ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Just a friend #ใครว่าก้อนหินไม่มีหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #5 : S T U B B O R N [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.61K
      681
      27 มี.ค. 64



    S T U B B O R N




         สวัสดีร้านเหล้า..อีกครั้ง

         อย่ามองแบบนั้น ครั้งนี้ผมบอกไอ้หินเรียบร้อย ถึงจะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมจะต้องคอยรายงานมันตลอดว่าผมจะไปไหน ไปทำอะไรกับใครก็ตามเถอะ แต่ก็ถือว่าตัดปัญหาไม่ต้องนั่งฟังมันบ่นทีหลังก็แล้วกัน อีกอย่างเดี๋ยวไอ้หินมันก็ตามมา เพื่อนในกลุ่มพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้จะหายไปคนเดียวได้ยังไง

         “มึงนั่งไหม จะยืนทำไมให้เมื่อย” ไอ้กำปั้นนั่งเท้าคางมองหน้าผมดูท่าทางเบื่อหน่าย ก็อย่างนี้แหละไอ้พวกมีแฟนแล้วต้องห่างแฟนเพราะแฟนไม่อยู่ ไปออกค่ายกับทางคณะ เพื่อนผมถึงได้มาทำหน้าหงอยเป็นหมาเหงาอยู่ตรงนี้

         “กูจะได้เต้นสะดวกไง ดูนี่ๆ เอวกูได้ป่ะ โคตรพริ้ว” 

         “...” อะ ไม่สนใจกูเลยแม้แต่น้อย 

         นี่เพื่อนอุตส่าห์ชวนมาแดกเหล้านะเนี่ย ทำตัวได้ไม่เข้ากับบรรยากาศเลยสักนิด เพลงโคตรจะชวนให้ลุกขึ้นมาเต้น แต่ไอ้กำปั้นนั่งนิ่ง สงสัยว่าหัวใจจะล่องลอยกลับไปหาใครอีกคนที่ไปออกค่ายแล้วเรียบร้อย 

         ห่างนิดห่างหน่อย ทำมาเป็นนั่งเหม่อ 

         นี่ถ้าผมแกล้งขโมยน้องสกายหายไปสักวัน มันคงซึมเป็นท่อนไม้ที่เน่าตาย หรือไม่ก็ตามไล่กระทืบผมนี่แหละครับ ซึ่งคาดเดาจากนิสัยไอ้กำปั้นแล้ว อย่างหลังน่าจะคือมากกว่า แค่รู้ความคิดของผมก็น่าจะยันโครมเข้าให้แล้วล่ะ 

         “กลับไหม จริงๆ มึงไม่เห็นต้องออกมากับพวกกู” ไอ้ปิงว่า ในมือถือแก้วเครื่องดื่มเอาไว้มองสลับผมกับไอ้กำปั้น “อีกคนก็ดูไม่มีชีวิตชีวา อีกคนก็ดีดฉิบหาย เห้อ ให้ไอ้หินรีบๆ มาเถอะ พวกมึงหลากหลายอารมณ์จนกุงงไปหมดแล้ว” 

         “ไม่เป็นไร นานๆ จะได้อยู่กับพวกมึง” สลัดท่าทางซึมกะทือไปได้ ไอ้กำปั้นก็เริ่มส่งเสียงร้องเพลงคลอมาบ้าง

         “คิดถึงเมียหลวงอย่างกูก็บอก” 

         “ส้นตีนกูเนี่ยที่คิดถึง” 

         ไม่อ่อนโยน! 

         แล้วทำไมถึงเป็นผมตลอดเลยวะที่โดน ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้กำปั้นน เจอน้องสกายครั้งหน้า สาบานว่าผมจะออเซาะให้กำปั้นมันคลั่งตายสักครั้ง แต่หลังจากนั้นอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตผมนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง 

         “ตอนน้องชวนก็ไม่ไป ทำมาเป็นอยากให้มีเวลากับเพื่อน ทำกิจกรรม ใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีตัวเองไปวุ่นวาย แหมมมม สุดท้ายก็มานั่งหงอยเป็นผีตายซาก นี่ถ้ากูไม่รู้เรื่องอะไรก็จะคิดว่ามึงอกหัก ถูกน้องสกายบอกเลิกมานะเนี่ย” ผมยักคิ้วหลิ่วตา เอ่ยไปถึงเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนที่น้องสกายบอกกับไอ้กำปั้นว่าจะไปค่าย ชักชวนเพื่อนผมด้วยแววตาตื่นเต้นเป็นที่สุด แต่ไอ้กำปั้นกลับยิ้มแล้วตอบน้องกลับไปว่า..

         ‘ไปเถอะ ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนให้เต็มที่ กูไปด้วยเดี๋ยวก็มัวแต่ตัวติดกัน มึงไม่ได้ทำอะไรพอดี’ 

         ก็ยังดีที่รู้ตัว

         ทุกวันนี้ลมหายใจเข้าออกของไอ้กำปั้นมีแต่น้องสกาย กว่าจะกลับมาจากค่าย คิดว่าเพื่อนสุดที่รักของผมคงเหี่ยวเฉาเป็นดอกไม้ที่ไม่ได้รับน้ำและสารอาหาร ช่างน่าสงสารจริงจริ้งงง มองตาของผมสิ จะเห็นว่ามีแต่สมน้ำ— แค่กๆ สงสารน่ะ สงสารเพื่อนที่ต้องห่างจากอ้อมอกของแฟนสุดน่ารัก

         “หึ สกายเหรอจะบอกเลิกกู” ไอ้กำปั้นยิ้มมุมปาก สายตาราวกับจะบอกว่านั่นมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และถึงผมจะหมั่นไส้กับท่าทางแบบนั้น แต่ก็ยอมรับว่าน้องสกายไม่มีทางบอกเลิกเพื่อนผมหรอก ทั้งหัวใจของน้องเหมือนมีไว้ให้แค่มันเท่านั้น ใครจะเสนอหน้าเข้าไปแทรกกลางความสัมพันธ์ของทั้งคู่ บอกเลยว่าแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่ม

         “ขี้อวด ให้กูมีแฟนที่รักกูมากๆ แบบน้องสกายก่อน จะอวดมึงทุกวันเลย” 

         “แต่กูว่ามึงมีแล้วนะ” ไอ้ปิงว่า สายตาเลื่อนไปสบกันกับไอ้กำปั้น ดูเหมือนว่าพวกมันทั้งคู่จะคิดเหมือนกัน

