ตอนที่ 60 : The Keyz(2) 60 คำสาปแห่งโซลิเซียร์
[60]
เบื้องหน้าคือตึกสีฟ้าอ่อนสูงสี่ชั้น หน้าต่างและประตูทุกบานถูกปิดสนิท โดยมีป้ายไม้สลักลายเขียนว่า ‘Capricorn school’ตั้งเด่นอยู่เหนือตัวอาคาร
ฉันกระพริบตาปรับสายตาให้ชินกับความมืด เพราะไฟจากท้องถนนเพิ่งจะดับไปด้วยฝีมือการร่ายเวทย์ของใครบางคน เพราะพวกเราไม่ต้องการปรากฎตัวให้ใครเห็น ทั้งมนุษย์ที่อาจเดินผ่านมา หรือกลุ่มแวมไพร์ที่กำลังไล่ล่าฉัน
“เข้าไปได้เลย”เสียงมารีอากระซิบแผ่วดังมาจากด้านหลัง พร้อมกับแรงผลักที่หลังเบาๆ ทำให้ฉันเดินก้าวผ่านประตูรั้วเล็กๆที่เปิดออกเองโดยไม่มีที่มา
ฉันเห็นแผ่นหลังของทรอนซ์อยู่ข้างหน้า เขา ราล์ฟ และแพทริกซ์เดินนำพวกเราไปก่อน ฉันหยุดรอ และเดินต่อเมื่อพวกเขาให้สัญญาณมือ
เอ่อ…แอบเข้ามาที่โรงเรียนมัธยมปลายเนี่ยนะ- -!
ถึงจะมีความสงสัยมากขนาดไหน แต่ฉันก็ไม่อยากทำให้เสียแผนเสียเวลา เลยเออออตามท้องเรื่องไปก่อน
เมื่อเดินเรียบตัวอาคารยาวจนผ่านโรงอาหาร สระว่ายน้ำ พวกเราก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูรั้วสีขาว มันมีขนาดใหญ่มหึมาแม้ความยาวขนาดเท่าๆกับรั้วโรงเรียน แต่ความสูงเท่ากับตึกประมาณสี่ชั้น
ฉันจำได้ว่าเคยหลงมาที่นี่ ใครๆต่างก็รู้ว่าหลังกำแพงเป็นที่พักของนักเรียนพิเศษ ซึ่งต้องมีเส้นสายหรือเงินจำนวนมากถึงจะเข้าเรียนได้ แต่ไม่มีใครเคยบอกว่าประตูทางเข้าอยู่ที่ไหน…
“ถอยไปก่อน”การ์มีก้าวนำมาหนึ่งก้าว เขาทาบฝ่ามือลงบนกำแพงนั่น ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะหายวับไปกับกำแพง!
“เวทย์ทะลุกำแพง…หมอนั่นเชี่ยวชาญมาตั้งแต่เกิด”ราล์ฟเฟอธิบายเมื่อเห็นสีหน้าเหวอของฉัน
“เขาจะทะลุกำแพงไปทำไม”ฉันถามขณะที่ยังเบิกตากว้างมองอย่างอึ้งๆ
“เปิดประตูน่ะ ปกติประตูจะเปิดจากข้างนอกไม่ได้ ต้องอาศัยคนข้างใน”แพทตี้เป็นคนให้คำตอบ แล้วพวกเราก็เงียบและรอ…
ครืด
ทันใดนั้น กำแพงหนาสีขาวก็เริ่มสั่นน้อยๆ ก่อนจะขยับแยกออกจากกันโดยไม่มีแม้แต่รอยปริแตกของเศษหิน…รอยแยกมีขนาดพอๆกับร่างคนหนึ่งคนจะแทรกผ่านเข้าไปได้อย่างพอดี
“เธอเข้าไปก่อน”ทรอนซ์แตะไหล่ฉันเบาๆ เรียกให้สติกลับมาอยู่กับตัว ฉันมองหน้าทุกคนสลับกับกำแพง เอาล่ะ มันคงปลอดภัยมากพอ…หวังว่ามันคงไม่ปิดจนหนีบตัวฉันไว้ในนั้นนะTT
ฉันค่อยๆเอียงตัวแทรกเข้าไปในช่องกำแพง สองเท้าซอยฉับๆก้าวเร็วและยาวเพื่อที่จะได้รีบไปให้พ้นจากกำแพง
“โหO_O”ฉันอดตะลึงจนอุทานออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นสนามหญ้าขนาดใหญ่พอๆกับสนามฟุตบอล ทอดยาวไปจนสุดที่ปราสาทสีขาวที่ตั้งตระหง่านอยู่ รายล้อมด้วยทะเลสาบที่สะท้อนแสงจันทร์กลายเป็นสีเหลืองนวลเป็นประกาย…มันเป็นภาพที่สวยตรึงตาตรึงใจจริงๆ
“ที่นี่คือที่ที่พวกเราเคยอยู่…โรงเรียนผู้ใช้เวทย์แคปริคอร์น”ทรอนซ์ซึ่งตามมาติดๆอธิบายสั้นๆ ก่อนพวกที่เหลือจะตามมาจนครบ การ์มีก็กลับมาพอดี
“ไม่มีใคร…ทางสะดวก”
แต่ถึงแม้พวกเขาจะคิดว่าปลอดภัย ฉันก็ถูกคุ้มกันโดยอยู่ตรงกลางของกลุ่มอยู่ดี
พวกเราเดินเข้าใกล้ตัวปราสาทมากขึ้น ในขณะที่ฉันนึกว่าพวกเขาจะพาฉันเข้าไปข้างใน…เส้นทางจากเดิมก็เปลี่ยนเป็นเลาะรอบๆทะเลสาบ และมุ่งตรงสู่ป่าทึบที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่และรากหนาๆของมันโผล่พ้นดิน ทำให้ต้องคอยระวังสะดุดกิ่งก้านของมันเข้า
“ประตูเชื่อมสู่โซลิเซียร์ อยู่ทางทิศเหนือ ต้องเข้าไปอีกไกลหน่อย”มารีอาพูดขึ้นมาเหมือนรู้ใจว่าฉันเริ่มก้าวขาไม่ออก ร่วมกับเหนื่อยหอบคงเพราะไม่ได้ออกกำลังกายมานานมาก
“ขี่หลังฉันไหมล่ะ”ราล์ฟเสนอ แต่ก็ถูกใครบางคนปรายสายตามองดุๆ มันจึงแยกเขี้ยวยิ้มอย่างอารมณ์ดี “ไม่ละกัน”
พรึ่บ!
