ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [MarkBam] HOST FAMILY #ฟิคโฮสต์แฟม

    ลำดับตอนที่ #32 : กฎของโฮสต์ข้อที่ 25 :: เป็นโฮสต์ต้องไม่กลัวการจากลา 2 (100%)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.23K
      5
      22 มิ.ย. 59

                                                                
         
        Micelle Jean





    กฎของโฮสต์ข้อที่ 25

    เป็นโฮสต์ต้องไม่กลัวการจากลา 2       

     

             

     

     

                ตกลงเราจะเป็นแค่พี่น้องกันจริงๆเหรอ

     

                ความเงียบเข้าปกคลุมหลายอึดใจท่ามกลางความมืดและแสงไฟ นับเป็นวินาทีที่หัวใจของผมเต้นรัวจนรู้สึกอึดอัดไปแทบทั้งอก เสียงเต้นโครมครามของหัวใจอันมีผลมาจากคำถามที่มาจากคนตรงหน้าทำให้ใบหน้าของผมซับสีแดงด้วยอุณหภูมิที่เริ่มสูงขึ้น ผมคิดว่าคำถามนี้ตอบยากมากกว่าการโดนถามตรงๆซะอีก

     

                .... พี่มาร์ค พึมพำเรียกชื่ออีกคนด้วยสติไม่เต็มร้อย ก่อนที่ดวงตากลมจะช้อนมองใบหน้าของคนตัวสูง แต่สุดท้ายก็ต้องหลุบมองพื้นเพราะผมไม่อาจทนมองสายตาคู่นั้นได้อีกต่อไป เสียงขยับตัวดังขึ้นท่ามกลางช่องว่างความเงียบ นั่นจึงทำให้ผมรู้สึกได้ว่าพี่มาร์คกำลังขยับตัวเข้ามาใกล้...

     

                ก่อนที่มือคู่นั้นจะประคองใบหน้าของผมให้เงยขึ้นไปสบตากับพี่มาร์คจังๆ

     

                สบตากับแววตาคู่เดิมที่ทำให้ผมรู้สึกดีตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกัน จวบจนวันนี้ที่ยืนอยู่ตรงหน้ากัน...

     

                พี่ถามอะไรหน่อยสิ... พี่มาร์คยิ้มถามน้ำเสียงทุ้ม มือหนาสองข้างที่ประคองใบหน้าของผมไว้เริ่มซุกซน เหมือนอยากแกล้งให้ผมใจเต้นได้มากกว่าที่เป็นอยู่

     

                เวลาที่คนอื่นถามแบมว่าเราเป็นอะไรกัน แบมตอบว่าอะไรเหรอ

     

                ค ... คือแบมนิ้วโป้งที่กำลังลูบแก้มนิ่มของผมยิ่งทำให้ผมใจสั่นเหงื่อออกไม่สามารถมองหน้าหรือจะพูดอะไรออกมาได้กว่าเดิม

     

                ตอบยากใช่มั้ย คำถามที่มาพร้อมกับรอยยิ้ม ผมสาบานได้เลยว่าไม่เคยแพ้ให้กับอะไรแบบนี้มาก่อนจนกระทั่งวันนี้

     

                “Who are we Bambam?”

     

                !!!

     

                .......อาจจะเป็นเพราะใบหน้าตื่นๆของผมที่ตอนนี้แดงยิ่งกว่าลูกตำลึงทำให้พี่มาร์คหัวเราะเล็กๆออกมา รอยยิ้มที่อยู่ตรงหน้าทำเอาหัวสมองของผมเออเร่อชั่วคราวจึงได้แต่กระอักกระอ่วน จะคั้นคำพูดแต่ละคำออกมาก็ทำได้อย่างยากลำบาก

     

    พี่มาร์คคลี่ยิ้มละมุน แล้วชิงพูดต่อว่า

     

                พี่ขอถามอีกได้มั้ย พี่มาร์คลูบไล้แก้มนิ่มของผมพรางจ้องมองเข้ามาในดวงตาที่วูบไหวเสียการควบคุมไปแล้ว ผมพยักหน้าเพราะตอนนี้คิดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก

     

                ตลอดเวลาที่ผ่านมา... เราสองคนคิดเหมือนกันใช่มั้ยแบม

     

    คำถามคลุมเครือแต่ชัดเจนในความรู้สึกของเราสองคนออกมาจากปากของคนตรงหน้า คำถามที่ทำให้ผมใจสั่นยิ่งกว่าเดิมจนเผลอกำมือชื้นเหงื่อของตัวเองแน่น หยิบจับสติให้เข้าที่เข้าทางเพื่อตอบออกไป

     

                ค... คิดอะไรล่ะ

     

                พี่มาร์คถอนหายใจเล็กๆแล้วคลี่ยิ้ม นั่นยิ่งทำให้ผมรู้สึกประหม่ามากกว่าเดิม

     

                คิดอะไร พี่ว่าแบมก็รู้ดีอยู่แล้ว แล้วอยู่ๆพี่มาร์คก็หยุดพูด ผมเลิกคิ้วมองพร้อมสีหน้าฉงน แต่แล้วก็ต้องเบิกตาโตเพราะมือหนาทั้งสองประคองใบหน้าของผมให้เข้าไปใกล้มากกว่าเดิม ทำให้ตัวที่เล็กกว่าของผมเขยิบเข้าไปชิดกับพี่มาร์คมากยิ่งขึ้นด้วย หรือถ้าแบมไม่รู้พี่ก็จะบอกให้ฟัง

     

    พี่มาร์คก้มหน้าลงมามองผม สายตาของเราสองคนอยู่ในเส้นขนานเดียวกันจนผมไม่สามารถเบี่ยงสายตาหลบไปไหนได้อีกแล้ว...

     

                ผมละสายตาไปไหนไม่ได้อีกแล้ว

     

                พี่มาร์คจับแก้มนิ่มของผมยืดออกเบาๆ ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าน่ารัก พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากที่สามารถฆ่าคนมองให้เสียสติได้

     

                ผมรับประกันได้ เพราะผมกำลังเสียสติกับความน่ารักของพี่มาร์คในตอนนี้อยู่นั่นเอง TT

     

    พี่คิดอยากจะเป็นเบอร์โทรที่ทำให้แบมดีใจที่สุดเวลาที่เห็น

     

                “…..”

     

                “คิดอยากจะเป็นคนที่หล่อที่สุดในสายตาแบม

     

                “….”

     

                “คิดอยากจะเป็นคนที่แบมนึกถึงเป็นคนแรกเวลาที่มีความสุขหรือมีปัญหา

     

                “….”

     

                “คิดอยากจะเป็นคนที่ทำให้แบมหน้าแดงได้เวลาที่พี่บอกคิดถึง

     

                “….”