         “นั่นสิ กูว่ามึงมีแล้ว” 

         “ไอ้หินกับกูเป็นเพื่อนกันเว้ย!” ผมรีบบอกออกไปทันที ซึ่งแน่นอนว่าเพื่อนทั้งสองคนดูจะไม่ได้เชื่อในสิ่งที่ผมยืนยันออกไปเลยสักนิด ยิ้มและมองมาราวกับจะทำให้ผมเขินอาย แล้วผมก็เสือกรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาจริงๆ วูบวาบตีขึ้นมาจากอกลามไปทั่วทั้งหน้า 

         จะต้องเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์แน่ๆ 

         “มึงก็รู้ว่ามันชอบมึง” 

         “วันไหนเกิดมันเปลี่ยนใจขึ้นมา พวกกูไม่รู้ด้วยนะ” 

         เอาเข้าไปไอ้สองคนนี้ ได้ทีแล้วไล่ต้อนผมกันใหญ่เลยนะ

         ก็บอกว่าเป็นเพื่อนกันไง ไอ้หินจะเปลี่ยนใจไปชอบใครแล้วยังไง มันไม่เห็นจะเกี่ยวข้องกับผมเลยสักนิด

         ไม่เกี่ยว..

         “ก็เรื่องของมันดิ” 

         “เนี่ย กูสองคนพูดแค่นี้มึงก็ออกอาการแล้ว เอาเถอะ ความรู้สึกของมึง ให้มึงทำความเข้าใจด้วยตัวเองดีกว่า กูไม่ใช่กามเทพที่จะเอาศรไปปักใส่ให้ใครมารักกันได้ แค่อยากเตือนสติมึงสักหน่อยว่าทุกความรู้สึกถ้าถูกบั่นทอนมากๆ สักวันมันก็จะหมดไป ไม่เว้นกระทั่งความรักหรือว่าความชอบ” ท่ามกลางเสียงเพลง ไอ้กำปั้นยื่นมือมาตบลงบนไหล่ผมพลางพูดออกมายืดยาว แต่ว่าผมก็ยังคงต่อต้านอยู่เหมือนเดิม

         “หมดก็ดี กูอึดอัดจะแย่แล้วเนี่ย” 

         “เหรอ” 

         “...” 

         “...” 

         ประโยคที่พูดออกไปเพียงเพราะอยากจะเอาชนะได้รับเสียงตอบกลับมาทันควัน ผมชะงักมือที่ถือแก้วเอาไว้ เห็นสายตาของไอ้กำปั้นกับไอ้ปิงมองผ่านไปทางด้านหลัง ก็คาดเดาได้ทันทีว่าเสียงที่ตอบรับมาเมื่อกี้คือเสียงของใคร

         อากาศอบอ้าว ทว่าผมกลับรู้สึกว่าฝ่ามือเย็นเฉียบ เสียงหวีดหวิวดังขึ้นข้างหูเมื่อร่างสูงของใครอีกคนดึงเก้าอี้ออกและนั่งลงมาข้างๆ 

         “อึดอัดกับกูขนาดนั้นเลย?” ส่งเสียงถามออกมาฟังดูไร้อารมณ์ใดๆ กระทั่งความไม่พอใจก็จับไม่ได้ในน้ำเสียง แต่เพราะเป็นเพื่อนกันมานาน เพียงแค่สบตาก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายกำลังตัดพ้อผมอยู่ลึกๆ จะกลืนน้ำลายลงคอ ผมก็ยังทำได้อย่างยากลำบาก คิดว่าไอ้หินน่าจะได้ยินทุกอย่างที่พวกผมพูดคุยกัน

         ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ ..แค่กลัวมันจะเสียความรู้สึกเท่านั้นเอง

         “ว่าไง” 

         “...” 

         “งานเสร็จแล้วเหรอวะ” เหมือนว่าไอ้กำปั้นจะรับรู้ว่าผมไม่สามารถที่จะตอบคำถามของไอ้หินได้ ก็เลยถามขึ้นมาพลางส่งแก้วเหล้าที่เพิ่งจะชงใหม่มาให้ ซึ่งไอ้หินมันก็รับเอาไว้พร้อมกับละสายตาจากผมไป

         ฮู้ว พอให้หายใจสะดวกขึ้นมาบ้าง

         “เออ พวกมึงนั่งกันนานหรือยัง” 

         “สักพัก ประมาณ 2 ชั่วโมงได้” 

         ไอ้หินพยักหน้าลง หันมามองผมแวบเดียวแล้วก็หันกลับไป “กูไปเข้าห้องน้ำแป๊บ” บอกกับเพื่อนในกลุ่มก่อนจะลุกขึ้น เดินตรงไปตามเส้นทางที่จะพาไปห้องน้ำ 

         “กูไม่ผิดนะเว้ย ก็กูบอกมันแล้วว่ามันเป็นแค่เพื่อน” 

         “ปากแข็ง” 

         “ซื่อบื้อ” 

         เอ้า ไอ้สองคนนี้มันยังเป็นเพื่อนผมอยู่ใช่ไหมวะ

         “พวกมึงจะมารู้ดีเท่ากูได้ไง ความรู้สึกของกู” ผมเริ่มเสียงแข็ง คิ้วขมวดชนกัน บิดปากคว่ำลงขณะที่ไอ้กำปั้นกับไอ้ปิงนั้นพากันหัวเราะออกมา ตัวของผมเอง ผมก็ต้องรู้ดีที่สุดสิว่าคิดอะไร รู้สึกแบบไหนอยู่ ทำไมถึงชอบมาเถียงกันก็ไม่รู้

         “เมื่อกี้กูเห็นน้องคนหนึ่งมองตามไอ้หินไม่ละสายตาเลยว่ะ กูไปเป็นพ่อสื่อให้ดีไหม บางทีมันจะได้เลิกชอบคนใจร้ายแถวนี้สักที” พูดไป ไอ้ปิงก็เลื่อนสายตามามองผมไปด้วย แหม ไม่รู้เลยนะว่าไอ้คนใจร้ายที่พูดถึงน่ะคือใคร มองขนาดนี้ก็เอาปากกามาเขียนคำว่าใจร้ายติดบนหน้าผากผมเลยเถอะ

         “กูก็มองอยู่ น่ารักใช้ได้” 

         “จะฟ้องน้องสกาย มึงโดนแน่ไอ้กำปั้น” ริอ่านไปชมคนอื่นน่ารักได้ยังไงกัน ผมเองก็เห็น ..น่ารักดี แต่ไม่ใช่แบบที่ไอ้หินชอบหรอก

         “กูว่าเขาน่ารัก เหมาะกับไอ้หิน สำหรับกูยังไงสกายก็น่ารักที่สุดอยู่แล้ว” พูดถึงแฟนที สายตานี่อ่อนโยนระดับสิบ เปลี่ยนเป็นคนละคน เปลี่ยนแบบหลังตีนกลับมาเป็นหน้ามือ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ารักมากขนาดไหน

         “เขาลุกมาว่ะ” ไอ้ปิงว่า ได้ยินแบบนั้นผมก็หันไปมองตามทันที หญิงสาวรูปร่างไซส์เอส ตัวเล็กน่ารักกำลังเดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้มดูมั่นอกมั่นใจในตัวเอง 

         “...” 

