ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Just a friend #ใครว่าก้อนหินไม่มีหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #6 : B R O T H E R [100%]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.48K
      373
      31 มี.ค. 64



    B R O T H E R




         “กลับเร็วจังวะ ไอ้ปิงขึ้นรถแล้ว?” 

         “ยังไม่ขึ้น กูกลับมาก่อน เผื่อว่าจะมีคนแถวนี้คิดถึง” เสียงทุ้มว่าเจือด้วยเสียงหัวเราะแผ่ว เรียวแขนยกวางพาดมาบนไหล่ผมอย่างไม่นึกเกรงใจกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนะ ถึงได้กล้าพูดว่าผมจะคิดถึงมันน่ะ

         “อย่าเพ้อเจ้อ กูจะคิดถึงมึงทำไม” 

         “แต่กูคิดถึง” นอกจากจะไม่สะทกสะท้านกับประโยคปฏิเสธของผมแล้ว ไอ้หินยังคงหน้าด้านหน้าทนหยอดคำหวานกลับมา ใบหน้าหล่อเหลา รอยยิ้มมุมปากช่างชวนให้รู้สึกหมั่นไส้แปลกๆ อยากจะข่วนหน้ามันเล่นสักที 

         “ซื้อเครปมาฝากด้วย” 

         “จริงเหรอ!” โอเค เปลี่ยนใจไม่ข่วนละ

         “อืม” ไอ้หินยกถุงเครปขึ้นโชว์ให้ผมดู กลิ่นหอมของช็อกโกแลตพาให้ผมตาวาว ยื่นมือไปตั้งท่าจะคว้าเอามาแต่ก็ถูกเพื่อนสนิทกลั่นแกล้งโยกหลบไปทางอื่น สิ่งที่ผมคว้าได้ก็เลยกลายเป็นคอเสื้อของมันแทน ใช่...หน้าทิ่มลงไปแทบจะซบอก ซึ่งมันก็ชอบแกล้งผมแบบนี้ตลอด แล้วผมก็เสือกไม่เคยจำเลยสักครั้ง 

         “มึงเล่นอะไรเนี่ย ไหนว่าซื้อให้” 

         “คนเขาซื้อมาฝาก ต้องพูดว่าไงก่อน?” 

         “ขอบคุณ” ผมรีบพูดแบบไม่คิดอะไร แต่ไอ้หินก็ยังไม่ยอมส่งเครปมาให้อยู่ดี มันตั้งใจจะแกล้งผมชัดๆ เลย แววตาสะท้อนให้เห็นถึงความสนุกสนานกับการที่เห็นผมพยายามที่จะยื่นมือขึ้นไปเอาเครปจากมัน

         “พูดเพราะๆ หน่อย” 

         “ไอ้หิน!” 

         “เร็ว ขอบคุณนะ พูดเพราะๆ ไม่ห้วน” 

         ไม่กินก็ได้เว้ย! 

         ผมเลิกพยายามที่จะเอาเครปมาจากไอ้หิน ขยับออกห่างพลางปลดล็อกโทรศัพท์เล่นทำเป็นไม่สนใจ แต่ไอ้กลิ่นช็อกโกแลตก็ยังคงไม่เลิกยั่วน้ำลายกัน อีกทั้งไอ้หินยังจงใจขยับถุงให้เปิดออกใกล้ๆ ผมอีกต่างหาก

         “ไม่กินเหรอ” 

         “...” 

         “งั้นเอาไปให้ไอ้กำปั้นนะ น้องสกายน่าจะชอบ” 

         หมับ! 

         มือผมคว้าหมับเข้าไปที่แขนของไอ้หินก่อนที่ระบบความคิดจะได้ทำงานเสียอีก จดจ้องไปยังเครปในมือของอีกฝ่ายพลางเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ช้อนตาขึ้นมองเพื่อนสนิทสักพักก่อนจะก้มหน้าลง ตัดสินใจพูดในสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการออกไป

         “ขอบคุณนะ” 

         “...” 

         พูดแล้ว! ผมพูดออกไปแล้ว

         โอ้ย แอบขนลุกตัวเองเบาๆ ไม่คิดว่าจะใช้เสียงสามเป็นกับเขาด้วย 

         ไอ้หินเงียบไปหลังจากที่ผมพูดขอบคุณ เงียบจนผมเริ่มหงุดหงิด ชักสีหน้าพลางเงยขึ้นเพื่อจะบอกให้มันส่งเครปมาให้กับผมสักที 

         “เครปกูอะ ให้ได้ยัง” 

         “...” 

         “ไอ้หิน!” มันเงียบอะไรของมันเนี่ย เอาแต่มองหน้าผมอยู่ได้ ไม่หือไม่อืออีกต่างหาก ถือถุงเครปเอาไว้ในมือไม่ยอมปล่อย “สรุปว่ามึงจะไม่ให้กูกินใช่ไหม แล้วก็มาบอกให้กูพูดขอบคุณ นิสัยไม่ดี” 

          “อ่า ขอโทษ มึงก็เอาไปสิ” ถุงเครปถูกไอ้หินยัดใส่เข้ามาในมือ ร่างสูงขยับถอยห่างผมออกไปอย่างกับคิดรังเกียจกันขึ้นมา แต่ว่าผมก็ไม่ได้สนใจอะไรกับท่าทางของผม มัวแต่วุ่นวายอยู่กับเครปกล้วยช็อกโกแลตตรงหน้า แป้งกรอบ สีช็อกโกแลตเข้มๆ ตัดกันดูน่ากินสุดๆ ไหนจะกล้วยที่ถูกหั่นเป็นชิ้นด้านในอีก

         ผมก้มหน้าก้มตากินสลับกับดูดน้ำโกโก้ปั่นที่ซื้อตั้งเอาไว้ไปด้วย 

         “แดกเหมือนเมื่อตอนเที่ยงไม่ได้กินข้าว” ไอ้กำปั้นส่งเสียงมา ผมเพียงแค่มองค้อนมันไปเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรตอบโต้ เคี้ยวเต็มปากเต็มคำขนาดนี้ จะให้ผมพูดได้ยังไงกัน

         “แล้วมึงกินอะไรยัง ไปส่งไอ้ปิงตั้งแต่เลิกเรียน” 

         “...” 