     

                “คิดอยากจะเป็น... คำพูดถูกกลืนลงคอคนตัวสูงไปเพราะมือผมยกปิดปากคนตรงหน้าซะก่อน ไม่ไหวแล้ว

     

                พอแล้วพี่มาร์ค ไม่ต้องตอบแล้ว ผมยืนหอบหายใจถี่คล้ายเพิ่งไปวิ่งรอบสนามบอลมา นึกขอบคุณตัวเองที่ยกมือห้ามพี่มาร์คได้ทัน ถ้าขืนผมยังปล่อยพี่มาร์คพูดต่อผมคงจะระเหยกลายเป็นไอหายไปแน่ๆ แต่ถ้าทำได้แบบนั้นก็คงดี เพราะเวลานี้ผมประหม่าจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้ว ถ้าหายไปจากตรงนี้ได้ก็คงดี

     

                พี่มาร์คคลี่ยิ้มแล้วยกมือหนาขึ้นมาดึงมือข้างที่ผมใช้ปิดปากคุณชายอยู่ไปจับไว้

     

                แบมก็รู้อยู่แล้วว่าพี่หมายความถึงอะไร... พี่มาร์คเงียบไปอีกครั้ง แล้วพูดต่อว่า หรือจะให้พูดอีกที

     

                ไม่ต้องครับพี่มาร์ค ผมรีบร้องห้ามเสียงหลง ใบหน้าท่าทางประหลับประเหลือกเต็มที แต่นั่นก็ยิ่งเป็นช่องว่างให้พี่มาร์คได้โอกาสขึ้นมามากยิ่งขึ้น

     

                อ่า... งั้นแสดงว่าแบมก็คงจะรู้อยู่แล้ว พี่มาร์คพยักหน้ากับตัวเองด้วยใบหน้าอมยิ้ม

     

                .....

     

                แบม...

     

                .....

     

                ครบสามเดือนแล้วนะ พี่ขอคำตอบได้แล้วใช่มั้ย เงียบ... ราวกับรอบตัวเงียบไปเฉยๆ ผมมองพี่มาร์คนิ่งลอบกลืนน้ำลายลงคอไม่รู้ตัว ในคอแห้งผากต่างจากมือที่ชื้นเหงื่อจนน่าตกใจ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้วสินะครับ วันที่ผมจะต้องให้คำตอบพี่มาร์ค และแน่นอนว่ามันคือการให้คำตอบตัวเองด้วยเช่นกัน

     

                บ...แบม เอ่อแบม ผมอ้ำอึ้งเหมือนคนใบ้ ทั้งๆที่ในใจของผมแน่ชัดอยู่แล้วว่าคิดยังไง ผมรู้ตัวมานานแล้วว่าระหว่างผมกับพี่มาร์คเราสองคนรู้สึกยังไงต่อกัน มันไม่ใช่แค่โฮสต์กับเด็กแลกเปลี่ยน มันมากกว่าคำว่าพี่น้อง มันเป็นความรู้สึกที่มากมาย มากกว่าความผูกพัน มันคือความรัก...

     

                แต่ว่าผมกลับไม่กล้าพูดออกไป

     

                ผมไม่รู้ว่าผมต้องลังเลอะไรอีก ทุกอย่างมันชัดเจนในตัวมันอยู่แล้ว

     

                อ๋อ... ผมรู้แล้วล่ะ

     

                ผมแค่กลัว กลัวความสัมพันธ์กับสถานะที่มันเพิ่มขึ้นจะเปลี่ยนไป ในวันที่เราไกลกัน

     

                ผมรู้ว่าผมกำลังงี่เง่า แต่ผมก็เอาชนะใจของตัวเองไม่ได้สักที

     

    คุณเคยชอบใครคนหนึ่งมากๆ มากขนาดที่ว่าไม่อยากจะให้สถานะเปลี่ยนแปลงไปสักนิด อยากจะให้เราเป็นแบบนี้ต่อไปมั้ยครับ

     

    คงจะไม่เคยสินะ อาจจะมีแค่ผมคนเดียวสินะที่รู้สึกแบบนี้

     

    ...สิ่งที่พี่มาร์คเข้าใจเกี่ยวกับความรู้สึกของแบม พี่มาร์คคิดถูกหมด ผมหยุดพูดเพื่อมองหน้าคนที่กำลังตั้งใจฟังผมพูด

     

    แต่... หนึ่งคำแผ่วเบาหลุดออกมาจากปากทำให้ดวงตาคมสั่นไหว แล้วผมก็ต้องชะงักเก็บกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอไปทั้งๆที่กำลังจะพูดต่อ

     

    พี่มาร์คยิ้มพร้อมกับลดมือทั้งสองข้างลง

     

    คนตัวสูงคลี่ยิ้มอบอุ่นให้จนผมรู้สึกเกลียดตัวเอง พี่มาร์คยื่นหน้าเข้ามาข้างๆหูผม กระซิบประโยคที่ชัดเจนที่สุดตั้งแต่เราพบกันให้เราทั้งสองคนได้ฟังอีกครั้ง...

     

    พี่รู้ว่าแบมรู้สึกอะไรและพี่เข้าใจแบมทุกอย่าง ไม่ต้องรีบนะแบม ให้เวลาตัวเองนะ พี่ไม่ไปไหนอยู่แล้ว และถ้าแบมยังไม่มั่นใจว่าเราสองคนเข้าใจตรงกันหรือไม่ พี่ก็จะขอบอกแบมไว้ตรงนี้อีกครั้งว่า... พี่มาร์คยืดตัวกลับมา ผมมองหน้าคนตรงหน้าด้วยแววตาตกใจอย่างกลัวว่าพี่มาร์คจะพูดมันออกมา

     

    ในที่สุดพี่มาร์คก็ได้พูดสิ่งที่ต้องการจะพูดออกมาให้ผมฟังอีกครั้งอย่างชัดเจนและมั่นใจ  ก่อนที่ผมจะห้ามได้ทัน

     

    “You’re special to me, I like you Bambam…”

     

    ………………….

     

               

                ผืนน้ำเรียบนิ่งกระจายตัวเป็นวงกว้างเมื่อมีใครบางคนปาก้อนหินลงไป เด็กหนุ่มในชุดนักเรียนที่นั่งอยู่ริมสระหน้าตาเหม่อลอยและถอนหายใจออกมาเป็นร้อยๆรอบอย่างผมนั่นแหละครับที่เป็นคนปาก้อนหินก้อนนั้นลงไป

     

                เห้ยแบม กลับบ้านตอนไหนวะ เสียงร่าเริงของเพื่อนสนิทนามว่ายูคยอมดังขึ้นมาก่อนที่มันจะเดินมานั่งลงข้างๆ ผมหันไปมองมันช้าๆ นั่นจึงทำให้สีหน้าร่าเริงในตอนแรกของมันเปลี่ยนไปทันที

     

                เห้ยทำไมทำหน้าเหม็นบูดขนาดนั้นวะ ประจำเดือนไม่มาอ่อ

     

                พ่อ..มึงสิ กูผู้ชายมั้ยล่ะ ไอ้ยูคหัวเราะต่างจากผมที่ทำหน้าเป็นตูดมากกว่าเดิม

     

