ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Twins number [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ ๑๒

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.76K
      32
      12 มี.ค. 58






                    ขับให้เอาไหม?” เป็นคำถามครั้งที่เท่าไหรแล้วไม่รู้จากคนข้างๆตัวผมที่นั่งอยู่ด้วยกันนานรวมชั่วโมง

     

    ไม่เป็นไรและผมก็ยืนยันคำเดิม หวังจะให้มันเงียบไปอีกเหมือนทุกที

     

    พอจะบอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?” แต่ครั้งนี้ดูเหมือนมันจะไม่ปล่อยให้ตัวเองนั่งสงสัยต่อไปโดยที่ไม่รู้อะไรเลยว่าผมเรียกมันมาทำไม และกำลังจะพามันไปไหน

     

    “...”

     

    โอเค.... ผมจะไม่คาดคั้น แต่ช่วยจอดรถข้างทางเถอะ มองก็รู้ว่าพี่ดื่ม และแน่นอนว่ามันต้องมีด้านมันพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ และถึงพี่จะยืนยันว่าขับไหว แต่อะไรยืนยันได้ว่าด้านข้างหน้าจะไม่มี และพี่จะเป่าออกมาไม่เกิน 50 มิลลิกรัม?” ผมแพ้ทางมันเรื่องวิชาการจริงๆเลยพับผ่าสิ... อีกอย่าง...ผมไม่รู้ว่าพี่เป็นอะไร แต่การระบายอารมณ์ด้วยการเหยียบคันเร่งแบบนั้นก็ไม่ดีเท่าไหรด้วย เราอาจโดนอีกกระทงข้อหาขับเร็วเกินกว่ากำหนดมันว่าแล้วหันมาสบตาผม แสงสีส้มจากเสาไฟกระทบนัยน์ตามันเป็นระยะๆตามความเร็วรถที่เคลื่อนที่

     

    ผมจำยอมลดแรงเหยียบคันเร่งแล้วเบี่ยงรถให้จอดไว้ข้างทาง เราออกมาจากตัวเมืองไกลพอควร และด้วยเวลาขนาดนี้ถนนเลยโล้งแจ้ง ผมจัดการปลดเข็มขัดนิรภัยออกแล้วเปิดประตูให้ไอ้คนที่มันมารออยู่ก่อนแล้วเข้ามาขับแทน

     

    แล้วจะไปไหน?” ไอ้โฟล์คถามไปคาดเข็มขัดไป เสียงมันยังคงเรียบเป็นเอกลักษณ์ แต่คราวนี้กลับมีความอ่อนโยนเจือเอาไว้ให้พอรู้สึก

     

    ไม่รู้คำตอบตรงๆของผมทำให้ไอ้โฟล์คถอนหายใจออกมาเบาๆ ผมก็นึกเกรงใจมันเหมือนกันที่ต้องมาอดหลับอดนอนกับผมที่พอมันมาถึงก็ลากมันขึ้นรถแล้วนั่งขับไปเงียบๆ มึง...อยากไปไหนก็ขับๆต่อไปเถอะ ซักที่ที่ไกลๆน้ำเสียงผมไม่ได้ประชดประชันหรือใส่อารมณ์ แต่มันกลับมีแต่ความเหนื่อยอ่อน มันเหลือบตามามองผมพักนึ่งก่อนจะแบนสายตาไปข้างหน้าแล้วออกรถ

     

    อืม...พี่นอนเถอะ ถึงไม่บอกแต่ผมดูออกว่าพี่ไม่ไหว” พูดจบมันก็เอื้อมมือมาคาดเข็มขัดนิรภัยให้ผม

     

    อือ...ผมครางรับ แต่ไม่ได้ทำตามที่มันบอก ตาผมเหม่อมองออกไปตามทิวทัศน์ข้างทาง หัวใจบีบตัวจนรู้สึกเจ็บ ในขณะที่สมองเริ่มรื้อฟื้นความทรงจำ

     

