ตอนที่ 39 : The Keyz(2) ตามเสียงหัวใจ
[39]
ภายในห้องนอนที่ถูกแต่งแต่งเรียบๆ ปรากฏเป็นร่างหญิงสาวกำลังนอนกลิ้งไปมาอยู่บนเตียงคิงไซส์ ทั้งตัวถูกห่อหุ้มด้วยผ้านวมผืนหนา ดวงหน้าละมุนโผล่ออกมาให้เห็นเล็กน้อยแสดงสีหน้ากังวล
“แล้วแกมีเรื่องอะไร มาหาฉันดึกๆดื่นๆป่านนี้ ฮ้าว-O-”เสียงทะเล้นดังมาจากอีกฝั่งเยื้องเตียงนอน ร่างเจ้าของเสียงนอนยืดอยู่บนโซฟา พยายามเบิกตาให้ตื่นเพราะถูกปลุกกลางดึกจึงยังไม่ตื่นเต็มที่ ขณะพยายามเพ่งมองไปยังร่างเพื่อนซี้ที่ดูเหมือนจะไปเจอเรื่องอะไรมา ถึงได้มาเคาะประตูหน้าห้องเขาในยามนี้
“ขอเข้าไปหน่อยดิ” เสียงหวานเปรยก่อนที่ประตูห้องจะถูกเปิดออกเสียอีก แถมร่างเล็กก็เบียดเข้ามาในห้องนอนโดยไม่ได้รับอนุญาต
จากนั้นอะความารีนก็เลือกตรงดิ่งไปยังเตียงนอนนุ่ม ขณะที่เขาผู้เป็นเจ้าของห้องก็ถูกเนรเทศไปยังโซฟาแทนไปโดยปริยาย
“เป็นอะความารีน ฮีลเลอร์ นี่มันลำบากจริงๆด้วยล่ะราล์ฟ”ร่างบนโซฟาขยับตัวเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ
“แค่นี้ก็ท้อซะละ? บอกให้นะเธอยังไม่เจอของจริงด้วยซ้ำ”หนุ่มทะเล้นพูดกลั้วหัวเราะ ไม่อยากให้เพื่อนคนสำคัญต้องทำเสียงเศร้าๆ หรือท้อแท้หมดหวัง ทั้งที่เขาก็กังวลแทนมันไม่น้อยเหมือนกัน
ขนาดเขาที่ทุ่มกับการฝึกมาทั้งชีวิตตั้งแต่จำความได้ ถ้าได้รับมอบหมายภารกิจแบบนี้แล้วล่ะก็ คงเหมือนต้องแบกภูเขาทั้งลูกไว้ในมือเพราะภาระงานช่างหนักอึ้ง
“ปล่าว…เรื่องนั้นก็เรื่องใหญ่แหละ แต่มันมีอีกเรื่อง…”
“อ๋อออออ…เรื่องศึกชิงนางระหว่างเจ้าชายน้ำแข็ง กับราชาไฟน่ะหรอ”ราล์ฟสะดุ้งตัวขึ้นมานั่งบนโซฟา แสดงท่าทีสนใจในหัวข้อสนทนานี้
“ตอนเป็นอะเมทิสต์ ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่นะ…แต่กับทรอนซ์ ตอนแรกก็ไม่ค่อยชอบหน้าเขา รู้สึกว่าเขาทั้งหยิ่ง ขี้เก๊กไปวันๆ ไม่น่าเข้าใกล้…แต่ฉันก็ต้องพึ่งพาเขาในหลายๆเรื่อง แล้วเขาก็ช่วยฉัน กลายเป็นว่าฉันกลับอุ่นใจที่มีเขาอยู่ใกล้ๆ”อะความารีนค่อยๆเล่าเรื่องอย่างช้าขณะที่ในความคิดย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ซึ่งดูเหมือนจะเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ในความทรงจำเกี่ยวกับทรอนซีรายังคงชัดเจน
“อืมม นั่นสินะ ยัยเด็กใหม่จอมปลอม เล่นทำวุ่นวายไปทั่ว”ราล์ฟอดพยักหน้าเสริมไม่ได้ นึกชื่นชมบุคคลที่อยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้ที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาอย่างแนบเนียน สตรีผู้กุมอำนาจในสภาความมั่นคงแห่งแคปริคอร์น นิมฟอริด้า ไทรีนอล ที่คิดแผนการณ์ทุกอย่างล่วงหน้าเป็นปีๆและประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม แต่มันดูไร้จริยธรรมไปหน่อยเพราะอะความารีนเองก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายหลายครั้ง…การส่งตัวอะความารีน ฮีลเลอร์มาให้ทีมของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจ ในความสามารถที่จะปกป้องคนสำคัญ คนนี้ ให้อยู่รอดปลอดภัย…แต่สิ่งที่อยู่นอกแผนคือหัวใจของท่านหญิงคนสำคัญนี้แหละ
“ฉันไม่ค่อยปรึกษาเรื่องนี้กับใครหรอกนะ ขอโทษที่ต้องเป็นนายเพราะมันไม่มีใครแล้วจริงๆ…จะอ้วกก็อ้วกออกมาได้นะ ฉันไม่ถือ”ร่างบางแทรกตัวออกมาจากรังไหมดักแด้ที่สร้างจากผ้าห่ม พลางถอนหายใจเล็กน้อย แล้วเล่าต่อ “แต่ฉันชอบทรอนซ์ ตอนแรกก็คิดว่าเป็นรักข้างเดียว แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเองก็คิด…เหมือนกับฉัน”
“ไม่ต้องมาทำหน้าแดงก็ได้มั้ง เล่ามาขนาดนี้แล้วน่ะ- -”
“มันฟินอะแก>_<///”
“เออแล้วยังไงต่อ”เพื่อนหนุ่มปัดรำคาญ ก่อนจะทิ้งตัวลงนอนสบายๆบนโซฟา
“ก็…พอเรื่องเหมือนจะไปด้วยดีฉันก็ได้ความทรงจำของฉันคนเก่ากลับมาน่ะสิ…ทีนี้มันเลย…พูดยาก”ท่านหญิงทำสีหน้าลำบากใจ ทั้งกังวลและสับสน กลัวว่าจะทำให้ใครเสียใจ อยากทำทุกอย่างให้ลงตัวที่สุดแต่ไม่มีทาง ที่จะไม่มีใครต้องเสียใจ