                แล้วเมื่อไหร่จะกลับบ้าน คืนนี้คืนสุดท้ายแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่รีบกลับไปอยู่กับพี่มาร์ควะ ไอ้ยูคถามด้วยแววตาใสซื่อ แต่แววตาของผมกลับวูบไหวจนต้องลากกลับมามองผืนน้ำตรงหน้า สองวันก่อนหลังจากที่พี่มาร์คกับผมเปิดใจกันในงานเลี้ยง ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปและพี่มาร์คก็ไม่ได้คาดคั้นอะไรจากผมเช่นกัน ทุกอย่างหลังจากนั้นเป็นปกติหมดทุกอย่างครับ พี่มาร์คเริ่มใช้เวลาที่เหลือเก็บของ และตามซื้อของทุกอย่างที่ยังไม่ได้ซื้อกลับบ้าน ส่วนผมก็มาโรงเรียนปกติปล่อยให้คุณชายอยู่บ้านเตรียมตัวคนเดียว โดยที่เราสองคนไม่ได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกเลย

     

                มึง

     

                เออว่าไง

     

                มึงว่าถ้าเรารักกับคนที่อยู่ไกลอ่ะ มันจะเป็นยังไงวะ ไอ้ยูคเงียบไปสักครู่แล้วตอบว่า

     

                ก็ต้องลองรักก่อนป้ะวะ ผมละสายตาจากผืนน้ำมามองใบหน้าของเพื่อนสนิท แววตาของคนตัวใหญ่จับจ้องมองมาที่ผมเหมือนคนกำลังอยากจะบอกอะไรสักอย่าง

     

                เราไม่มีทางรู้หรอกว่าข้างหน้าจะมีอะไรถ้าเราไม่ลองเดินไป เหมือนกับการที่มึงไม่มีทางรู้แน่ๆว่าความรักของมึงจะเป็นยังไงถ้ามึงไม่ลองรัก อย่าคิดอะไรที่มันไกลเกินเลยว่ะ คิดแค่ปัจจุบันที่เรารู้สึกก็พอแล้ว ความรักอ่ะมึงไม่ต้องใช้สมองมากหรอก ใช้หัวใจของมึงก็พอ...นิ้วชี้ของไอ้ยูคจิ้มมาที่หน้าอกข้างซ้ายของผมแรงๆเหมือนอยากจะเรียกสติ แล้วมันก็พูดต่อว่า “…แล้วในวันหนึ่งที่มึงหันกลับมามอง ต่อให้จุดที่มึงยืนอยู่ตอนนั้นจะดีหรือร้าย มึงจะรู้ว่ามันคือประสบการณ์ เมื่อมึงโตขึ้นไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งมึงจะรู้สึกขอบคุณตัวเองที่วันนี้มึงเลือกที่จะเดินออกไป ลองเดินนะแบม ยังไงกูก็เดินอยู่ข้างๆมึงอยู่แล้วเพื่อน ไอ้ยูควางมือบนไหล่ของผมแล้วบีบให้กำลังใจ ความรู้สึกที่คลุมเครืออยู่ตอนนี้เริ่มจางเหมือนหมอกที่ค่อยๆเลือนลาง ผมหันมองผืนน้ำตรงหน้าที่เริ่มทอประกายสีส้มจากท้องฟ้ายามเย็น กลางคืนกำลังจะมาเยือนในอีกไม่กี่ชั่วโมง และแน่นอนว่าเวลาที่ผมจะตัดสินใจเหลืออยู่ไม่มากแล้วเช่นกัน

     

               

     

     

     

     

     

                กลับมาแล้วครับ เสียงทักทายเมื่อผมโผล่พ้นประตูบ้านเข้ามาทำให้ทุกคนในบ้านหันมามอง พี่เบียร์พี่แบงค์และเบบี้อยู่กันครบ พี่น้องของผมต่างพร้อมใจกันยกเลิกธุระทั้งหมดในวันนี้เพราะเราทุกคนจะไปส่งพี่มาร์คที่สนามบินพร้อมกัน พี่เบียร์พี่แบงค์ยกเลิกตารางงานทั้งหมดรวมถึงเบบี้ก็ไม่ไปเรียนพิเศษด้วย

     

                ทำไมกลับมาช้าจังแบม พี่เบียร์ละสายตาจากโทรทัศน์ร้องถามผมที่สภาพเหงื่อตกอย่างคนเพิ่งเดินกลับมาถึงบ้าน ผมเงียบไม่ตอบอะไรได้แต่ยักไหล่ก่อนจะเดินผ่านพี่น้องทุกคนขึ้นไปบนบ้านเงียบๆ

     

                ทั้งสามคนหันมองหน้ากันอย่างรู้กัน ยิ่งใกล้เวลาลูกชายคนที่สามของภูวกุลก็ยิ่งซึม...

     

                ไม่ต่างจากอีกคนที่อยู่บนห้องเลย...

     

               

     

               

                ผมเดินขึ้นมาชั้นสองของบ้านเพื่อเดินตรงมาห้องของตัวเอง ตั้งใจว่าจะอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วค่อยลงไปกินข้าว แต่เมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องของตัวเอง มือน้อยที่กำลังจะจับลูกบิดก็ชะงัก ภาพของคนหลังบานประตูที่อยู่ในห้องตรงข้ามฉายชัดขึ้นมาในหัวของผม สองเท้าจึงตัดสินใจหมุนตัวกลับไปเพื่อจับลูกบิดอีกห้อง

     

                แต่สุดท้ายก็ชะงักไม่ต่างจากห้องของผมเลย

     

                พี่มาร์ค แบมเข้าไปนะ ผมบอกตัวเองให้เปิดเข้าไป บอกตัวเองว่าอย่าไปคิดมาก แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้กลับทำให้ความพยายามของผมหมดสิ้นลง ผมแทบจะฝืนยิ้มไม่ออกแต่ก็ต้องทำเพื่อกลบเกลื่อนความเศร้าทั้งหมด กระเป๋าเดินทางสองสามใบวางอยู่บนพื้นห้อง สองใบใหญ่ถูกปิดเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงใบเล็กตรงหน้าตู้เสื้อผ้าที่พี่มาร์คกำลังยัดหนังสือภาษาไทยลงไปในนั้นเท่านั้น

     

                อ้าวแบมกลับมาแล้วเหรอ พี่มาร์คเงยหน้าขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม ทำให้ผมเผลอยิ้มตาม สีหน้าของพี่มาร์คดูไม่ผิดปกติหรือเศร้าเลยสักนิด ผมไม่รู้ว่าพี่มาร์คไม่รู้สึกหรือเพียงแค่กำลังปิดบังความรู้สึกเหมือนผมกันแน่ แต่ผมรู้สึกแค่ว่าตอนนี้ในห้องอึดอัดชะมัดเลย

     

                อืม เพิ่งกลับมาถึงเมื่อกี้เลยพี่มาร์ค ว่าแต่พี่มาร์คยังเก็บของไม่เสร็จเหรอ เก็บตั้งหลายวันแล้วทำไมไม่เสร็จสักที ของเยอะเหมือนจะย้ายบ้าน ผมพูดติดตลกแล้วเดินไปนั่งลงบนเตียงนุ่ม พี่มาร์คหัวเราะเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นเพื่อเดินไปหยิบของขวัญที่ได้มาจากเพื่อนๆห้องผมวันที่พวกมันเลี้ยงลาพี่มาร์คมาใส่ลงกระเป๋า