เงาร่างสีดำโฉบผ่านจากต้นไม้หนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง อย่างรวดเร็วเกินที่สายตาจะมองทัน ฉันสะดุ้งโหยงจนแทบล้มลงแต่มารีอาคว้าตัวเอาไว้ก่อน
“อาร์เซซิน…ไซน์…นี่มันใช่เวลามาเล่นไหมเนี่ย- -”มารีอาพูดเสียงดุๆ ก่อนจะหันมาหาฉัน “เธอเป็นอะไรไหม”
“เอ่อ…ไม่…เป็นไร”ฉันงงกับตัวเองที่ขี้ตกใจเกินไป…เพราะปกติฉันจะไม่ตกใจจนแทบล้มแบบนี้
“โทษที…พวกเรามาแล้ว”อาร์เซซิน ในชุดทหารแคปริคอร์นเดินนำคนอีกสองคนที่ตามมาติดๆ ฉันจำผู้ชายสองคนนั้นได้ เพราะเขามักจะมาที่ร้านขนมหวานเป็นประจำทุกอาทิตย์ แต่ไม่รู้จักผู้หญิงอีกคน ทันทีที่เห็นฉัน หล่อนก็พุ่งปราดเข้ามาหาทันที
“อะความารีน! ดีใจจังที่เจอเธอ!”ฉันจ้องดวงหน้านั้นด้วยความรู้สึกประหลาด และรู้สึกขอโทษ
“เอ่อ”ฉันไม่รู้จะพูดอะไร เลยส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปที่ทรอนซ์
“เธอคือโรสเซล่า ผู้ใช้เวทย์ธาตุดิน ที่จะช่วยร่ายเวทย์พร้อมกับพวกเรา…เธอเป็นเพื่อนกัน”แพทตี้พูดแทรกขึ้นมา ก่อนจะหยุดสายตาที่ฉัน “อะความารีน ฉันขอคุยด้วยหน่อยสิ”
“หวัดดีนะโรสเซล่า”ฉันยิ้มให้หญิงสาวตรงหน้า หล่อนพยักหน้ายิ้มตอบ ก่อนที่พวกเขาที่เหลือจะพูดคุยทักทายกัน ฉันเดินเลี่ยงออกไปกับแพทตี้ที่หยุดรออยู่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งห่างไปไม่ไกลนัก
“เธอรู้สึกแปลกๆบ้างรึเปล่า”แพทตี้กุมมือฉันไว้ทันที เมื่อฉันไปถึง
“หา…แปลกๆ อะไรหรือ”ฉันไม่เข้าใจในคำถามนั้น แพทตี้เลื่อนมือเล็กๆไปจับชีพจรที่แขนฉัน
“เช่นเหนื่อยง่ายขึ้น ตกใจง่าย อ่อนเพลีย”ดวงหน้าเรียบเฉยของแพทตี้ค่อยๆเผยความรู้สึกตื่นเต้นบางอย่าง ที่ฉันไม่เข้าใจ
“เอ่อ…ฉันไม่รู้สิ…ก็คงงั้นมั้ง”
“ให้ตายสิ เป็นไปได้ยังไงเนี่ย”หล่อนเลื่อนมือไปที่ท้องของฉัน ฉันได้แต่จ้องตาสีฟ้าที่เบิกกว้างและเปล่งประกายระยิบระยับ
“อะไรหรอแพทตี้”
“เธอ…เธอกำลังตั้งท้อง”แพทตี้กระซิบแผ่ว หล่อนหลุบตาลงขณะที่ฉันกลายเป็นฝ่ายตกใจและตื่นตะลึงแทน
“เธอว่าไงนะ!”ฉันเก็บความตกใจไว้ไม่มิด อะไรกัน นี่มันเหนือวิทยาศาสตร์และความเป็นจริงมากเกินไปรึเปล่า!
“จริง! ฉันได้ยินหัวใจน้อยๆกำลังเต้น…ว้าว อะความารีน ลูกสาวของเธอน่ารักมากๆ เด็กนั่นทักทายฉัน…สวัสดีจ้ะเด็กน้อย”แพทตี้ลูบท้องฉันเบาๆ ดวงหน้าหวานผุดขึ้นเป็นรอยยิ้ม และเมื่อหล่อนลืมตาขึ้นก็มองมายังฉันที่ยืนช้อคค้างเป็นรูปปั้น
“ลูกของฉัน…ลูกสาว…”ฉันพยายามเรียบเรียงคำพูดของแพทตี้ ความสงสัยขมดกันเป็นปมใหญ่ แพทตี้เห็นหน้างงๆของฉันเลยค่อยๆอธิบายแต่ดูเหมือนเธอเองก็ปกปิดความตื่นเต้นไว้ไม่มิด
“ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดขึ้นได้ไง ทำไมพลังจิตถึงทำแบบนั้นได้”แพทตี้เกริ่นจนฉันหน้าแดงลามไปถึงใบหู อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองร่างหนาที่ยืนอยู่ไกลออกไป เขากำลังมองมาเช่นกันและคงสงสัยว่าพวกฉันกำลังทำอะไร ฉันเขินจนต้องหลบสายตานั่น
“แต่มันเกิดขึ้นแล้ว ผู้ใช้เวทย์จะตั้งท้องหลังปฎิสนธิทันที เราไม่ต้องรอถึงเก้าเดือนเพื่ออุ้มท้อง เด็กจะอยู่ในท้องตราบเท่าที่เขาอยากอยู่ และเมื่อร่างกายและจิตใจเขาพร้อม เขาจะออกมาหาเราเอง! อะความารีน ลูกของเธอเป็นเด็กมหัศจรรย์มาก เธอมีหน้าตาน่ารักมากๆเลยล่ะ”แพทตี้ยิ้มกว้าง ฉันอดยิ้มตามพร้อมกับกลั้นน้ำตาปริ่มๆไม่ได้ รู้สึกว่าเหมือนมีพลุเล็กๆจุดขึ้นกลางใจ โดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันก็เผลอยกมือขึ้นลูบท้องน้อยอย่างเบามือ
“แล้วเด็กจะปลอดภัยไหม…การเดินทางครั้งนี้น่ะ”ฉันอดห่วงไม่ได้ เหมือนมีสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตที่ต้องปกป้องอยู่ในมือ…