“สรุปว่าเรื่องแกกับแพทริกซ์ ที่เป็นคู่หมั้นกัน มันก็ยังค้างคาอยู่ แล้วแกกล้าจบเรื่องนี้หรอ?”เมื่อมีคนพูดแทงใจดำ อะความารีนก็อ้าปากพะงาบๆเหมือนอยากจะด่าแต่ก็ด่าไม่ออก จึงกลืนทุกคำลงไปก่อนจะทำสีหน้าครุ่นคิดแทน
“ฉันควรทำไงดี ฉันมันแย่มากใช่มะ ที่เป็นคนใจง่ายเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ทั้งที่ให้สัญญากับคนที่รักฉันขนาดนั้นไว้แล้วว่าจะไม่ทิ้งเขาไปไหนอีกน่ะT^T”คนรู้สึกผิดร้องโอดครวญน้ำตาไหลเป็นหยดระบายความเครียด พลางหยิบหมอนมากอดแล้วซุกใบหน้าเข้าไป “อือๆๆ”
ราล์ฟทนฟังเสียงร้องไห้อู้อี้ๆไม่ได้จึงลุกขึ้นจากโซฟาไปกระชากหมอนในมือเพื่อนรักออกมา ก่อนจะใช้หมอนใบเดิมนั้นตีไปยังหัวคนขี้แยเบาๆ
“เอางี้ ถ้าไม่นับเรื่องรู้สึกผิดถูก แกพอจะให้คำตอบได้ไหมว่าหัวใจแกเลือกใคร อยากอยู่กับใครไปตลอดชีวิต ย้ำ คำตอบนี้จะเป็นคำตอบสุดท้าย แกห้ามเปลี่ยนใจไปๆมาๆ ตกลงไหม”อะความารีนทอดมองสีหน้าเพื่อนซี้ที่ไม่ฉายแววขี้เล่นอีกต่อไป เพราะมันดูจริงจัง เธอพยักหน้าตอบกลับไป
“ฉันรักทรอนซ์…และอยากอยู่กับเขา…ไปตลอดชีวิต”
…
เช้าวันถัดมาก็กลายเป็นวันที่น่าอึดอัดมากสำหรับฉัน ตั้งแต่จำความได้เลยล่ะ
“นี่อากาศร้อนจนพวกนายต้องเปลี่ยนมากินกันเองใช่มะ=O=”คนปากมากเริ่มเปิดบทสนทนาบนโต๊ะกินข้าวขณะมองคนสองคน ที่ต่างกันสุดขั้ว กำลังฟาดฟันกันด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่ทว่าภายใต้ความเงียบขรึมนั้น ใครมันจะดูไม่ออกว่ามีระลอกคลื่นลูกเล็กๆอยู่ในสายตาของคนทั้งคู่
“กินข้าวของนายเถอะ”ฉันกระซิบใส่ราล์ฟที่นั่งข้างๆอย่างหวังดี เพราะกลัวว่ามันจะไม่มีปากให้พูดอีกต่อไป แต่ก็ต้องชะงักเพราะมันดันเอาแขนมาตะปบไหล่ ทำหน้ายียวนกวนประสาท
“เมื่อคืน…แกแย่งเตียงนอนฉัน วันนี้ฉันแย่งเตียงแกบ้าง^^”นัยน์ตาสีฟ้าเทานั่นทอประกายยิบยับ ฉันรู้สึกเสียวสันหลังวาบ เพราะมันกำลังจะทำให้โต๊ะกินข้าวเล็กๆเกิดสงครามโลกครั้งที่สามน่ะสิ
“=_=/- -*”แพทริกซ์และทรอนซ์ไม่ได้ส่งแรงอาฆาตทางสายตากันอีกต่อไป เพราะมันถูกถ่ายโอนไปที่คนชอบก่อเรื่อง แถมดูจะเพิ่มเป็นเท่าตัว
“ขอประทานโทษค่ะ”หญิงสาวในชุดดำรัดรูปดูทะมัดทะแมงปราดเข้ามายืนห่างจากหัวโต๊ะไม่มาก ฉันสาบานได้ว่าตะกี้เพิ่งจะกระพริบตาไปครั้งเดียว แต่พอลืมตามาก็เจอเจ้าหล่อนยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว…นี่พวกตระกูลนี้จะไม่รู้จักเข้ามาแบบให้สุ้มให้เสียงเลยใช่มั้ยนี่ - -
“มีอะไร แคล”ราล์ฟหันไปปั้นหน้าขรึม จนฉันรู้สึกคันเท้าอยากจะถีบเก้าอี้ให้มันล้มตึงเพราะหมั่นไส้
“ท่านครอสเรียกไปพบค่ะ ด่วนมาก”พูดเสร็จเจ้าหล่อนก็ก้าวเท้าถอยหลังไปก้าวเดียว แล้วหายไปในพริบตา
“หมายถึงแกคนเดียว หรือฉันด้วย”ฉันถาม
“หมายถึง พวกเรา ทุกคนนั่นแหละ”ราล์ฟกวาดตามองทุกคนจนมาหยุดที่ฉัน “ฉันว่ามันต้องเป็นเรื่องด่วนมากแน่ๆ พ่อถึงใช้แคลให้มาเรียก…เธอไวที่สุดในบรรดาเด็กฝึกหัด”
จากนั้นก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงกันอีกต่อไป ฉัน ราล์ฟ แพทริกซ์ และทรอนซ์ ก็ลุกจากที่นั่ง ตรงดิ่งไปยังห้องทำงานของบุรุษผู้กุมอำนาจสูงสุดในป้อมปราการนี้ ระหว่างทางไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไร แม้แต่คนชอบทำลายความเงียบก็ยังไม่ปริปาก
หลังจากที่ประตูห้องทำงานถูกเปิดออก ร่างใหญ่ของเจ้าบ้านตระกูลครอสก็ปรากฎสู่สายตา เขากำลังยืนหันหลัง ทอดมองออกไปยังหน้าต่างบานใหญ่ แม้ว่าทุกคนจะเข้ามายืนเรียงกันครบ แต่ร่างหนานั่นก็ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง เนิ่นนานเหมือนกำลังอยู่ในห้วงภวังค์ของตนเอง
“ท่านครอส”แพทริกซ์เป็นผ่ายเปิดบทสนทนา ฉันเห็นสีหน้าเคร่งขรึมก็รู้ว่าเขาคงเครียดมากและทนรอไม่ได้อีกต่อไป
“ราชามัจจุราชไฟ…ฉายานี้ช่างเหมาะสม กับหนุ่มเลือดร้อนแบบเธอ”เสียงทุ้มแหบพร่าตอบกลับ แม้จะยังไม่หันกลับมา
“ท่านพ่อมีเรื่องอะไรครับ ถึงเรียกพวกเรามาพบ”ราล์ฟพูดด้วยสีหน้าจริงจังเหมือนน้ำเสียง บรรยากาศดูยิ่งขุ่นมัวเข้าไปอีก ฉันรู้สึกใจเต้นแรงและเหงื่อไหลด้วยความตื่นเต้น