     

                เสร็จแล้วล่ะ แบมไปอาบน้ำก่อนสิ เดี๋ยวจะได้ลงไปกินข้าวกัน พี่มาร์คเงยหน้ามาบอกผม ผมจึงพยักหน้าเงียบๆแล้วเดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกโหวงๆ

     

               

     

     

     

                พี่มาร์คม๊าให้ตามลงไปกินข้าว ผมโผล่เข้ามาในห้องอีกครั้งหลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ตอนนี้กระเป๋าเดินทางทั้งสามใบถูกปิดลงหมดแล้ว และทุกอย่างในห้องก็ถูกจัดการให้เรียบร้อยและโล่งเหมือนวันที่พี่มาร์คมาถึงวันแรกยังไงยังงั้นไม่มีผิด ผมละสายตาจากของพวกนั้นเพื่อมองคนที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่บนเตียง

     

                อ่า ... โอเคๆ พี่มาร์คละสายตาจากหน้าจอก่อนจะเก็บโทรศัพท์ลงไป ผมเดินเข้ามาในห้อง ฉวยกระเป๋าเดินทางใบโตขึ้นมาใบหนึ่ง ตอนนี้หนึ่งทุ่มครึ่งแล้วครับ หม่าม๊าบอกว่าจะต้องออกจากบ้านประมาณสองทุ่ม เพราะจากบ้านเราไปสนามบินระยะทางรวมแล้วเราจะใช้เวลาไปที่นั่นประมาณเกือบสองชั่วโมง เครื่องออกตอนเที่ยงคืนห้าสิบ ดังนั้นเราจะต้องเผื่อเวลาให้พี่มาร์คเช็คอินและโหลดกระเป๋า

     

                รวมถึงต้องเผื่อเวลาให้พวกเราร่ำลาด้วย...

     

                เห้ยแบม เดี๋ยวพี่ถือเองใบนั้น แบมไปถือใบเล็กก็พอ

     

                ไม่เอา แบมจะถืออันนี้ พี่มาร์คอ่ะไปจัดการสองอันที่เหลือเลย พวกผมเถียงกันแต่สุดท้ายคนชนะก็คือผมอยู่ดี เราสองคนลากกระเป๋าทั้งสามใบออกมากองหน้าห้อง แต่อ้อยอิ่งไม่ยอมไปไหนสักที

     

    พี่มาร์คปล่อยมือจากกระเป๋าแล้วยืนนิ่งสักครู่ สายตาจับจ้องเข้าไปในห้องด้วยแววตาวูบไหว ผมรู้ว่าพี่มาร์คกำลังรู้สึกอะไร ห้องที่เคยอยู่มาเกือบปี ห้องที่เราสองคนใช้เวลาอยู่ที่นี่ด้วยกันบ่อยๆ ห้องที่เป็นเหมือนความทรงจำ มันคงจะใจหายมากเลยถ้าจะต้องจากไป

     

    แสงไฟดับลงแล้ว และความมืดก็โรยตัวปกคลุมไปทั่วทั้งห้องทันที ผมยืนมองด้วยความรู้สึกใจหายไม่ต่างจากคนข้างๆ ก่อนที่มือหนาจะดึงประตูบานสวยปิดลง แล้วจับกระเป๋าขึ้นมาหันมามองหน้าผมชวนเดินลงไปข้างล่าง

     

    ผมกับพี่มาร์คไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป ทำแค่เพียงหันหลังเดินออกมา ทิ้งความทรงจำทุกอย่างไว้ข้างหลังเท่านั้น

     

     ความทรงจำที่แสนอบอุ่นของเราจะถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่

     

    ผมสัญญาว่าจะเก็บมันไว้อย่างดี... ผมสัญญา

     

     

     

     

    อาหารมื้อสุดท้ายของพี่มาร์คในประเทศไทยจบลงแล้ว ผมรู้เลยว่าหม่าม๊าตั้งใจทำอาหารในวันนี้ขึ้นเพื่อพี่มาร์คคนเดียวเพราะอาหารทุกอย่างล้วนแต่เป็นของโปรดของพี่มาร์ค เราทุกคนนั่งกินข้าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแต่จริงๆก็กินไม่ลงไปตามๆกัน หม่าม๊าบอกว่าถ้าพี่มาร์คกลับมาตอนไหนม๊าจะทำให้มากกว่านี้เป็นล้านเท่า ผมแอบอมยิ้มตอนนั้นเพราะมองหน้าแม่ของตัวเองฝืนยิ้มทั้งๆที่แววตาคลอไปด้วยน้ำใสๆ แต่หม่าม๊าก็เก่งพอที่จะควบคุมน้ำตาไม่ให้ไหลลงมาได้

     

     ตอนนี้ทุกคนกำลังเตรียมตัวจะออกจากบ้านกันแล้วครับ พี่แบงค์กำลังช่วยพี่มาร์คยกกระเป๋าขึ้นรถ และตอนนี้คุณชายก็กำลังร่ำลากับไอ้ปลื้มที่ปีนรั้วเข้ามาหาอยู่ข้างนอก ผมนั่งรอหม่าม๊าอยู่ในห้องนั่งเล่น นั่งมองบ้านตัวเองเงียบๆคนเดียวด้วยสีหน้าเรียบเฉยจนคนอื่นไม่กล้าเข้ามาวุ่นวาย ความรู้สึกของผมตอนนี้มันนิ่งสงบไม่รู้สึกอะไรจนผมก็นึกสงสัยเหมือนกัน

     

    เพราะมัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง ทำให้ผมตั้งตัวไม่ทันเมื่อจู่ๆเจ้าโบโบก็วิ่งขึ้นมานั่งบนตัก ผมจึงเผลอยิ้มออกมาเพราะเจ้าตัวเล็กนั้นเอาคอมาเกยกับแขนผมอย่างเอาใจ

     

    ไงครับโบโบ อยากไปส่งพี่มาร์คด้วยกันมั้ย ผมถามไปแบบนั้น โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่เป็นประเด็นอยู่กำลังเดินมานั่งข้างๆ

     

    อยากไปครับ เสียงทุ้มที่ถูกดัดให้เหมือนหมาน้อยดังขึ้นข้างหู ผมเงยหน้าขึ้นมามองพี่มาร์ค

     

    ทำเสียงอะไรอ่ะพี่มาร์ค ตลก พี่มาร์คยิ้มขำไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับเลื่อนมือหนามาลูบหัวของเจ้าตัวเล็กบนตักของผม

     

    โบโบ อยู่นี่ห้ามดื้อเข้าใจมั้ย อย่าทำให้พี่แบมเหนื่อย ห้ามกัดของอีก แล้วก็ต้องกินข้าวเยอะๆจะได้แข็งแรง เวลาพี่แบมจับอาบน้ำห้ามข่วนพี่แบมนะ เข้าใจมั้ย โบโบมองหน้าพี่มาร์คตาแป๋ว ส่วนผมก็นั่งเงียบๆฟังพี่มาร์คสั่งลากับลูกชายตัวน้อย แต่ทุกคำดันทำเอาผมคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเราขึ้นมาไม่ได้ นับตั้งแต่วันที่เราสองคนเจอโบโบจวบจนวันนี้