    การ์ด ทางนี้!’ เสียงไอ้ซีดังขึ้นก่อนที่มือผมจะส่งลูกบาสให้อย่างรวดเร็ว มันรับลูกไอ้อย่างแม้นยำก่อนจะเลี้ยงลูกสองสามครั้งแล้วชู๊ตลงห่วงอย่างสวยงามพอดีกับที่เสียงนกหวีดบอกหมดเวลา

     

    เสียงเฮดังลั่นไปทั่วจากแสตนฝั่งโรงเรียนผม เพราะเราสามารถขึ้นนำได้ 2 แต้มก่อนหมดเวลาแข่งขัน ทำให้ได้ชัยชนะมาครอง ผมเข้าแถวปะมือกับฝ่ายตรงข้ามที่เรียกได้ว่าหินสุดๆก่อนไอ้ซีจะโดนลากตัวไปรุมใหญ่ชนิดที่ว่าถ้ามันตัวเล็กลงอีกนิดคงจะถูกโยนขึ้นแบบในหนังหรือในทีวี ในฐานะที่เป็นคนส่งลูกสุดท้ายเข้าห่วงแล้วคว้าชัยชนะมา

     

    ผมยืนเช็ดเหงื่อด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวที่คล้องไว้ที่คอแล้วมองมันที่หันมาสบตาแล้วยิ้มให้ ผมขยิบตาให้มันก่อนจะสะดุ้งเมื่อมีมือจากข้างหลังมาตะปบแรงๆแล้วเปลี่ยนมาเป็นกอดคอ

     

    ดีใจด้วยนะ!’ น้ำอัดลมกระป๋องเย็นๆถูกเอามาแนบแก้มผมจากเด็กผู้หญิงผิวขาวหน้าตาสวยเก๋ ผมสีดำสนิทที่ถูกรวบขึ้นรัดเป็นหางม้าถูกระเบียบนักเรียนที่เริ่มยุ่งหน่อยๆ กับชุดนักเรียนที่ชายเสื้ออกนอกกระโปง

     

    แข่งชนะทั้งทีให้แค่เนี๊ย?’ ผมชูกระป๋องเครื่องดื่มขึ้นมาเป็นองค์ประกอบเสริม

     

    ไม่คิดว่าจะชนะนิ ความจริงซื้อไว้ปลอบใจตอนแพ้น่ะ’ เธอว่าพลางทำหน้าลอยหน้าลอยตาทำให้ผมอดไม้ไหว ยื่นมือไปขยี่ผมสีดำๆนั่นแรงๆจนผมเส้นนุ่มๆนั่นเริ่มกระเซอะกระเซิง

     

    ไม่รู้ซะแล้วว่าใครไปใคร’ ผมพูดกัดฟันไปแบบหมั่นเขี้ยว มือก็จัดการออกแรงยีจนเละยิ่งกว่าเก่า ฮ่าๆๆ

     

    แต่....ก็แค่ส่งลูกเองหนิ

     

    ฮะ?’

     

    หึ...หึหึ’ มิวหัวเราะก่อนจะจับมือผมออกแล้วเหวี่ยงลงแรงๆ อยู่ๆรอบๆตัวผมที่ควรจะเป็นลานกีฬาของโรงเรียนก็กลายเป็นห้องสีดำที่มือสนิท มีเพียงแสงไฟที่ฉายลงมาหาผมเป็นวงใหญ่

     

    อะไรวะเนี๊ย’ ผมสบถเบาๆกับรอบข้างที่เปลี่ยนไป

     

    เราเลิกกันเถอะ

     

    ฮะ? เล่นอะไรเนี๊ย?’

     

    ยังไม่รู้ตัวอีกหรอวะการ์ด’  อยู่ๆก็มีเสียงเสียงนึ่งดังขึ้นไม่ไกล ต้นเสียงนั้นค่อยๆก้าวเท้าออกมาจากความมืดเข้าสู่แสงสว่างที่แผ่เป็นวง ปรากฏเป็นชายผิวสองสี ตัวสูง และดัดฟัน

     

    ไอ้ซี...? นี่มันอะไรกันวะ?’