“มีจดหมายจากสภาความมั่นคง”ชายวัยกลางคนเปรยขึ้นท่ามกลางความเงียบ “จะมีการนัดเจรจาสงบศึกกับเจ้าชายแห่งโทรปิคอร์น โดยใช้งานเต่งงานของหลานสาวคนเดียวของนิมฟอริด้า ไทรีนอล เป็นฉากบังหน้า”
ฉันเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง เมื่อได้ยินนามสกุลไทรีนอลในหัวก็ฉายภาพสตรีร่างสมส่วนผู้มีนัยน์ตาสีชาอ่อน
มารีอา…
“ใคร…เธอจะแต่งกับใคร?”ราล์ฟโพล่งออกไปอย่างลืมมารยาท ฉันเลื่อนสายตาไปมองสีหน้าและแววตาที่ฉายรอยเจ็บปวดนั่น…
ราล์ฟมันหวงมารีอา รักมารีอาจะตาย ทำไมฉันจะไม่รู้
ฉันเอื้อมมือไปสัมผัสไหล่คนข้างๆเบาๆอย่างปลอบประโลม
“ไม่ใช่เรื่องที่แกต้องรู้”เจ้าบ้านครอสคำรามเบาๆในลำคอ น้ำเสียงดูจะไม่พอใจกับคำถามห้วนๆแฝงอารมณ์ของราล์ฟ “แกมีหน้าที่แค่คุ้มครองอะความารีน ฮีลเลอร์ และคณะเดินทางสู่เมืองโทเปส”
“เจรจาสงบศึก แล้วทำไมพวกเราต้องไปด้วย?”แพทริกซ์เป็นฝ่ายยิงคำถามบ้าง แต่ดูเยือกเย็นกว่าราล์ฟมาก
“ฉันไม่รู้…บางทีโทรปิคอร์นต้องการดูอาวุธของทางฝ่ายเรา ถ้าหากจะอยากสงบศึกจริงๆล่ะก็…คงต้องแสดงความจริงใจเปิดเผย”ตาสีเข้มปรายมามองที่ฉันแว๊บนึง ก่อนจะหมุนตัวยกน้ำชาขึ้นมาจิบ ราวกับว่านี่เป็นแค่การสนทนายามบ่าย คุยไป จิบน้ำชาไป…
บางทีนิสัยยียวนกวนประสาทของราล์ฟนี่มันอาจจะได้มาทางพันธุกรรมก็ได้นะ
“พวกเราต้องออกเดินทางเมื่อไหร่”เจ้าบ้านหันมาสบตากับแพทริกซ์ พลางวางถ้วยน้ำชาลง
“คืนนี้”
…
คณะของท่านหญิง อะความารีน ฮีลเลอร์ก้าวออกสู่รั้วประตู ที่เป็นกำแพงสูงใหญ่โต ออกจากป้อมปราการครอส
จำนวนคนที่ร่วมเดินทางครั้งนี้กับครั้งที่แล้วนั้นแตกต่างราวฟ้ากับเหว เพราะเจ้าบ้านตระกูลโพรเทกเตอร์ชื่อดังไม่ยอมปล่อยให้การคุ้มกันหละหลวมแม้แต่น้อย มีการจัดขบวนล้อมหน้าล้อมหลังบุคคลสำคัญ และแต่ละคนที่ทำหน้าที่คุ้มกันล้วนเป็นนักเวทย์ฝีมือระดับแนวหน้าของตระกูลครอส ทำให้คนสำคัญเริ่มกระวนกระวายทำตัวไม่ถูก
“พ่อแกส่งคนมาทั้งบ้านเลยรึเปล่าเนี่ย”ท่านหญิงกวาดตามองรอบๆตัวแล้วอดสงสัยไม่ได้จึงถามเพื่อนคนสนิทที่เดินอยู่ข้างๆ
“แค่นี้น่ะน้อยแล้ว บ้านฉันทายาทเยอะจะตาย”ราล์ฟพึมพำตอบ ฟังดูน้ำเสียงไม่สดชื่นอย่างเคย “คงจะจัดขบวนให้สมเกียรติอาวุธแห่งแคปริคอร์นละมั้ง”
อะความารีนทำสีหน้าปั้นยาก แล้วเลือกที่จะเดินเงียบๆแทนเพราะคนที่เคยชวนคุยเก่งกลับเล่นบทเงียบ ซึมเศร้าเปลี่ยนเป็นคนละคน
“ฉันกับโพรเทกเตอร์บางกลุ่มจะล่วงหน้าไปสำรวจพื้นที่ข้างหน้าก่อน”แพทริกซ์เปรยเรียบๆ เขาชำเลืองสายตามองทรอนซ์แวบนึง ก่อนจะเลื่อนสายตามาหยุดที่หญิงสาว “ดูแลตัวเองด้วย อะความารีน”
อะความารีน…?
ท่านพี่ไม่เรียกว่า มารีน่า แล้ว?
ท่านหญิงยิ้มแห้งๆ ยังไม่ทันได้เอ่ยลาหรือตอบรับ ร่างหนาของหนุ่มธาตุไฟก็หายไปพร้อมกับกลุ่มคนจำนวนนึง
ทรอนซ์เหลือบมองใบหน้ายุ่งๆแสดงความครุ่นคิดของหญิงสาว แล้วเบือนหน้าออกไปอีกทางหวนระลึกความทรงจำที่เพิ่งจะผ่านมาไม่นานนี้
“ถ้าพูดจากันด้วยเหตุผลไม่ได้ก็อย่าพูดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่เลย!” อะความารีนทำหน้ายุ่งๆ ก่อนจะกระทืบเท้าเดินจากไป
ทรอนซ์เห็นแพทริกซ์จะเดินตามไป ก็เอาตัวเข้าไปขวาง
“หลีกไป”เสียงเข้มออกคำสั่ง
“นายเคยถามเธอรึเปล่า ว่าเธอรู้สึกยังไง คิดยังไง”เจ้าชายเย็นชาขัดขึ้น ไม่มีทีท่าว่าจะหลบ
“ถ้านายอยากมีเรื่องกับฉันล่ะก็…”
“หรือนายกลัว…ว่าอะความารีน จะรักฉัน”
“…”
“ทำไมไม่ลองถามเธอดูล่ะ…แล้วถ้าหากว่า นายรู้ว่าเธอคิดยังไง นายจะรักเธอมากกว่ารักตัวเองไหม”
“แกพูดอะไร”ประกายไฟแล่นแปล๊บผ่านร่างบุรุษธาตุไฟ โดยไม่ได้รักษาอารมณ์อีกต่อไป
“ฉันถามว่านายรักอะความารีน…หรือตัวนายเองมากกว่ากัน”
บุรุษสองคนสบตากันเนิ่นนาน โดยที่ไม่มีใครขยับ
“อะความารีน ฮีลเลอร์ เป็นคู่หมั้นฉัน”
แพทริกซ์กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินกระทบไหล่ชายหนุ่มตรงหน้าอย่างไม่เกรงใจ
ทรอนซ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เมื่อรู้ว่าการเจรจาไม่เป็นผล
ใครจะอยากยอมรับ ถ้าต้องเป็นผู้แพ้?
