่กี้นาทีที่แล้วทิ้ง ตอนจะจดจ่ออยู่ที่ปัจจุบันกับคนตรงหน้า

     

    นี่มันเรื่องอะไรกันวะ?” ใครไม่รู้พูดแทรกขึ้นมา ผมไม่ได้สนใจที่จะหันไปตอบมัน แต่ยังจ้องหน้าไอ้ซีนิ่ง แล้วเปล่งเสียงออกมาอย่างยากเย็นเหมือนหาเสียงตัวเองไม่เจอ

     

    มึง... มีอะไรปิดบังกูรึเปล่า?” ผมเลือกที่จะไม่ถามมันตรงๆ... อยากได้ยิน... จากปากมัน

     

    ไอ้ซียังนิ่งเหมือนเดิม จนพวกที่เหลือเริ่มโบยไปที่มันว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้น

     

    อืม...มี….” มันพูดเสียงเบา ตอนนี้เหมือนผมกับมันจะเป็นจุดสนใจของคนรอบข้างไปซะแล้ว

     

    “...” และผมก็เงียบ รอคำต่อๆไปที่จะออกมาจากมัน

     

    กูกับมิว... คบกันเสียงตกใจดังขึ้นมาจากพวกที่เหลือ แต่ก็เงียบลงอีกครั้งเหมือนรอต่อว่ามันจะพูดอะไรอีก คือกูไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ตอนแรกกูแค่ไปคุยด้วยเฉยๆ แล้วมันก็เริ่มบ่อยขึ้น พร้อมกับความรู้สึกที่กูมี มันเกิดขึ้นเร็วมากจนกูไม่คิดแล้วว่าจะไปรู้สึกอย่างนี้กับใครที่ไหน กู... กูไม่ได้อยากให้เรื่องมันเป็นแบบนี้ ไม่ได้อยากให้มันออกมาแบบนี้ กู...กูรู้สึกผิดทุกครั้งที่คุยกับมึง แต่กูก็เลิกกับมิวไม่ได้ว่ะ การ์ด กูขอโทษ กู....รักมิวจริงๆ มึงจะต่อย จะซ้อม หรือพวกมึงจะรุมกูก็ได้ กูขอโทษ กู กู...มันทรุดลงไปแล้วสะอื้นไห้ตัวสั่นๆ

     

    ผมสะบัดแขนออกจากไอ้เจฟที่จับแขนผมไว้ แล้วสาวท้าวเดินตรงเข้าไป  ไอ้ซีมองผมก่อนจะหลับตานั่งนิ่งๆเหมือนจะให้ผมทำอะไรก็ได้ ก่อนที่ผมจะเงื้อมือขึ้นมา....

     

    ภาพไอ้ซีที่ตอนนี้ลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นมันทำให้ผมได้แต่กำมือแน่นจนสั่นไปหมดทั้งตัว

     

    สุดท้ายผมก็ได้แต่ปล่อยหมัดเหวี่ยงอากาศ….

     

    รักกันนานๆและกันว่ะผมตบไหล่มันเบาๆ ไอ้ซีลืมตาขึ้นมามองผมแล้วน้ำตามันก็ไหลออกมา ปากมันก็พึมพำแต่คำขอโทษปนสะอื้น

     

    ผมยืนขึ้นก่อนจะหันหลังตั้งท่าจะเดินจาก

     

    การ์ด...

     

    กูยังไม่ได้บอกว่ากูไม่โกรธ ไม่โมโหมึง ความจริงตอนนี้กูอยากชกมึงด้วยซ้ำ แต่กูไม่ทำ เพราะมึงเป็นเพื่อนกู ซี...ผมกำมือแน่นเหมือนข่มอารมณ์ กูอยากอยู่เงียบๆคนเดียวว่ะ ความจริงกูยังไม่ค่อยเชื่อคำพูดมึงด้วย มึงปิดบังกูมาตั้งนาน คงไม่มีเรื่องอื่นอีกแล้วใช่มั๊ย?....แต่ มึงไม่ต้องกลัว เรายังเป็นเพื่อนกันแน่ๆ กูแค่อยากไปหาที่ข่มอารมณ์ ส่วนมึงก็เตรียมตัวไว้ เผื่อกูอยากอัดมึงขึ้นมา ไว้ค่อยคุยกันที่หลังนะ ตอนนี้กู...กูยังไม่ค่อยโอเคเท่าไหรผมว่าก่อนจะเดินออกมาง่ายๆเพราะคนรอบข้างพากันแหวกทางให้ ได้ยินเสียงไอ้ซีพึมพำเรียกชื่อตามหลังมา แต่ผมก็ไม่หันไปมอง... กลัวอดใจไม่ได้..

     

    มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภัย ผมรู้สึกว่าตัวเองทำน้อยไป มันยังเจ็บได้ไม่เท่ากับสิ่งที่ผมเป็นอยู่... โกรธมาก แต่ก็รักมันมาก พอๆกับมิว ความรู้สึกใจสลายมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เจ็บยิ่งกว่าวันที่โดนบอกเลิก ผมต้องข่มสติตัวเองแทบตายไม่ให้พุ่งไปอัดมันตั้งแต่กลับมา ต้องมายืนเงียบๆเพื่อคิดว่าจะทำยังไงดี....