         จริงด้วย ไอ้หินยังไม่ได้กินข้าวเลย

         “ยัง เดี๋ยวค่อยไปกิน” 

         “กูไปเป็นเพื่อน” ผมรีบเสนอตัว ก็คนมันอยู่ว่างๆ จะให้มานั่งเป็นก้างขวางคอไอ้กำปั้นกับน้องสกายมันก็ยังไงอยู่ สู้ไปกับไอ้หินดีกว่า อีกอย่างผมจะไปหาผลไม้กินสักหน่อยด้วย ล้างคอจากของหวาน

         แน่นอนว่าไอ้หินไม่มีปฏิเสธ

         หลังจากที่กินเครปเสร็จ เราทั้งคู่ก็แยกตัวออกมาจากคู่รักประจำกลุ่มทันที ปี 4 นั้นไม่ได้มีวิชาเรียนเยอะเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าสบายกว่าปีอื่นๆ เชื่อผมว่ามันหนักหนาสาหัสจนผมอยากจะเขียนใบลาออกให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ติดว่าเรียนมาจนจะจบอยู่แล้ว จะให้ออกตอนนี้ควได้ถูกพ่อกับแม่ตัดออกจากกองมรดก

         แล้วทีนี้ผมกับไอ้เสือก็จะอดตายด้วยกันทั้งคู่

         ที่จริงแล้ว..ผมมีความฝันครึ่งๆ กลางๆ นะ ไม่ได้อยากจะเรียนวิศวะฯ มาตั้งแต่แรก ตอนนั้นคิดแค่ว่าเรียนตามเพื่อนไป แต่พอได้เรียนจริงๆ ผมก็ได้พบว่ามันหนักมาก อยากจะซิ่วตั้งแต่ปี 1 แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเพราะผมอยากจะลองดูสักตั้ง

         จนตอนนี้ปี 4 ถือว่าผมถึกทนอยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ใช่ว่าบางคนเขาจะสามารถทนได้แบบผม ลาออกไปก็มีเยอะ ผมฝืนเรียนในช่วงแรก..ต้องใช้คำนี้เลย ฝืนจนตอนนี้ก็สนุกไปกับมันได้แล้ว เรียนแล้วไม่เครียดเหมือนเมื่อก่อน

         คงเพราะว่ามีพวกไอ้หินด้วยมั้ง พวกมันช่วยเหลือผมกันทุกเรื่องนั่นแหละ

         “มึงว่ากูจะรอดฝึกงานไหม” 

         “คิดมากอีกแล้ว?” 

         “เปล่า แค่กังวลนิดหน่อย ฝึกงานยังไงเขาก็ต้องให้มึงกับกูแยกกันไปคนละทิศคนละทางแน่ๆ ยิ่งบริษัทใหญ่แบบนั้น…” 

         “มึงฝึกให้สนุกเถอะ ไม่ต้องห่วงว่าใครจะรังแกมึง เพราะถ้ากูอยู่..ใครก็ทำอะไรมึงไม่ได้” ไอ้หินว่า ถ้าเป็นพ่อแม่คนมันจะต้องสปอยล์ลูกตัวเองเก่งแน่ๆ ขนาดผมที่เป็นแค่เพื่อนสนิทยังขนาดนี้เลย

         อ่อ วงเล็บว่าเพื่อนสนิทที่ไอ้หินชอบ

         “ทำกูเสียคนหมดมึงอะ อีกอย่าง..ใครมันจะมารังแกกูกัน” 

         “เสียคนก็ดี จะได้มีแค่กูที่รับนิสัยของมึงได้” 

         เอาที่สบายใจมึงเถอะ

         ยังไงผมก็ไม่ตกลงปลงใจที่จะเป็นแฟนด้วยอยู่ดี

         เพื่อนก็คือเพื่อนดิวะ




         นี่ก็เป็นอีกวันที่ผมจะต้องอยู่อย่างคนเหงาๆ โสดไม่พอ แมวก็ไม่รักอีกต่างหาก ไม่รู้ว่าจะไปหาใครดี ไอ้กำปั้นก็อยู่กับแฟน ไอ้ปิงมันก็ต้องรีบเร่งทำงาน ถ้าผมไปเดี๋ยวก็จะเป็นมารก่อกวนจนมันไม่ได้งานเป็นชิ้นเป็นอันอีก ส่วนไอ้หินเห็นว่าน้องชายมันทำตัวเป็นเด็กมีปัญหา ไม่ยอมกลับบ้าน ในฐานะที่เป็นพี่ชายสายเลือดเดียวกันมันก็เลยต้องเป็นคนไปลากคอ เอ่อ ผมหมายถึงว่าไปตามน้องมันกลับน่ะ

         แต่เท่าที่ผมเคยเห็นความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่นี้มาแล้ว ใช้คำว่าลากคอก็ดูจะไม่เกินจริงสักเท่าไหร่

         ไอ้หินมันออกจะไม่ชอบนิสัยของน้องชายสักเท่าไหร่ ไม่ได้เกลียดนะ แค่ไม่ชอบนิสัยเพราะสำหรับมันแล้ว ยังไงพี่น้องก็คือพี่น้องนั่นแหละ ห่างเหินไม่ผูกพันกันแต่ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเป็นน้องชายคนเดียวของมันอยู่ดี

         ผมคิดว่าแบบนั้นนะ

         ก็ถ้าไอ้หินไม่ห่วงจริงๆ ผมคิดว่ามันคงไม่เสียเวลาไปลากคอ เอ้ย ..ผมหมายถึงไม่เสียเวลาไปพากลับบ้านแบบนี้หรอก

         มันถึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงต้องออกมานั่งกินข้าวคนเดียวและเดินเหงาๆ อยู่ตามเส้นทางแบบนี้นี่ไง มีแค่สายลมที่พัดผ่าน กิ่งไม้โยกไหวดูน่ากลัวไปบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ผมไม่กล้าที่จะเดินต่อ

         ผีก็ไม่น่ากลัวเท่าความเหงาหรอก บอกเอาไว้เลย

         และตอนนี้ผมก็กำลังถูกความเหงามันกัดกินหัวใจดวงน้อยๆ อยู่ คิดดูแล้ว ถ้าไอ้ปิงมีแฟน ไอ้หินเลิกชอบผมและไปมีแฟนด้วยเช่นกัน 

         แม่ง ผมก็จะเป็นคนที่ถูกทิ้งชัดๆ 

         คิดแล้วก็เศร้าว่ะ ไปหาของหวานกินล้างคอดีกว่า 

         ผมเคยเห็นร้านคาเฟ่ร้านหนึ่ง ปกติแล้วไม่คิดจะเข้าร้านอะไรพวกนี้สักเท่าไหร่ ขนมก็ซื้อกินเอาตามตลาดหรือไม่ก็ข้างทางนั่นแหละ ช่วยไม่ได้ที่ผมไม่มีแฟนและกับคนที่คุยๆ ด้วยก็ไม่ถึงขั้นพาไปนั่งคุยกะหนุงกะหนิงกันตามร้าน 

         เจอกันในมหา’ ลัยก็ถือว่าเป็นที่สุดที่ผมเคยสายสัมพันธ์ด้วยแล้ว


         กริ้งง..