“ไม่น่ามีปัญหา…เด็กคนนี้มีสายเลือดของผู้ใช้เวทย์น้ำ พ่อของเธอเป็นถึงเจ้าชายหิมะแห่งโซลิเซียร์ ความหนาวทำอะไรเธอไม่ได้หรอก…เพียงแต่ว่า…เราไม่ควรเสี่ยงให้เธอรับธาตุไฟเข้าไป”
ฉันเข้าใจในความกังวลและลำบากใจของแพทตี้ตอนนั้นในทันที…เพราะนั่นหมายความว่าไม่ว่ายังไงฉันก็ไม่ควรอยู่ใกล้ไฟอุ่นๆ แม้ว่าร่างกายจะหนาวขนาดไหนก็ตาม
“ไม่เป็นไรแพทตี้…ไม่ว่ายังไงฉันก็จะปกป้องลูกของฉัน”ฉันรู้สึกหนักอึ้ง แต่ก็ตั้งปณิธานแน่วแน่ โดยไม่ลืมที่จำย้ำกับแพทตี้ถึงคำขอสุดท้าย “ช่วยปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับทีนะ รอให้เรื่องนี้จบก่อน ฉันจะบอกกับทุกคนเอง”
…
[20%]
เมื่อกลุ่มคนเดินผ่านเข้าไปยังเขตของป่า เสียงของเหล่าสัตว์ป่ายามค่ำคืนแว่วมาให้ได้ยินเป็นระยะ ผู้ใช้เวทย์ธาตุดินเป็นผู้นำทางโดยจะคอยแหวกแมกไม้ที่บดบังเส้นทางเดินเพียงแค่โบกมือเบาๆ เหล่าบรรดาต้นไม้ต่างหดเก็บรากให้พ้น เป็นการเปิดทางอำนวยความสะดวกแก่คณะเดินทางได้เป็นอย่างดี
“เอ้ะ…แปลก”ท่ามกลางความเงียบ ผู้ใช้เวทย์ธาตุพิเศษไฟฟ้าตำแหน่งโพรเทกเตอร์ก็อุทานขึ้น เรียกให้ทุกคนหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับไปมอง
“มีอะไรหรอ ราล์ฟ”อะเมทิสต์มองเสี้ยวหน้าครุ่นคิดของชายหนุ่ม ที่กำลังขมวดคิ้วเป็นปมแน่นราวกับว่ากำลังใช้สมาธิอย่างหนัก
“ฉันว่า เหมือนจะได้ยินเสียงหัวใจอีกเสียง ที่เต้นแปลกๆ…แปลกมาก”ได้ยินคำตอบดังนั้น อะเมทิสต์เผลอยกมือขึ้นลูบท้องแล้วหล่อนก็หันหน้าไปสบสายตากับแพทตี้ซึ่งมองมาอยู่ก่อน
“มีอะไรหรอ”ทรอนซ์สังเกตุสีหน้าของอะเมทิสต์ ที่แฝงความกังวลรวมถึงพฤติกรรมที่ชอบเอามือลูบหน้าท้องบ่อยๆ “ปวดท้องหรือเปล่า”
“เปล่า…ฉันไม่ได้เป็นอะไร”อะเมทิสต์ตอบทันควัน ปล่อยมือทั้งสองข้างลงข้างลำตัวอย่างแนบเนียน “เราจะไปต่อกันรึยัง”
“อา…ฉันว่านะ เราคงเจอปัญหาแล้วล่ะ”การ์มีทักเสียงเครียด ก่อนจะหันไปสบตากับโพรเทกเตอร์ปากมาก แม้ก่อนหน้าจะไม่ลงรอยแต่เมื่อลงเรือลำเดียวกันแล้วก็จะกลายเป็นคู่หูโพรเทกเตอร์ที่ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
“เตรียมรับมือ”ราล์ฟพยักหน้า มองระเบิดในอุ้งมือของบุรุษผมสีทอง การ์มีพยักหน้าก่อนจะตีลังกากลับหลังพร้อมขว้างลูกระเบิดเล็กๆสี่ลูกกระจายไปคนละทาง
ตู้ม
ราล์ฟเข้าประชิดเงาร่างหนึ่งสายที่หลบเลี่ยงการระเบิดได้อย่างหวุดหวิด เมื่อเข้าถึงร่างนั้นก็กระชากคอเสื้อแล้วทุ่มลงกับพื้นเกิดเป็นฝุ่นตลบอบอวล
“รออยู่ข้างใน ห้ามออกมาเด็ดขาด”ทรอนซ์หันกลับมาพูดกับอะเมทิสต์สั้นๆ เมื่อเกราะเวทย์สีฟ้าถูกสร้างขึ้นมาคลุมรอบร่างทั้งร่างของหญิงสาวแล้ว เขาก็เรียกดาบน้ำแข็งคู่ออกมาถือไว้ในมือ แล้วหยุดรอ แพทริกซ์เดินก้าวไปยืนข้างๆพร้อมเสกเวทย์เกราะไฟฉาบขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง
ร่างในเสื้อคลุมสีแดงหม่นถูกมือหนาของผู้ใช้เวทย์ธาตุไฟฟ้ากดบริเวณลำคอ ดวงหน้าคล้ายคลึงกับมนุษย์หากแต่มีเส้นเลือดปูดนูนให้เห็นทั่วร่างกาย มันแยกเขี้ยวแหลมคมก่อนส่งเสียงขู่ฟ่อ
“หากพวกเจ้าไม่ส่งตัวอะความารีน ฮีลเลอร์ให้พวกเรา แคปริคอร์น เจ้าจะต้องพินาศ!”
“แกยังมีหน้ามาขู่อีกเรอะ?! แค่ผีดูดเลือดง่อยๆอย่างแกมันทำอะไรฉันไม่ได้หรอกนะจะบอกให้!”ราล์ฟสวนทันควัน กระแสไฟฟ้าที่ปล่อยผ่านฝ่ามือไปยังร่างอมนุษย์ส่งผลให้ร่างนั้นเพียงกระตุกเล็กน้อย หากแต่ดวงหน้าเซียวซีดนั้นไม่เผยความรู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด
“พวกของฉันกำลังตามมา…คิดรึว่าพวกแกจะรอด!!”ตาสีแดงฉานเบิกค้าง จ้องไปยังใบหน้าทุกคนที่ล้อมวงเข้ามาใกล้ จนจ้องจดจ่ออยู่ที่ดวงหน้าหญิงสาวคนสำคัญ ที่ขณะนี้ร่างของหล่อนกำลังถูกคุ้มครองด้วยเกราะเวทย์ไฟและน้ำอย่างแน่นหนา “คิดรึว่าพวกข้าจะตามฆ่านางไม่ได้…”
ฉับ! ฉึก!