         “สวัสดีค่ะ” การทักทายคนแปลกหน้าก็ดูไม่เขินอายอะไรเลย ท่าทางจะเป็นเด็กกิจกรรมที่สามารถเข้ากันกับคนอื่นได้ง่าย

         ผมก็คาดเดาจากที่เห็นเฉยๆ อาจจะใช่ หรือว่าไม่ใช่นั่นก็อีกเรื่อง

         “ครับ” คนที่ออกรับแทนทุกคนคือไอ้ปิง พวกผมเองก็ไม่ได้เสียมารยาท ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกเกร็งอะไร พยักหน้าลงรับคำทักทายก่อนที่ผมจะเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นต่อจากไอ้ปิง “มีอะไรหรือเปล่าครับ นั่งคุยก็ได้นะ” 

         “ชื่อแคลร์ค่ะ คือ..พี่หิน แคลร์ตั้งใจจะเข้ามาคุยกับพี่หินน่ะค่ะ แต่เห็นว่าพี่ๆ มองมาเมื่อกี้ ก็เลยจะขอเสียมารยาทร่วมโต๊ะด้วย พอดีแคลร์อยากถามอะไรพวกพี่นิดหน่อย” 

         “ตามสบายครับ ว่าแต่น้องแคลร์จะถามอะไรล่ะ” ผมยิ้มรับ อย่าว่าเชียว ผมเนี่ยเพลย์บอยเก่าเลยนะ คุยแต่ไม่ได้คบมาก็เยอะ ส่วนใหญ่เป็นผมที่เบื่อและเลิกคุยไปดื้อๆ รู้สึกว่าไม่มีใครที่สามารถทำให้ผมรู้สึกอยากจะคบด้วยสักคน

         เพราะแบบนั้นถึงได้ถูกไอ้กำปั้นว่าเอาบ่อยๆ ช่วงก่อนหน้าที่มันจะคบกับน้องสกาย

         ไอ้หินด้วย รายนั้นก็ชอบว่าผม แต่ช่วงหลังมาผมไม่ค่อยได้คุยกับใครเท่าไหร่ เรียกว่าไม่มีผ่านเข้ามาเลยสักคน ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน

         “ขอโทษนะคะที่อาจจะถามตรงไปสักหน่อย แคลร์อยากรู้ว่าพี่หินเขามีแฟนหรือยังน่ะค่ะ” 

         “ไอ้หินยังไม่มีแฟนครับ” 

         “แต่เพื่อนพี่มีคนที่ชอบแล้วน่ะสิ” ไม่รู้ว่าอะไรดลบันดาลให้ผมหลุดปากออกไปแบบนั้นหลังจากที่ไอ้ปิงพูดจบ กลายเป็นว่าในตอนนี้ทั้งสามคนจ้องมาทางผม เพื่อนสองคนเลิกคิ้วขึ้น ไอ้กำปั้นหัวเราะออกมาก่อนจะละสายตากลับไป ส่วนน้องแคลร์ไม่ได้ดูตกใจอะไรราวกับว่าสิ่งที่ผมบอกมันไม่ใช่เรื่องใหญ่ 

         “เหรอคะ แล้วคนที่พี่หินชอบ..เขาเป็นคนแบบไหน” ดวงตาเรียวสวยจ้องนิ่งที่ผมขณะถาม ไม่รู้ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าหญิงสาวตรงหน้ารู้อยู่แล้วว่าคนที่ไอ้หินชอบคือผม แววตาคู่นั้นซับซ้อนมองไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่ 

         “ไม่รู้สิครับ ทำไมน้องแคลร์ไม่รอถามมันเองล่ะ” ให้ผมพูดออกไปว่าไอ้หินชอบผมมันก็ดูหลงตัวเองเกินไปป่ะ เรื่องแบบนี้เจ้าตัวเป็นคนพูดก็จะดีที่สุด 

         ซึ่งไอ้หินมันก็บังเอิญกลับมาได้ถูกจังหวะพอดิบพอดี ใกล้จะถึงโต๊ะก็หยุดชะงักไปพลางมองตรงมาด้วยสายตาเยือกเย็น ดูน่ากลัวแปลกๆ แต่ไม่ได้มองผมนะ มองน้องแคลร์ที่นั่งอยู่ข้างๆ นี่แหละ อาจจะเพราะน้องแย่งเก้าอี้มัน หรือถ้าจะให้หลงตัวเองหน่อยก็คือไอ้หินกำลังไม่พอใจที่น้องแคลร์มานั่งข้างผมแบบนี้

         ก็..หินมันชอบผม

         เด็กอนุบาลยังคิดได้เลยเหตุผลนี้น่ะ ใช่ไหมล่ะ! 