     

    คืนนี้เป็นต้นไปป๊าจะไม่อยู่แล้ว ต่อไปไม่ต้องเข้าไปให้ห้องนอนป๊านะ โบโบต้องไปนอนกับพี่แบมนะลูก ไปนอนกับพี่แบมทุกคืนเลย อย่าให้พี่แบมเหงานะครับ เข้าใจมั้ย มือหนายื่นมาหาโบโบ และอุ้งเท้าน้อยก็ตะปบลงบนมือของพี่มาร์คราวกับให้สัญญา ความรู้สึกเรียบนิ่งของผมถูกสะกิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่โชคดีที่เสียงของหม่าม๊าเรียกทุกคนดังขึ้นมาซะก่อนที่น้ำตาเม็ดใสจะไหลลงมาจากดวงตากลมโตของผม

     

    ขึ้นรถกันเถอะพี่มาร์ค เดี๋ยวไปสนามบินสาย ผมจับโบโบลงกับพื้นแล้วดันหลังพี่มาร์คไปที่รถ เราสองคนเดินมาที่รถที่มีหม่าม๊าและเบบี้นั่งรอแล้ว วันนี้พี่เบียร์เป็นคนขับ ส่วนพี่แบงค์นั่งอยู่ข้างหน้า

     

    ลาครั้งสุดท้ายนะพี่มาร์ค โชคดีครับพี่ ไอ้ปลื้มเดินเข้ามากอดพี่มาร์คอีกครั้ง ก่อนจะหันมาบีบไหล่ผมไม่พูดอะไรนอกจาก เจอกันพรุ่งนี้มึง

     

    อืม ผมพยักหน้าให้มัน แล้วเปิดประตูขึ้นรถด้านหลัง ปลื้มถอยออกไปยืนมองด้วยรอยยิ้ม พี่มาร์คขึ้นมาเป็นคนสุดท้าย มือหนากำลังจะปิดประตูแต่เสียงเห่าของเจ้าตัวน้อยที่วิ่งออกมายืนมองตาใสแป๋วอยู่ตรงบันไดก็ร้องเรียกอีกครั้ง

     

    บ็อกๆ !”

     

    ไปแล้วนะโบโบ เป็นเด็กดีนะ พี่มาร์คพูดกับโบโบเป็นครั้งสุดท้ายแล้วประตูก็ปิดลง ซึ่งการกระทำทุกอย่างอยู่ในสายตาของผมทั้งหมด ประตูรั้วเลื่อนเปิดพร้อมกับรถของเราค่อยๆเลื่อนออกจากบ้าน พี่มาร์คกับผมพร้อมใจกันหันไปมองบ้านทั้งหลัง ไอ้ปลื้มเดินมาโบกมือลา พร้อมกับโบโบเห่ารถเหมือนมันรู้ว่าเจ้านายคนหนึ่งในนี้จะไม่ได้กลับมากับรถคันนี้อีกแล้ว...

     

     

     

     

    สนามบินสุวรรณภูมิ

     

    พวกเรามาถึงสนามบินได้เร็วกว่าที่คาดไว้ ตอนนี้พี่มาร์คเช็คอินและโหลดกระเป๋าเสร็จหมดแล้วครับ ครอบครัวของพวกเราจึงหาที่นั่งพักกันบริเวณเงียบๆเพื่อใช้ช่วงเวลาสุดท้ายด้วยกัน หม่าม๊ากับเบบี้ผลัดกันถ่ายรูปกับพี่มาร์คจนพี่เบียร์อดบ่นไม่ได้ว่าเมมโมรี่กล้องจะเต็มแล้ว

     

    ผมได้แต่นั่งมองเงียบๆ จะยิ้มก็ยิ้มไม่ออก จะร้องไห้ก็ทำไม่ได้ ได้แต่นั่งมองพี่มาร์ค เก็บภาพของคนตรงหน้านี้ให้ได้มากที่สุด เก็บเสียงหัวเราะไว้ เก็บรอยยิ้ม เก็บแววตา เก็บทุกๆอย่างให้จำขึ้นใจให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

     

    ม๊า แบงค์ว่าได้เวลาให้มาร์คไปตรวจหนังสือเดินทางแล้ว ให้มาร์คไปรอได้แล้ว หม่าม๊าหันมา และยอมหยุดกิจกรรมลงเพียงแค่นั้น หม่าม๊าแอบถอนหายใจเล็กๆ เหมือนกับผมที่แอบหลับตาลงเตรียมใจให้นิ่ง

     

    ให้นิ่งพอที่จะพร้อมรับการจากลาที่แท้จริง

     

    โอเค เดี๋ยวจะต้องไปจริงๆแล้วนะมาร์ค หม่าม๊าหันไปคุยกับพี่มาร์ค แล้วยืนมือไปดึงมือหนามากุมไว้ หม่าม๊ามองหน้าพี่มาร์คยิ้มๆ เราสี่พี่น้องจึงพร้อมใจกันมองทั้งสองคนอย่างตั้งใจ

     

    ครับม๊า พี่มาร์คคลี่ยิ้มบางๆ

     

    ขอบคุณนะลูกที่มาประเทศไทย ม๊าดีใจมากๆที่ได้ดูแลมาร์ค ม๊าถือว่าการที่เราได้มาอยู่ด้วยกันคือความทรงจำที่วิเศษของพวกเราทุกคนเลย วันนี้ถึงวันที่มาร์คต้องกลับบ้านแล้ว ม๊าขอให้มาร์คเจอแต่สิ่งดีๆต่อไปนับจากนี้นะลูก ดูแลตัวเองดีๆ ตั้งใจเรียนนะครับ และถ้ามาร์คอยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง พวกเราทุกคนยินดีต้อนรับ เพราะมาร์คคือคนในครอบครัวของเราอีกคน โชคดีนะลูก หม่าม๊าน้ำตาไหลไปแล้ว จนต้องหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อพี่มาร์ครีบเข้ามากอด

     

    ผมจะกลับมาแน่นอนครับม๊า ผมสัญญา พี่มาร์คกอดหม่าม๊าแน่นเป็นสิ่งยืนยันว่าพูดจริง หม่าม๊ายกมือจับแก้มไปหนึ่งทีแล้วถอยออกมาให้ลูกๆได้ร่ำลา

     

    โชคดีนะมาร์ค พี่เบียร์บอกลาสั้นๆแล้วก็กอดไปหนึ่งที

     

    ดีใจที่มีน้องชายแบบนี้ ขอบคุณมากนะมาร์ค ตามด้วยพี่แบงค์ที่เข้าไปกอดเรียกรอยยิ้มจากพี่มาร์คได้อย่างดี

     

