ตอนที่ 38 : The Keyz(2) 38 ทวงสิทธิ์
[38]
ฉันกระพริบตาปริบๆ กลืนน้ำลายหลายอึก ในขณะที่สายตายังไม่ละออกจากประตูไม้บานใหญ่ที่มีใครบางคน ที่ฉันกำลังคิดถึงอยู่ในห้องนั้น
เขาจะโกรธฉันไหม หรือไม่อยากเห็นหน้าฉันอีกแล้ว?
ภาพที่แผ่นหลังกว้างนั่นเดินออกไปจากสนามฝึกยังลอยค้างอยู่ในหัว พอๆกับความรู้สึกผิดที่เอ่อล้นเต็มอก
ก็แค่ลืมนึกไป ว่าฉันเองก็เคยเกือบตายจริงๆ ถึงสองครั้งสองครา แล้วยังจะคิดแผนที่เอาความเป็นความตายมาล้อเล่น ไม่แปลกที่ท่านพี่จะโกรธจนเดินหนี โกรธจนไม่ยอมมาเจอหน้าเลยหลังจากเหตุการณ์นั้น
เอาวะ ผิดก็ต้องรับผิด ทำผิดก็ต้องขอโทษ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ก๊อกๆๆ
ฉันบรรจงเคาะประตูสามครั้งแต่มันเบากว่าที่คิดไว้มาก
ก็...จริงๆแล้วยังไม่พร้อมจะเจอหน้า แล้วโดนดุหรอกนะT_T
ต้องใช้ความใจกล้าหน้าหนาก้าวเท้าขวาเข้าไปแตะพื้นพรมภายในห้อง ก่อนจะเบียดตัวผ่านช่องประตูแคบๆโดยพยายามไม่ให้เกิดเสียงเลยแม้แต่น้อย...นี่ตกลงฉันเข้ามาขอโทษเขาหรือขโมยของห้องเขากันแน่วะเนี่ย- -
ฉันส่ายหน้ากับความประหม่าดูมีพิรุธของตนเองก่อนจะเปลี่ยนจากท่าเดินย่องๆมาเป็นเดินสบายๆพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วสูดอากาศกลับเข้าไปเต็มปอด
“ท่านพี่...”ฉันส่งเสียงร้องเรียกเบาๆ พลางสำรวจห้อง ที่ดูเหมือนจะเป็นห้องรับแขกเพราะมีโซฟาตัวใหญ่วางอยู่กลางห้อง แต่ไม่เจอคนที่กำลังตามหา
แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับประตูบานไม้สีขาวที่ถูกแง้มไว้เล็กน้อย...เหมือนกับเชื้อเชิญให้เข้าไป
ฉันขยับเท้าเดินไปทางประตูนั่น ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปยังห้องด้านใน
แล้วก็พบคนที่ทั้งอยากเจอที่สุดและไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้จนได้
“อะแฮ่ม...ท่านพี่”ฉันกระแอมเบาๆก่อนจะยิ้มกว้างใส่ ในเมื่อจะผูกมิตรก็ต้องมอบรอยยิ้มจริงใจ(?)ไปก่อนไม่ใช่หรอ
“…”ยิ้มค้างทันทีเมื่อคนที่ถูกเรียกเพียงตวัดสายตามามองแวบเดียว ก่อนจะก้มลงมองเอกสารมากมายที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้าต่อ
เล่นตัวซะด้วย...