ฉับพลัน ศีรษะของอมนุษย์กลับกระเด็นหลุดออกจากร่าง ดาบน้ำแข็งสะท้อนเงาจันทร์บัดนี้เปื้อนหยาดโลหิต กับธนูไฟที่ปักบริเวณกลางอกของร่างซึ่งบัดนี้ไร้วิญญาณ แต่อาวุธยังคงมีไฟลามเลียอยู่ไม่ได้ดับไป
เป็นการสังหารที่รวดเร็ว โดยปราศจากความลังเล
ราล์ฟหัวเราะแห้งๆ พลางยกมือข้างที่เคยกดร่างอมนุษย์ไว้ขึ้นมาเช็ดคราบเลือดที่กระเด็นเปื้อนหน้า “ฉันเตือนมันไม่ทันว่าให้หยุดขู่จะฆ่ายัยนั่นสักที ไม่งั้นมันจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกเลย”
“รีบออกไปจากที่นี่กันเถอะ”มารีอารีบรุดเดินนำหน้า
“แย่แล้ว…พวกนั้นบุกมาถึงปราสาท มันตั้งใจจะโจมตีโรงเรียน!”แพทตี้หยุดกึกก่อนเปรยเสียงเครียด นัยน์ตาสีฟ้าดูเลื่อนลอยคล้ายดวงจิตไม่ได้อยู่กับตัว
“เท่าไหร่”โซลถาม
“เจ็ดสิบ…แปดสิบ…ไม่สิ น่าจะเป็นร้อยตน…แวมไพร์ร้อยตนกำลังเข้าบุกปราสาทแคปริคอร์น จะต้องไม่มีใครรู้ตัวแน่! พวกนักเรียนกำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง!”
สิ้นเสียง ราวกับว่าทุกคนต่างตกอยู่ในห้วงภวังค์เพราะไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูด ความเงียบวังเวงก็เสริมให้บรรยากาศในป่าดูน่ากลัวยิ่งขึ้น อะเมทิสต์เหลือบมองทรอนซ์ เขาดูเครียดขึ้นมาทันที
“เรื่องแก้คำสาปเอาไว้ก่อนก็ได้”ทรอนซ์ว่า
“ไม่…ต้องเป็นวันนี้เท่านั้น”แพทตี้สวนทันควัน
“ใช่…เอาล่ะ อย่างน้อยต้องมีคนกลับไปเป็นกำลังเสริมที่ปราสาทและกลับไปเตือนพวกเรา”มารีอารีบสรุป ปากอวบอิ่มเม้มแน่น หล่อนแสดงสีหน้าลำบากใจไม่น้อย
“เธอว่าต่อสิ”การ์มีกอดอก ไม่มีใครไม่เห็นด้วยเพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาจะเดินทางจากไปทั้งที่รู้ว่าแคปริคอร์นกำลังตกอยู่ในอันตรายไม่ได้
“เราใช้แค่ผู้ใช้เวทย์ ดิน น้ำ ลม ไฟ ในการแก้คำสาปนี่…พวกที่เหลือกลับไปช่วยที่โรงเรียนก่อน แล้วค่อยตามไปทีหลัง”ในที่สุดมารีอาก็พูดครบประโยค โรสเซล่าผู้แทนผู้ใช้เวทย์ธาตุดินพยักหน้าเป็นอันเข้าใจ อาร์เซซินและไซน์ หลังจากที่พวกเขาตกลงกันโดยการเป่ายิงฉุบเรียบร้อย และผลออกมาเป็นไซน์ที่ได้ไปต่อ เป็นตัวแทนผู้ใช้เวทย์ธาตุลม ทรอนซีรา ตัวแทนผู้ใช้เวทย์ธาตุน้ำ และสุดท้ายแพทริกซ์ ตัวแทนผู้ใช้เวทย์ธาตุไฟ
“แพทตี้ ฉันไปโดยไม่มีเธอไม่ได้”อะเมทิสต์ส่งสายตาเป็นนัยน์ๆ เพราะยังไม่มีใครรู้เรื่องสำคัญ หล่อนกลัวว่าหากความแตกอาจเกิดปัญหาขึ้นมาได้
“ฉันขอโทษ…แต่ฉันเห็นอนาคตมาก่อนแล้วว่าฉันจะไม่ได้เป็นคนพาเธอไปที่นั่น…มันเป็นดวงชะตาของเธอ เมื่อฉันพยายามเพ่งมองอนาคตของเธอ ฉันได้แต่เห็นหมอกจางๆปกคลุมอยู่…ฉันเชื่อว่าเธอต้องเป็นคนค้นพบมันด้วยตัวเองนะ…อะเมทิสต์…อะความารีน…ขอให้โชคดี”แพทตี้กระซิบตอบ ก่อนจะสวมกอดร่างบางเบาๆ
โซล การ์มี ราล์ฟเฟ โบกมือน้อยๆ ก่อนจะเดินตามหลังมารีอาที่รุดนำหน้า
“แล้วฉันจะรีบตามไปติดๆ”ราล์ฟขยิบตาครั้งหนึ่ง ก่อนจะโบกมือลา
เมื่อขณะเดินทางจากสิบเอ็ดคนเหลือเพียงห้าคน ป่าก็ดูใหญ่ขึ้นถนัดตา อะเมทิสต์พยายามอย่างหนักที่จะเดินโดยไม่ให้ตัวเองสะดุดรากของต้นไม้ใหญ่เข้า แต่เมื่อเวลาผ่านไป หล่อนพบว่าเท้าทั้งสองข้างเริ่มรู้สึกเมื่อยล้า จนเริ่มจะก้าวไม่ออก โรสก็หันมายิ้ม
“ถึงแล้วล่ะ”
มันเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ถูกปกคลุมด้วยตะไคร่น้ำและต้นไม้เลื้อย หากมองดีดีจะเห็นว่าโขดหินก้อนนี้มีลักษณะแตกต่างจากหินใหญ่ก่อนอื่นๆ ทั้งสีที่ดูจางและลายหินที่ขดงอเป็นลวดลายประหลาดคล้ายตัวหนังสือโบราณ
ทรอนซ์เดินก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือหนาปัดเศษใบไม้ออกจากหิน ปรากฎเป็นภาพวาดรูปเกล็ดหิมะแปดแฉก
“เธอกลัวไหม”แพทริกซ์หันมาถามหญิงสาวที่ยืนพิงต้นไม้อย่างอิดโรยอยู่ข้างๆ ตาสีม่วงอะเมทิสต์มองตอบ เสมือนมีอะไรอยู่ในใจ ริมฝีปากอวบอิ่มค่อยๆคลี่ยิ้มจาง
“ไม่กลัวหรอกค่ะ เรื่องผ่านมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงไม่มีอะไรให้กลัวมากกว่านี้แล้วล่ะ”โดยเฉพาะฉากการสังหารอย่างเลือดเย็นเมื่อกี้นี้ อะเมทิสต์คิดในใจ
“โทษนะครับ แล้วเราจะเข้ากันไปยังไง”ไซน์โพล่งถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนอบน้อมเช่นเคย หลังจากที่ร่างเล็กเดินสำรวจรอบๆโขดหินยักษ์ประมาณสามรอบ