         ผมไม่ได้พูดอะไรต่อ มองไอ้หินที่เดินเข้ามาพลางสลับสายตามองไปที่น้องแคลร์อีกครั้ง 

         “สั่งไรเพิ่มไหมมึง หรือว่าพอแล้ว” 

         “อืม เอาเก้าอี้มาเพิ่มด้วย” ไอ้หินหันไปตอบกำปั้น หยิบเอาแก้วของตัวขึ้นดื่มทั้งที่ยังคงยืนอยู่ ริมฝีปากหยักได้รูปแตะโดนขอบแก้ว ปล่อยให้ของเหลวในแก้วไหลลงคอไป 

         ดูเอาเถอะ คนอะไร..แค่ดื่มน้ำมันยังหล่อเลย

         แล้วก็ไม่ใช่แค่ผมที่มองไอ้หินอยู่ในตอนนี้ น้องแคลร์เองก็มองด้วยเล่นกัน แววตาสะท้อนถึงความหลงใหลได้ปลื้มอย่างถึงที่สุด ริมฝีปากอิ่มเคลือบด้วยลิปสติกคลี่ออกเป็นรอยยิ้มเมื่อคนที่ถูกมองจดจ้องกลับไป

         “สวัสดีค่ะพี่หิน” เสียงเปลี่ยนไปอย่างกับคนละคน ผมจ้องมองตาแทบถลน หันไปสบตากำไอ้กำปั้นที่หลุดหัวเราะออกมา ทำตัวเป็นผู้ชมที่กำลังสนุกกับหนังเรื่องหนึ่งอยู่

         “..?” ไอ้หินเลิกคิ้วขึ้น ไม่ตอบรับอะไรทั้งสิ้น ความเย็นชาของมันนี่สามารถทำให้คนร้องไห้ได้เลยจริงๆ แต่ว่าไม่ใช่กับน้องแคลร์ที่ยังคงยิ้ม ค้อมหัวลงพลางเอ่ยทักทายด้วยเสียงหวานใสชวนฟัง

         “ขอแนะนำตัวนะคะ หนูชื่อแคลร์ค่ะ เรียนอยู่ปี 1 คณะการจัดการ” 

         “ครับ” 

         แค่นั้นแหละที่ไอ้หินตอบกลับไป

         “พี่หินมีแฟนหรือยังคะ” ช่างเป็นคนที่ตรงไปตรงมาราวกับไม้บรรทัด คำถามเดียวทำเอาเงียบกันหมด ใบหน้ามุ่งมั่นของน้องแคลร์ทำให้ผมรู้สึกนับถือในความกล้าของอีกฝ่าย ถ้าเป็นคนอื่น แค่มองหน้าไอ้หินในตอนนี้ก็น่าจะถอยทัพหนีไปแล้วนะ

         นัยน์ตาสีดำสนิทเลื่อนมาทางผมสักพัก และนั่นก็ทำให้น้องแคลร์มองตามมาด้วย

         “ไม่มีแฟน” 

         “ถ้าอย่างนั้น—..” น้องแคลร์เอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้น แต่ก็ถูกไอ้หินพูดขัดขึ้นมาอย่างไร้เยื่อใย

         “แต่มีคนที่ชอบแล้ว” 

         “...” 

         ผมบอกน้องเขาแล้วนะ 

         “ถ้าอย่างนั้นแคลร์ถามได้ไหมว่า..พี่หินชอบคนแบบไหน” ริมฝีปากอิ่มขยับถามคำถามแต่น้องแคลร์ไม่ได้มองไอ้หินเลย จับจ้องมาที่ผมจนผมคิดว่าน้องคงจะรู้อยู่แล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงยังถาม

         อีกทั้งสายตายังทิ่มแทงมาก อย่างกับจะทะลุเข้ามาสำรวจอะไรในตัวผม

         “ต้องตอบเหรอ” ไอ้หินก็ยังคงความนิ่งเฉยเอาไว้เหมือนเดิม 

         “ค่ะ เผื่อแคลร์จะเป็นแบบที่พี่ชอบ” 

         ตอนนี้ในกลุ่มผม นอกจากบทสนทนาระหว่างน้องแคลร์กับไอ้หินแล้ว พวกผมสามคนก็ไม่มีใครพูดแทรกกันขึ้นมาเลย ไอ้กำปั้นเหมือนจะคุยกับน้องสกายผ่านแชท ส่วนไอ้ปิงก็นั่งดื่มเงียบๆ แต่หูนี่ผึ่งเชียว แอบฟังอยู่ชัดๆ 

         เพราะผมก็แอบฟังอยู่เหมือนกัน.. 

         ก็อยากรู้อะว่าไอ้หินจะตอบออกไปแบบไหน

         “เป็นไม่ได้หรอก” 

         “...” 

         “คนแบบที่พี่ชอบ มีอยู่แค่คนเดียว” 

         คุยกันสองคน แต่คนที่สามแบบผมเสือกรู้สึกร้อนวูบขึ้นมาที่หน้า ยิ่งสายตาของไอ้หินในตอนนี้จับจ้องแค่ผมมันก็ยิ่งทำให้ก้อนเนื้อข้างในเต้นผิดจังหวะไป หันซ้ายหันขวาคว้าเอาแก้วเหล้าขึ้นมาดื่มเพื่อหนีจากสายตาคู่นั้น

         “ค่ะ แคลร์เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณที่ตอบคำถามนะคะ ถ้าอย่างนั้นแคลร์ขอตัวนะคะพี่ๆ” ใบหน้าสวยขยับเชิดขึ้น แม้แววตาของน้องจะสั่นสะท้านไปไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีเสียใจออกมา ยิ้มและบอกลาพวกผมก่อนจะลุกขึ้นเดินกลับไปยังโต๊ะของตัวเอง

         “น้องเขาก็น่ารักดี” ไอ้กำปั้น

         “ไม่ลองคุยสักหน่อยอะ จะได้ตัดใจจากบางคนแถวๆ นี้” ไอ้ปิง

         จ้า กูเองแหละ พูดแล้วมองขนาดนี้ ก็บอกชื่อกูเลยเถอะ

         แต่ผมว่าไอ้หินมันก็ทำถูกแล้ว คนไม่ชอบ ดันทุรังคุยกันไปมันก็จะกลายเป็นว่าทำให้น้องแคลร์เขาเสียใจเปล่าๆ 

         “กูไม่ได้อยากตัดใจ” 

         “...” ผมเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของไอ้หิน ระยะห่างระหว่างเรามีไม่มาก อีกนิดเดียวปลายจมูกก็จะสัมผัสโดนกัน ไม่รู้ว่าจะก้มลงมาอะไรขนาดนี้ พื้นที่ก็ออกจะกว้างขวาง ขยับออกไปสักหน่อยก็ยังได้

         ตาประสานตา

         ริมฝีปากหยักขยับเอื้อนเอ่ยถ้อยคำแผ่วเบา ทว่าดังสะท้อนเข้าไปถึงใจกลางของความรู้สึกข้างใน

         “แต่อยากได้เพื่อนเป็นแฟน” 