         “ยินดีต้อนรับครับ” 

         คาเฟ่ที่ผมว่า เจ้าของร้านเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลาดูเป็นผู้ใหญ่ที่แสนอบอุ่น ไม่ต้องบอกเลยว่าหน้าตาของเจ้าของร้านนั้นสามารถดึงดูดลูกค้าสาวๆ ได้ดีขนาดไหน ขนาดผมก้าวเข้าไปในร้านแค่ครึ่งเท้า พี่เขาก็แย้มยิ้มทักทายมาด้วยเสียงที่แสนจะนุ่มละมุนชวนเคลิ้มเมื่อได้ฟัง

         นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มมองสำรวจผมก่อนจะละกลับไปจับจ้องที่ถ้วยสีขาวนวลในมือ เช็ดทำความสะอาดพลางเอ่ยกับผมอีกครั้ง

         “สั่งเครื่องดื่มทางนี้นะ” 

         “อะ อ่อ ครับ..ผม เอ่อ ขนมไม่มีแล้วเหรอ” ในตู้โชว์ว่างเปล่า ผมหันกลับไปมองที่หน้าร้านอีกครั้งก่อนจะพบว่าเวลาปิดร้านด้านหน้านั้นมันร่วงเลยมาแล้ว ผมมาผิดเวลา อีกทั้งยังถามหาขนมอีกต่างหาก

         ไอ้เข้มเอ้ยย ไม่หัดอ่านก่อนวะ

         “ผมขอโทษครับ ไม่ทันดูว่าร้านปิดแล้ว” 

         “ไม่เป็นไร พี่ผิดเองที่ไม่ได้พลิกป้ายเอาไว้ ไหนๆ ก็เข้ามาแล้ว น้องอยากได้ขนมใช่ไหม นั่งรอพี่ตรงนั้นก่อนนะครับ” พี่เจ้าของร้านแม่งโครตจะใจดี ถ้าเป็นบางร้านผมคงจะถูกต่อว่าไปแล้ว แต่นี่พี่เขากลับยิ้มและบอกให้ผมนั่งรออีกต่างหาก 

         อาจจะยังมีขนมเหลืออยู่ล่ะมั้ง

         ผมเลือกนั่งลงตรงเก้าอี้ที่พี่เขาชี้มาเมื่อกี้ สอดสายตามองไปรอบร้านก่อนจะลุกพรวดขึ้นเมื่อสะดุดเข้ากับรูปที่แขวนเอาไว้บนผนัง

         “ได้แล้ว เหลืออยู่แค่นี้..ดูก่อนสิว่าพอได้ไหม ถ้าไม่ซื้อก็ไม่เป็นอะไรนะ” ร่างสูงเดินกลับออกมาจากด้านหลังของตัวร้าน หิ้วกล่องเค้กมาด้วย 1 กล่อง เอาวางไว้บนเคาน์เตอร์พลางแกะเชือกที่มัดอยู่รอบกล่องออก

         “ได้พี่ อะไรก็ได้ ผมไม่เรื่องมากหรอก” 

         “ดีเลย กล่องนี้ลูกค้าสั่งเอาไว้ แต่ว่าเขาเบี้ยวไม่มาเอา พี่นึกว่าจะต้องหิ้วกลับไปให้น้องสาวที่บ้านแล้ว ..โดนบ่นประจำว่าพี่เป็นคนทำให้น้ำหนักขึ้น” อีกฝ่ายเล่าพลางหัวเราะไปด้วย สายตาในตอนพูดถึงน้องสาวของตนนั้นทั้งเอ็นดูและขบขันเจือปนกัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงจะรักน้องสาวมากแน่นอน

         แต่จากที่พี่เขาพูด คงไม่ได้จะให้ผมซื้อเค้กทั้งก้อนหรอกนะ

         “แบ่งซื้อได้ไหมอะพี่ ทั้งกล่องผมกินคนเดียวไม่หมดหรอก” 

         “อ่า ได้สิ ขอโทษที พี่ก็ลืมคิดไปเลย” 

         “ไม่เป็นอะไรเลยครับ เลยเวลาปิดร้านไปแล้ว แต่ผมก็ยังทะเล่อทะล่าเข้ามา คนที่ต้องขอโทษน่าจะต้องเป็นผม จริงด้วย! ผมเห็นรูปแมว พี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ” พูดไปพูดมาก็โยงไปถึงรูปแมวที่ผมเห็น 

         พี่เจ้าของร้านยิ้มอย่างใจดี พยักหน้าลงก่อนจะตอบ “ครับ แมวที่บ้านน่ะ ชอบแมวเหรอเรา เลี้ยงแมวด้วยหรือเปล่า” 

         “เลี้ยงพี่! ชื่อเสือ ผมมีรูปด้วยนะ” ผมรีบขยับเข้าไปใกล้พี่เจ้าของร้านมากขึ้น รีบร้อนเปิดอัลบั้มรูปในโทรศัพท์ขึ้นมา อวดลูกชายตัวเองพร้อมด้วยรอยยิ้ม 

         “น่ารัก” 

         “ใช่ไหมล่ะ ลูกผมชื่อเสือ ดุสมชื่อด้วยพี่..ผมถูกข่วนประจำอะ” พลิกแขนขึ้นให้อีกฝ่ายได้เห็นรอยแผล มันก็จริงอยู่ที่เพื่อนผมหลายๆ คนชอบแมว แต่พวกมันก็ไม่ได้ชอบถึงขั้นให้คุยด้วยได้ขนาดนี้ 

         “หืม แผลขนาดนี้เลย ระวังหน่อยก็ดีนะ แมวข่วนก็อันตรายเหมือนกับถูกสุนัขกัด ว่าแต่..เราชื่ออะไรครับ พี่ชื่อธาร” 

         “ผมชื่อเข้ม เอ้อ แล้วแมวพี่อะ ชื่ออะไร” 

         “อยากรู้เหรอ” 

         “อยากรู้ดิ ทำไมอะ พี่บอกผมไม่ได้เหรอ” 

         พี่ธารนิ่งไป จ้องหน้าผมนิ่งเหมือนว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ไม่เข้าใจว่าแค่ชื่อแมวมันต้องคิดนานขนาดนั้นเลยเหรอ หรือว่ามันเป็นความลับวะ ผมก็ไม่ใช่ว่าเก้อเขินอะไรหรอกที่มีผู้ชายมาจ้องหน้า สบตาด้วย แต่มันก็..แปลกๆ นะ ปกติมีแค่ไอ้หินเท่านั้นที่ทำแบบนี้กับผม ซึ่งความรู้สึกมันก็แตกต่างกัน 