     

    หึๆ..’ มันหัวเราะแล้วเอามือล้วงกระเป๋า ‘มึงนี่มันโง่จริงๆ

     

    ใช่ โง่’ มิวไปยืนเกาะแขนมันอยู่ตอนไหนไม่รู้

     

    โง่!’

     

    โง่!’

     

    โง่!’

     

    อยู่ๆไอ้ซีกับมิวก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบคนแล้วล้อมรอบผมไว้แล้วตะโกนออกมาคำเดียวกัน ทำเอาผมถอยหนีแล้วเซล้มไปกองกับพื้น

     

    ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่าๆๆๆ!!!’ พวกนั้นเพิ่มจำนวนเป็นหลายสิบคนแล้วพากันหัวเราะ มองผมที่กำลังตกตะลึง

     

    “...พี่...พี่การ์ดผมรู้สึกได้ถึงเสียงเรียกเบาๆกับแรงเขย่าที่หัวไหล่ ก่อนที่ผมจะเบิกตาโพลงแล้วเด้งตัวขึ้นหอบแฮก เหงื่อผมออกทั้งตัวทำให้รู้สึกเหนอะไปหมด

     

    ฝัน...? เหอะ...ฝันบ้าอะไรอีกเนี่ย....ผมยังไม่รู้ว่าตัวเองลับไปตอนไหนด้วยซ้ำ...

     

    เป็นอะไรไหม?” มันยืนโก่งตัวสูงๆของมันแล้วยัดหน้าเข้ามาถามผม มือข้างหนึ่งท้าวเบาะนั่งผมไว้กันล้มส่วนอีกข้างก็จับขอบประตู

     

    หึ...ไม่มีอะไร ...ถึงแล้วหรอ?”

     

    ออกมานี่ดิมันว่าแล้วจัดการปลดล็อคเข็มขัดให้เสร็จสัพ คว้าข้อมือผมแล้วออกแรงดึงเบาๆให้ผมย้ายตูดลงจากรถโดยที่ผมก็ไม่ได้ปริปากบ่นอะไร

     

    มันลากผมมายืนหน้ารถ แรงลมข้างนอกทำเอาผมขนลุกซู่จากลมหนาวจนต้องกอดอกแล้วลูบแรงๆ โชคดีที่ผมชอบอากาศหนาวเป็นทุนเดิมมันเลยทำอะไรผมได้ไม่มาเท่าไหร ได้กลิ่นเค็มของน้ำทะเลลอยผะแผ่วปนมากับสายลม ภาพเบื้องหน้าผมเป็นท้องทะเลกว้างใหญ่จนเห็นเส้นขอบฟ้า ท้องฟ้าสลัว และเหนือน้ำทะเลมีแสงสีส้มที่ฉายขึ้นมากระทบกับกลุ่มเมฆสีขาวสะอาดมีสีส้มอ่อนสวยงามราวสายไหม

     

    สวย...

     

    ผมยืนกอดอกมองภาพตรงหน้านิ่งๆ ถึงจะหนาว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลิ่นน้ำทะเลที่โชยมาจางๆทำให้สมองหนักๆของผมเริ่มเบาลงจนผมต้องหลับตาเพื่อปิดรับประสาทสัมผัสส่วนอื่นแล้วสูดเอาอากาศบริสุทธิ์และกลิ่นเค็มของน้ำทะเลเข้าปอด

     

    อย่าหลับตาสิผมเกือบลืมไปแล้วว่ามีมันอยู่ข้างๆ แต่ก็นั่นแหละ เสียงมันทำให้ผมต้องลืมตาขึ้น ก่อนจะตะลึงในความงามของภาพที่ฉายเข้ามาในดวงตา

     

    พระอาทิตย์สีส้มดวงใหญ่กำลังลอยตัวขึ้นมาจากผิวน้ำ แสงของมันส่องสว่างให้ท้องฟ้าสลัวนั่นมีสีส้มแต้มมากขึ้นแล้วตกกระทบลงบนพื้นน้ำสีฟ้าใสที่กำลังม้วนตัวเป็นเกลียวคลื่นเล็กๆ

     

    สวยกว่าภาพแรกที่ผมเห็น...พระอาทิตย์แรกของปี...