          แอลกอฮอล์ทำเอาร่างกายผมร้อนวูบ ถึงจะไม่ได้เมาจนภาพตัด แต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้เต็มปากว่าตัวเองปกติดี นั่งคอพับคออ่อนอยู่บนรถของหินขณะที่เจ้าของรถนั้นไม่มีอาการใดๆ ให้เห็น แต่ก็ปกตินั่นแหละ เหล้าแค่นี้ทำอะไรไอ้หินไม่ได้หรอก ดื่มมากกว่านี้มันยังไม่ค่อยแสดงอาการเมาออกมาให้เห็นเลย

         “แอร์เย็นไปหรือเปล่า” บนรถไร้เสียงเพลง เสียงวิทยุรบกวน เมื่อไอ้หินเอ่ยถาม แม้ว่าเสียงจะไม่ได้ดังมากแต่ว่าผมก็ได้ยินชัดเจน

         ส่ายหัวไปมาก่อนจะปรับเบาะให้เอนลงอีกสักนิด “กูขอพักสายตาหน่อยนะ มึนหัวว่ะ” 

         “ถ้ารู้สึกหนาวก็บอก กูจะได้ถอดเสื้อให้” 

         ผมมองไปยังเสื้อที่ไอ้หินสวมใส่อยู่ เสื้อโค้ชตัวใหญ่ที่ผมน่าจะสามารถสวมใส่ได้อย่างพอดีเพราะขนาดตัวเราไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ แต่ว่าผมไม่ได้รู้สึกหนาวไง ออกจะร้อนไปสักหน่อยด้วยซ้ำ 

         “ไม่เอาหรอก” บอกไป มือไม้ก็ขยับปลดกระดุมไปด้วยพลางๆ แค่สองสามเม็ดข้างบนเท่านั้นแหละ อึดอัด แล้วก็คลายร้อนสักหน่อยด้วย

         “ร้อนเหรอ” 

         “อือ กูดื่มเยอะไง” 

         “รู้ตัวนี่ พรุ่งนี้เรียนเช้า จะไหวไหม” เสียงทุ้มติดจะแหบไปสักหน่อยเอ่ยตำหนิออกมาในคำแรก แต่หลังจากนั้นก็กลายเป็นคำถามแสดงความห่วงใย ถึงแม้ว่าผมจะไม่อยากยอมรับว่าตัวเองกำลังรู้สึกดี แต่ริมฝีปากที่ขยับขึ้นเป็นรอยยิ้มกับความรู้สึกอุ่นวาบอยู่ในใจก็ทำให้ไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้อยู่ดี

         “ไม่ไหว มึงก็ดูแลกูอยู่ดี” ผมตอบกลับไปเสียงเบา พลิกกายหันหลังให้กับอีกฝ่ายก่อนจะปล่อยสติให้จมดิ่งลงสู่ความฝัน

         ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ใกล้จะถึงหอพักแล้ว ไอ้หินปลดเข็มขัดนิรภัยออก ถอยรถเข้าจอดอย่างชำนาญก่อนจะหันมาทางผมเมื่อรถจอดสนิท ตั้งใจจะปลุกผมล่ะมั้ง แต่บังเอิญว่าผมตื่นขึ้นมาก่อนแล้ว

         “กูคิดว่าจะเบาๆ เรื่องดื่มลงบ้างแล้ว ไม่อย่างนั้นอายุไม่ยืนแน่เลย” พูดบอกกับไอ้หินออกไปขณะที่มือกำลังวุ่นวายอยู่กับเข็มขัดนิรภัยของตัวเอง 

         เรื่องดื่มเหล้านี่ผมคิดจะทำจริงๆ 

         ไอ้กำปั้นมันมีแฟนแล้ว จะชวนให้มาดื่มด้วยกันบ่อยๆ ก็ยังไงอยู่ ส่วนไอ้ปิงมันก็ควรที่จะตั้งใจเรียน ไม่ใช่อยู่ที่ร้านเหล้ากับพวกผมจนดึกดื่น แต่ว่าผมไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเลิกดื่มไปเลยหรอก มันก็ต้องมีบ้างเป็นบางครั้งบางคราว แต่ถ้าให้ไปดื่มทุกวันอย่างนี้ ผมก็คิดว่าร่างกายของผมมันคงจะอยู่ไปไม่ถึงแก่แน่นอน

         “ควรจะคิดได้ตั้งนานแล้ว อยู่นิ่งๆ” เสียงกระซิบดังชิดติดใบหู ผมพลันหยุดชะงักไม่ไหวติง ลืมกระทั่งว่าต้องหายใจเมื่อสัมผัสได้ว่าใครอีกคนกำลังขยับชิดเข้ามา มือร้อนเฉียดผ่านแขนของผมไปเล็กน้อยแต่ก็รับรู้ได้ถึงความอุ่นของฝ่ามือที่กำลังกดลงปลดเข็มขัดนิรภัยออกให้กับผม

         รอจนกระทั่งไอ้หินถอยห่างออกไปนั่นแหละ ถึงจะกล้าหายใจปกติ

         “กูทำเองก็ได้ไหม” บ่นหงุงหงิงพลางปรับเบาะให้กลับมาสภาพเดิมก่อนหน้า “เพราะงี้ไง ไอ้พวกนั้นถึงชอบล้อว่ามึงเป็นผัวกูอะ” 

         ทำให้หมดทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ผมก็ทำเองได้

         “ก็ให้เป็นจริงๆ เลยสิ พวกมันจะได้ไม่ต้องกล่าวหา” ไอ้หินว่า ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มอย่างคนอารมณ์ดีต่างจากในตอนแรกที่มันโผล่มาที่ร้าน เหมือนว่าไอ้หินจะไม่เก็บสิ่งที่ผมพูดไปใส่ใจ ปกติมันก็ทำแบบนั้นตลอดเพราะนั่นก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมปากหมา พูดอะไรออกไปแค่เพราะอยากจะปฏิเสธความรู้สึกของมัน 

         “คนอื่นก็มีตั้งเยอะตั้งแยะไม่ไปชอบ” 

         “แมวก็มีตั้งเยอะ ทำไมมึงถึงไม่ยอมให้กูเอาไอ้เสือไปคืนล่ะ” 

         “ก็กูรักมัน” 

         “มันก็ไม่ได้ต่างกันเลยกับความรู้สึกของกู” ถ้อยคำที่เอื้อนเอ่ยนั้นหนักแน่นจริงจังจนผมไม่คิดจะถกเถียงต่อ ความคิดข้างในว้าวุ่นยากที่จะอธิบายบางสิ่งบางอย่างออกไป ได้แต่มองหน้าไอ้หินเงียบๆ ก่อนจะตัดสินใจก้าวออกจากรถมา 