         “ถ้าอยากรู้พรุ่งนี้ก็แวะมาที่ร้านพี่อีกสิ พี่จะเก็บขนมเอาไว้ให้น้องเข้มเยอะกว่านี้ด้วย” ปล่อยให้ผมจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิดไม่นาน เจ้าของใบหน้าใจดีก็เอ่ยขึ้น เรียวปากได้รูปแย้มยิ้มอ่อนโยน 

         ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกล่อลวงอยู่ 

         ไม่มั้ง อาจจะแค่คิดไปเอง

         “ก็ได้ ถ้าผมมาแล้วพี่ต้องตอบนะ” 

         “คำไหนคำนั้นครับ เอาล่ะ เดี๋ยวพี่ต้องเก็บร้านต่อ เค้กชิ้นนี้พี่ให้ฟรีไม่คิดเงิน ถือว่าเป็นมิตรภาพของพวกเราก็แล้วกัน” 

         “ห้ะ ไม่เอาดิพี่ ของซื้อของขาย” 

         “รับไปเถอะครับ พี่คุยกับน้องเข้มถูกคอก็เลยอยากให้ ถ้าเข้มไม่เอา พรุ่งนี้พี่ปิดร้านหนีนะ ไม่บอกชื่อแมวด้วย” ช่างเป็นคำขู่ที่ทำเอาผมนิ่งอึ้ง มันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด แต่ผมกลับยอมพยักหน้าลง เออออไปกับพี่เขา

         “ถ้าพี่ว่าแบบนั้น..ผมรับแค่วันนี้นะ พรุ่งนี้ห้ามให้ฟรีเด็ดขาด” 

         “แน่นอนครับ แบบนั้นพี่ขาดทุนแย่สิ” พี่ธารพูดกลั้วด้วยเสียงหัวเราะ ยื่นมือออกมาลูบลงบนหัวผมที่นั่งนิ่งทำอะไรไม่ถูก ขยับออกได้แต่ผมกลัวว่าจะทำให้บรรยากาศมันอึดอัดน่ะสิ ก็เลยนิ่งจนกระทั่งพี่ธารหยุดลูบไปเอง

         “งั้นผมไปนะพี่” 

         “แล้วเจอกันพรุ่งนี้” 

         “ครับ” ผมไหว้ลาพี่เขาอีกครั้งพร้อมกับถุงเค้กที่อยู่ในมือ ถือว่าได้เพื่อนใหม่แล้วก็ได้เค้กมากินฟรีก็แล้วกัน พี่ธารมันก็ไม่ได้ดูเลวร้ายอะไร 




         HIN


         ปกติแล้วลูกชายคนโตของบ้านอัครวรกุลมักจะไม่กลับมาบ้านในวันปกติ หากจะเจอหน้าได้ก็จะเป็นวันหยุดเสียส่วนใหญ่ แต่นั่นก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าชายหนุ่มอยากจะกลับมาไหม เพราะตั้งแต่ที่ตัดสินใจออกไปใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ มรดกตกทอดจากคุณปู่ ก็แทบจะนับครั้งได้เลยที่ชายหนุ่มจะกลับมาที่นี่

         แต่ไม่ใช่กับในวันนี้

        ใบหน้าที่มักจะไม่แสดงอารมณ์ก็ยังคงเฉยชาเช่นเดิม ช่วงนี้แม่มักจะวุ่นวายกับเขาอยู่บ่อยครั้ง คิดจะให้กลับบ้านก็ตามกลับทั้งๆ ที่ไม่ได้มีเรื่องสลักสำคัญอะไร แค่ให้มาดูหน้าลูกสาวบุญธรรมของตาลุงนิสัยเสียนั่น

        ไม่ใช่ว่าเขาบอกไปแล้วหรือยังไงว่าไม่แต่งงาน ไม่หมั้น ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ทำไมแม่ถึงยังหาเรื่องชักชวนอีกฝ่ายให้มาเยือนถึงที่บ้านอีก 

        หินไม่สนิทกับแม่ ความรู้สึกของเขาก็รักแต่ไม่ได้รักถึงขนาดยอมหัวอ่อนตามใจทุกอย่าง จะบังคับให้แต่งงาน ไม่คิดว่ามันเป็นวิธีการที่คร่ำครึไปหน่อยหรือไง สมัยนี้ใครเขามาจับลูกตัวเองคลุมถุงชนกัน กับครอบครัวนี้ก็ใช่ว่าจะสนิทชิดเชื้อกันมาก แค่สืบหาข้อมูลนิดหน่อยก็รู้ตับไตไส้พุงทั้งหมด

         แต่งหวังที่จะให้อัครวรกุลค้ำจุนธุรกิจของครอบครัวตัวเอง ที่ผ่านมายามรุ่งเรืองก็ไม่เคยเหลียวแล พอใกล้จะล้มครืนเข้มหน่อย ก็รีบถ่อเอาลูกสาวบุญธรรมมาประเคนให้ พร่ำบอกว่าหญิงสาวชื่นชอบเขาอย่างนั้นอย่างนี้

        ได้ฟังทีไร หินก็อยากจะหัวเราะออกมาทุกที ตอนเด็กตัวเท่าลูกสุนัข จะเอาอะไรไปรู้สึกชอบ ผูกพันกันจนต้องมาพร่ำหากันตอนโต

         อีกทั้งตัวเขาเองก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าตอนเด็กๆ เคยสนิทสนมกับหญิงสาว

         “หิน นี่น้องไอซ์ไงลูก” 

         “...” 

         “สวัสดีค่ะ” ไอรดาหรือไอซ์นั้นจัดว่าเป็นหญิงสาวที่มีใบหน้าสะสวย กิริยามารยาทเพียบพร้อมสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลที่มีหน้ามีตา ไม่ต้องบอกว่าผู้เป็นแม่นั้นชื่นชอบเธอมากขนาดไหน พยายามที่จะเร่งให้เขากลับบ้านมาตลอด

         “มาทำอะไร” 

         “คะ?” เจ้าของเสียงหวานอ้าปากค้าง ปกติแล้วไอซ์มักจะมั่นใจในตัวของตัวเองอยู่เสมอ แต่พอได้มาอยู่ตรงหน้าลูกชายคนโตของอัครวรกุลแล้ว เธอก็เกิดพูดไม่ออกขึ้นมา ไม่คิดด้วยว่าตัวเองจะได้รับคำถามที่ฟังดูจะไม่ต้อนรับกันแบบนี้