    พี่มาร์คคคคคคคค!~ รีบกลับมานะ ฮึก บี้จะรอพี่นะ ฮือ ยัยน้องสาวของผมน้ำตาแตกหมดท่าไปแล้วเรียบร้อย จนพี่มาร์คต้องหัวเราะออกมาแล้วรีบเข้าไปกอดน้องสาวของผมแน่นๆ พี่ชายตัวโตกับน้องสาวตัวอ้วนกอดโยกกันจำหนำใจก็ผละออกมา ในที่สุดก็ถึงคราวผมลาพี่มาร์คบ้าง

     

    ผมลุกขึ้นมาเพื่อเผชิญหน้ากับคนที่ยืนยิ้มบางๆอยู่ตรงหน้า ปัดความรู้สึกทุกอย่างทิ้ง เหลือเพียงแค่ความรู้สึกดีๆที่มีให้กันเท่านั้น

     

    โชคดีนะพี่มาร์ค... รีบกลับมานั่งชิงช้าสวรรค์กับแบมด้วย เข้าใจมั้ย ผมเงยหน้ามอง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเพราะผมรู้ว่าถ้าพูดยาวกว่านี้สิ่งที่ตามมาจะคือน้ำตาแน่นอน พี่มาร์คยกมือจับหัวผมโยกเบาๆ แล้วตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้ม สัญญา

     

    ไปกันเถอะ ได้เวลาแล้วลูก หม่าม๊าตัดบทแล้วจับแขนพี่มาร์คไปเพื่อส่งในจุดที่คนมาส่งจะส่งได้เพียงแค่นั้น บันไดเลื่อนที่จะพาพี่มาร์คเข้าไปสู่ด่านตรวจปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ผมไม่เคยคิดเลยว่าการมองเห็นบันไดที่เคยพาผมออกไปนอกประเทศในวันนี้จะทำให้ผมเศร้าได้ขนาดนี้

     

    บันไดที่จะพรากเราสองคนออกจากกันในอีกไม่กี่นาทีนี้...

     

    ขอบคุณทุกๆคนมากนะครับ ผมจะไม่ลืมทุกคนและแน่นอนว่าผมจะรีบกลับมาหา ขอบคุณความรักที่ทุกคนมอบให้ ผมจะเก็บความทรงจำดีๆไว้จนกว่าเราจะได้พบกันใหม่ ขอบคุณนะครับ พี่มาร์คยกมือไหว้ สวยที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยได้เห็นมา

     

    และวินาทีที่ใบหน้าหล่อเงยหน้าขึ้นมาสบตากับผม วินาทีนั้นกำแพงความรู้สึกของผมก็พังลงมาจนราบคาบ

     

    ฮึก... พี่มาร์ค หืออออ พี่มาร์ค ทุกสิ่งที่พยายามจบสิ้นลงหมดแล้ว น้ำตาเม็ดใสไหลทะลักลงมาจนหมดท่า ผมเดินเข้าไปกอดพี่มาร์คไม่คิดอะไรอีกแล้ว คิดแค่ว่าถ้าผมกอดพี่มาร์คไว้แบบนี้แล้วพี่มาร์คได้อยู่ต่อผมก็จะทำแบบนี้ตลอดไป อย่าไปได้มั้ย อย่าไปจากแบม ผมได้แต่ตะโกนคำนี้อยู่ภายในใจ แต่สุดท้ายก็ทำแบบนั้นไม่ได้อยู่ดี

     

    อย่าร้องไห้แบม เดี๋ยวเราก็ได้เจอกัน อย่าร้องไห้นะ พี่มาร์คดึงตัวผมออกมาแล้วใช้นิ้วโป้งเกลี่ยน้ำตาให้ผม แต่ตอนนี้ดวงตาของผมคลอไปด้วยหยาดน้ำตาจนมองเห็นอะไรไม่ชัดอีกแล้ว แม้แต่ดวงตาของคนตรงหน้าที่แอบน้ำตาซึมเหมือนๆกัน

     

    ถึงแม้จะไม่อยากจากแค่ไหน สุดท้ายผมก็ต้องยอมรับว่านี่คือความจริงที่ต้องเผชิญ

     

    ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วก็ไม่มีอะไรที่ผมจะต้องกลัวอีกต่อไป

     

    พี่มาร์ค ซองจดหมายที่ถูกผนึกอย่างดีถูกยื่นให้พี่มาร์ค ดวงตาคมช้อนมองก่อนจะรับไปถือไว้แล้วเงยหน้ามองผม

     

    ถึงนั่นแล้วค่อยอ่านนะ โชคดีนะพี่มาร์ค ฮึก ดูแลตัวเองดีๆนะ ผมฝืนยิ้ม แค่คิดว่าการจากกันต้องจากด้วยความสุขและรอยยิ้ม เพราะมันจะทำให้เรากลับมาเจอกันในสักวันหนึ่ง

     

    ไปได้แล้วพี่มาร์ค ได้เวลาแล้ว ผมตัดสินใจปล่อยมือลงแล้วผลักหลังพี่มาร์คให้เดินไป ทั้งๆที่ในใจตอนนี้ทรมานยิ่งกว่าสิ่งใด ปากบอกให้พี่มาร์คเดินไปแต่ในใจกลับร่ำร้องบอกว่าอย่าไป นี่คือช่วงสุดท้ายแล้วที่ผมจะได้ยืนอยู่ใกล้ๆพี่มาร์คแบบนี้ ได้มองหน้าแบบนี้ ได้ยินเสียงจริงๆแบบนี้ ได้แสดงความรู้สึกออกไปแบบนี้ เมื่อผมปล่อยมือนี้ไป ต่อจากนี้ไปทุกอย่างก็จะจบลงอย่างเป็นทางการแล้ว หน้าที่โฮสต์ของผมก็จะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ และชีวิตของผมก็จะกลับสู่โหมดปกติอย่างที่เคยเป็น

     

    อื้ม!... ไปแล้วนะ ลาก่อนครับทุกคน พี่มาร์คกระชับเป้แล้วตัดใจหันหลังขวับให้กับเราทุกคนเพื่อเดินขึ้นบันไดเลื่อนไป ผมกับทุกคนรีบเดินไปเกาะขอบมองพี่มาร์คห่างออกไปเรื่อยๆ

     

    ดูแลตัวเองนะพี่มาร์ค ฮึก บ้ายบาย ผมโบกมือพร้อมกับสะอื้นจนคนตัวสูงหายลับไปจากสายตา และในตอนนั้นเองที่ผมปล่อยโฮออกมาอย่างหมดท่าที เดินไปกอดหม่าม๊าแสดงความอ่อนแอออกมาได้สักที

     

    เค้าไปแล้วอ่ะม๊า ฮึก พี่มาร์คไปแล้ว

     

    --------------------

     

               

                           

                ผมกลับมาถึงบ้านแล้ว

                แต่ไม่ได้กลับมาพร้อมกับความรู้สึก...