         เจ้าของรถเองก็ตามลงมาด้วย เดินอ้อมมาทางผมที่ยังคงยืนนิ่งอยู่กับที่

         …

         โลกมันหมุนอะ

         พอเดินแล้วก็จะเดินไม่ตรง 

         ไอ้หินมันรู้ได้ทันทีว่าทำไมผมถึงยังไม่เดินต่อ เรียวแขนแกร่งสอดเข้ามารอบเอว เกี่ยวกระชับเอาไว้พลางดึงแขนผมให้พาดไปโอบไหล่มัน น้ำหนักกายแทบจะเทไปยังร่างกำยำของเพื่อนสนิททันทีที่เริ่มก้าวเดิน แต่ไอ้หินก็ดูไม่ได้มีปัญหาอะไรกับน้ำหนักตัวของผม

         “กูจะอ้วก” แบบ..ไม่ไหวแล้วผม หัวมันหมุนติ้วไปหมด คิดอะไรไม่ออกเลยนอกจากอยากจะอาเจียนเอาสิ่งที่อยู่ในท้องออกไป

         “ให้ถึงห้องก่อน” 

         “มันห้ามได้ด้วยเหรอวะ” 

         “ไม่ได้ก็ต้องได้ หรือมึงจะอ้วกตรงบันได” เดินได้ไม่กี่ก้าวผมก็เริ่มจะไม่ไหว ทำไมบันไดมันเยอะจังวะ! แล้วใครมันเลือกห้องอยู่ชั้นสูงๆ แบบนี้กัน

         อ่อ ผมเลือกเองนี่หว่า

         “พักก่อนได้ป่ะ” 

         “อีกชั้นเดียว” 

         “ก็กูไม่ไหวแล้วอะ จะอ้วกจริงๆ นะ อุ้บ!” 

         ไอ้หินมองหน้าผม ถอนหายใจออกมาก่อนที่มันจะคลายมือออก ปล่อยให้ร่างผมอ่อนยวบนั่งพิงไปกับบันได ตอนแรกก็เข้าใจว่ามันจะให้ผมพัก แต่ไม่ใช่เลย ไอ้หินหันแผ่นหลังมาให้ ย่อกายลงต่ำพลางบอก “ขึ้นมา” 

         “อะไร ไม่! ให้ตายกูก็ไม่ขี่หลังมึงหรอก” 

         “จะขี่ดีๆ หรือจะให้กูจับอุ้มแบบวันก่อน” 

         “...” คิดว่าขู่แล้วผมจะยอมเหรอ

         เออ

         ผมยอมก็ได้

         “กูหนักจะตาย” ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่มัน..แบบ ดูตัวผมสิ ผมไม่ได้ตัวเล็กตัวน้อยแบบน้องสกายนะเว้ย เป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่ แดกก็เยอะ ทั้งเนื้อตัวมีแต่ไขมัน 

         “หึ กูก็เคยอุ้มมาแล้วไง” เรี่ยวแรงของไอ้หินเหมือนจะมีมากกว่าที่ผมคิดเอาไว้อีก แบกผมลุกขึ้นอย่าง่ายดาย ผมกอดเกี่ยวไปรอบคอของเพื่อนตัวเองอัตโนมัติ กันเอาไว้เผื่อมันจะทำผมหล่นลงไป

         แต่จากท่าทางแล้ว ไอ้หินไม่น่าจะทำผมหงายหล่นไปได้เลย 

         ดูกล้ามแขนของมันสิ..

         ผมฟุบหน้าลง การที่ไม่ต้องเดินขึ้นบันไดเองมันก็ดีอยู่หรอก แต่พอมาอยู่บนแผ่นหลังไอ้หินแบบนี้แล้วมันทำให้ผมเกิดพะอืดพะอมมากกว่าเดิมเข้าไปอีก หลับตาลงพยายามระบายลมหายใจออกมา บอกกับตัวเองในใจว่าอีกไม่กี่ก้าวก็จะถึงห้องของผมแล้ว

         ใช่ อีกแค่นิดเดียวเท่านั้น

         อีกอย่าง..กลิ่นกายไอ้หินมันหอมมากเลย ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาเยอะ

         โดยเฉพาะตรงซอกคอ

         “ซุกแบบนั้นกูจะแย่เอานะ” เสียงทุ้มแตกพร่าดังขึ้นกระชากสติผมที่กำลังซุกไซ้ใบหน้าเข้าหากลิ่นกายของอีกฝ่ายอย่างเอาเป็นเอาตาย พอรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปผมก็ได้แต่เด้งกายออกห่าง แต่มือยังไม่ได้ปล่อยออกเพราะกลัวจะตก

         อับอาย

         นี่มันเป็นความอับอายที่สุดของผม! 

          “กูแค่จะอ้วก ทำแบบนี้แล้วจะดีขึ้น” รีบหาข้ออ้างมาอธิบายออกไป ใบหน้าร้อนวูบวาบไปหมด ยิ่งกว่าตอนดื่มเหล้าเข้าไปเพียวๆ ไม่ผสมอะไร อีกทั้งหัวใจผมตอนนี้ทำงานหนักมาก เต้นตุบๆ จะทะลุออกมาให้ได้

         ผมไม่รอให้ไอ้หินมันพูดอะไรต่อ ขยับดิ้นขลุกขลักเมื่ออีกฝ่ายเดินมาถึงหน้าห้อง พอเท้าแตะพื้นได้ก็รีบดึงเอากุญแจไขประตูเข้าไปด้านในทันที ทุลักทุเลไปหน่อยแต่ก็ยังพอไหวอยู่

         ปึง! 

         ตรงไปที่ห้องน้ำ ดันประตูปิดเสียงดังจนผมเองก็ยังตกใจ 

         ผมอยู่ในห้องน้ำนานมาก อาเจียนเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกไปหมดจนไม่มีอะไรเหลือให้เอาออกมาได้อีก ไอ้หินเฝ้าเรียกผมอยู่หน้าห้องน้ำเกือบจะทุกๆ 3 นาที หลังจากที่รู้สึกดีขึ้นมาบ้างแล้ว ผมถึงได้ล้างหน้าล้างตา แปรงฟัน ถอดเอาเสื้อที่สวมใส่อยู่ออกก่อนจะเปิดประตูห้องน้ำเดินออกไปด้วยสภาพที่แทบจะลงไปคลานกับพื้น

         หมดแรงอะ

         เมื่อวันนั้นดื่มเยอะกว่านี้ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย หรือเพราะว่าผมเมาหลับไปก่อนวะ 

         “กูขอนอนเลยนะ” ผมบอกไปหินเสียงเบา ไม่สนใจแล้วว่าตอนนี้ตัวเองจะจมอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย เอาเถอะ มันจะอุ้มหรือจะลากผมไปที่นอนก็ได้ ตอนนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาแหกปากโวยวายอะไรอีกแล้ว

         “กินยาก่อน ที่กูซื้อมาคราวก่อนยังเหลือ มึงจะได้หลับสบาย” 

         ...