ฉันหัวเราะฝืนๆ ก่อนจะทำกระดี๊กระด๊าวิ่งร่าทำสนใจว่าเขาทำอะไรอยู่ “อ่านอะไรอยู่คะ”
แค่ยืนอยู่ด้านหลังนี่ก็รู้สึกถึงความเหินห่างของคนตรงหน้าแล้ว...ชัดเจนแล้วว่าเขาโกรธมากเลยทีเดียว เพราะไม่เคยมีครั้งไหนที่เขาจะหลบหน้าไม่พูดไม่จาแบบครั้งนี้
“คือ...มารีน่ามีเรื่องจะมาพูดด้วย ขอเวลาสักนิดได้ไหม...ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”คำพูดที่ออกจากปากไม่ได้เรียบง่ายแบบที่สมองสั่งให้พูด ทว่ามันกลับตะกุกตะกักและแผ่วเบา
สังเกตว่าแผ่นหลังกว้างกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย บ่งบอกว่าเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ ก่อนที่เจ้าของนัยน์ตาสีแดงที่ตอนนี้ทอแสงอ่อนลงนั้นยอมหันมาสบ “มีอะไร”
ฉันกระพริบตาปริบ ช้าๆตามบทหญิงสาวน่ารัก(?) บรรจงยิ้มละเมียดละไม หลุบตาลงต่ำตามสเต็ป ที่ซ้อมไว้อย่างดิบดี ก่อนจะซัดขั้นสุดท้ายด้วยการช้อนสายตาขึ้นมองบุคคลตรงหน้าอย่างเว้าวอน “ฉันขอโทษ...มารีน่าขอโทษนะ ท่านพี่”
ไอ้สเต็ปนี้...คนสอนคือผู้รู้มากที่มันอวดอ้างว่ามากประสบการณ์อ้อนสาว จนสำเร็จได้ใจกลับมาหลายราย ฉันไม่ได้เป็นคนคิดเองนะ _ _
ดูสีหน้าแพทริกซ์จะเกร็งขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วเดินเข้ามาหา…ในขณะที่กำลังงงๆก็รู้สึกได้ว่ามือถูกดึงกระตุกเบาๆก่อนที่ร่างจะเซไปซบกับแผงอกอุ่นๆ กลิ่นธาตุไฟบริสุทธิ์ลอยมาแตะจมูกจางๆ
แหมะ...สงสัยว่าจะต้องกลับไปชมราล์ฟเฟว่าแผนมันเวิร์คมากสมกับคำโอ้อวด
“ความจริง ฉันไม่ได้โกรธเธอ แต่โกรธตัวเอง”แพทริกซ์ลูบเส้นผมของฉันเบาๆ แม้ไม่ได้มองสายตาและสีหน้าแต่ก็พอเดาออกว่ามันคงอ่อนโยนจนหลอมละลายหัวใจสาวๆได้หลายหนเลยล่ะ “ครั้งนั้น...ฉันทำร้ายเธอกับมือ จะให้ลืมลงได้ยังไง การสูญเสียไม่ใช่เรื่องสนุกเลยนะ”
ง่า...ไหงหางเสียงกลับกดต่ำเหมือนตำหนิกลายๆยังไงยังงั้นอะ
“เอ่อ...มารีน่าไม่ทำอีกแล้ว สัญญา”
“แน่นะ?”
“อื้อ”
“อืม...ก็ดี”
น้ำเสียงท่านพี่ค่อนข้างแหบพร่าแต่ช่างดูมีเสน่ห์ ห้องทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบไม่มีท่าทีว่าเขาจะยอมคลายอ้อมกอดอุ่นๆ ฉันจึงกวาดตามองไปรอบๆ โต๊ะทำงานที่มีเอกสารมากมาย ส่วนนึงเป็นรายงานสถานการณ์จากเขตต่างๆ ดูเหมือนเขาก็มีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบคุ้มครองแคปริคอร์น ในขณะเดียวกันต้องมานั่งสอนเวทย์ให้ฉัน เขาคงเหนื่อยมากสินะ
“ความจริงท่านพี่ไม่ต้องเหนื่อยมาสอนมารีน่าก็ได้ ให้ราล์ฟสอนก็ได้นะ”ฉันพูดอย่างรู้สึกเห็นใจคนตรงหน้าที่แบกรับหน้าที่เอาไว้มาก จนไม่ได้ทันคิดว่าร่างหนาตรงหน้าเกร็งขึ้นเล็กน้อย พอสมองประมวลผลทันก็รีบเปลี่ยนคำพูด “หมายถึงให้โรสเซล่าสอนก็จะดีกว่ามากน่ะ...เพราะท่านพี่มีงานต้องรับผิดชอบมากมาย”
ฉันรีบเสริมเมื่อสังเกตอีกทีว่าเขายอมผละจากกอด แต่ไม่ยอมปล่อยมือทั้งสองที่กุมต้นแขนฉันไว้สองข้าง
ให้ตายสิ...ตาคมกริบคู่นั้นหรี่ลงอย่างจับพิรุธ แทบจะสแกนทุกส่วนบนใบหน้าฉัน ถ้าไม่เคยฝึกรับมือกับตาคมๆเย็นๆมาก่อนฉันคงเหงื่อแตกไม่กล้าสบตาอยู่เหมือนกัน
หวง...หวงฉันกับไอ้ราล์ฟเนี่ยนะ!!! =[]=
“อืม...ไม่เป็นไร เพราะช่วงซ้อมคงเป็นเวลาเดียวที่เห็นหน้าเธอ”แพทริกซ์ยกมือขึ้นแตะจมูกฉันอย่างแผ่วเบา ริมฝีปากบางขยับขึ้นลงช้าๆทว่าเสียงกลับฟังดูหนักแน่นชัดเจน
ฉันยิ้มบางๆก่อนที่จะแทบหุบยิ้มทันทีเมื่อเขายื่นกระดาษสีขาวให้ใบหนึ่ง
“นี่มัน...คืออะไร”พอลองกวาดตาลวกๆดูแล้ว สลับกับใบหน้าคมที่ยิ้มเย็นๆให้ ตาฉันเบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ หัวใจเต้นรัวเร็ว อยากจะกรีดร้องหมดภาพพจน์ท่านหญิงแห่งตระกูลฮีลเลอร์แต่ยังห่วงหน้าตาท่านพ่อท่านแม่เลยไม่ได้ทำ...นี่มัน นี่มันจะฆ่ากันเลยนี่!