ทรอนซ์ก้าวตามไปห่างๆ จนถึงประตูห้องที่แพทริกซ์หยุด ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เป็นห้องของราล์ฟเฟ ครอส…เดาไม่ผิดเลยว่าหล่อนจะต้องมาหลบภัยอยู่ที่นี่
ถึงทรอนซ์จะไม่พอใจ แต่ก็ไม่ติดใจเท่ากับปัญหาของคนๆนี้
“สรุปว่าเรื่องแกกับแพทริกซ์ ที่เป็นคู่หมั้นกัน มันก็ยังค้างคาอยู่ แล้วแกกล้าจบเรื่องนี้หรอ?” เสียงเจ้าของห้องดังแว่วมาจากด้านใน ทำให้คนที่อยู่ด้านนอกทั้งสองชะงัก แล้วฟังอย่างตั้งใจ
“ฉันควรทำไงดี ฉันมันแย่มากใช่มะ ที่เป็นคนใจง่ายเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ทั้งที่ให้สัญญากับคนที่รักฉันขนาดนั้นไว้แล้วว่าจะไม่ทิ้งเขาไปไหนอีกน่ะT^T” ทรอนซ์ชะงัก เบือนหน้าไปมองแพทริกซ์ ซึ่งค้างอยู่ในท่าที่กำลังจะเคาะประตู
“เอางี้ ถ้าไม่นับเรื่องรู้สึกผิดถูก แกพอจะให้คำตอบได้ไหมว่าหัวใจแกเลือกใคร อยากอยู่กับใครไปตลอดชีวิต ย้ำ คำตอบนี้จะเป็นคำตอบสุดท้าย แกห้ามเปลี่ยนใจไปๆมาๆ ตกลงไหม”
เป็นวินาทีที่ยาวนานสำหรับทุกคน
ทรอนซ์เกือบลืมว่าเขากำลังกลั้นหายใจ
แพทริกซ์ลดมือข้างนั้นลง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปพร้อมกับคำตอบสุดท้ายของผู้หญิงที่เขารัก
“ฉันรักทรอนซ์…และอยากอยู่กับเขา…ไปตลอดชีวิต”
ทรอนซ์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถเคลียร์เรื่องคู่หมั้นของอะความารีนได้แล้ว แต่เขากลับไม่ได้สบายใจ เพราะแม้ว่าอะความารีนจะมีคำตอบแบบไหน คนอย่างแพทริกซ์ จะยอมปล่อยให้เธอเป็นอิสระจริงหรือ
ว่าแล้วก็เหลือบมองคนที่กำลังคิดถึง ที่เดินอยู่เยื้องไปด้านหน้า แม้จะเห็นเพียงเสี้ยวหน้าแต่ก็รู้ว่าเธอกำลังกังวลอะไรบางอย่าง
“อะความารีน”ทรอนซ์เอ่ยเรียก
“หา?”คนที่เพิ่งตื่นจากภวังค์สะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันมาตามเสียงเรียก เมื่อพบว่าเป็นทรอนซ์เธอก็หยุดรอให้เขาเดินมาใกล้ “อะไรหรอ”
“มีเรื่องไม่สบายใจรึเปล่า”เขาเอ่ยถามโดยไม่ได้ทันสังเกตว่าน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นอ่อนลงเพียงใด
“อ๋อ…ก็ มีนิดหน่อยแหละ แหะๆ”หญิงสาวหัวเราะกลบเกลื่อน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วยิ้ม “ไม่ต้องห่วงหรอก คนที่ต้องห่วงน่ะเจ้าราล์ฟ ทำหน้าซึมเป็นหมาหงอยมาตลอดทาง”
อะความารีนโบ้ยไปยังเพื่อนที่เดินคอตกอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล
“การแต่งงานของตระกูลใหญ่ๆ มันเป็นเพียงหน้าที่”ชายหนุ่มพูดพลางคว้ามือหญิงสาวข้างกายด้วยสีหน้าราบเรียบ แล้วก้าวเดินต่อไปโดยไม่สนใจว่าดวงหน้าละมุนกำลังขึ้นสีแดงระเรื่อ “มันถูกกำหนดตั้งแต่วันที่เธอเกิด…เพื่อความเหมาะสม หรือรักษาความบริสุทธิ์ทางสายเลือด”
“อ…อืม”หญิงสาวขานรับแม้จะยังก้มหน้างุดๆ ไม่กล้ามองสบสายตานับสิบที่เหลือบมองมา ทำให้เธอตกเป็นเป้าสนใจ
“ไม่ชอบหรอ”ได้ยินเสียงแผ่วกึ่งตัดพ้อที่ดังขึ้นข้างๆ ท่านหญิงจำต้องช้อนสายตาไปสบ กับนัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มที่ทอดมองมาก่อน มือหนาบีบมือเธอแน่นครั้งนึงก่อนจะคลายออก
อะความารีนรีบคว้ามือข้างนั้นเอาไว้ราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า
“ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ”กลายเป็นหล่อนที่บีบมือเขาแน่นย้ำในคำตอบ
“…”
ทรอนซ์มองดูท่าทางเอาจริงเอาจังมากเป็นพิเศษของหญิงสาว แล้วหวนระลึกถึงเมื่อคืนที่เธอให้คำตอบอย่างชัดเจน เขาก็ระบายยิ้มจางสีหน้าพลันดูอ่อนลง
“เชื่อแล้ว”เจ้าชายน้ำแข็งละลายมาดเย็นชาลงด้วยน้ำเสียงทุ้มแหบ น่าฟัง
“ช…เชื่ออะไร”ทำให้ดวงหน้างามเบือนไปข้างหน้าอย่างกลบเกลื่อนขณะที่รอยแต้มสีแดงบนแก้มค่อยๆเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ก็ใครใช้ให้เขา มองด้วยสายตาละลายน้ำแข็งได้ทั้งโลกเล่า!
“ก็เชื่อว่า…เธอรักฉัน”ทรอนซ์กระซิบแผ่ว ก่อนที่สีหน้าจะปรับเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบตามเดิม อะความารีนเหลือบมองดูเสี้ยวหน้าไร้อารมณ์ด้วยความรู้สึกหลากหลายผสมปนเปไปหมด
“อะความารีน”เสียงเรียกของหญิงสาวผู้เป็นอาจารย์ผู้ใช้เวทย์ธาตุดินเรียกสติท่านหญิงคนสำคัญให้กลับคืนร่างดังเดิม
“หืม มีอะไรหรอ…โรส?”เธอถึงเข้าใจว่าทำไมทรอนซ์ถึงเปลี่ยนอารมณ์ได้รวดเร็วขนาดนั้น เพราะมีคนเดินเข้ามาแทรกบทสนทนานี่เอง แต่เขากลับไม่ยักคลายมือที่กุมมือน้อยๆของเธอ ในใจอะความารีนรู้สึกอบอุ่นแปลกๆ
“ฉันว่า…เธอควรกลบกลิ่นไอเวทย์ในตัวให้มากกว่านี้นะ…”โรสเซลล่าพูดช้าๆ ขณะที่สายตามองไปยังมือทั้งสองที่จับกุมกันไว้แว๊บนึง
“อื้ม ฉันเข้าใจแล้ว”พูดเสร็จ หล่อนก็รวมสมาธิกักเก็บไอเวทย์ไว้ในจุดเดียว คือบริเวณกล่องเวทย์กลางอกอันเป็นศูนย์รวมของพลังเหล่าผู้ใช้เวทย์