“ร่ายเวทย์เปิดประตูเชื่อมยังไงล่ะ ปกติประตูจะถูกปิดตาย เว้นแต่ว่ามีสายเลือดของโซลิเซียร์ขนาดแท้เป็นผู้เปิดมันออกมา”โรสเซล่าเป็นผู้ให้คำตอบ หล่อนเหลือบมองผู้มีสายเลือดและตำแหน่งเจ้าชายแห่งโซลิเซียร์ ที่บัดนี้กำลังดึงกริชเงินออกมาทาบบนฝ่ามือตัวเอง
“นายจะทำอะไรน่ะ”อะเมทิสต์มองหน้าโรส สลับกันทรอนซ์ ตาสีม่วงเบิกกว้างขณะจ้องมือที่อาบเลือดของทรอนซ์ “นายกรีดมือตัวเองทำไมกัน?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ นี่เป็นวิธีเปิดประตูมิติของเหล่าผู้ใช้เวทย์ อ๊ะ!”ไซน์อธิบายอย่างฉะฉาน แต่ก่อนจะพูดยาวกว่านี้ก็ถูกโรสดันร่างเข้าไปในประตูไม้สีน้ำเงินเข้มที่ปรากฎตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว
เมื่อร่างทั้งสองหายวับไปกับประตูจึงเหลือคนสามคนที่ยังยืนนิ่งไม่ขยับ
“เมื่อเธอเข้าไปแล้ว อากาศในนั้นจะมีอุณหภูมิอยู่ที่ติดลบร้อยห้าสิบองศา”ทรอนซ์พูดกับหญิงสาว ก่อนเบือนหน้าไปมองแพทริกซ์ “นายต้องช่วยเธอ”
อะเมทิสต์มองหน้าพวกเขาทั้งสอง(ที่ไม่ยอมละสายตาจากกันสักที)สลับไปมาอย่างไม่เข้าใจ และในที่สุดแพทริกซ์ก็ขยับตัว ปากเริ่มพึมพำเวทย์เป็นภาษาโบราณ
“เดี๋ยว…รุ่นพี่คะ…คือว่ากำลังจะทำอะไร”หล่อนถามขณะมองไฟอุ่นๆที่จุดขึ้นในฝ่ามือหนาๆทั้งสองข้าง
“ฉันจะส่งลูกไฟเข้าไปในตัวเธอ มันจะช่วยควบคุมอุณหภูมิกายได้ เธอจะไม่ต้องรู้สึกหนาว”
“อย่านะคะ!!”อะเมทิสต์รู้สึกว่าโพล่งเสียงดังเกินไปจึงกระแอมครั้งสองครั้งกลบเกลื่อนพิรุธ “แพทตี้บอกกับฉันว่าร่างกายของฉันไม่ควรมีไอเวทย์แทรกทั้งนั้น เพราะกล่องเวทย์ได้ถูกดึงออกไปถึงสองครั้งแล้ว มันจะเป็นอันตราย…มากๆ”
เหตุผลที่แท้จริงคือหล่อนไม่ควรได้รับธาตุไฟ เพราะนั่นอาจเป็นอันตรายกับลูกของเธอและทรอนซ์ เหตุผลนี้แพทตี้เป็นคนช่วยคิด และตกลงว่าจะเก็บเป็นความลับไม่ให้ใครรู้โดยเด็ดขาด
“ทำไมแพทตี้ไม่บอกฉัน”ทรอนซ์ขมวดคิ้วอย่างสงสัย แพทริกซ์ยักไหล่เลิกร่ายเวทย์บริกรรมคาถา
“ถ้างั้นก็ช่วยไม่ได้ ฉันคงต้องให้ความอบอุ่นเธอจากภายนอกแทน”
หมับ
อะเมทิสต์ผงะเมื่อจู่ๆมือข้างหนึ่งก็ถูกกุมแล้วดึงเข้าหาคนผู้หนึ่ง แรงดึงทำให้ร่างเธอเซจนเกือบล้มลง ได้แต่ใช้มือฉุดดึงชายเสื้อคนข้างหน้าไว้ตามสัญชาติญาณ เมื่อทรงตัวได้แล้วหล่อนก็จ้องมองดวงหน้าแพทริกซ์ และเลื่อนสายตาลงมองแขนที่กุมไหล่เธอไว้หลวมๆ
“………”บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มพลิกกายไปเผชิญหน้ากับบานประตู ก่อนจะหายวับเข้าไปในนั้นอย่างรวดเร็ว
“รุ่นพี่ คือว่าไม่ต้องใกล้มากขนาดนี้ก็ได้มั้งคะ”อะเมทิสต์ตั้งสติได้ก็หมุนตัวออกจากกอดอุ่นๆ เธอแอบแปลกใจที่อากาศเย็นรอบๆตัวกลับแปรเปลี่ยนเป็นไออุ่นๆสบายตัวทันทีเมื่อเธออยู่ในอ้อมแขนอันแข็งแกร่งนั่น
“อีกเดี๋ยว เธอจะต้องขอกอดพี่เองแหละ”แพทริกซ์ยิ้มจาง มือหนายื่นไปกุมมือเล็กไว้เฉยๆแทน “อย่างน้อยก็จับมือพี่ไว้ อย่าปล่อยนะ ไม่งั้นเธออาจกลายเป็นน้ำแข็งตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไป”
“…อือ”หญิงสาวมองมือที่ถูกกุมไว้ ก่อนพยักหน้ารับปาก
เมื่อร่างทั้งสองหายวับไปสู่อีกสถานที่ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้โขดหิน ประตูสีน้ำเงินเข้มก็ได้หายวับไป ปรากฎเป็นภาพใบไม้ ตะไคร่น้ำ รกรุงรังดังเดิมโดยไม่ทิ้งร่องรอยเดิมแม้แต่น้อย
…
ที่นี่คือ…ที่ที่มีอุณหภูมิติดลบ หนึ่งร้อยห้าสิบองศาเซลเซียส…
อุณหภูมิที่ต่ำกว่าขั้วโลกเหนือบวกกับขั้วโลกใต้…
ที่ที่ไม่น่ามีสิ่งมีชีวิตมีชีวิตรอดอยู่ได้ แต่น่าแปลกที่ฉันยังมีชีวิต ยังหายใจได้ และที่ประหลาดมากที่สุด คือฉันไม่ยักรู้สึกหนาวมากสักเท่าไหร่
ต้องขอบคุณมืออุ่นๆที่ช่วยฉันไว้ แพทริกซ์เหมือนเตาผิงอันอบอุ่นที่ฉันไม่อยากขยับห่างในตอนนี้ เขาประคองมือฉันไว้อย่างนุ่มนวล และคอยระวังทุกย่างก้าวของฉันเมื่อต้องย่ำลงบนกองหิมะ แต่ละก้าวเกิดเป็นหลุกลึกขนาดประมาณหัวเข่า ทำให้การเดินช่างยากลำบากนัก
“เราต้องเดินไปอีกไกลเท่าไหร่นะ”โรสเซลล่าบ่นขึ้นมา ขณะที่ร่างของหล่อนแทรกอยู่กลางลำต้นของต้นไม้ใหญ่ขนาดพอดีกับร่าง ซึ่งฉันเองก็ไม่รู้ว่าหล่อนทำได้ยังไง…