     

                ความรู้สึกของผมยังติดอยู่ที่สนามบิน และดูเหมือนว่าจะติดไปกับอีกคนด้วย

     

     

                สองเท้าพาร่างกายไร้ความรู้สึกของตัวเองมาหยุดลงหน้าห้องของใครบางคน ผมเปิดประตูเข้าไปเงียบๆ ภายในห้องมืดและว่างเปล่าเหมือนกับความรู้สึกของผมในตอนนี้เช่นกัน แสงไฟสว่างขึ้นพร้อมกับผมค่อยๆเดินมานั่งลงที่เตียงนุ่มซึ่งตอนนี้ถูกคลุมไปด้วยผ้าห่มสีขาว ผมหยิบหมอนใบใหญ่ที่พี่มาร์คชอบนอนขึ้นมากอดไว้แนบอก น้ำตาเริ่มไหลลงมาอีกครั้งเมื่อกลิ่นประจำตัวที่ผมชอบยังคงติดอยู่จางๆ ภาพความทรงจำหลั่งไหลเข้ามาอีกแล้ว

     

                พี่มาร์คใจร้าย พี่มาร์คทิ้งแบมให้อยู่กับความทรงจำแค่คนเดียว

     

                ผมรู้ว่าการจากลาทุกฝ่ายต่างทุกข์เหมือนๆกัน

     

                แต่คนที่อยู่น่ะทุกข์กว่าคนที่ไปนะรู้มั้ย

     

                คนที่ยังอยู่ที่เดิมน่ะทรมานกว่าเป็นไหนๆ

     

                “…ฮึก ผมกอดหมอนแนบตัวจนแน่นเหมือนว่าหมอนใบนี้คือตัวแทนของพี่มาร์ค ตอนนี้พี่มาร์คคงจะออกห่างจากประเทศไทยไปแล้ว ใจหายเหมือนกันนะครับ เมื่อหัวค่ำเรายังอยู่ด้วยกันอยู่เลย แต่ตอนนี้เรากลับอยู่ห่างไกลกันคนละประเทศซะแล้ว

     

                แบม... เสียงอบอุ่นดังขึ้นเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมามอง หม่าม๊าถอนหายใจแล้วเดินเข้ามานั่งข้างๆผมบนเตียง ผมจึงสะอื้นแล้วปล่อยตัวเองลงซบตักของผู้หญิงที่รักผมมากที่สุดในโลกคนนี้

     

                ม๊า ทำไมมันทรมานแบบนี้ ฮึก ทำไมแบมหยุดร้องไห้ไม่ได้เลย หม่าม๊าเงียบทำเพียงแค่ลูบหัวผม ปล่อยให้ผมร้องไห้ออกมาจนน้ำตาแทบจะท่วมห้อง

     

                แบมรู้ว่าพี่มาร์คไม่ได้ไปแล้วไม่กลับมา ฮึก แบมรู้ว่าสักวันเราจะได้เจอกันอีกครั้ง แต่ทำไมมันทรมานแบบนี้อ่ะม๊า ฮึก แค่แบมคิดว่าต่อไปนี้แบมจะไม่มีพี่มาร์คข้างๆแล้ว แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะต้องตื่นไปโรงเรียนเองคนเดียว แค่คิดว่าเบอร์โทรของพี่มาร์คจะไม่สามารถโทรออกได้แล้ว ฮึก หรือแค่คิดว่าห้องๆนี้จะไม่มีพี่มาร์คแล้วแบมก็ทรมานแล้วอ่ะม๊า ฮึก ผมซบตักม๊าแล้วพูดออกมาทุกสิ่งที่อยู่ในใจ หม่าม๊าก้มตัวลงมากอดผมไว้ แล้วพูดขึ้นมาว่า

     

                แบม..

     

                ฮึก..

     

                ฟังม๊านะลูก การจากลาม๊ารู้ดีว่ามันทรมานแค่ไหน ยิ่งกับคนที่เรารักม๊ารู้ว่ามันยิ่งทรมาน เหมือนกับตอนที่ป๊าของแบมจากม๊าไป ผมสงบลงเล็กน้อยเพื่อฟังหม่าม๊าพูด

     

                แต่มนุษย์ทุกคนเกิดมาเพื่อจากกัน วันนี้แบมกับพี่มาร์คต้องจากกันไป เพื่อวันหนึ่งเราจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง แบมรู้อะไรมั้ยลูกว่าการจากลาจะทำให้เราได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าช่วงเวลาที่เราได้อยู่ด้วยกันนั้นสำคัญแค่ไหน และเมื่อเราได้รับโอกาสกลับมาอีกครั้ง ในวันนั้นเราจะรักษามันไว้อย่างดี จากลาด้วยความหวังเพื่อพบกันใหม่ในสักวันหนึ่ง และเก็บความทรงจำดีๆของเราสองคนไว้เป็นกำลังใจนะลูก นี่คือสิ่งที่ม๊าอยากจะบอก เข้าใจมั้ยแบม

     

                ผมหยุดร้องไปแล้วแต่ไม่ได้ตอบอะไรม๊ากลับไป เริ่มคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง

     

                การจากลาของผมกับหม่าม๊านั้นต่างกันมาก

     

                ผมจากกันเพื่อรอวันพบกันใหม่

     

                แต่หม่าม๊าไม่มีทางได้พบกับป๊าอีกแล้ว

     

                เก็บความทรงจำไว้เป็นกำลังใจ

     

                และจากลาด้วยความหวังเพื่อพบกันใหม่

     

                ครับม๊า แบมเข้าใจแล้ว...

     


    ---------------

     

     

     

                  ผมกลับเข้ามาในห้อง แล้วก็ต้องเสียน้ำตาอีกครั้งเพราะสิ่งที่อยู่ในมือตอนนี้

                กล่องของขวัญที่พี่มาร์คทิ้งไว้บนโต๊ะ

     

                ผมเปิดดูและก็ทำให้ผมต้องยิ้มทั้งน้ำตา

                รูปถ่ายของผมกับพี่มาร์คตั้งแต่เด็กๆ รูปที่ผมลืมไปนานแล้ว

                รูปถ่ายที่มีผมเป็นนายแบบมากมายซึ่งล้วนแต่ถูกถ่ายด้วยฝีมือของพี่มาร์ค ผมหยิบมาเปิดดูทีละแผ่น

                เพิ่งรู้ว่าพี่มาร์คมีผมอยู่ในสายตาทุกวันและทุกนาที ทุกนาทีเลยจริงๆ ตั้งแต่ตื่นยันนอน ตั้งแต่ผมเศร้ายันยิ้ม

     

                ผมหยิบรูปมาดูใบแล้วใบเล่า พรางใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาลวกๆ จนกระทั่งรูปแผ่นสุดท้ายหมดลง เหลือเพียงแค่กระดาษสีขาวแผ่นเล็กๆที่มีลายมือขยุกขยิกไม่กี่บรรทัด แต่ข้อความนั้นมีค่ากับผมเหลือเกิน...

     



              แบมแบม

              นี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด

              เพราะพี่ไม่เคยอยากมองไปทางไหนนอกจากแบม

              สัญญาว่าจะไม่ไปไหนจนกว่าวันที่เราจะได้เจอกันอีกครั้ง

    คิดถึงกันบ้างนะแบม

    มาร์ค

     

     

    เพียงเท่านี้ น้ำตาของผมก็ไหลลงมาอีกครั้ง

    แต่คราวนี้เป็นน้ำตาของความสุข

    ไม่ใช่น้ำตาของความเสียใจจากการจากลาเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมาอีกแล้ว...