     

    ไม่ได้เห็นมานานเลยแฮะ...

     

    ผมยิ้มบางๆกับภาพตรงหน้า จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่เคยเห็นอะไรแบบนี้มันนานมากแล้ว ตอนนั้นน่าจะเป็นที่ดอยอะไรซักอย่างกับป๊าม๊า แล้วก็เฮีย...

     

    เฮีย...?

     

    เออ...ผมยังไม่ได้บอกเฮียเลย

     

    ผมตั้งท่าจะล้วงกระเป๋าเสื้อ แต่พอคิดดูอีกทีก็กลัวจะเจอสายเข้าจากพวกมัน...

     

    ยืมโทรศัพท์หน่อยได้ไหมผมเรียกไอ้คนข้างตัวที่กำลังยิ้มบางๆกับความงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้น มันสะดุ้งน้อยๆแล้วล้วงกระเป๋ากางเกงควักเอาไอโฟนเครื่องสีดำขึ้นมาให้

     

    รหัส

     

    5555

     

    ฮะ?” มึงหัวเราะหรืออะไร?

     

    5555เอ่อ...โอเค

     

    ผมกรอรหัสลงไป กดหนึ่งในไม่กี่เบอร์ที่จำได้ แล้วโทรออก

     

    (ไอ้การ์ด?!!) ผมรอสายอยู่นาน เฮียก็รับสาย ไม่ต้องสงสัยเสียเวลาว่าเฮียมันรู้ได้ไงว่าเป็นผม เพราะเบอร์ผมกับไอ้โฟล์คนี่มองผ่านๆไม่รู้หรอก (มึงอยู่ที่ไหนวะเนี๊ย เพื่อนมึงแม่งแห่มาบ้านกันทั้งโขยงรุมทึ้งกูกันใหญ่ว่ามึงอยู่ไหน คอนโดก็ไม่อยู่ บ้านก็ไม่กลับ กูเป็นห่วงมึงแทบตายนะเว่ย) เฮียร่ายยาวเป็นชุดทำให้ผมแอบยิ้มหน่อยๆที่เฮียมันเป็นห่วงขนาดนี้

     

    สร่างเลยดิผมแหย่ด้วยเสียงเจื๋อน ๆ

     

    (กูสร่างตั้งแต่เพื่อนมึงยกกันมาและ ...มึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม?)

     

    ครบ 32 น่า...ผมว่าแล้วมองเหลือบตาขึ้นมองพระอาทิตย์

     

    (แล้วอยู่ไหน?)

     

    “...ไม่ใช่กรุงเทพรู้แค่นี้แหละ นี่มันทะเลไหนยังไม่รู้เลย อีกอย่างถึงรู้...ก็ไม่บอกหรอก เฮียมันบอกพวกนั้นแน่ๆ...

     

    (เฮ้อ...กูรู้เรื่องมึงกับไอ้ซีแล้วนะ) ได้ยินชื่อก็อยากตั๊นหน้าชิบหาย... พอมาคิดดีๆตอนนั้นน่าจะเพิ่มอีกสักสองสามหมัด... (กูรู้ว่ามันอภัยกันยาก แต่ซีมันไม่ได้...)

     

    การ์ดยังไม่อยากคุยเรื่องนั้นตอนนี้ว่ะเฮียผมแทรกแล้วหลุบตาต่ำแล้วขบกรามแน่น

     

    (เออๆ ปลอดภัยก็ดีแล้ว ...น้องชายเฮียเก่งมากเลยนะรู้ไหม เฮียดีใจนะที่มีน้องชายเข้มแข็งแบบเนี๊ย) ไม่รู้ว่าเฮียมันชมผมเรื่องอะไร แต่น้ำเสียงอบอุ่นแบบที่มันชอบทำตอนผมกลุ้มใจหรือมีเรื่องอะไรแบบนี้มันก็ทำให้หัวใจผมคลายตัวลงมาบ้าง ถ้าอยู่ด้วยกันมือใหญ่ๆนั่นก็จะลูบหัวผมเบาๆ