ตารางซ้อมของ อะความารีน ฮีลเลอร์
5.30-8.00 : ฝึกใช้เวทย์ธาตุลม
ผู้ฝึก : ราล์ฟเฟ
8.00-9.00 : พักทานอาหารเช้า+พักผ่อนตามอัธยาศัย
9.00-11.30 : ฝึกใช้เวทย์ธาตุดิน
ผู้ฝึก : โรสเซล่า
11.30-13.00 : พักทานอาหารกลางวัน+พักผ่อนตามอัธยาศัย
13.00-15.30 : ฝึกใช้เวทย์ธาตุไฟ
ผู้ฝึก : คู่หมั้นที่รัก
15.30-18.00 : ฝึกใช้เวทย์ธาตุน้ำ
ผู้ฝึก : ทรอนซีรา
นี่มันอะไรกัน ตารางบ้าๆนี่ ตื่นแต่ไก่ยังไม่โห่ ใช้เวทย์แทบทั้งวัน พักตามอัธยาศัยงั้นหรอ? แค่เดินจากสนามไปห้องอาหารมันก็ปาไปเกือบครึ่งชั่วโมง! แล้วไปกลับมันก็ชั่วโมงแล้ว อย่าเรียกว่าพักเลย ขี้ทันรึเปล่าก็ไม่รู้เลย ฮึ่ย!!
“ไม่ๆๆๆ ไม่เอาT_T”ฉันเบ้หน้าแล้วส่งกระดาษคืนแทบจะทันที
“เธอมีตัวเลือกด้วยหรอ เจ้าแมวน้อย”เสียงนุ่มละมุนทว่าสายตาและรอยยิ้มกลับตรงกันข้าม นี่เขาลงโทษฉันเรื่องนั้นหรอ!
“ตอนแรกคัดค้านเรื่องการฝึก ตอนนี้ทำมาเป็นจัดการตารางซ้อม”ฉันอดแขวะไม่ได้ โดยไม่ลืมที่จะส่งสายตาค้อนๆวงโตไปให้
“หึหึ เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยนะ อ่า...นี่ก็ได้เวลาแล้ว โรสเซล่าคงกำลังรอเธออยู่น่ะ รีบไปเถอะ”ดวงหน้าคมคายดูผ่อนคลายอารมณ์ดี ปากบางระบายรอยยิ้มนิดๆก่อนจะทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ทำงาน จมอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า
...
“อย่าให้ตาฉันบ้างแล้วกัน!”เสียงหวานประกาศก้องก่อนที่เจ้าตัวจะก้าวจ้ำอ้าวไปยังประตูก่อนจะปิดประตูดังปัง! บ่งบอกถึงอารมณ์อันไม่สงบที่โดนบังคับยัดเยียดให้รับการฝึก เจ้าหล่อนไม่ลืมจะส่งสายตาคาดโทษไว้ก่อนจะจากไป
นัยน์ตาสีแดงทอประกายวูบหนึ่ง ก่อนจะหลุบตาลงพร้อมระบายรอยยิ้มอ่อนๆ ความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง การแบกรับภาระหนักอึ้งในฐานะประธานนักเรียนแห่งแคปริคอร์น ที่มีภารกิจคุ้มครอง ตรวจตราดูแลเขตแดนต่างๆ ดูเหมือนว่าเป็นงานที่หนักเกินกว่าตำแหน่งที่เขาเป็นอยู่...ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้คัดค้านต่อต้าน ถ้าเพียงเพื่อปกป้อง...ผู้หญิงที่เขารัก จากภยันอันตรายที่อยู่รอบนอกรั้วคุ้มครองนั่น...
ใช่...เขาไม่มีวันให้อันตรายเฉียดกรายเข้าใกล้เธอ
หากแต่ถ้าเขาพลั้งพลาด หรือไม่อาจรักษาชีวิตตัวเองไว้เพื่อปกป้องเธอ
เธอจะต้องรักษาตัวเองได้ และการฝึกหนักจำเป็นที่สุดสำหรับอะความารีน ฮีลเลอร์ในยามนี้
พลังมหาศาลที่อยู่ในร่างกายบอบบาง อำนาจที่อยู่ในกำมือเล็กๆ
มือคู่นั้นที่กุมหัวใจเขาเอาไว้
แพทริกซ์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลืมตาเพื่ออ่านเอกสารรายงานต่อ โดยยังมีใบหน้าหวานละมุนลอยค้างอยู่ในหัว คล้ายเป็นกำลังใจเล็กๆที่หล่อเลี้ยงหัวใจเขา ให้รับมือกับกองเอกสารตรงหน้าทั้งวันโดยไม่ได้ขยับออกไปไหน
...