“อีกอย่าง…ฉันฝากเธอไปเตือนเพื่อนของเธอด้วย…”โรสปรายตามองไปยังด้านหลัง เป็นสัญญาณให้อะความารีนมองตามสายตา ภาพราล์เฟที่ดูเหม่อลอยออกไปไกล ยากแก่การคาดเดาอารมณ์ ขณะที่บรรยากาศรอบตัวเขาดูอึมครึมลงอีกทั้งยังมีกระแสไฟแล่นเปรี๊ยะๆ เป็นระยะ แน่นอนว่าไม่สามารถทำอะไรเหล่าพวกพ้องตระกูลครอสผู้มีเวทย์ไฟฟ้าเหมือนกัน แต่ทว่าไม่มีใครกล้าเข้าไปในโลกส่วนตัวของชายหนุ่มผู้นี้
“เฮ้อ…เดี๋ยวฉันไปหาราล์ฟก่อนนะ”หญิงสาวมองเพื่อนรักอย่างหดหู่ก่อนจะหันไปบอกคนข้างกาย ไม่ลืมบีบมือเขาแน่นๆอีกครั้งเพื่อเป็นการขอโทษ ที่ต้องปล่อยมือเขา ทำให้ทรอนซ์มองตามไปอย่างอดห่วงไม่ได้ นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มฉายรอยห่วงใยแว๊บนึงก่อนจะเลื่อนมาสบกับตาคู่สวยของโรสเซลล่า ผู้ซึ่งทอดมองเขามานานแล้ว
และเขาก็รู้ว่าหล่อนมีจุดประสงค์จะคุยกับเขา “มีอะไร”
“ทรอนซีรา…”โรสเปรยเสียงเย็น สีหน้าจริงจัง “นายอาจชนะใจท่านหญิงได้ แต่คำหมั้นหมายของสองตระกูลจะไม่มีวัน…ไม่มีวันถูกยกเลิก นายเข้าใจที่ฉันพูดไหม”
“แล้วยังไง”ไร้อารมณ์ เฉยชา ไม่แยแสกับเรื่องที่หล่อนกำลังพ่นใส่ นี่แหละมาดหยิ่งยโสของเจ้าชายเย็นชาที่หล่อนต้องเจอมาตลอดทาง แต่ไม่ได้ถือโทษโกรธความประณามว่าเขาไร้น้ำใจ เพราะหล่อนเองก็เห็นมากับตาว่าทรอนซีรามีความรู้สึก ลึกซึ้งเพียงใดต่อหญิงสาวคนนั้น
หญิงสาวที่กำลังมุ่งมั่นปลอบโยนเพื่อนรัก
โรสเบือนหน้าไปมอง ขณะสังเกตุว่าทรอนซ์เองก็มองไปทางนั้นไม่วางตา
“แกว่าไงนะ ฉันได้ยินไม่ถนัด?”ราล์ฟเปรยเสียงแหบแห้งเพราะไม่ได้พูดมานาน
“ก็ฉันอยากขี่หลังแกไงล่ะ^^”คนรักเพื่อนยิ้มกว้าง แต่เห็นมันถอดถอนหายใจแทน
“ไม่เอาอะ ไม่มีอารมณ์”สีหน้าที่มักจะขี้เล่นเสมอหม่นลงไร้อารมณ์ตามมันว่า
“ก็ฉันจะทำให้แกมีอารมณ์อยู่นี่ไงเล่า!”ท่านหญิงเริ่มหัวเสียออกแรงกระทืบเท้าหนึ่งที
ได้ยินเสียงหวานแทบจะตะคอกใส่หน้าชายหนุ่ม คนรอบข้างผู้ทำหน้าที่คุ้มกันก็หันมามองควับเป็นตาเดียว อะความารีนกระพริบตาปริบนึกไม่ถึงว่าเสียงตนเองจะดังก้องไปไกลได้ถึงหัวขบวน บรรยากาศแปลกๆ สายตาแปลกๆที่ทิ่มแทงตรงมาทำให้หล่อนหวนคิดคำพูดเมื่อครู่ วนไปวนมาว่าตนพูดอะไรผิด แล้วตากลมโตก็เบิกกว้างอย่างตื่นๆ
“ไม่ใช่น…”กำลังจะอ้าปากอธิบาย เพื่อนหนุ่มข้างๆก็ทนมองเพื่อนรักทำหน้าเหวอต่อหน้าธารกำนัลไม่ได้ จึงก้มตัวลงกระแทกหลังใส่ลำตัวหญิงสาว ด้วยสัญชาติญาณก็คว้าหมับที่ไหล่เขาพอดิบพอดี เขาจึงออกแรงถีบตัวเหินขึ้นต้นไม้ แล้วอาศัยยอดไม้เป็นทางเดินเท้าแทน
“อู้หู! สุดยอด!”อะความารีนเบิกตากว้างทอดมองทรรศนียภาพเบื้องหน้าในมุมสูง
“แกทำฉันมีอารมณ์แล้วนะ^^ ฮ่าฮ่าฮ่า”ราล์ฟอดขำไม่ได้เมื่อนึกถึงสภาพเพื่อนสาวเมื่อครู่ นี่เขาอุตส่าห์ช่วยรักษาเกียรติและศักดิ์ศรีของท่านหญิงตระกูลฮีลเล่อร์เลยนะ
“ราล์ฟ แกอย่าเศร้าไปเลย มารีอาแค่ทำไปเพราะหน้าที่นี่ แกก็รู้ดี”ได้ยินเสียงหวานกระซิบแผ่วข้างหู ราล์ฟเฟก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
“แต่ยังไงหล่อนก็ไม่รักฉันอยู่ดี”
“แกรู้ได้ไง…เคยถามรึไง”
“…”
“อย่าด่วนสรุปทึกทักเอาเองสิ โง่จริง”สองคำหลังนี้หล่อนพูดอย่างเบาเสียงที่สุด
“ว่าไงนะ”
“แกช่างฉลาดล้ำเลิศหาใครเปรียบมิได้”
“เหอะ แกแถอีกแล้ว”
“คำพูดมันแถได้ แต่ความรู้สึกมันแถไม่ได้หรอกนะ…ถ้าเจอมารีอาก็อย่าลืมถามว่าเธอรู้สึกยังไงกับนาย จะได้ไม่มานั่งกลุ้มคิดไม่ตกทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนี้”
“อืม…ฉันจะยอมให้แกด่าครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
“หืมม์ แล้วแกจะทำอะไรฉันรึไง^^”
“โยนแกลงไป ลองดูซิว่าทรอนซ์มันจะมารับแกทันไหม- -”
“นี่แกกล้าขู่หรอ!....แหะๆใจเย็นดิราล์ฟ ไงเราก็เพื่อนรักกัน เนอะๆTT”
ให้ตายสิ มันไม่รู้หรือไงว่าถึงเขาจะโยนลงไปจริงๆ มันก็สามารถใช้เวทย์ธาตุลมหอบพยุงร่างได้ ยังไงๆจะท่านหญิงอะความารีน หรือ อเมทิสต์ มันก็ยังเป็นคนเดิม
ห่วงคนอื่น มากกว่าตัวเอง
“ขอบใจ”
“ห้ะ อะไรนะ แกพูดอะไรราล์ฟ ไม่ได้ยิน”
“ฉันบอกว่าเหนื่อยใจกับแกจริงๆ อนาคตแคปริคอร์นล่มสลายแน่ชัวร์ป้าบ”
“เหอะๆ นี่แกแถใช่มะ…”
ในขณะที่เพื่อนรักสองคนสนทนากันอยู่ด้านบน บริเวณพื้นด้านล่างก็มีคู่สนทนาที่ฝ่ายนึงเอาแต่นิ่งเงียบ ขณะที่อีกฝ่ายเอาแต่จ้อง และถาม
“นายแย่งคนรักของท่านแพทริกซ์ไปไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ”โรสยังยืนยันหนักแน่น แต่ก็ยังไม่เห็นสายตาสั่นไหวหรือสะทกสะท้านจากคนข้างกาย
“พูดจบรึยัง?”คู่สนทนาตัดบทดื้อๆ เดินก้าวเท้าให้เร็วขึ้น ไม่ใช่แค่เพราะต้องการเดินออกห่างโรสที่พูดจาระคายหู ชัดว่าอยากให้เขาตัดใจ แต่เพราะจะไล่ตามฟังอะความารีนกับเจ้าราล์ฟคุยกันอย่างออกรส ดูสนิทสนมกันไปหรือเปล่านะ?