     

    ด้วยความที่เฮียมันห่างจากผม 9 ปี บวกกับตอนเด็กป๊าม๊างานยุ่งไม่ค่อยมีเวลาเลี้ยง ก็เป็นเฮียนี่แหละครับที่คอยเลี้ยงผม มันเป็นทั้งพี่ ทั้งเพื่อน ทั้งพ่อให้ผมในคนคนเดียวกัน ผมงี้ติดเฮียแจ เฮียอยู่ไหนต้องมีผม ถึงแม้จะทะเลาะกันบ่อยมีเรื่องกันเยอะก็เถอะ แต่เราก็เพิ่งมาแยกกันตอนเฮียขึ้นมหาลัยเอง

     

    (อะไรๆ แค่นี้ร้องไห้?) กูแค่สะอื่นเบาๆเองเว่ยน้ำตายังไม่มีซักแหมะ!

     

    ไปนอนต่อได้แล้วไป

     

    (เอออออออ)

     

    เดี๋ยว...

     

    (ฮะ?)

     

    เฮียอย่าบอกพวกมันนะ ...อย่าเอาเบอร์นี้ให้ใครด้วย...

     

    (หือ?...) ให้เดาว่าพี่แกเอามือถือออกมาดูเบอร์ (ไอ้เบอร์เหี้ยนี่มันอะไรวะเนี่ย เหมือนของมึงเป๊ะ กูว่าและว่ากูเมมเบอร์มึงไว้แล้ว)

     

    สัญญา?” ผมไม่สนแต่กลับท้วงขึ้นแทน

     

    (.....อือ...ดูแลตัวเองดีๆแล้วกัน)

     

    เออน่าาาาาาา

     

    (แล้วก็อย่าเครียดมาก)

     

    จ้าาาาาา

     

    (หึๆ) เฮียหัวเราะเบาๆ

     

    เฮีย...

     

    (หืม?)

     

    ลุกขึ้นมาดูพระอาทิตย์ด้วยนะผมว่าแล้วมองภาพพระอาทิตย์ที่ค่อยๆโผล่ขึ้นมาจนจะเต็มดวง

     

    (อื้มม นี่ออกมาดูและ........ ไม่เห็นเลยว่ะ)

     

    ฮ่าๆ ไม่เป็นไร.....งั้นแค่นี้นะกะอยู่แล้วล่ะ บ้านผมมันไม่สูงพอ แถมต้นไม้ยังเยอะแยะ แต่ก็ยังอยากพูด...เหมือนอยากจะแบ่งปันสิ่งสวยงามตรงหน้าให้คนใกล้ตัว

     

    (ครับบบ อย่าลืมนะ เครียดๆโทรมาหากูได้ อย่าทำร้ายตัวเอง กูรู้มึงฉลาด)

     

    จ้าาาา”  ผมว่าแล้วกดตัดสายแล้วยิ้มบางๆให้หน้าจอโทรศัพท์ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าของมันก็กำลังยืนคลี่ยิ้มบางๆแบบคราวแรก แต่ด้วยแสงอาทิตย์ที่มากกว่าเก่า ทำให้ตาสีดำของมันสะท้อนแสงอาทิตย์พราวระยับ ดูสดใส มีชีวิตชีวา และสวยกว่าเมื่อคืนที่สะท้อนแสงไฟข้างทาง

     

    ผมยืนนิ่งมองมันอย่างค้างๆ ใบหน้าที่จัดว่าทำบุญมาดีเกินไปของมันต้องแสงอาทิตย์ให้หน้าใสๆนั่นผ่องขึ้นมา จมูกโด่งๆที่ถูกแสงจากธรรมชาติทำให้เกิดเงาตกกระทบดูมีมิติ ริมฝีปากที่กำลังคลี่ยิ้มบางๆนั่นเป็นสีอ่อนตามธรรมชาติ ไม่ได้เคลือบด้วยลิปกลอสฉ่ำๆแต่กลับดูดีกว่าผู้หญิงหลายคน

     

    แชะ...