         งานที่พ่อมอบหมายว่าทำยังไงก็ได้ ให้ลูกชายของบ้านหลังนี้ตอบแต่งตกลงแต่งงานกับเธอ แค่คิดไอซ์ก็ว่ามันน่าจะเป็นไปได้ยาก

         “ถามว่ามาทำอะไร” 

         “หิน! ทำไมพูดกับน้องแบบนั้น แม่เป็นคนชวนมาเอง” 

         “ชวนมาทำไมครับ? ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่ายุ่งกับเรื่องคนรักของผมอีก” 

         “ไม่ได้ หินจะต้องแต่งงานกับคนที่แม่เลือกให้เท่านั้น” 

         “แม่เลือก แม่ก็แต่งเองเลยสิ ผมไม่สน ..” หินเอ่ยด้วยเสียงห้วนไร้เยื่อใย นัยน์ตาสีดำขลับจ้องร่างเล็กของหญิงสาวนิ่ง แววตาของเขาราวกับมองเธอออกหมดทุกอย่าง ยิ่งบวกกับคำพูดที่ถูกพูดออกมา ไอซ์ก็คิดได้ว่าเธอควรที่จะถอยทัพกลับไปตั้งหลักใหม่ ผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย

         “เอ่อ ยังไงวันนี้ไอซ์กลับก่อนดีกว่าค่ะ พี่หินดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” 

         “ผมดูเป็นอย่างนั้นเหรอ” ก็อาจจะใช่ หินก็รู้สึกว่าตัวเองอารมณ์ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ที่ต้องมาพบเจอหญิงสาวตรงหน้า

         “ไอซ์เอาขนมมาฝากคุณน้าค่ะ ไม่ได้มีเจตนาอะไรที่ไม่ดีเลย เรื่องการหมั้นให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองครอบครัวจัดการ ถึงพี่หินจะไม่ชอบไอซ์ สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเกี่ยวดองกันอยู่ดี” ใบหน้าเรียวเล็กเชิดขึ้น ถึงยังไงแม่ของพี่หินก็เอ็นดูและชื่นชอบเธอ ตำแหน่งสะใภ้ของอัครวรกุลไม่มีทางหลุดพ้นไปถึงมือของคนอื่นอย่างแน่นอน

         ตอนนี้เธอไม่สนใจแล้วว่าจะต้องทำให้ลูกชายคนโตของบ้านชื่นชอบ แค่แต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกัน ยังไงอีกฝ่ายจะทำอะไรก็ต้องให้เกียรติเธอในฐานะภรรยาอยู่ดี

         “หินจะไม่ชอบหนูไอซ์ได้ยังไงล่ะลูก เชื่อแม่สิ พอเรียนจบก็แต่งงานกันได้เลย ยิ่งเร็วก็จะยิ่งดี มีลูกสักคนเดี๋ยวก็รักกันเอง” ผู้เป็นแม่เอ่ยปลอบใจลูกสะใภ้ คิดต่อว่าลูกชายอยู่ในใจที่มีตาแต่ก็ไม่มีแววเลยสักนิด

         หญิงสาวเพียบพร้อม ถึงจะเป็นลูกบุญธรรมแต่ก็มีครบหมดทุกด้าน เรียบร้อย มารยาทดี งานในบ้านไม่บกพร่อง อีกทั้งงานนอกบ้านก็ยังทำได้

         “หินไปส่งน้องหน่อยสิ แม่ไม่ไว้ใจคนอื่น” 

         “ใครชวนมาก็รับผิดชอบเอง ผมกลับมาบ้านเรื่องน้อง ไม่ได้กลับมาเพราะว่าเรื่องอื่น” ปกติแล้วหินไม่ได้มีท่าทางเย็นชาแบบนี้กับแม่ของตน แต่เมื่อพูดกันไม่รู้เรื่องมันก็ต้องแสดงให้เห็นกันบ้าง 

         อีกอย่างมันก็เป็นเรื่องจริงที่หินกลับมาบ้านเพราะน้องชายสายเลือดเดียวกันที่ไปก่อเรื่องสร้างความปวดหัวให้กับผู้เป็นพ่อ

         “น้องไปค้างบ้านเพื่อน บอกแม่ว่าทำรายงานอะไรนี่แหละ” 

         “ทำรายงาน? ..ทำรายงานประเภทไหนถึงได้ทำเพื่อนคนอื่นหัวแตก เข้าโรงพยาบาลกัน” สร้างเรื่องเอาไว้ ส่วนตัวเองก็มุดหัวเงียบไม่ยอมออกมาแสดงความรับผิดชอบ แต่หินก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ 

         เด็กที่ทั้งพ่อและแม่ตามใจ เลี้ยงดูมาด้วยเงินทอง ไม่เสียคนก็ให้มันรู้ไปสิ

         แต่อย่างน้อยก็ดีที่พ่อของเขาเริ่มคิดได้บ้างแล้ว ถึงได้เรียกให้กลับมาบ้านในวันนี้ เห็นแก่ว่าอีกฝ่ายเป็นน้องชาย ในครั้งนี้เขาจะเป็นคนสั่งสอนเอง

         “หัวแตก!? เกิดอะไรขึ้น ลูกรู้ได้ยังไง แล้วน้องเป็นยังไงบ้าง..บาดเจ็บหรือเปล่า” หัวอกคนเป็นแม่ เมื่อได้ยินว่าลูกชายคนเล็กมีปัญหาก็รีบไถ่ถามอย่างร้อนใจ 

         หินขมวดคิ้ว ถอนหายใจออกมา 

         “แม่ควรจะถามว่าเด็กที่โดนกระทำเป็นยังไงมากกว่านะ เรื่องไอ้เหมต์ให้เป็นหน้าที่ของผมเอง ตั้งแต่วันนี้ไปมันจะต้องไปอยู่กับผมที่หอ ระหว่างนั้นแม่ห้ามโอนเงินให้น้องเด็ดขาด ผมจะเป็นคนจัดการทั้งหมดเอง” 

         “เดี๋ยวสิ แต่ลูกกับน้อง..เหมต์ยังเด็กอยู่ เล่นกับเพื่อนก็อาจจะเล่นกันแรงตามประสาวัยรุ่น—..” 