     

    ------------




    LA , United States of America

    การเดินทางอันแสนยาวนานของชายหนุ่มจบลง และตอนนี้คนตัวสูงก็กลับมาถึงบ้านที่จากไปเกือบปีแล้ว ครอบครัวรวมถึงพี่น้องและบ้านที่แสนอบอุ่นทำให้มาร์คลืมความเศร้าไปได้ชั่วขณะ และการกลับมาถึงบ้านได้ไม่กี่วันและยุ่งกับการจัดของต่างๆก็ทำให้มาร์คแทบลืมความเศร้าไปหมดทุกอย่างเช่นกัน

     

    แต่ในเมื่อวันนี้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว ความเศร้าและความเหงาก็กลับมาเยือนอีกครั้ง

     

    ขวดวิปปิ้งครีมในมือถูกถือมาวางลงบนโต๊ะหน้าโทรทัศน์ ทุกคนออกไปข้างนอกกันหมดยกเว้นป๊าที่นั่งเล่นไอแพดอยู่ตรงข้ามเขาเวลานี้

     

    ไอ้ลูกหมา ไม่คิดจะออกไปหาเพื่อนเหรอวันนี้ ป๊าเงยหน้าขึ้นมามองลูกชายคนโตที่นั่งจมลงไปกับโซฟานุ่ม สายตาของคนหนุ่มมองดูการแข่งขันเบสบอลในทีวีที่เปิดค้างไว้อย่างเลื่อนลอย มือหนากดครีมสีขาวจากขวดวิปปิ้งครีมใส่ปากเรื่อยๆอย่างคนล่องลอยจนคนเป็นพ่อต้องเลิกสนใจไอแพดกลับมาสนใจลูกชายของตัวเองก่อนในเวลานี้

     

    มาร์ค!” คนตัวสูงสะดุ้งหลุดออกจากภวังค์ แล้วหันไปหาพ่อด้วยใบหน้าฉงน

     

    ป๊าเสียงดังทำไมเนี่ย มาร์คส่ายหน้าแล้วทิ้งตัวลงไปกับโซฟาอีกครั้ง กอดขวดวิปปิ้งคู่ใจแล้วหลับตาพริ้มไม่สนใจใดๆอีกต่อไป

     

    ทำตัวเหมือนซอมบี้ ป๊าแค่ถามว่าแกไม่ออกไปหาเพื่อนบ้างเหรอ พวกนั้นมันถามหาแกให้วุ่นแล้ว มาร์คลืมตาขึ้นมาแล้วส่ายหน้าน้อยๆ

     

    ยังก่อนครับ ขอผมพักก่อนสักสองสามวัน ตอนนี้เหนื่อยๆยังไม่อยากเจอใคร พูดจบขายาวก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากตรงนั้นเข้าห้องไป ทิ้งไว้ก็เพียงแค่สายตาสงสัยของผู้เป็นพ่อที่มองตามแผ่นหลังหนาแต่ไหล่ตกนั้นไปจนสุดทาง

     

     

     

     

     

    มาร์คกลับเข้ามาในห้องนอนแสนสบายของตัวเอง ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงกับที่นอนนุ่มแต่ทำไมรู้สึกว่าไม่ชิน ในใจคิดถึงที่นอนที่บ้านหลังนั้นขึ้นมาจนต้องเด้งตัวลุกขึ้นมาขยี้ผมจนฟูให้หายฟุ้งซ่าน ขายาวลุกขึ้นจากเตียงอีกครั้ง แล้วตรงดิ่งไปที่กระเป๋าเป้ของตัวเอง หยิบซองจดหมายสีขาวฉบับหนึ่งขึ้นมาแล้วเดินไปนั่งริมหน้าต่าง

     

    เขาตั้งใจว่าจะเปิดอ่านตั้งแต่มาถึงแล้ว แต่อะไรไม่รู้ที่ทำให้เขายังไม่กล้าเปิดอ่าน ยอมยืดเวลามานานถึงสองสามวัน อาจเป็นเพราะกลัวว่าตัวเองจะอดคิดถึงคนเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาไม่ได้ล่ะมั้ง

     

    มือหนาตัดสินใจฉีกซองแล้วหยิบกระดาษแผ่นน้อยออกมา ลายมือภาษาอังกฤษแสนคุ้นเคยปรากฏอยู่ต่อหน้า ทำเอาใจแอบสั่นพอๆกับมือ มาร์คกวาดสายตาแล้วเริ่มอ่านต่อไป

    .

    .

    .

    พี่มาร์ค...

    ตอนนี้พี่คงจะอยู่ที่อเมริกาแล้วใช่มั้ย

    แบมคิดถึงพี่จังแฮะ พี่มาร์คคิดถึงแบมมั้ย

    อ๋อ แล้วก็ที่แบมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมาเพราะว่าแบมมีบางอย่างอยากจะบอกพี่มาร์ค

    พี่อยากรู้ใช่มั้ยว่าเราเป็นอะไรกัน

    จริงๆแบมก็ตอบไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะพี่ไม่ได้บอกว่าอยากจะเป็นอะไรกับแบม

    แต่แบมจะถามพี่มาร์คกลับว่า

    ถ้าแบมอยากจะ เป็นแฟน ของพี่มาร์ค พี่มาร์คจะอนุญาตมั้ยครับ...

    จะรอคำตอบนะ

    รักนะ my man ของผม...

    (Ps.จะพูดแบบนี้แค่ครั้งเดียว ถ้าไม่ตอบกลับมาในสามวันก็ไม่ต้องคบ! :P)

     

     

                ดวงตาคมกวาดมองตัวอักษรอีกครั้งซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าตนไม่ได้ตาฝาดไป มือที่จับกระดาษตอนนี้สั่นจนควบคุมไม่อยู่ พอๆกับรอยยิ้มที่ฉีกจนเกือบถึงหูตอนนี้เช่นกัน มาร์คกำลังรู้สึกดี รู้สึกดีชนิดที่ว่าไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนนับตั้งแต่เกิดมา!

     



                ป๊า!!! มาร์คจะมีแฟนแล้วววววววววว ป๊า ~~~”

     

     

               

                ในที่สุดวันที่มาร์ครอคอยก็มาถึง

                ในที่สุดความจริงใจของมาร์คก็เอาชนะความกลัวของแบมแบมได้สักที

                ต่อจากนี้จะมีอุปสรรคใดๆเข้ามาอีกนับร้อยพันเขาก็จะไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว

                เพราะตอนนี้มาร์คมีคนที่จะมาเดินอยู่ข้างๆกันแล้ว

                คนพิเศษเพียงคนเดียว คนๆนั้นที่ชื่อว่าแบมแบม...

                คนที่มาร์ครัก ไม่ว่าจะเมื่อก่อน ตอนนี้ หรืออนาคตตลอดไป

     

    ------------------

     




                PIN PIN TALK

                นี่คือจบแล้วยังนะ ?

                จบหรือไม่จบ ถามตัวเองอยู่เหมือนกันค่ะ 5555555

     






    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×