เฮ้อ หรือว่าเขาจะ หวง มากเกินไปแล้ว
“ท่านแพทริกซ์รักและเอ็นดูท่านหญิงมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งทะนุถนอม ปกป้องดูแล…”
“เธอต้องการอะไรกันแน่โรส?”ทรอนซ์เป็นฝ่ายหยุดเดิน แล้วยิงคำถามบ้าง ตาสีเข้มเริ่มขุ่นมัวเพราะเสียงของเจ้าหล่อนดังรบกวนเสียงหวานที่เขาตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ
“ม…หมายความว่ายังไง”หญิงสาวชะงักค้าง
“ที่เธอกำลังทำอยู่…ไม่ได้แปลว่ามีใจให้แพทริกซ์หรอกหรือ”ทรอนซ์ปรายตามองด้วยสายตาเย็นเยียบ ไอเย็นนั้นแล่นกุมหัวใจคนฟังจนหนาวสะท้านทั้งร่าง
“ฉันไม่เคยอยู่ในสายตาเขา ไม่เคยสักครั้ง…”โรสทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำ พูดเสียงอู้อี้ทั้งน้ำตา นี่หล่อนรักเขาถึงขั้นเจรจาขอให้เสี้ยนหนามหัวใจของเขาหลีกทางออกไป หลงไหลคลั่งไคล้ถึงกับเคยขอติดตามรับใช้ เป็นเมมเบอร์ผู้ภักดีและซื่อสัตย์…แล้วอย่างไร ยังไงหญิงในดวงใจของเขาก็มีเพียงคนเดียว ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ทรอนซ์ถอนหายใจยาว ไม่คิดจะปลอบโยนหรือแสดงความเห็นอกเห็นใจ ร่างหนาก็รีดพลังไอน้ำมายังฝ่าเท้า ให้ตัวพุ่งขึ้นไปยังยอดไม้ด้านบน ตามติดท่านหญิงและสหายรักอยู่ห่างๆ…อย่างห่วงๆ
… [40%]
ถ้ายกให้ซิลเวอรี่เป็นเมืองชายแดนอันเป็นสวรรค์การท่องเที่ยวแห่งทิศใต้ เมืองพาซีโบ เมืองแห่งผู้ใช้เวทย์พลังจิต ติดเขตชายแดนทางทิศเหนือ ก็คงเป็นวิมานเทพกลางดิน
ตั้งแต่พ้นเขตประตูเมืองหินอ่อนสีขาว การตกแต่งเมืองไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน ร้านค้า สิ่งก่อสร้างล้วนอยู่ในโทนสีขาวสะอาดตา เดินไปเรื่อยจนถึงกลางใจเมืองก็พบน้ำพุขนาดใหญ่ที่มีรูปปั้นแทนสัญลักษณ์พลังจิต เป็นรูปดวงตา ในตาข้างนั้นมีดาวห้าแฉกสีเหลืองเปล่งประกายระยิบระยับอย่างน่าอัศจรรย์
และเนื่องจากเป็นเขตแดนที่อยู่ติดกับดินแดนอมนุษย์โทรปิคอร์น กำลังคุ้มกันจึงแน่นหนาเป็นพิเศษ
ได้ยินจากเจ้าราล์ฟมาว่า เป็นครั้งแรกที่แคปริคอร์นจะต้อนรับโทรปิคอร์นเข้าบ้าน
การเจรจาสงบศึก กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองวัน ในวันแต่งงานของ มารีอา
“พวกท่านรออยู่ที่นี่ ข้าจะไปรายงานคนของสภาว่าท่านหญิงมาถึงแล้ว”แคล หญิงสาวนักรบจากบ้านตระกูลครอสพูดสั้นๆ ก่อนจะหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉันถอนหายใจเฮือก เลือกจะทิ้งตัวลงนั่งลงบนเก้าอี้ข้างน้ำพุ กวาดตามองคณะเดินทางแต่ละคนก็เผยสีหน้าเมื่อยล้าจากการเดินทางอันยาวนาน แถมรีบเร่งเพราะกำหนดการช่างกระชั้นชิด…ยังดีที่มาถึงก่อนวันงานตั้งสองวัน
อันที่จริงพวกเราควรจะมาถึงก่อนหน้านี้สามวัน แต่ขณะเดินผ่านเมืองต่างๆ ราล์ฟเฟที่เลิกทำตัวหงอยก็ตื่นตาตื่นใจกับทัศนียภาพแปลกใหม่ ก็ชักชวนหว่านล้อมให้นั่งพัก ชมวิวทิวทัศน์ ลองชิมอาหารพื้นเมือง
ไม่มีใครอยากห้าม เพราะรู้ว่าลึกๆแล้วมันคงกำลังเจ็บปวดอยู่ มีอะไรสนุกๆทำก็ทำซะ
แต่ที่แปลกยิ่งกว่าใคร คือบุรุษจอมเย็นชา ทรอนซีรา
มาดน้ำแข็งเหมือนจะค่อยๆละลายหายไปทีละนิด อย่างสังเกตุเห็นได้ชัดเจน…ขณะที่ฉันคุยสนุกกับราล์ฟ ก็รู้สึกถึงสายตารบกวนนั่นส่งมาเป็นระยะๆ พอหันไปจ้องตอบก็พบว่าตาคู่นั้นแฝงอารมณ์ขุ่นๆ ดวงหน้าคมคายหล่อเหลาแสร้งเบือนออกไปอีกทาง อย่างจงใจ…นี่คืออารมณ์ตัดพ้อ น้อยใจหรือเปล่า…แค่คิดยังไม่กล้าเลย
ความคิดสะดุดลงอยู่แค่นั้น เพราะร่างหญิงงามที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาสะกดสายตาฉันไว้ไม่กระพริบ ใบหน้าอ่อนโยนนั้น ตาคู่นั้น ริมฝีปากบางที่กำลังคลี่ยิ้มงดงามเมื่อเห็นฉันจ้องไป ร่างนั้นก็เดินตรงมาหาฉันเร็วขึ้น
“ท่านเนเฟิลไนล์…”นักรบตระกูลครอสยอบเข่าลงข้างนึง ก้มหัวคำนับผู้มาเยือน
“…ท่าน…แม่”ฉันรู้สึกเหมือนกลืนก้อนบางอย่างที่จุกในคอลงไปได้อย่างยากเย็น วิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดที่แสนคิดถึง ที่โอบอ้ารออยู่พร้อมยิ้มประดับใบหน้า
เหมือนความฝัน ความอุ่นนี้ ความสบายใจแบบนี้ ที่ขาดหายไปในช่วงไร้ความทรงจำของอะความารีน ฮีลเล่อร์…ฉันเหมือนค่อยๆถูกเติมเต็มทีละนิด