         “แม่ครับ นี่ไม่ใช่การเล่นกัน แต่เหมต์มันรังแกคนอื่น ในเมื่อกล้าทำ ก็ต้องกล้ารับผลที่ตามมา ไม่ต้องห่วงว่าระหว่างที่อยู่หอผมจะทำอะไรไม่ดีหรอกครับ นั่นก็น้องชายของผมเหมือนกัน” พูดตัดบทเอาไว้เท่านี้ หินเดินออกจากบ้านมาแม้ว่าจะยินเสียงแม่ตัวเองเรียกชื่อเขาก็ตาม ร่างสูงจ้ำอ้าวไปถึงรถตัวเอง ไม่รอให้ใครได้ฝากฝังตัวปัญหามาให้อีก

         มันไม่ใช่ความคิดของเขาเรื่องเอาน้องชายตัวเองไปไว้ที่หอด้วย แต่เพราะพ่อขอเอาไว้ ในฐานะลูกชายคนโต เขาก็เลยไม่สามารถปฏิเสธได้

         แต่ก็เอาเถอะ ถือว่าได้ดัดนิสัยน้องชายตัวเองสักครั้งก็แล้วกัน



         “โอ้ย! มึงทำอะไรเนี่ย ปล่อยกูนะ ไอ้หิน มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้นะ” เสียงโวยวายนั้นดังไปสี่บ้านสแปดบ้าน ทว่าคนที่อยู่รอบๆ ก็ไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องของครอบครัว อีกทั้งคนที่ดูจะอายุมากกว่าและหน้าตาคล้ายคลึงกันกับคนที่โวยวายนั้นก็ไม่ได้ทำอะไรรุนแรง เพียงแค่รั้งแขนให้อีกคนเดินตามไปก็เท่านั้น

         “...” 

         “มึงคิดว่ามึงเป็นพี่แล้วจะทำอะไรกูก็ได้เหรอ! ปล่อยกูไอ้สัส กูไม่ไปไหนทั้งนั้น กูจะอยู่ที่นี่!!” ไม่ทันสิ้นเสียง ร่างทั้งร่างก็ถูกพี่ชายแท้ๆ จับยัดใส่เข้าไปในรถ เรี่ยวแรงของหินนั้นมหาศาลจนเหมต์ขัดขืนไม่ได้ ปัดไม่ปัดมือผลักอีกฝ่ายให้ถอยห่างออกไป

         “กูจะโทรหาพ่อ เอาโทรศัพท์กูคืนมานะ กูไม่เชื่อหรอกว่าพ่อจะบังคับให้กูไปอยู่หอพักกระจอกๆ แบบมึง อึก!” 

         แรงบีบที่คางของเหมต์นั้นไม่มากแต่ก็พอที่จะทำให้เสียงโวยวายเงียบไป นัยน์ตาสีเข้มของเจ้าของมือวาววับเคลือบความไม่พอใจเอาไว้ จดจ้องจนผู้เป็นน้องชายคอหด ไม่สามารถที่จะควบคุมร่างกายตัวเองได้

         “แค่นี้ก็ตัวสั่น นี่น่ะเหรอน้องชายที่อยากจะทำหน้าที่แทนกู?” หินเอ่ยออกมาเป็นประโยคแรกนับตั้งแต่ที่เจอหน้ากัน ตาเรียวดุหรี่ลง แค่นยิ้มออกมาอย่างดูแคลน

         “กูจะฟ้องแม่” 

         “เหรอ กูต้องกลัวหรือเปล่า” 

         “แน่จริงมึงก็เอาโทรศัพท์คืนกูมาสิ!” 

         “กลับถึงหอแล้วกูจะเอาให้ อย่าคิดจะทำอะไรไม่เข้าท่า พ่อให้กูดัดสันดานมึง จะไม่ฟังที่กูพูดก็ได้นะ แต่ขอเตือนเอาไว้ก่อน กูไม่ได้ใจดีกับมึงเหมือนพ่อหรือแม่ อย่าคิดว่ากูจะไม่กล้าทำอะไรมึง” 

         “พี่เหี้ย!” 

         “เออ” 

         เหมต์กัดปากแน่น ความโกรธอัดอั้นอยู่ภายในอกจนน้ำตาเอ่อคลอ ไม่ว่าจะเช็ดออกแค่ไหน มันก็ยังคงไหลออกมาอยู่ดี

         ทุกการกระทำอยู่ในสายตาของคนเป็นพี่ชาย แต่หินก็ไม่ได้คิดจะปลอบอย่างที่ควรทำ ปล่อยให้อีกฝ่ายเช็ดน้ำตาป้อยๆ ก่อนที่เขาจะดันประตูรถปิดและเดินอ้อมกลับไปทางด้านของคนขับ เปิดประตูรถขึ้นไปนั่ง

         หอพักของเข้มนั้นค่อนข้างจะเป็นหอพักที่มีราคาแพงอยู่สักหน่อย นักศึกษาหลายคนอาศัยอยู่ที่นี่เพราะสะดวกและไม่ไกลจากมหา’ ลัยมากนัก หน้าปากซอยมีรถวินมอเตอร์ไซค์ให้บริการจนถึงดึกดื่น มีกล้องวงจรปิดติดตั้งอยู่บริเวณเสาไฟตรงเส้นทางที่ใช้สัญจรเข้ามา

         ในตอนแรกหินตั้งใจจะคืนห้องเพราะปกติก็ไม่ได้กลับมานอนสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้คงไม่ต้องคืนแล้ว

         “เสื้อผ้ามึง กูเอามาให้หมดแล้ว อาบน้ำเสร็จก็เข้านอน” 

         “โทรศัพท์กูอะ” 

          หินส่งโทรศัพท์คืนเจ้าของมันไปตามที่เขาได้สัญญาเอาไว้ เขาไม่ได้ยึดบัตรกดเงินสด หรือบัตรเครดิตของอีกฝ่ายเพราะถือว่ามันคือของส่วนตัว จะใช้เท่าไหร่ก็ใช่ไป แต่ถ้าหมดเมื่อไหร่ก็คือหมดเลย ไม่มีการให้เพิ่มอย่างที่แม่ของเขาทำ

         “จะให้กูนอนที่ไหน” 

         “บนเตียง” 

         “ไม่ กูจะนอนพื้น ไม่นอนบนเตียงกับมึง” เด็กดื้อด้าน นิสัยไม่ดียังไงก็เป็นเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน หินไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว 

         “กูบอกตอนไหนว่าจะนอนด้วย” เตียงก็มีอยู่แค่นี้ ถึงจะเป็นสายเลือดเดียวกัน คลานตามกันออกมาก็ใช่ว่าจะนอนร่วมเตียงกันได้โดยไม่รู้สึกกระดากใจอะไร โดยเฉพาะกับพี่น้องที่ไม่ได้สนิทสนมกันแบบเขาทั้งคู่

         อีกอย่าง..ปกติหินก็มักจะไม่ได้นอนที่ห้องของตัวเองอยู่แล้ว

         ร่างสูงก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือ ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเวลาในตอนนี้นั้นค่อนข้างที่จะดึกมากแล้ว