โรสเซล่าปรายตามองหญิงสาวคนสำคัญที่เพิ่งเข้ามาถึง ณ บริเวณฝึก ซึ่งเป็นสถานที่โล่งกลางแจ้งเต็มไปด้วยผืนหญ้าเขียวอ่อนขยับตามแรงลม ต้นไม้ใหญ่บริเวณไม่มากไม่น้อยประดับตกแต่งให้สวนโล่งกว้างกินพื้นที่โอบล้อมป้อมปราการครอส ดูเบาสบายตา…บรรยากาศโดยรวมแล้วเหมาะแก่การพักผ่อน หากแต่ดวงหน้าละมุนของท่านหญิงตระกูลฮีลเลอร์ชื่อดังแสดงอาการไม่สบอารมณ์
“เป็นอะไรไปหรืออะควา”เสียงเรียกจากหญิงสาวผู้เป็นครูฝึกจำเป็นเรียกให้ดวงหน้าลูกศิษย์จำเป็น(ต้องยอม)ยุ่งขึ้นนิดๆ
“หงุดหงิดคนนิดหน่อยน่ะ”ปากบางได้รูปเบ้ออกยามนึกถึงดวงหน้าคมคายเปี่ยมเสน่ห์ขยับยิ้มร้ายกาจ
“…หมายถึงท่านแพทริกซ์?”โรสเลิกคิ้วสูง วูบหนึ่งที่นัยน์ตาคู่สวยสั่นไหว ก่อนจะสงบเป็นปกติ
“เขาแกล้งฉันแน่ๆ เขาจัดตารางฝึกให้ฉันจนแทบจะไม่มีเวลาพัก”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ”
เสียงค้านของครูฝึกทำให้ลูกศิษย์เบนสายตามามองเชิงถาม
“ก็เขาคงห่วงเธอ ตอนนี้เธอไม่ใช่แค่…คนรักของเขา”ปลายเสียงแผ่วเบาลงจนแทบจะกลืนหายไปในลำคอ แต่โรสเลือกที่จะสลัดความรู้สึกน่ารังเกียจทิ้งก่อนจะเปรยต่อเสียงเย็นเยียบ “แต่เธอเป็นถึงผู้กุมกุญแจแห่งชัยชนะของแคปริคอร์น ความสำคัญของเธอน่ะประเมินค่าไม่ได้แล้วตอนนี้”
คนสำคัญอ้าปากหวอ ก่อนจะลอบถอนหายใจเริ่มรู้สึกแล้วว่าการเป็นแค่เด็กสาวธรรมดาๆคนนึงนั้นประเสิรฐสุดแล้ว ไม่ต้องโดนตั้งความหวัง ไม่ต้องแบกรับภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่
ใครจะคิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอจะเอาอะไรไปต่อกรกับโทรปิคอร์นมากมายเหล่านั้นได้
“อะความารีน เธอเท่านั้นที่จะควบคุมอำนาจเหล่านั้นได้…มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้น”
ท่านอาจารย์ใหญ่เคยกล่าวไว้เช่นนั้น หากแต่…
“หลบ!”
ฉึก!