“มารีน่า…แม่คิดถึงลูกเหลือเกิน”เสียงหวานดังสั่นนิดๆข้างหู ถึงจะไม่ได้มองใบหน้าท่านแม่ก็รู้ว่าท่านกำลังหลั่งน้ำตาเงียบๆ
“ท่านแม่อย่าร้องไห้เลยค่ะ”ฉันผละจากกอดเล็กน้อย คลี่ยิ้มทั้งน้ำตาให้ผู้หญิงที่ฉันรัก มากที่สุด “มารีน่ากลับมาแล้วท่านแม่”
“โถ่ ลูกแม่ แม่ทำให้ลูกต้องลำบากมามาก ยกโทษให้แม่เถอะนะ”
“มารีน่า”เสียงแหบแห้งจากบุรุษผู้มีน้ำตาเอ่อคลอหน่วงดังขึ้นด้านหลังท่านแม่ไม่ไกลนัก ฉันยิ้มกว้างอย่างสุดซึ้ง ขานเรียกรับอย่างมีความสุขที่สุด
“ท่านพ่อ”มีความสุขมากที่สุดในชีวิตแล้วมั้ง ผู้ชายที่ฉันรักมากที่สุดคนนี้ดูจะผอมลงไปรึเปล่านะ เขาขึ้นชื่อว่าเป็นฮีลเล่อร์อันดับหนึ่งของแคปริคอร์น สงสัยว่าจะโหมงานหนักเหมือนเคย
เราสามคนพ่อแม่ลูกก็ผลัดกันกอด ด้วยรอยยิ้ม และความยินดีในการพบหน้ากันอีกครั้ง
“แม่ส่งลูกแค่นี้ก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะต้องกลับไปที่ฮีลเลอร์สเตชั่น สถานการณ์ช่วงนี้ยังวุ่นวายเหลือเกิน…”
หลังจากที่พูดคุยถามไถ่และกอดจนหายคิดถึงไปบ้างแล้ว ท่านพ่อและท่านแม่ก็นำพวกเราไปส่งที่อาคารสภาความมั่นคง ซึ่งจะเป็นที่พักนอนของทุกคนในคณะเดินทาง
“ท่านแม่ต้องพักผ่อนเยอะๆนะคะ ท่านพ่อเองก็ห้ามโหมงานหนักมากเชียวนะ”ฉันมองใบหน้าของคนทั้งคู่สลับกันไปมา แล้วรวบกอดคนทั้งคู่ไว้อีกครั้ง พอรู้ว่าจะต้องแยกจากกันอีกแล้ว และไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่
“พวกเรารักลูกมารีน่า…พ่อเชื่อว่าลูกต้องทำภารกิจนี้สำเร็จอย่างแน่นอน”
ฉันมองตามร่างทั้งสองเดินหายไปจากไป ลอบปาดน้ำตาที่ซึมออกมาเล็กน้อย เฮ้อ…ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะได้กลับมาอยู่เป็นครอบครัวเสียที ที่ผ่านมา ช่างเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจริงๆ แต่จะทำให้พวกท่านเป็นห่วงฉันมากกว่านี้ไม่ได้เด็ดขาด งานที่มีอยู่ก็ล้นมือมากเสียจนไม่มีเวลาพักผ่อนแล้ว ฉันได้ยินมาว่าตั้งแต่เกิดสงครามก็มีนักเวทย์ต้องล้มเจ็บเป็นจำนวนมาก ฮีลเลอร์ทั่วแคปริคอร์นถูกใช้งานอย่างหนักหน่วงเลยทีเดียว
“ยินดีด้วยนะ ในที่สุดแกก็ได้เจอครอบครัวสมใจซะที^^”ราล์ฟยิ้มแป้น เดินเข้ามาหา
“ยิ่งเป็นแบบนี้ ฉันยิ่งอยากทำภารกิจนี้ให้มันจบๆไปเร็วๆเลย”
“ง่า…ทำให้จบ? แล้วทำยังไงล่ะ”
“ปัญหามันอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รู้เลยว่า ต้องทำยังไงT_T”
“มันยังไม่จบง่ายๆหรอกนะ”เสียงหวานคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง ฉันเบิกตาโพลงอ้าปากกว้าง หัวใจเต้นรัวเร็ว
“มารีอา!!”โอ้ย ดีใจมากที่พบหล่อนอีกครั้ง
“ไง อะความารีน…”มารีอาพาร่างสวยสมส่วนมาหยุดตรงหน้าฉันพลางคลี่ยิ้มจางๆ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปสบกับราล์ฟที่ดูจะนิ่งค้างเหมือนถูกสาปเป็นหินไปซะงั้น “ไง ราล์ฟเฟ”
ฉันยิ้มค้าง เมื่อเห็นเพื่อนรักข้างๆไม่ยอมขยับปากพูดอะไรออกมาสักแอะ ผิดนิสัยมันจริงๆ อีกทั้งยังเอาแต่จ้องหน้ามารีอา ทำให้ฉันต้องเขยิบเข้าไปใกล้แล้วกระทุ้งศอกใส่มันซักที มันเลยยอมกระพริบตา ส่งสายตาค้อนขวับมาให้
“เอ่อ…พวกนายคงอยากคุยกันเป็นการส่วนตัว…งั้นฉันลาล่ะ มารีอา แล้วเจอกันนะ”ฉันตัดบทฉับแล้วหาทางเผ่นแน่บ ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน
…
ราล์ฟเฟถลึงตามองตามเพื่อนตัวแสบที่โยนระเบิดเสร็จก็เผ่นหนีไปไกล เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ กลับมาสบตากับนัยน์ตาสีชาอ่อนคู่สวย แล้วความเงียบก็โรยตัวลงมา ไม่มีใครเป็นฝ่ายพูด
“ไม่คิดจะทักทายกันบ้างรึไงนะ”ในที่สุดฝ่ายหญิงก็ทนความอึดอัดไม่ไหว จึงเอ่ยปากก่อน
“จะให้ทักว่าไงล่ะ…เป็นไงบ้าง มารีอา ตื่นเต้นไหม ยินดีด้วยนะที่กำลังจะแต่งงาน…อย่างนั้นหรอ”แม้ตกอยู่ในสถานการณ์เคร่งเครียดแต่ก็ติดนิสัยกวนประสาท ราล์ฟพูดรัวเร็วไปตามที่สมองคิดโดยไม่ผ่านการไตร่ตรองใดใด
“หึหึ”มารีอาหัวเราะในลำคอ ดวงหน้างามเผยความสุขจนคนอมทุกข์ชักเริ่มหงุดหงิดขึ้นไปอีก
“ขำอะไรนักหนา”
“นายดูไม่เหมือนนายเลยซักนิดราล์ฟเฟ…ไม่เหมือนเจ้าจอมพูดมากที่ฉันรู้จัก”
“เหอะ…”
“คำพูดมันแถได้ แต่ความรู้สึกมันแถไม่ได้หรอกนะ…ถ้าเจอมารีอาก็อย่าลืมถามว่าเธอรู้สึกยังไงกับนาย จะได้ไม่มานั่งกลุ้มคิดไม่ตกทำหน้าเป็นหมาหงอยแบบนี้”