         “จนกว่าจะสอบติดมหา’ ลัย กูจะเป็นผู้ปกครองของมึงแทนพ่อ พรุ่งนี้กูจะเป็นคนมารับมึงเอง เงินที่พ่อกับแม่โอนให้ก่อนหน้านี้กูจะไม่วุ่นวาย แต่ถ้ามึงใช้หมดเมื่อไหร่ มึงไม่มีสิทธิ์ขอเพิ่ม แต่ละวิชาที่เรียน..สอบตก ค้างงาน กูจะให้พ่อหักค่าขนมของมึงทุกเดือนตามจำนวนวิชาที่มึงตกหรือว่าค้างงาน” 

         “มึงกล้าเหรอ! พ่อไม่ทำแบบนี้กับกูหรอก” 

         หินยิ้มมุมปาก ไม่ต่อล้อต่อเถียง เพียงอากัปกิริยายของเขาก็ทำให้เหมต์รู้แน่ชัดว่าตัวเองในตอนนี้ถูกผู้เป็นพ่อถีบหัวส่งมาให้พี่ชายเป็นคนดัดสันดานจริงๆ 

         “กูโคตรเกลียดมึงเลย พี่เหี้ย ดัดสันดานอะไร..ตอนเด็กๆ มึงก็ไม่เคยสนใจกู ตอนนี้อยากจะมาทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีเหรอ กูจะอ้วก” 

         ความเกลียดชังสะท้อนออกมาทั้งทางแววตาและน้ำเสียง ฟังไปฟังมาแล้วเหมือนจะถูกน้องชายตัวเองน้อยใจยังไงชอบกล นึกย้อนไปถึงวัยเด็ก ไม่ว่าเหมต์จะชวนเล่นอะไร พี่ชายอย่างหินก็จะปฏิเสธตลอด มักจะเคร่งเครียดและจริงจังเกินกว่าคนในวัยเดียวกันจนสุดท้ายแล้วคนเป็นน้องก็ไม่กล้าเข้าหา

         ห่างเหินราวกับคนไม่รู้จักกัน พบหน้าก็หาเรื่องชวนตี จนสุดท้ายคนพี่ก็ตัดสินใจหนีหายไปอยู่บ้านอีกหลังกับคนอื่นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทางสายเลือด

         กับเขามันไม่เคยสนใจ ถามสักคำว่าสบายดีไหมก็ไม่เคย

        “เกลียดกูก็เกลียดไป เรื่องนี้คนที่ตัดสินใจคือพ่อ อยู่กับกูอย่าสร้างปัญหา..เพราะนอกจากกูจะไม่ช่วยมึงแล้ว กูจะซ้ำมึงด้วย” หินไม่ได้ขู่ ถึงที่ผ่านมาจะทำเป็นเมินเฉยมาตลอด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ถึงวีรกรรมของน้องชาย เพราะเป็นลูกคนเล็กก็เลยทั้งรักและตามใจในฐานะพ่อ แต่เขาไม่ใช่พ่อไง อะไรที่ไม่ถูกต้องก็ต้องทำให้มันถูกต้อง

         “กูไม่กลัวมึงหรอก!” 

         “เหรอ แน่ใจว่าไม่กลัว” ร่างสูงยืดกายขึ้นเต็มตัว 

         พอได้เห็นพี่ชายยืนต่อหน้าแบบนี้แล้วเหมต์ก็เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างแตกต่าง รูปร่างของเขาไม่สูงและค่อนข้างผอมบาง ได้แม่มาเต็มๆ ขณะที่หินที่เป็นพี่ชายนั้นได้พ่อ ทั้งหน้าตาและความแข็งแกร่ง นิสัยใจคอเองก็เหมือนพ่อ แต่มันแค่ไม่ใจดีก็เท่านั้น 

         ปากบอกไม่กลัว แต่แค่ถูกจ้องมาดุๆ ก็ทำตัวสั่นไปหมด

         เหมต์อยากจะจ้องตากลับไปอยู่เหมือนกัน แต่แค่จะเงยหน้าขึ้นไปก็รู้สึกขี้ขลาดขึ้นมาแล้ว

         “มึงมีดีแค่ปากหรือไง” 

         “...” กัดฟันแน่น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่กล้าที่จะทำอะไรไปมากกว่านี้ รอจนกระทั่งร่างสูงตรงหน้าถอยห่างไป 

         เหมต์ถึงได้เงยหน้าขึ้น รู้สึกหายใจคล่องกว่าเดิม

         “กูจะไปนอนห้องเพื่อน พรุ่งนี้เช้าจะมารับไปส่งที่โรงเรียน เตรียมตัวให้พร้อม กูมาถึงแล้วถ้ามึงยังไม่เสร็จ กูก็จะลากมึงไปสภาพนั้น” 

         “มึง..จะไปส่งกูเหรอ” คนน้องถามเสียงเบา ทีแรกก็ว่าจะต่อต้าน แต่ความรู้สึกข้างในกลับไม่ได้เป็นแบบนั้น

         ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันกับคนพี่เผยรอยยิ้มที่เจ้าของมันเองก็ไม่รู้ตัว มีเพียงแค่หินเท่านั้นที่มองอยู่ 

         “ล็อกห้องด้วย กูจะไปแล้ว” 

         “เออ” 

         ปึง! 

         ตอบรับไม่ทันถึงนาทีก็ไป เหลือแค่เหมต์ที่นั่งอยู่ในห้องคนเดียว แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าอยู่ด้วยกันก็คงอึดอัด เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะแสดงท่าทียังไงเวลาอยู่ต่อหน้าผู้เป็นพี่ชายนอกจากการแกว่งปากหาเรื่อง

    .    ทั้งที่จริงแล้วก็ออกจะภูมิใจที่มีมันเป็นพี่



         ร่างสูงกำยำก้าวเดินขึ้นบันไดมาจนกระทั่งถึงที่หมาย โถงทางเดินเปิดไฟสว่าง เดินมาจนถึงหน้าห้องก็ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่เคาะเพราะกลัวจะรบกวนเจ้าของห้อง ไม่รู้ว่าไอ้เข้มหลับไปหรือยัง ปกติถ้ายังไม่นอนจะต้องเสียงดังกว่านี้

         เล่นเกมโวยวาย ตามนิสัยของมัน

         แกร้ก! 

         แต่ไม่ทันที่หินจะได้เสียบกุญแจไขประตูห้อง คนด้านในก็ชิงเปิดออกมาก่อนราวกับรู้อยู่แล้วว่ามีใครมาเยือน

         “...” 

         “...” 