     

    แต่แล้วไอ้ปติมากรรมมีชีวิตมันก็ต้องหันมามองผมที่ถือไอโฟนของมัน ต้นเหตุของเสียงชัตเตอร์เมื่อกี้ ผมยิ้มให้มันบางๆแล้วหันหน้าจอกลับไปมันดู

     

    ดูดีออกผมว่าแล้วทำเป็นไม่สนใจ หันไปกอดอกมองพระอาทิตย์ต่อ

     

    ฮะ?” แต่ไม่กี่นาทีต่อมามันก็ยื่นมือมาสะกิดไหล่ๆ ร่างกายก็เลยหันไปหามันแบบอัตโนมัติ แล้วก็...

     

    แชะ...

     

    มันยกมือถือขึ้นไประดับตาแล้วล่นลงมาดูผลงานก่อนที่ปากมันจะคลี่ยิ้มกว้างส่งเสียงหัวเราะเบาๆ

     

    สัส... รูปมันเหี้ยใช่ไหมเนี่ย

     

    เหมือนมันจะรู้ทันว่าผมกำลังจะคว้ามาดู มันเลยยกมือถือขึ้นสูง คิดว่ากูเอาไม่ถึงรึไง...

     

    เอามานี้ผมเงื้อมมือขึ้นสุดแขน แต่ก็ไม่ถึง เลยต้องกระโดด แต่มันก็รู้ทันอีก กระโดดหลบพร้อมกับเสียงหัวเราะที่เริ่มดังขึ้นๆ

     

    กูบอกว่าให้เอามานี้!!” ผมขู่ฝ่อ แต่มันก็ไม่กลัว ยืนย้ายแขนไปมาขัดขวางผมแล้วหัวเราะอย่างสนุกสนาน ตามันหยี ปากมันก็คลี่ยิ้มกว้างโชว์เหล็กสีแหว๋วแล้วส่งเสียงหัวเราะออกมาไม่หยุด

     

    เป็นการหัวเราะแบบสุดๆครั้งแรกของมันเลยมั๊งที่ผมเห็น

     

    ไม่รู้ว่าผมยื้อยุดฉุดกระชากมันนานแค่ไหน แต่พอหันไปมองทะเลและท้องฟ้าอีกทีพระอาทิตย์ข้างหน้าก็ลอยเด่นเต็มดวงไปซะแล้ว ผมทิ้งตัวลงมาหอบเบาๆกับพื้นทรายแล้วหันไปมองไอ้โฟล์คที่ยืนยิ้มให้

     

    มันทิ้งน้ำหนักลงมานั่งกอดเข่าข้างๆผมแล้วทอดสายตามองไปบนฟ้า มองนกที่กำลังวนให้ว่อนเป็นฝูงหย่อมๆหลายฝูง

     

    แล้วจะค้างคืนไหมมันถามขึ้นขณะที่ตายังมองท้องฟ้าอยู่ ให้ตายสิ ผมชอบตามันตอนสะท้อนแสงอาทิตย์จริงๆนะ..

     

    ไม่รู้ว่ะผมไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้นแหละ

     

    ค้างได้นะ ผมไม่เป็นไรมันเปลี่ยนจากเอามือกอดเข่าไปท้าวกับพื้นทรายด้านหลังแล้วเหยียดขาแทน ตาก็ยังคงมองท้องฟ้าอยู่

     

    อือ...

     

    เค้าว่าอกหักต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 วันถึงจะโอเคขึ้นคราวนี้มันหันมายิ้มบางๆให้ผมครับ หล่อไปดิ

     

    กูป่าวอกหัก...รึเปล่านะ... หึ...เรียกว่าถูกหักอก ถูกหักลัง ถูกหลอก ถูกทรยศ ตีสองหน้า อะไรแบบนี้ยังจะถูกต้องกว่า

     

    ผมเปลี่ยนไปนั่งท่าเดียวกันมันพลิกเท้าเล่นแล้วเบือนหน้าหนี.... ตาผมตอนนี้มันคงฉายชัดถึงความรู้สึก...ไม่อยากอ่อนแอให้มันเห็นไปมากกว่านี้แล้ว...