     

    บางทีผมก็คิดนะ ว่าตัวเองใจดีเกินไปรึเปล่า....

     

    แค่ไม่อยากเคลียร์กับมันตอนนี้ ตอนที่อารมณ์กำลังเดือดสุดๆ ไม่แน่อาจพลั้งมือใส่มันอีกซักแผลสองแผล เอาไว้อารมณ์ผมเย็นขึ้นแล้วค่อยมาคุยกันดีกว่า ผมไม่อยากให้มันเจ็บตัว แล้วก็ไม่อยากทำร้าย....เพื่อน?

     

    -------------------------------------------

     

    ลมแรงๆที่หอบอากาศหนาวมาด้วยปะทะเข้าใบหน้าจนผมต้องยกมือขึ้นลูบแล้วกระชับเสื้อกันหนาวให้มากขึ้น สายตาก็มองลงไปในแม่น้ำที่ดูเหมือนจะไหลเอื่อย แต่ใครจะรู้ว่าข้างใต้มันอาจจะไหลเชี่ยวและกรรโชก

     

    ลมหายใจผมถูกพ่นออกมาในรูปแบบของควันสีเทาๆ มือก็เคาะเบาๆกับราวกั้นให้ขี้เท้าตรงปลายล่วงหลนลงแม่น้ำ ผมไม่ค่อยชอบสูบบุหรี่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะเข้าหามันทุกครั้งเวลาเครียด หรือต้องการอารมณ์ติสๆไว้ทำงาน และในคราวนี้ดูเหมือนจะเป็นประเด็นแรกที่ทำให้ผมเลือกที่จะแวะเซเว่นแล้วมายืนอัดนิโคตินเข้าปอดอยู่ริมแม่น้ำที่ไม่ค่อยมีคน เหตุคงเพราะความหนาวของมัน

     

    พอมวนแรกมอดหมด ผมก็หยิบขึ้นมาอีกมวนก่อนจะจุดแล้วสูบทีเดียวไปถึงครึ่ง สมองตอนนี้เหมือนมันไม่รับรู้อะไร แทนที่ผมจะมานั่งคิดนั่งกังวล กลับกลายเป็นว่ามันขาวโพลนแต่หนักอึ้งเหมือนโรคประสาทใกล้จะแดกเต็มที

     

    แต่ก็น่าแปลก....  ที่จนถึงตอนนี้ผมยังไม่เสียน้ำตาสักหยด....

     

    ตาเหลือบมองนาฬิกาข้อมือบอกเวลาตีหนึ่งกว่า ทีแรกผมกะว่าจะขับรถออกไปนอกตัวเมือง หรือออกไปจังหวัดอื่นเพื่อหนีจากความวุ่นวาย แต่ก็ต้องยอมรับความจริง... ว่าผมไม่ค่อยรู้ทาง และ...ไม่กล้าพอที่จะไปคนเดียว

     

    ผมสูบทีเดียวจนบุหรี่ที่เหลืออยู่ครึ่งมวนกลายเป็นขี้เถ้าล่วงลงพื้นไปโดยไม่ต้องเขี่ย ก่อนจะเผยอปากเพื่อพ่นควันที่เพิ่งเข้าไปทำลายตับไตเมื่อกี้ให้จางหายไปกับสายลม

     

    ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อ จะกลับบ้าน กลับคอนโด ก็รู้สึกขัดใจ เมื่อผมสำนึกความจริงได้ว่าไอ้พวกนั้นมันคงไม่ฟังคำที่ผมบอก ออกันไปพยายามปรับความเข้าใจกันให้แน่นไปหมดแน่ๆ เพราะผมเลือกที่จะปิดเครื่องหนีปัญหา

     

    อยากไป... ที่ที่ไกลจากกรุงเทพ อยากไปในที่ที่ไม่มีใครรู้จัก...

     

    อยู่ๆชื่อของคนคนหนึ่งก็เด้งเข้ามาในหัวผม... ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกันที่ทำให้ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้เหลือมันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด...

     

    ผมมองซ้ายมองขวาหาตู้โทรศัพท์สาธารณะ แล้วรีบปรี่เข้าไปเพราะมั่นใจว่าทันทีที่เปิดเครื่องขึ้นมาคงมีสายเข้ามาก่อนที่ผมจะโทรหามันทันเสียอีก

     

    ผมยกหูโทรศัพท์ขึ้น ก่อนจะกดหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ ที่ไม่ต้องท่อง ไม่ต้องจำ ก็สามารถกดได้คล่องปรื๋อ

     

    เสียงรอสายดังขึ้นได้ไม่นานปลายสายก็ตอบรับด้วยเสียงเรียบๆตามปกติของมัน ทำให้ผมโล่งใจที่ไม่ได้กวนเวลานอนของมัน หรือขัดจังหวะสังสรรค์

     

    นี่กูนะ... มาหาหน่อย...ได้ไหม?”

     

    -------------------------------------------

     
    แก้ไขคำผิด + รีไรท์ใหม่เล็กน้อยค่ะ

    cactus

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×