         .. 

         ก็นั่นแหละ ไอ้หินให้ผมกินยาแก้แฮงก์ก่อนจะนอน 

         แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีความทรงจำอะไรอีกเพราะผมหลับ 

         ตื่นมาเพราะถูกไอ้หินปลุกก่อนที่มันจะบอกให้ผมไปอาบน้ำ ส่วนมันไม่รู้ว่าไปไหน เห็นเดินออกจากห้องไป แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย ไอ้หินคงไม่ได้จะทิ้งผมเพราะสายแล้วหรอกนะ ผมขอหาโทรศัพท์ดูเวลาก่อน..

         6.56 น.

         ก็ยังไม่สาย แล้วมันไปไหนอะ 

         ช่างแม่ง ผมไปอาบน้ำก่อน รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเน่า ไม่รู้ว่าไอ้หินมันกล้ามานอนกับผมได้ยังไง 

         แต่ก็ต้องขอบคุณมันนะ ถึงได้บอกยังไงล่ะว่าต่อให้ผมจะเมามากขนาดไหน ผมก็ยังมีไอ้หินคอยดูแลอยู่ดี เพื่อนสนิทดีมันก็แบบนี้แหละ ดูแลตั้งแต่ก่อนหน้าที่มันจะบอกกับผมว่าชอบ กระทั่งตอนนี้ก็ยังดูแลเหมือนเดิม แฮ่ม ไม่ต้องอิจฉาผมหรอกนะ คนมันหล่อ มันเท่ มีเสน่ห์เกินต้านก็แบบนี้แหละ

         ขอพื้นที่ให้ผมได้หลงตัวเองสักหน่อย 

         ผมชอบที่มีคนดูแล แต่ก็ไม่ได้แปลว่ายอมรับความรู้สึกที่ไอ้หินมีให้ เพราะสำหรับผม คนเป็นเพื่อนกัน ยังไงก็คบกันไม่ได้! 

         ระหว่างที่คิดเรื่องไอ้หินไป ผมก็เปิดน้ำอาบไปด้วยพลางๆ น้ำเย็นฉ่ำในตอนเช้านี่มันช่างสดชื่น ขับไล่ความง่วงได้ดีมากเลย ผมไม่ชอบอาบน้ำนานๆ แต่ก็ไม่ถึงกับขนาดวิ่งผ่านน้ำแล้วก็เสร็จ ประมาณ 10 นาทีก็ปิดน้ำออกมาแต่งตัวอยู่หน้ากระจก

         จัดแต่งทรงผมของตัวเองให้เป็นเหมือนทุกวัน 

         แกร้ก! 

         หืม? เสียงประตูห้อง น่าจะเป็นไอ้หิน 

         “มึงไปไหนมาอะ” ผมมองเพื่อนสนิทตัวสูงผ่านเงาสะท้อนจากกระจก เห็นมันถือถุงอะไรสักอย่างเอาไว้ในมือ ยกชูขึ้นก่อนจะตอบกลับมา

         “ซื้อโจ๊ก มึงจะได้กินก่อนเข้ามหา’ ลัย” 

         “พยาธิในท้องกูบอกว่าหิวพอดี” ว่าแล้วก็ลูบท้องตัวเองโชว์ป้อยๆ ผมจะไม่หิวได้ยังไงก่อน เมื่อคืนนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่กินเข้าไปถูกเอาออกมาจนหมด ตอนนี้ในท้องผมน่าจะเหลือแค่น้ำย่อยเตรียมพร้อมจะย่อยกระเพาะตัวเองอยู่

         ไอ้หินแกะโจ๊กใส่ลงในถ้วยให้ ผมเองก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ หาเอาโต๊ะญี่ปุ่นมากางออก เช็ดทำความสะอาดก่อนจะนั่งลง

         “ร้านเดิมป่ะ” 

         “เออ ร้านอื่นมึงไม่กิน กูจำได้” 

         “ก็ร้านอื่นมันไม่อร่อยนี่หว่า” กลิ่นโจ๊กจากร้านประจำทำให้ผมน้ำลายหก ขนาดว่าจะตักเข้าปากอยู่แล้ว ท้องก็ยังส่งเสียงร้องคำรามออกมาให้อับอายขายขี้หน้า พาให้ไอ้หินหัวเราะเยาะผมใหญ่

         “กูหิวอะ ก็แค่ท้องกูร้อง มึงจะหัวเราะทำไม” 

         “ไม่หัวเราะแล้ว” ปากบอกไม่ แต่ก็ยังมีเสียงหัวเราะลอดออกมาให้ผมได้ยินอยู่ดี ไอ้หินนั่งมองผมสักพักก่อนจะเริ่มลงมือกินโจ๊กของตัวเอง เราต่างคนต่างกินจนกระทั่งหมดชาม จากนั้นก็ล้างจานทำความสะอาดก่อนจะที่ผมจะพาตัวเองไปนั่งเล่นกับเจ้าแมวส้มขี้เซาที่หลับปุ๋ยอยู่บนเบาะ 

         “เสือลูกก ตื่นได้แล้วมั้งเจ้าอ้วนน” ผมอุ้มไอ้เสือขึ้นมา กอดแนบเอาไว้จมอก หยอกล้อสักพักก่อนจะปล่อยให้มันกลับไปนอนอย่างอิสระเหมือนเดิม

         ซึ่งแน่นอนว่าการเล่นกับแมวมันจะต้องทิ้งเอาไว้ซึ่งร่องรอย ขนสีขาวบ้างสีส้มติดเต็มเสื้อของผมไปหมด ดีที่ไม่ได้เอาออกยาก แค่ต้องใช้แปรงทำความสะอาดขนสักหน่อย ทีนี้ก็กลับมาดูสะอาดเรียบร้อย พร้อมที่จะไปเรียนเหมือนก่อนหน้านี้

         “ไปกัน!” 