     

    ไปเถอะ หนาวมันพูดแล้วยืนขึ้นบิดขี้เกียจสองสามที่ แล้วส่งมือมาให้ผม ผมมองแล้วลังเลอยู่นานก่อนจะตัดสินใจยื่นมือขึ้นไปให้มันกุมแล้วออกแรงดึงผมขึ้น มือมันเย็นมาก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอากาศหรือมันเย็นแบบนี้อยู่แล้ว เพราะนี่เป็นครั้งแรกเลยมั๊งที่ผมถูกตัวมันตรงๆ ....ในบริเวณที่ไม่ใช่ปากอะนะ...

     

    แล้วจะไปไหน?” ที่นี่ที่ไหนกูยังไม่รู้เลย...

     

    คิดว่าจะหาข้าวเช้า แต่ยังไม่น่าจะมีร้านไหนเปิด... อยากขับรถเล่นไหม?”

     

    อืม ก็ดี...

     

    -------------------------------------------

     

    ผมใส่แว่นดำกันแดดขับบีเอ็มสีแจ๊ดนี่บนถนนเลียบชายฝั่งไปเรื่อยๆ ผมตัดสินใจเปิดประทุนรับลมหลังจากที่รู้สึกว่าความหนาวมันพอรับได้แล้วยื่นมือข้างหนึ่งออกจากพวงมาลัยไปห้อยไว้ตรงขอบประตูให้ลมมันปะทะเล่น ยอมรับจริงๆครับ ว่าธรรมชาติบำบัดเป็นอะไรที่ดีที่สุด สมองหนักๆของผมเบาลงมากอย่างไม่น่าเชื่อ บางทีการปล่อยวางอะไรไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน

     

    ผมขอบคุณเวลาในใจที่เช้าซะจนถนนโล้งทำให้ผมขับได้แบบสบายๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพระเอกซีรีส์เรื่องดังที่ขับรถพานางเอกเลียบริมทะเลที่อเมริกา

     

    ว่าแล้วก็หันไปมองนางเอกซะหน่อย...  อืม... ถือว่าเมื่อกี้ผมไม่ได้คิดอะไรแล้วกัน

     

    ไอ้โฟล์คนั่งหลับตานิ่งแต่ผมคิดว่ามันไม่น่าจะหลับ เกือบลืมไปเลยว่ามันขับรถมาทั้งคืน...

     

    กูว่าเดี๋ยวหาอะไรกินแล้วหาโรงแรมซักที่ด้วยดีกว่า มึงจะได้นอนผมพูดเสียงไม่ดังมาก กะพอให้เด็กผู้ชายข้างๆได้ยิน มันอือออเบาๆเป็นการตอบรับแล้วลืมตาขึ้น อยากกินอะไรไหมผมถามต่อ

     

    อะไรก็ได้ ขอน้ำๆร้อนๆ

     

    สุดท้ายผมก็พาบีเอ็มสีแดงมาจบกันที่ร้านข้าวต้มห่างจากตัวหาดออกมา

     

    ผมนั่งคนข้าวต้มหมูในชามไปเรื่อยๆให้มันหายร้อน  แปลกใช่ไหมล่ะ มาทะเล แต่สั่งข้าวต้มหมูสับธรรมดาๆ ผมไม่ค่อยชอบกินอาหารทะเลที่มันถูกเอามาทำอย่างอื่นนอกจากเผา ปิ้ง ย่าง ต้ม แล้วกินกับน้ำจิ้มซีฟู๊ดน่ะ รู้สึกเหมือนมันจะคาวๆ ถ้าไม่ใช่ม๊าทำผมก็จะไม่กิน

     

    ยิ่งคิดก็ยิ่งแปลก ผมเพิ่งเจอเรื่องแย่ๆมาเมื่อคืน แต่ตอนนี้กลับมานั่งกินข้าวต้มรับวันใหม่อยู่ต่างจังหวัดเนี่ยนะ? มันคนละความรู้สึกกับในหนังหรือละครที่พออกหักหรือมีเรื่องอะไรแล้วจะเก็บตัวไม่กินไม่นอน แต่ก็ไม่แน่...ถ้าอยู่คนเดียวอารมณ์ผมก็คงจะไม่แตกต่างจากนั้นเท่าไร

     

    แต่เป็นอย่างนี้มันก็ดีกว่าแหละนะ...