“หนาวจริงๆครับ”ไซน์เหาะอยู่กลางอากาศ เขาจึงดูสบายที่สุดเพราะไม่ต้องลำบากเดินย่ำเท้าบนกองหิมะให้ยาก TT ฉันล่ะอิจฉาจริงๆเลย
“ทรอนซ์”ฉันขยับปากเรียก เมื่อสังเกตุว่าฝีเท้าของคนข้างหน้าดูยิ่งห่างไกลไปอีกก้าว ทำไมเขาเดินไม่รอกันบ้างเลยล่ะT^T
“เธอหนาวหรือ”แพทริกซ์เอ่ยแทรกขึ้นมา ฉันเลยเลื่อนสายตาไปมอง
“ไม่ค่อยแล้วค่ะ มือรุ่นพี่อุ่นสุดๆเลย”
หันไปอีกที คนข้างหน้าที่เพิ่งเรียกชื่อไปหยกๆก็ได้เดินดุ่มๆออกไปไกลกว่าเดิมซะอีก! อะไรของเขานะ! ตาบ้าเอ้ย-_-
“หึหึหึ…ฉันมีความสุขจัง ถึงจะเป็นช่วงเวลาแบบนี้ก็เถอะ”แพทริกซ์พ่นลมหายใจออกมาเป็นไอเย็นในทุกคำที่เขาพูด เขายิ้มอ่อนโยนมาให้…ใช่ เขามักมีรอยยิ้มแบบนี้เสมอ
“ทำไมรุ่นพี่ถึงดีกับฉันนักล่ะ…เอ่อ ฉันหมายถึง รุ่นพี่คอยดูแลช่วยเหลือทุกๆเรื่องเลย ฉันไม่เคยพูดคำนี้…แต่ก็ขอบคุณมากๆนะคะ สำหรับทุกอย่าง”ฉันยิ้มตอบ และรู้สึกขอบคุณจากใจ…เจ็ดปีในความทรงจำของฉัน เขาเหมือนครอบครัวของฉัน เขาอยู่ข้างๆและเป็นพี่ชายที่แสนดีเสมอ คอยให้กำลังใจในวันที่ยากลำบาก จนฉันผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้
“แน่นอน…พี่ชาย…ครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นแบบนั้น…ตอนนี้ก็เหมือนกัน มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”น้ำเสียงของเขาคล้ายเจือความอาลัยในความทรงจำในอดีต จนฉันอยากจะรู้ว่ามันคืออะไร
“รุ่นพี่”
“ช่างมันเถอะ”
“…”
“ให้ฉันเป็นไฟอุ่นๆ ให้แน่ใจว่าเธอจะไม่หนาว เท่านี้ก็พอแล้ว”
ฉันเหลือบมองเท้าแต่ละก้าวที่ย่ำบนพื้นหิมะ มือข้างหนึ่งถูกกุมไว้หลวมๆแต่อบอุ่น ไม่ว่าพายุลูกไหนก็คงไม่ทำให้หนาวได้
ฟู่ๆ
จู่ๆก็มีลมแรงตีเข้าใส่หน้าอย่างเร็ว ได้ยินเพียงเสียงเสียดสีของอากาศ เสียงโหวกเหวกของไซน์และโรสที่กริ๊ดเสียงสูง…และเสียงทรอนซ์ที่ตะโกนเรียกชื่อฉัน
ความหนาวแทรกเข้าผ่านผิวกาย ทำให้ร่างทั้งร่างสั่นสะท้าน ทุกรูขุมขนลุกซู่เพื่อกักเก็บความร้อน ฉันหลับตาปี๋เมื่อรู้สึกว่าร่างปลิวลอยตามแรงลมและกำลังหมุนตามแนวพายุ ซึ่งไม่รู้ว่าจุดหมายถึงที่ไหน…แต่มือทั้งสองข้างขณะนี้นั้นว่างเปล่า ไม่มีมืออุ่นๆบรรเทาไอหนาวอีกต่อไป
“อะความารีน ฮีลเลอร์”เสียงหวานเล็กนุ่มนวลดังขึ้นก้องหู เหมือนเสียงสะท้อนจากภูเขา ฉันค่อยๆลืมตาขึ้นพบว่าตัวเองกำลังนั่งบนพื้นน้ำแข็ง ที่ใสเหมือนกับกระจก ด้านล่างเป็นน้ำเพราะมีปลาหลากหลายสายพันธุ์กำลังแหวกว่ายในนั้น
“คุณ…เป็นใครคะ”เมื่อมองไปยังต้นเสียง ร่างสตรีสวมชุดตัวยาวสีขาวลากพื้นปรากฎสู่สายตา หล่อนนั่งบนเก้าอี้ที่ทำจากน้ำแข็งในท่วงท่าสบายๆ นัยน์ตาคู่นั้นมีสีดำขลับมันแวววาวดูสวยล้ำแต่ก็ทรงพลังในคราวเดียว ผมสีขาวปล่อยยาวลากพื้น
“ผู้คนต่างเรียกฉันว่า…แม่มดในตำนานผู้สร้างปีศาจหิมะ และคำสาปราชวงศ์โซลิเซียร์”หล่อนหัวเราะเสียงสูง น้ำเสียงฟังดูเย้ยหยันแต่ดวงตากลับดูตัดพ้อ
“แล้วนั่นเป็นความจริงหรือเปล่าคะ”ฉันยืนนิ่ง และเบิกตากว้างเมื่อร่างที่ควรอยู่ห่างกว่าสิบก้าว กลับขยับเข้ามาประชิดเหมือนลมผ่านแค่วูบเดียว นิ้วมือเรียวไล้กรอบหน้าของฉันเบาๆ
“ความจริง?...เจ้าอยากรู้ใช่หรือเปล่า”หล่อนพูดกึ่งกระซิบ ฉันจ้องเข้าไปในดวงตาดำขลับ ซึ่งเปลี่ยนเป็นสีฟ้าแว๊บหนึ่ง…
“ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง ฉันก็มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์เดียว”ฉันตอบอย่างระมัดระวัง พยายามตั้งสติให้อยู่กับตัวมากที่สุด
“อ้า…นั่นสิ เพราะเจ้าตกหลุมรักแก่เจ้าชายแห่งโซลิเซียร์…รู้ไหม ข้าเองก็เคยเป็นแบบเจ้า…ข้ารักมนุษย์ธรรมดา…เขาคือเฮมิส”นางแม่มดกวาดมือวูบหนึ่งปรากฎเป็นภาพเงาร่างของคนซึ่งประกอบจากไอน้ำ แต่ดูสวยงามสมจริงเหมือนกับได้รับการสลักอย่างปราณีต
เขามีดวงตาคมคายดุดัน สวมชุดเกราะพร้อมออกรบ
“แล้วเขารักท่านไหม”ฉันเอ่ยถามทั้งที่รู้ว่าไม่ควรถาม แต่อะไรบางอย่างในตาคู่สวยนั้น กำลังบอกว่าหล่อนกำลังมีความทุกข์…และดูเศร้าโศกมากเหลือเกิน
“เขารักข้า…ข้าคิดเช่นนั้น”นางตอบ ก่อนจะสะบัดหน้าไปแล้วเดินไปนั่งบนบัลลังก์น้ำแข็งที่เดิม
“แต่ท่านมีชีวิตอยู่เป็นพันปี โดยไม่มีเขาได้อย่างไร”ฉันรู้สึก ถึงพูดออกไปอย่างนั้น ฉันรู้สึกว่านางเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ยังปล่อยวางจากเรื่องบางเรื่องไม่ได้ และอะไรบางอย่างทำให้นางรู้สึกสงสัย…ใช่…นางสงสัยฉัน…