“อ๊าก”
อะความารีนกุมข้อเท้าที่เพิ่งถูกหนามแหลมคมจากเถาวัลย์กรีดเป็นทาง เรียกเลือดสดไหลย้อมสีหญ้าเป็นหย่อมๆ
อาจารย์คิดถูกแล้วหรือคะ…ที่เลือกหนู
ความเจ็บแสบทางกายไม่ได้สร้างความตระหนกให้หญิงสาวผู้ผ่านเหตุการณ์โชกเลือดมามาก หากแต่หัวสมองกลับครุ่นคิดหนักถึงวินาทีที่สบสายตากับสตรีผู้กุมอำนาจสูงสุดของสภาความมั่นคงแห่งแคปริคอร์น
“เป็นอะไรมากมั้ย”โรสถลาเข้าไปหาร่างที่นั่งอยู่กับพื้น คิ้วขมวดเป็นปมยุ่งๆ
“ไม่เป็นไร ฉัน…ไม่เป็นไรโรส”ร่างบางขยับยิ้มหากแต่สีหน้าไร้เลือดฝาด การฝึกสองชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทว่าพละกำลังของหญิงสาวผู้ไม่เคยฝึกหนักมาก่อนก็ถดถอยลงตามเวลา โรสรู้ดีว่าเธอพยายามฝืนเต็มที่และทำดีที่สุดแล้ว
“เฮ้ ยัยอะความารีน่า อู้อีกแล้วนะ อู้ทุกงานเลยให้ตายดิ^^”ร่างหน้าปรากฎตัวร่วมวงอีกคนโดยที่คนสองคนไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ก็ไม่ได้แปลกใจในเมื่อบุรุษที่มาใหม่คือทายาทตระกูลผู้ใช้เวทย์พิเศษไฟฟ้า จึงสามารถวาร์ปไปมาได้สะดวกรวดเร็วเช่นนี้
“แกแหกตาดูบ้างว่าขาฉันบาดเจ็บ ไม่ใช่กินน้ำแดงหกใส่”คนโดนแซวแยกเขี้ยวให้ ก่อนจะเบ้หน้าอีกครั้งเมื่อเจ้าเพื่อนตัวดีมือไวไปสัมผัสโดนแผลเธอเข้า “โอ้ยๆๆๆเจ็บๆๆ”
“เอ้า ก็เห็นตะกี้บอกไม่เป็นไรๆ”เจ้าตัวกวนเลิกคิ้วสูงสีหน้าไม่รู้สึกผิด ขณะที่โรสเซล่าไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสนุก จึงปรายตามองดุๆ
“งั้นพอแล้วล่ะ เธอไปพักผ่อนก่อน ฉันจะตามฮีลเลอร์มารักษา อ้อ อย่าได้ใช้พลังเวทย์ตัวเองเด็ดขาดเลยนะ เพราะวันนี้เธอยังต้องใช้อีกมาก”
สิ้นคำสั่งจากครูฝึกจำเป็น อะความารีนฮีลเลอร์แทบจะทิ้งตัวลงไปนอนกับพื้นอย่างเหนื่อยล้า เม็ดเหงื่อผุดตามดวงหน้า แก้มสีแดงระเรื่อ ริมฝีปากแห้งผากพ่นลมหายใจเข้าออกถี่ขึ้นกว่าปกติบ่งบอกว่าเจ้าตัวคงผ่านการออกกำลังหนักมาพอสมควร
“แกมาแอบดูฉันทำไม”ท่านหญิงคนสำคัญเอ่ยถามเมื่อนั่งพักจนรู้สึกว่าร่างกายเริ่มปรับตัวเข้าสู่ปกติแล้ว
“ไม่ใช่แค่ฉัน”ตาสีฟ้าทอประกายระริก ก่อนจะเลื่อนไปยังทิศทางนึงเป็นการส่งสัญญาณให้เธอมองตามไป
ร่างหนาคุ้นเคยซ่อนอยู่ใต้เงาร่มไม้ ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เมื่อรับรู้ถึงสายตาที่เพ่งเล็ง ร่างนั้นก็ขยับตัวเล็กน้อย ก้าวเท้าเข้ามาใกล้หนึ่งก้าว แล้วชะงักอยู่กับที่ราวกับไม่ค่อยมั่นใจในการกระทำของตนเท่าไรนัก
แต่เป็นการกระทำที่ทำให้ท่านหญิงคนสำคัญหน้าขึ้นสีอีกรอบ หากแต่ไม่ใช่เพราะการฝึกหนัก
“อ้าวทรอนซ์ มานี่สิ”ราล์ฟเฟเอ่ยขณะนั่งยองๆ กวักมือเรียกเพื่อนอย่างไม่สมกับภาพพจน์ทายาทโพรเทกเตอร์ชื่อดังเลยแม้แต่น้อย
“…”ร่างหนายืนนิ่งอยู่ที่เดิมหลายวินาที จนคิดว่าเขาคงไม่คิดจะเดินมาหาแล้ว หัวใจเจ้ากรรมของใครบางคนก็แกว่งเบาๆ
หมับ