         หินยกมุมปากขึ้น ดวงตาคู่ดุอ่อนโยนขึ้นเป็นเท่าตัวยามที่จับจ้องไปยังใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ใบหน้ายับยุ่ง มีรอยแดงที่คล้ายกับรูปร่างของปากกาบนแก้ม 

         “หัวใจมึงสื่อถึงกูเหรอ ถึงได้รู้ว่ากูอยู่หน้าห้อง” แกล้งพูดหยอกล้อออกไปขณะที่คนถูกหยอกนั้นได้แต่มองค้อนกลับมา ริมฝีปากขมุบขมิบว่าเขาหยาบคายก่อนจะถอยหลังเดินกลับเข้าไปด้านในห้อง

         “ใจสื่อถึงเหี้ยไรล่ะ กูได้ยินเสียงกุญแจหรอก” 

         เข้มเผลอหลับไปในตอนที่นั่งสรุปงาน ก่อนหน้าที่ไอ้หินจะมาสัก 10 นาทีถึงได้สะดุ้งตื่น เสียงกุญแจที่ดังขึ้นหน้าห้องก็รับรู้ทันทีว่าคนที่มาเป็นใคร เขาอุตส่าห์ไปขอกุญแจจากเจ้าของหอมาอีกดอกเพื่อให้ไอ้หินโดยเฉพาะ ต้องรู้อยู่แล้วสิว่ามันมาน่ะ 

         “ทำไมยังไม่นอน” 

         “ทำงานไง หัวกูจะระเบิดอยู่แล้วเนี่ย” เจ้าของห้องบ่นหงุงหงิง นั่งขัดสมาธิลงบนพื้นจดจ้องสายตาไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊ค

         คิ้วสีเข้ม ทรงสวยขมวดมุ่นเป็นปมเดียว เห็นแบบนั้นหินก็อดที่จะขยับกายเข้าไปหาเพื่อนสนิท ทรุดกายนั่งซ้อนไปทางด้านหลัง เรียวแขนแข็งแรงสอดเข้าไปรวบเอวของอีกฝ่ายก่อนจะรั้งให้เอนพิงเข้าหาตัวเขา

         “อะไรของมึงเนี่ย” เข้มเพียงแค่ขยับตัวเล็กน้อย เงยมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างไม่เข้าใจ แต่ก็ขี้เกียจจะโวยวายให้เสียแรง 

         “นั่งเฉยๆ” 

         “จะทำอะไร” 

         “ทำแบบนี้ไง” หินกดปลายนิ้วนวดคลึงแผ่วเบาตรงระหว่างคิ้ว ใบหน้าที่เคยเคร่งเครียดของเข้มค่อยๆ ผ่อนคลายลง ปิดเปลือกตาปล่อยกายอ่อนยวบพิงอยู่กับแผ่นอกแกร่ง

         “เป็นไง” 

         “อื้อ” 

         “อื้อหมายถึง?” 

         “ก็หมายถึงอื้อนั่นแหละ” 

         “เป็นแฟนกับกูนะ” 

         “อื้-.. สัส ไม่เป็น! ไม่ต้องมาเนียนเลยนะ” เข้มเกือบที่จะตอบตกลงไปเพราะความเผลอไผล ดีเท่าไหร่แล้วที่ยังกลับคำได้ทัน ถ้าเผลอตัวตกปากรับคำไป มีหวังคนหน้ามึนอย่างไอ้หินไม่ปล่อยให้เขาหลุดรอดเงื้อมมือไปแน่ๆ 

         เสียงหัวเราะของหินดังขึ้น เขาไม่ได้คาดหวังหรอกว่าเข้มจะตอบตกลง แต่ถ้าเผลอตอบขึ้นมานั่นก็อีกเรื่อง

         “วันนี้ไปกินข้าวที่ไหน” 

         “แถวๆ นี้แหละ เออ กูเจอร้านคาเฟ่ด้วยหิน” 

         “แล้วไงต่อ” 

         “ขนมเขาอร่อยดี กูแบ่งไว้ให้มึงนิดหน่อย อยากให้ลองชิมดู” กินเข้าไปคำแรกก็นึกถึงไอ้หินเลยทันที รสชาตินุ่มละมุนลิ้น อร่อยจนไม่สามารถที่จะวางช้อนลงได้ วันพรุ่งนี้ไม่ต้องเอาช้างมาฉุดกัน เข้มก็วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะเข้าไปที่ร้านของพี่ธารอย่างแน่นอน

         “ทำไมไม่กินให้หมด ชอบไม่ใช่เหรอ” 

         “ชอบ แต่อยากให้มึงชิมด้วยไง กูพูดเข้าใจยากตรงไหนเนี่ย” 

         สีหน้าและแววตาของหินในตอนนี้นั้นดูพึงพอใจเป็นอย่างมากกับคำตอบ ถ้าหากว่าเข้มเงยหน้าขึ้นสักหน่อยก็คงจะได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนและสายตารักใคร่จากคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความเย็นชา ยิ้มยาก

         แต่ถ้าว่ากันตรงๆ แล้ว สำหรับเข้มก็ไม่เห็นว่าเพื่อนสนิทของเขาจะยิ้มยากตรงไหน เจอหน้ากันทีก็ยิ้ม ยิ้มหวานบ้าง ยิ้มมุมปากบ้าง บางครั้งก็ชอบยิ้มเจ้าเล่ห์ทำให้รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย แต่มันก็ยิ้มไง

         ยิ้มโคตรบ่อย! 

         “พี่เจ้าของร้านเลี้ยงแมวด้วย ขนมที่ได้มาวันนี้เขาก็ให้มาฟรี” คำบอกเล่าเริ่มทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าคมคายเลือนหาย เลิกคิ้วขึ้น จ้องมองคนในวงแขนที่ยังพูดไม่หยุด

         “เจ้าของร้านเป็นผู้หญิง?” 

         “เปล่า ผู้ชายอะ พี่เขาชื่อธาร” 

         “อ้อ เขาเลี้ยงแมวด้วย น่ารักหรือเปล่า” หินพยักหน้าลง เป็นผู้ชายก็ไม่น่าห่วงอะไรมากหรอก ถึงจะเอาแมวมาล่อก็จีบไม่ติดอยู่ดี

         ขนาดเขาที่ซื้อแมวให้

         จีบมาเป็นปี ..ก็ยังจีบไม่ติดเลย


    --100%--



    มาจ้าา อัพอาทิตย์ละตอน เป็นนิยายที่เขียนนานเกิ้น ไม่ใช่ไรนะ

    ฉันทำวิจัยมาตลอดอาทิตย์ และตอนนี้ ฉันก็เรียนจบแน้ววว

    เย่! จะอัพให้เร็วขึ้น (มั้ง) เอาเป็นว่าตามอารมณ์แล้วกัน 555555555555


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×