“ข้าอยู่เพื่อรักเขา”เสียงของหล่อนดูสั่นน้อยๆ ฉันค่อยๆเดินเข้าไปใกล้แต่เว้นระยะห่างไว้สองสามก้าว
“เกิดอะไรขึ้นกับความรักของท่านทั้งสองล่ะ…ทำไมพวกท่านถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน”ฉันนึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินคร่าวๆจากทรอนซ์ เพราะนางถูกทรยศหักหลัง เชื่อว่านางมีความแค้นจึงได้สาปราชวงศ์โซลิเซียร์ แต่ได้ยินว่านางก็สร้างอาวุธที่สามารถควบคุมปีศาจได้ขึ้นมาพร้อมกัน เรื่องนี้ทำให้ฉันรู้สึกสงสัยขึ้นมา… “ความจริงท่านไม่เคยคิดทำร้ายเขาใช่หรือไม่…ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่สร้างสิ่งที่ควบคุมปีศาจได้ขึ้นมา”
“ข้าเพียงต้องการให้เขาอยู่กับข้า…ตลอดไป…หากเขาตกลงอยู่กับข้า และสวมสิ่งที่ควบคุมคำสาปนั่นไว้ ก็จะไม่มีโศกนาฏกรรมเช่นนี้ ลูกหลานของโซลิเซียร์จะมีเชื้อสายของข้าโดยไม่มีคำสาปนั่น…”
“แต่เขาไม่เลือกท่าน”
“ข้าให้ทุกอย่างแก่เขา สร้างอาณาจักรโซลิเซียร์ สร้างกองกำลังทหารที่ไม่มีใครหน้าไหนกล้าทัดเทียม ข้ารักเขาสุดหัวใจ แต่ดูสิ่งที่เขาทำกับข้าสิ!!”
ฉันถูกดูดเข้าไปในพายุอีกครั้ง คราวนี้มันไม่นานเท่าครั้งก่อน เมื่อพายุสงบลง ฉันค่อยๆลืมตาขึ้น พบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่บนระเบียงในตัวปราสาทหินอ่อนสีขาว ด้านล่างเป็นเหมือนเมืองเล็กๆ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือโซลิเซียร์ในอดีต เมื่อหนึ่งพันปีที่แล้ว…
“เฮมิส”หญิงสาวสวมชุดเดรสสีชมพูอ่อน เดินเข้ามาพร้อมดอกไม้สีขาวในมือ ดวงตาสีดำขลับมีเสน่ห์น่าหลงไหล จ้องไปยังร่างบุรุษผู้ยืนจ้องลงไปยังเบื้องล่าง มีเพียงระเบียงไม้สีขาวกั้นเขาเอาไว้
“เอเลน่า”เสียงทุ้มขานรับ แต่สีหน้าดูกลัดกลุ้ม
“ข้ากำลังจะต่อเติมปราสาท ท่านสนใจมาออกแบบให้ไหม”หลังจากนั้นนางก็เล่าแผนการณ์ต่อเติมโครงสร้างต่อไป โดยมีสายตาของเฮมิสลอบมองเป็นระยะ
“เอเลน่า…ข้ามีบางอย่างจะบอกกับเจ้า”ในที่สุดเขาก็ขัดขึ้นมาก่อน เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจฟังสิ่งที่นางเพิ่งอธิบายก่อนหน้านี้เลย
“หืม…มีอะไรหรือเฮมิส”
“เจ้าจะโกรธหรือไม่…ถ้าข้าจะบอกให้เจ้าหยุด”
“เจ้าพูดอะไรน่ะเฮมิส!?”หญิงสาวเริ่มหน้าเสีย จากรอยยิ้มน่ารักแปรเปลี่ยนเป็นดวงหน้ายุ่งๆ และสายตาที่ต้องการคำอธิบาย
“หยุดสิ่งที่เจ้ากำลังทำเถิดเอเลน่า หากข้าจะปกครองแผ่นดินนี้ ข้าต้องลงมือทำเอง ไม่อาจขอให้เจ้าใช้พลังอำนาจของเจ้า”ชายหนุ่มพยายามอธิบายอย่างใจเย็น สายตาของเขายามมองนางเหมือนน้ำเย็นที่พยายามลูบปลอบ
“เพราะอะไรกัน…เพราะท่านไม่ต้องการข้าใช่ไหม”นางเริ่มมีน้ำตาคลอหน่วง ดอกไม้ในมือร่วงหล่นสู่พื้นดิน…เฮมิสถอนหายใจพลางเก็บมันขึ้นมา
“ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำสิ่งนี้เพื่อข้า…”
“ตลอดเวลาข้ารู้จักท่านมา…ท่านเคย…รักข้าบ้างไหมเฮมิส”หล่อนถามพร้อมน้ำตา แต่แล้วคำตอบที่ได้กลับยิ่งเฉือนหัวใจของนางออกเป็นชิ้นไม่ต่างกับศาสตราวุธ
“ข้ารักเจ้าไม่ได้”
“…”
เนิ่นนานที่หญิงสาวทรุดลงกับพื้นและได้แต่ร้องไห้ เฮมิสมองนางเงียบๆโดยไม่พูดอะไร
ฉันมองคนสองคนสลับไปมาพลางวิเคราะห์…คนหนึ่งแสดงออกว่ารักสุดใจ ขณะที่อีกคนเหมือนว่าจะรักแต่ก็ไม่ยอมแสดงออกว่ารัก เพราะอะไรกัน…
“เจ้าต้องอยู่ให้ได้ โดยไม่มีข้า…เอเลน่า”เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนจะปล่อยหญิงสาวจมกับความทุกข์เพียงคนเดียว เสียงร้องของนางนั้นก้องกังวานไปทั่ว ทันใดนั้นท้องฟ้าเริ่มแปรปรวน ห่าฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ก่อนจะปรากฎเป็นพายุหิมะลูกใหญ่ ชาวบ้านต่างพากันแตกตื่นและหาที่ยึดเกาะ
ฉันเหมือนถูกดูดเข้าหาพายุนั่นด้วย…และนั่นดึงฉันกลับเข้าสู่เหตุการณ์ปัจจุบัน
“หลังจากนั้นข้าโกรธมาก…ข้าจึงสาปสายเลือดของเขา”นัยน์ตาสีดำขลับของนางแม่มดนั้นดูเลื่อนลอยราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ตนเอง
“เฮมิสรักท่าน”ฉันโพล่งด้วยความมั่นใจ และนั่นเรียกสติของเอเลน่าให้กลับมา
“รักข้า?”