จู่ๆคำพูดของอะความารีนก็ดังก้องขึ้นในหัว ในใจบังเกิดความลังเล แต่ก็ตัดสินใจพูดออกไป
“มารีอา…จริงๆแล้วเธอคิดยังไงกับฉันกันแน่ ฉันแสดงออกชัดเจนว่ารู้สึกยังไงกับเธอ แต่เธอไม่เคย…ให้ฉันได้รู้บ้างว่าจริงๆแล้วฉันคิดไปเองฝ่ายเดียวหรือไม่”ท่าทางจริงจังกับตาสีฟ้าเป็นกระกาย ฉายแววซื่อๆตรงไปตรงมา ตรึงสายตาของสตรีร่างสมส่วน
รู้สิ…เธอรู้ว่าที่ผ่านมา เจ้าคนที่ดูไม่มีสาระตรงหน้าทั้งปกป้อง และดูแลเอาใจใส่เธอมากขนาดไหน คอยกวนใจอยู่ทุกวันให้รู้สึกรำคาญไม่อยากเข้าใกล้ แต่วันเวลาที่ผ่านมาเธอเองก็รู้ดีว่าขาดคนคนนี้ไป โลกก็ช่างดูเงียบเหงาเกินพรรณนา คิดถึงเสมอว่าเขาจะไปสร้างเรื่องเดือดร้อนอีกหรือเปล่า
แต่…กฏของทายาทไทรีนอลก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อยู่ดี
อีกสองวันเธอจะกลายเป็นภรรยาของเอริค ฟิลเลอร์
หัวใจน้อยๆรู้สึกปวดหนึบ เฝ้ามองดูความจริงใจของบุรุษตรงหน้า มีหรือจะไม่รู้ แต่ทว่าเธอเองก็ไม่รู้จะตอบรับอย่างไร
“นายถามว่าฉันคิดยังไงกับนายหรอราล์ฟเฟ”มารีอาทวนคำถามเบาๆ คลี่ยิ้มอ่อนโยนทำให้คนตรงหน้าชะงักค้างตะลึงในความหวานจากสายตา อารมณ์ความรู้สึก ความลึกซึ้งเจือเศร้าถูกถ่ายทอดออกมาแทนคำพูด “ฉันไม่มีสิทธิ์พูดหรอก นายดูเอาไว้แล้วกัน”
ก่อนที่ร่างบางสมส่วนจะตัดใจพลิกกายกลับไป ราล์ฟฉุดมือเล็กๆข้างนึงไว้แล้วดึงมาให้ร่างหญิงในดวงใจมากอดไว้แนบอก ตาสีชาอ่อนเบิกกว้างอย่างตื่นๆอย่างยังไม่มีโอกาสได้ร้อง ก็พบว่าริมฝีปากบางถูกทาบทับลงมาหนักหน่วง ถือสิทธิ์จารึกความอุ่นไว้อย่างอุกอาจ
มารีอาก่นด่าคนที่ไม่รู้จักยับยั้งห้ามใจตรงหน้าเพียงในใจ ก่อนหลับตาพริ้มรับและส่งจุมพิตแสนหวานของเขาและเธอ นี่คงเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย…
เสียงในหัวใจกระซิบซ้ำๆ หัวใจมารีอาพองโตกับความรู้สึกที่ถูกปลดปล่อยออกมา
ราล์ฟเฟ…ฉันรักนาย…ฉันรักนาย
…
“นาย…นายๆ ใช่ นายนั่นแหละ”อะความารีนกวักมือเรียกนักรบบ้านครอส ที่ยืนเฝ้ายามอยู่ที่ประตูหน้าห้องประชุมของสภาความมั่นคง หล่อนจำได้ว่าเขาคือหนึ่งในผู้ติดตามที่ตามแพทริกซ์ไปสำรวจสถานที่ล่วงหน้า แต่ล่วงเลยมาถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเงาของเขา นั่นทำให้รู้สึกใจคอไม่ดี
“มีอะไรให้รับใช้ครับ ท่านหญิงอะความารีน”หนุ่มนักรบที่สูงกว่าหญิงสาวอยู่หลายคืบค้อมหัวคำนับทีนึง
“ท่านพี่ไปกับพวกนายนี่ แล้วเขาไปอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ…ท่านแพทริกซ์ถูกเรียกตัวไปประจำการณ์ที่กำแพงชายแดนครับ ทุกคืนจะมีสัตว์ประหลาดพยายามจะเข้ามาในเมืองบ่อยๆ กำลังคนของเราก็น้อยลงทุกที คนเจ็บก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ…”ทหารนักรบรายงานยาวเหยียดด้วยความเคยชิน ก่อนจะสะดุดคำพูดเพราะลืมว่าไม่ใช่เวลามารายงานสถานการณ์น่าหวาดวิตกแก่ท่านหญิง
“ถ้าอย่างนั้นฮีลเล่อร์สเตชั่นคงรับงานหนักมากสินะ”หญิงสาวนิ่งเงียบไปอย่างใช้ความคิด นึกถึงดวงหน้าอิดโรยของท่านพ่อท่านแม่ ก่อนจะตัดสินใจบางอย่าง “กำแพงนั่นอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ…”
“บอกมาเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
“ท่านแพทริกซ์สั่งห้ามไม่ให้ท่านหญิงไปที่นั่นครับ”
“…”ท่านพี่หนอท่านพี่ ชอบกักขังอิสรภาพกันอยู่เรื่อย นี่เธอโตแล้วนะ!
“ท่านหญิง…ทำไมถึงต้องแผ่ไอเย็นออกมาด้วยละครับT^T”
“นายนำฉันไปที่กำแพงประตู…เดี๋ยวนี้เลย!”
ไม่ต้องรอคำสั่งที่สาม นักรบตระกูลครอสก็เลือกที่จะรักชีวิต แทนคำสั่งของราชามัจจุราชไฟ
Writer: ตอนนี้ก็ค่อนข้างหมกมุ่นกับการแต่งนิยายเรื่องนี้ให้เสร็จก่อนเปิดเทอม ดองมานานมากจนเค็มปี๋แล้ว โทษใครไม่ได้ต้องโทษตัวเองที่พล๊อตไว้ซะยาว เกิดมาไม่เคยแต่งนิยาย แถมมาเรื่องแรกก็แบ่งเป็นสองภาค ฮือๆ ทำไมมันยาวจังYY -บ่นตัวเอง
ตอนแรกก็กังวลว่าจะมีคนเข้ามาอ่านไหมน้อ…แต่เอาเป็นว่า แต่งไว้อ่านเองละกันค่ะ 555 ขอบคุณที่ยังเป็นกำลังใจให้มาโดยตลอด คอมเม้นเป็นกำลังใจให้ไรท์เตอร์ด้วยน้าTT^TT ขอบคุณมากค่ะ !
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อัพบ่อยๆนะ