“โอ้ยยยยยยยยยยยย!!”เสียงร้องจากสตรีร่างบางคนเดิมที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้าแผดลั่น น้ำตาที่กลั้นไว้หลั่งทะลักราวกับเขื่อนแตก นัยน์ตาสีโลหิตวาวโรจน์มองผู้ที่เอามือมาตะปบแผลที่ข้อเท้าตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อ้าว เป็นอะไรไปอีกล่ะ”คนก่อเรื่องตีสีหน้าเรียบๆ ไม่สะทกสะท้านต่อสายตาอาฆาตของคนถูกถาม
“ไอ้ราล์ฟเฟ แก..”แต่เสียงหวานกลับสะดุดอยู่แค่นั้นเพราะรับรู้ถึงมืออุ่นๆของใครบางคนที่ทาบลงมาบนแผลก่อนจะเกิดเป็นประกายสีฟ้าอ่อนละมุนละไม ใครบางคนที่ก่อนหน้านี้ไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้ ใครบางคนที่ดูเหมือนไม่สนใจ ไม่ใส่ใจเธอ หากแต่ การกระทำของเขานั้นชัดเจน
เป็นห่วง… หรอ
“กะแล้วว่าต้องมีคนมาอาสาเป็นฮีลเลอร์”เจ้าตัวดียังยิ้มได้ จ้องมองฉากหวานโรแมนติกเจือความเศร้านิดๆ ก่อนที่ตัวเองจะถอยออกมาอยู่หลังฉาก ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนสองคน
“ทรอนซ์”อะความารีนจ้องใบหน้าคมคายในระยะใกล้ๆแล้วรู้สึกคุ้นเคย แต่ก็เหินห่าง ดวงหน้าเขาไม่แสดงอารมณ์ใดใด ถ้าเพียงแต่เธอไม่รู้จักทรอนซีรา ไม่ได้ใกล้ชิดกับเขา คงคิดว่าบุรุษตรงหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก…แต่เรื่องราวไม่ได้เป็นแบบนั้น เธอมีโอกาสได้ใกล้ชิด สัมผัสเขา และรู้จักตัวตนลึกๆของเขาในแบบที่คนอื่นไม่มีทางล่วงรู้
ว่าภายใต้เกราะน้ำแข็งหนานั่น…ซ่อนหัวใจที่อ่อนโยนที่สุด มั่นคงที่สุด และงดงามที่สุดเพียงใด
“ทรอนซ์ คือฉัน…”คิดถึงนาย ประโยคท้ายๆถูกกลืนเข้าไปในลำคอ ตาสีโลหิตหลุบต่ำพยายามข่มใจ แล้วโปรยยิ้มสดใสแม้รู้ว่านัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นไม่ได้มองเธอแม้แต่น้อยเพราะเอาแต่จับจ้องแผลของเธอพร้อมให้การรักษา “เอ้อ ฉัน…ขอบคุณมากนะ”
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะเกาแก้มแก้เขินเมื่อระลึกได้ว่าตนคิดจะพูดอะไรออกไปในตอนแรก
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก”เสียงทุ้มเข้มดังแผ่วแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ อะความารีนขยับหน้าเข้าไปใกล้ขึ้นเล็กน้อยเพื่อฟังให้ชัด แต่ทรอนซ์กลับเบือนสายตาจากแผลที่ข้อเท้าขึ้นมาสบจังๆ
วินาทีนั้นเมื่อสายตาทั้งสองสบประสาน ราวกับมีคลื่นแม่เหล็กจางๆเชื่อมหากัน เวลาเหมือนหยุดค้างอยู่อย่างนั้น ต่างฝ่ายต่างหยุดนิ่งราวกับรูปปั้นไม่มีฝ่ายใดละสายตาไปก่อน
“ฉันหมายถึง”ริมฝีปากบางจากเจ้าชายเย็นชาขยับขึ้นลงช้าๆ ตาปรือลงเล็กน้อยพยายามปกปิดความรู้สึกบางอย่างที่มีให้แก่หญิงสาวตรงหน้า มือหนายกขึ้นประคองแก้มนวลเบาๆก่อนใช้นิ้วโป้งไล้หยดน้ำตาที่ยังเกาะค้างอยู่บนดวงหน้าละมุน สัมผัสเพียงนิดเดียวทำให้หญิงสาวตรงหน้าสะดุ้งเฮือกกลั้นหายใจทำแววตาตื่นตระหนก เพียงเท่านั้นก็เรียกสติเขากลับมาได้ “เธอยังต้องฝึกกับฉันอีกเย็นนี้ คราวนี้ฉันไม่ฮีลให้หรอกนะ เธอต้องเอาจริงซักที ข้างนอกรั้วคุ้มครองไม่ใช่ขนมที่ท่านหญิงจะเคี้ยวเล่นง่ายๆ”
น้ำเสียงฟังดูเย็นชาเยียบเย็นที่สุด กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกเช่นนั้นในความคิดของอะความารีน เธอนั่งกระพริบตาปริบๆจ้องมองคนแย่งงานฮีลเลอร์ คนที่พูดจาเย็นชาไม่เข้าหู เหน็บแนมเรื่องฐานะของเธอแถมส่อแววดูถูกนิดๆด้วยซ้ำ