         “อย่าเพิ่ง มึงจะเอาขนแมวไปฝากไอ้กำปั้นหรือไง” ไอ้หินขยับเข้ามาชิด ในตอนแรกผมคิดว่ามันจะทำอะไรแผลงๆ อีก แต่ก็ไม่ใช่ มันเพียงแค่เช็ดเอาบางสิ่งบางอย่างออกจากหน้าผมให้ก็แค่นั้น

         “ออกหมดยัง” ผมลูบคลำใบหน้าตัวเองไปด้วยในตอนที่ถาม มองขนแมวในมือของไอ้หินที่มันหยิบออกไปให้

         “หมดแล้ว” 

        “ขอบคุณ” 

        “ชอบคุณ? อืม ..กูก็ชอบมึงเหมือนกัน” 

        “ขอบคุณ! ขอบ ข ไข่...ไม่ใช่ ช ช้าง มึงช่วยแยกด้วย” 

         กูล่ะปวดหัวจริงจริ้งงง




         12.08 น.


         ร้อน

         ร้อนฉิบหาย ใครก็ได้ เอาน้ำไปดับดวงอาทิตย์ให้ผมที ตอนนี้ผมเหมือนจะเข้าใจแล้วว่า ไก่ที่ถูกอบในโอ่งจนเกรียมมันเป็นยังไง อีกหน่อยถ้าได้กลิ่นเหมือนเนื้อย่าง นั่นอาจจะเป็นกลิ่นของผมเอง

         “กำปั้นกินนี่ไหม” 

         “ไม่กิน มึงกินเถอะ” 

         “อันนี้ล่ะ” 

         “ของชอบมึงไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องแบ่งกูก็ได้” 

         หรือถ้าเอาน้ำไปดับดวงอาทิตย์มันยากเกินไป ก็ช่วยเอาไอ้คู่รักข้างผมไปเก็บก็ยังดี

         น้องสกายน่ะไม่เท่าไหร่ เพราะน้องน่ารักผมก็เลยให้อภัยได้ แต่ไอ้กำปั้นนี่สิ..ดู ดูสายตาที่มองแฟนตัวเอง อ่อนโยนเหลือเกินนะพ่อหนุ่ม ตอนคุยกับเพื่อนเหมือนคุยกับเจ้ากรรมนายเวร วงเล็บให้ด้วยว่าเพื่อนที่ชื่อเข้ม

         “มึงเป็นอะไรไอ้เข้ม” เนี่ยยย ตดยังไม่ทันหายเหม็นเลยดูดิ ไอ้กำปั้นมันหาเรื่องผมอีกแล้ว ทุกคนดู๊ววว

         “หึ! เมียหลวงอย่างกู ทำอะไรก็ผิดไปหมด น้องสกายดูสิ” ว่าแล้วก็หันไปกะพริบตาปริบอ้อนแฟนเพื่อน สามวิต่อมาก็ต้องโยกกายหลบตีนไปอยู่หลังน้องสกายแทน มุกเดียวหากินได้ตลอดชีวิต “ไอ้กำปั้นทำร้ายพี่อะ” 

         “ออกมาให้ห่างๆ แฟนกูเลย” 

         “ไม่ออก” 

         “ไอ้เข้ม” 

         “กำปั้นอย่าแกล้งพี่เข้ม พี่เขาเหงาเพราะพี่หินไม่อยู่” รูปประโยคมันก็เกือบจะฟังดูดีอยู่แล้วล่ะ ถ้าไม่มีชื่อไอ้หินเข้ามาด้วย 

         “แฮ่ม พี่กับไอ้หินเป็นเพื่อนสนิทกันนะครับน้องสกาย พี่ไม่เหงาแค่เพราะว่าไอ้หินไม่อยู่หรอก” อาจจะมีส่วนนิดหน่อย แต่นั่นก็เพราะไอ้ปิงไม่อยู่ด้วยเหมือนกันไง น้องสาวมันเข้าโรงพยาบาล ไอ้หินก็เลยขับรถพาไปส่งที่ขนส่ง เดี๋ยวมันก็ใกล้จะกลับมาถึงแล้วล่ะ ออกไปนานแล้วนี่

         “พี่เข้มทำหน้าเหมือนกำปั้นตอนคิดถึงกาย” 

         “หืม? กูเคยทำหน้าหมาหงอยแบบมันตอนคิดถึงมึงด้วยเหรอ” ไอ้กำปั้นยิ้มพลางถาม สายตากวนตีนเหลือเกินนะมึง ทำเป็นถามน้องทั้งที่ตัวมันเองก็รู้อยู่แก่ใจ ว่าแต่ว่าไอ้หน้าหมาหงอยนี่มันเป็นแบบไหนกัน

         หมา.. 

         เดี๋ยวนะ

         “นี่มึงหลอกด่ากูเป็นหมาเหรอ..” 

         “เปล่านี่ กูแค่เปรียบเทียบให้เห็นภาพ” 

         “อ่อ นึกว่าด่ากู แล้วไปนะมึง” 

         ผมพึมพำออกมา ก้มลงมองโทรศัพท์พลางถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย สายตาเลื่อนมองไปยังน้องสกายที่จมเข้าสู่โลกของเกมไปเป็นที่เรียบร้อย น้องดูตัวเล็กลงอย่างเห็นได้ชัดเวลาที่อยู่ในอ้อมกอดของเพื่อนผม เอนหลังพิงแผ่นอกกระซิบถ้อยคำหยอกล้อกันกับไอ้กำปั้นดูสนุกสนาน

         “มีแฟนมันก็ดีเหมือนกันเนอะ” 

         “อยากมีเหรอ” 

         “อือ” 

         “หาสักคนสิ” ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไร แต่พอได้ยินประโยคนี้ผมก็รู้สึกคุ้นเคยกับเสียงพูดขึ้นมาทันที หันขวับไปทางฝั่งที่มาของต้นเสียงก่อนจะชะงักไปเมื่อปลายจมูกของผมบังเอิญไปแตะโดนแก้มของอีกฝ่ายอย่างจังจนแก้มยุบ

         ผีผลักกกกกก

         ใครใช้ให้มันยื่นหน้ามาใกล้ขนาดนี้เล่า! 

         “ไอ้หิน!!” 

         “กูก็เป็นให้มึงได้นะ แฟนอะ” 



    --100%--


    จีบไปพี่หินน! จีบต่อไป เดี๋ยวก็ได้กันเองงง




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×