     

    ผมยกช้อนข่าวต้มขึ้นมาเป่า สายตาก็มองไปหาไอ้คนที่ทำให้ผมมานั่งซดข้าวต้มแทนที่จะนั่งเมาเหล้า หรือนั่งทึ้งหัวตัวเองอดข้าวอดน้ำอยู่ที่ไหนคนเดียวซักแห่ง...

     

    รู้สึกขอบคุณมันขึ้นมา...

     

    อืม...ในฐานะที่เจอมากับตัว ผมก็อยากแนะนำนะครับ ถึงแม้ผมจะไม่เคยทำอย่างที่ว่ามาข้างบน แต่ขอยืนยันครับ ว่าแบบนี้มันดีกว่าจริงๆ การที่เราไปทำร้ายตัวเอง อดข้าวอดน้ำ เมามาย นั่งเครียดแล้วใช้เหตุผลว่า ให้เวลาเป็นตัวช่วยในการลืม หรืออะไรก็ตามแต่ที่เป็นผลเสียต่อตัวเอง ผมขอแนะนำอีกอย่างหนึ่ง ว่าไม่ได้มีแค่เหล้า หรือเวลาเท่านั้นที่ช่วยเราได้ ลองเปลี่ยนวิธีมาเป็นการใช่ช่วงนั้นอยู่กับใครซักคนแทนสิครับ อาจจะเป็นพ่อแม่หรือคนที่เพิ่งรู้จักกันอย่างผมกับมัน อย่างน้อยแค่ได้คุยเรื่องอื่นๆ ก็ทำให้เราลืมเรื่องเครียดๆนั่นไปชั่วขณะนะ

     

    จะค้างรึป่าว?” อยู่ๆมันก็ถามขึ้นหลังจากที่ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวต้มมานาน

     

    มัน...ไม่รบกวนมึงใช่ไหม?” แค่นี้ผมว่ามันก็มากพอแล้วสำรับคนที่เพิ่งรู้จักกัน

     

    ไม่เป็นไรรอยยิ้มบางๆของมันเหมือนตัวช่วยยืนยันคำพูด เดี๋ยวลองหาโรงแรมดู ช่วงนี้ใช่ว่าจะหาง่ายๆมันว่าแล้วดันชามที่เคยใส่ข้าวต้มกุ้งไว้แทบล้นซึ่งตอนนี้เหลือแค่เศษต้นหอมออก เปลี่ยนมาเป็นยกไอโฟนขึ้นพิมพ์

     

    ผมก็จัดการของตัวเองต่อไป ไม่รู้ว่าแม่ค้ารำเอียงรึเปล่า แต่ผมกับมันได้เยอะจนแทบล้นชาม

     

    ระหว่างรอผมกินมันก็ผลัดโทร ผลัดพิมพ์อยู่สี่ห้าครั้ง จนผมเริ่มกลัวว่าคืนนี้อาจจะไม่มีที่ซุกหัวนอน

     

    มีคนกำลังจะเช็คเอาท์ตอนสายๆสองห้อง  1400 กับ 1700มันยกไอโฟนออกจากหูแล้วขอความเห็นผม

     

    ผมว่ามันไม่จำเป็นต้องแยกห้องนอนกับมันนะ...

     

    1700 ห้องเดียวก็พอ...
     

    -------------------------------------------


    #แก้คำผิด + รีไรท์ใหม่นิดหน่อยค่ะ ถ้ายังเจอคำผิดอยู่ก็ขอโทษด้วยน้า

    cactus

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×