“ขนมสายไหมอะหรอ…อยากกินอีกจังเลยเนอะ”ท่านหญิงยิ้มขำ มองปฏิกริยาคนตรงหน้าที่แข็งเกร็งเพราะถูกยั่ว
เขาคิดจะเย็นชากับเธอ แต่ก็อาจหยุดเป็นห่วงเธอได้
ทรอนซีรา กับเรื่องเวทย์และดาบนายช่างเก่งกาจอย่างไม่มีที่ติ แต่กับเรื่องเก็บความรู้สึกเก่งนับวันยิ่งแย่ลงทุกที
โรสเซลล่าวิ่งเข้ามาพร้อมกับคณะฮีลเลอร์สามคน ทันทีที่พวกเขามาถึงยังไม่ทันได้ถามไถ่อาการ ท่านหญิงคนสำคัญกลับยิ้มร่าอารมณ์ดีไม่สมเป็นคนเจ็บ ขณะชี้ไปที่ข้อเท้าของตนที่ถูกปิดแผลได้อย่างแนบสนิทไร้ที่ติ
“ไม่ต้องแล้ว พอดีมีนักเวทย์มือดีมาช่วยไว้ก่อนน่ะ”
คณะผู้มาถึงมองหน้ากันงงๆอย่างไม่เข้าใจความหมาย แต่เมื่อรู้ว่าท่านหญิงปลอดภัยพวกเขาก็เริ่มแยกย้าย
“ใครหรอ”โรสช่วยประคองให้อะความารีนลองยืนดู ยิ่งย้ำถึงผลงานเวทย์รักษาชั้นยอดเพราะท่านหญิงไม่ค่อยรู้สึกปวดเท่าไหร่
“คนเย็นชา ไร้อารมณ์ แต่ปากไม่ตรงกับใจ”น้ำเสียงของท่านหญิงอะความารีน ฮีลเลอร์ขณะนี้อ่อนลงโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ตากลมโตคู่สวยจับจ้องภาพแผ่นหลังของบุรุษร่างหนาที่ก้าวห่างออกไป จนลับสายตา
โรสเซลล่าแอบถอนหายใจ พลางส่ายหน้าเบาๆ
ไม่ว่าเรื่องนี้จะจบเช่นไร เห็นทีจะต้องมีคนเสียใจอยู่ดี
…<<20%>>
“แผลเป็นไงบ้าง”ชายหนุ่มร่างสูงเปรยถามเป็นประโยคแรก ฉันเลิกคิ้วก่อนจะกระโดดอยู่กับที่ให้ดูครั้งสองครั้ง เพื่อให้เขามั่นใจได้ว่าข้อเท้าฉันไม่ได้มีบาดแผลที่ทำให้เจ็บอีกแล้ว
“หายสนิท”
“…”ชักตะงิดๆในใจว่าคนตรงหน้าดูจะไม่ค่อยผ่อนคลายเหมือนเคย เขาพยักหน้าเบาๆก่อนจะหมุนตัวไปหยิบคันธนูไม้ที่ถูกวางเรียงปนอยู่ในบรรดาอาวุธนานาชนิด บนโต๊ะไม้กลางสนามหญ้าอันเป็นที่ซ้อมของเหล่าโพรเทกเตอร์ตระกูลครอส
ฉันรับอาวุธไว้ในมือ พร้อมทั้งลูกดอกที่ปลายด้ามทำจากขนนก
“วันนี้เธอต้องฝึกธนู ฉันไม่อนุญาติให้พักจนกว่าฝีมือเธอจะพัฒนา…ขึ้นบ้าง”เสียงทุ้มเอ่ยเรียบๆชวนขนหัวลุก วันนี้ท่านพี่ของฉันช่างดูเอาจริงเอาจังซะเหลือเกินนะ -_-
“แล้วถ้าฉันพยายามแล้ว แต่ไม่พัฒนาขึ้นล่ะ”ฉันหรี่ตาจับจ้องใบหน้าคมนั่นที่ไม่แสดงอารมณ์เช่นเคย ตาสีโลหิตไม่ได้แม้แต่จะมองมาแต่กลับจับจ้องไปที่แท่นไม้ที่ห่างไปราว 100เมตร ซึ่งทำให้ฉันมีความหวังริบหรี่ในการยิ่งโดนเป้า
แพทริกซ์ไม่ได้ตอบคำถาม เขาทำหน้าครุ่นคิดซักพัก ก่อนจะหันมามองฉันสลับกับแท่นไม้นั่น
“งั้นคงต้องสร้างความกดดันนิดหน่อย”พูดจบเขาก็ก้าวยาวไปยังเป้ายิง โดยมีฉันกระพริบตาปริบๆมองตามอย่างไม่เข้าใจนัก
อย่าบอกนะ…ว่าจะขยับเป้าให้มันไกลออกไปอีก
ถ้าทำอย่างนั้น ฉันจะหักคันธนูนี่ทิ้ง แล้วเกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกฝึกให้ฉันใช้ธนูสักที
ร่างหนาหยุดกึกอยู่กลางแท่นไม้ ตาคู่เดิมทอดมองมาสบ ก่อนจะกางแขนทั้งสองของตนให้แนบบนกระดานไม้นั่น
“ยิงมาสิ”สิ้นคำประกาศจากเขา ใจฉันแทบจะดิ่งถึงตาตุ่ม
“หา!!!!”