“เขาไม่เคยบอกว่าเขาไม่รักท่าน นั่นท่านเข้าใจไปเอง…เขาบอกว่าเขารักท่านไม่ได้…และบอกว่าท่านต้องอยู่คนเดียวให้ได้ถ้าไม่มีเขา”ฉันค่อยๆก้าวเข้าหาหญิงสาวที่ไม่ต่างจากภาพอดีตเมื่อพันปีก่อน แม้นางจะเป็นแม่มดที่ทรงพลังที่สุดในยุค แต่ฉันกลับคิดว่าหล่อนเป็นเพียงแค่ผู้หญิงธรรมดา ที่มีความรักเท่านั้น
“เจ้า…เจ้าพูดอะไรน่ะ”และฉันมั่นใจว่านี่คือสิ่งที่ทำให้หล่อนเรียกฉันมา…หล่อนต้องการคำตอบ…อาจจะรอคอยคำตอบมานานกว่าพันปี…
“ท่านอาจมีอายุขัยนานเป็นพันปี แต่อายุขัยของมนุษย์เรานั้นช่างแสนสั้นนัก…ท่านอาจไม่เคยกังวลเรื่องนี้ แต่สำหรับคนที่รักกัน นั่นเป็นเรื่องสำคัญมากที่เดียว เพราะอะไรน่ะเหรอ?...เพราะเขาจะอยู่เคียงข้างท่านตลอดไปไม่ได้…เอเลน่า”
“…ไม่จริง…”
“ท่านถึงต้องอยู่โดยไม่มีเขาให้ได้…เพราะเขาไม่สามารถอยู่เคียงข้างท่านตลอดไปได้ไงล่ะ…”
“เฮมิส…”นางพึมพำเรียกชื่อบุรุษในดวงใจ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แล้วปล่อยให้หยาดน้ำไหลผ่านแก้มช้าๆ
“ท่านดูสิ…ดอกไม้ที่ท่านทำตกพื้นในวันนั้น เขายังใส่ใจเก็บมันขึ้นมา หากเขาไม่สนใจ ไม่แยแสจริงๆ ก็คงปล่อยมันไว้อย่างนั้น”
เอเลน่า…คือชื่อของหล่อน
นางเป็นแค่หญิงสาวที่ตกหลุมรักคนที่นางไม่อาจอยู่ครองคู่ได้
“ข้าไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้…เฮมิส”ดอกไม้สีขาวช่อเดิมปรากฎบนอุ้งมือทั้งสอง เอเลน่าพูดพึมพำเบาๆกับตัวเอง ก่อนจะเลื่อนสายตามายังฉัน “เพราะเจ้าคือมนุษย์ที่มีรักแท้…ถึงสามารถให้คำตอบที่ข้าสงสัยมานานนับพันปีได้”
ฉันยืนนิ่งขณะที่ร่างบางในชุดขาวค่อยๆเดินอ้อมไปยังด้านหลัง
“คำสาปของข้า พ่ายให้แก่สิ่งเดียวเท่านั้น…นั่นคือสิ่งที่ข้าปรารถนาจากเฮมิส…เจ้าจงไปหามันให้เจอ…กุญแจที่จะไขคำสาปนั่น…อะความารีน ฮีลเลอร์…หากเจ้ามีจิตมุ่งมั่นพอ ก็จะผ่านมันไปได้…นี่คือบททดสอบสุดท้ายจากข้า…”
…
Writer: เฮ ! จบแล้ว!
อ้าว ไม่ใช่ - -? (แป่ว) ปรากฎว่ายาวไป เสริมตอนหน้าเนอะ เอาเป็นบทส่งท้าย ><
ขอบคุณที่รอนะคะช่วงนี้งานเยอะมากจริงๆแงๆ
คอมเม้นให้กันสักนิดน้า จะจบแล้ว อยากรีเควสตอนพิเศษกันรึเปล่า>O<
(คนแต่งก็สามารถ ขึ้นกับเวลา และความฟิต555)
ขอบคุณมากๆนะคะที่เข้ามาอ่าน บางคนอ่านรวดเดียวจนจบเลย(นับถือจริงๆค่ะ) เราเองไม่ใช่นักแต่งมืออาชีพอะไร หากผิดพลาดตรงจุดไหนก็น้อมรับการติชมนะคะ
นิยายเรื่องนี้แต่งเพื่อความบันเทิงเท่านั้น ไม่ได้หวังไปไกลมากกว่านี้ค่ะ
ขอบคุณเว็ปเด็กดีที่สร้างพื้นที่เล็กๆให้นักอยากเขียนคนนี้มีนิยายของตัวเองจนจะจบเป็นเรื่องเป็นราว>< ถึงจะถูๆไถๆมานานถึง7ปีก็ตาม…ภูมิใจเล็กๆนะเนี่ย<3
รักรีดเดอร์จริงๆน้า…คือถ้าเราบ้าคนเดียวมันไม่สนุกไง ถ้ามีเพื่อนร่วมจินตนาการเพ้อฝันไปกับเราด้วย เราก็สนุก เขียนก็สนุก อยากแต่งต่อเรื่อยๆ จนมันจบลงได้ เพราะทุกคนเลยนะJ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
ไม่รู้จะลงท้ายว่าไงได้แต่ปาดน้ำตา
(…เพราะแสบตา จ้องคอมนานเกิน)
บาบิQ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เเต่งให้จบเร็วๆนะคะ
เป็นกำลังใจให้นะคะ????????????????????????????????????
เอาแบบร่วมทำภารกิจไรต่อก็ได้
(ฝันเฟื่องT,.T)
ชอบอ่านมากค่าสนุกมั่กๆๆๆๆๆๆๆมากกกกกกกก
ทรอนซ์นายนี่ไม่เบาเลยนะเนี่ย เจอปุ๊บจองปั๊บ ถ้าแพรทริกรู้ไม่น่ารอด555