“บอกให้ยิงก็ยิงสิ ฉันเป็นครูฝึกนะ”
“นายจะบ้าหรอ อยากตายหรือไง!!”เป็นครั้งแรกที่ฉันลืมเรื่องกริยามารยาทที่ท่านแม่พร่ำสอนแต่เล็ก ว่าควรพูดจาหวานหูกับท่านพี่
“จุดไฟ ควบคุมพลัง มันจะผลักดันให้ทิศทางลูกธนูไปยังจุดที่เธอต้องการ ที่สำคัญคือสมาธิ”
เขาพูดเหมือนกับว่ากำลังสองเลคเชอร์ให้ฉันฟังอย่างนั้นแหละ
แล้วนักเรียนอย่างฉันคงยินดีฟังบรรยายมากกว่ามาฝึกปฏิบัติที่เหมือนบังคับฆ่าเขาทางอ้อมอย่างนี้T^T
“ไม่”ฉันตอบเสียงสั่น
“เธอไม่มีทางเลือก”
“ไม่ก็คือไม่…ท่านพี่”
“ฉันไม่เป็นไรหรอก คิดว่าลูกธนูแค่นั้นจะทำอะไรฉันได้หรอ มารีน่า”
ใจกระตุกแวบนึงเมื่อสัมผัสได้ว่าเขากำลังปลอบความกลัว และปลุกความกล้าของฉัน
นั่นสิ ฉันเสียเวลามากกว่านี้ไม่ได้ ทุกนาทีมีคนต้องล้มตาย สงครามระหว่างแคปริคอร์นและโทรปริคอร์น
ถ้าหากฉันถูกเลือกให้เป็นอาวุธ…ตอนนี้คงเหมือนอาวุธทื่อๆด้านๆที่ไม่มีทางต่อกรกับใครได้
แล้วเมื่อไหร่จะปกป้องตัวเองได้ ต้องให้คนตรงหน้าเข้ามาปกป้องทุกครั้งหรอ!
ก็หวังว่าธนูดอกนี้จะไม่สามารถทำอะไรเขาได้อย่างที่ว่าแล้วกัน
ฉันหลุบตาลงรวบรวมสมาธิ รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายธาตุไฟบริสุทธิ์ของใครบางคนลอยมาแตะจมูก ก่อนจะเพ่งไปที่ฝ่ามือเพื่อรีดพลังในร่างให้เปลี่ยนรูปพลังงานเป็นเปลวไฟ ซึ่งลุกพรึ่บแทบจะทันทีสนองความต้องการได้ฉับไว มันลามไปอาบไล้ทั่วอาวุธธนู และลูกธนูที่อยู่ในอุ้งมือ
ฉันพยายามบังคับใจไม่ให้สั่น พยายามรวมสมาธิต่อไป มือซ้ายกำคันธนูที่ยาวตั้งแต่หัวจรดเข่า ดูใหญ่เกินตัวแต่ได้เป็นอุปสรรค ขณะที่อีกมือหนีบลูกดอกไว้แน่น ก่อนจะสอดเข้ากับอาวุธ พร้อมที่จะแผลงศร
ท่านพี่…
เขายืนไม่ขยับไปไหน บางที นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ฉันเพิ่งเข้าใจและตระหนักได้ถึงชีวิตของคนที่ฉันรัก…
ฉันทำเหมือนไม่รักชีวิตตัวเอง ไม่สามารถยอมให้คนที่ฉันรักต้องเจ็บแม้แต่นิดเดียว ถึงขั้นยอมตายแทนได้
แต่…สิ่งสำคัญที่มองข้ามไป…คือความเจ็บปวด ที่ต้องมอบอันตรายให้แก่บุคคลอันเป็นที่รัก
ท่านพี่…ตลอดเวลาเขาคงคิดมากที่ฉันเกือบตายจริงๆ ที่สำคัญเป็นเขาเองที่เกือบทำให้ฉันต้องตายในครั้งที่สอง…
เขาจะรู้สึกอึดอัด หวาดกลัว เหมือนที่ฉันเป็นอยู่ไหม…หรืออาจมากกว่านั้น
“นี่เป็นบทลงโทษหรอคะ”ฉันแค่นเสียงออกมาขณะที่ตาหรี่ลงข้างนึงเพื่อเล็งเป้าหมาย คือจุดสีแดงที่อยู่เหนือศีรษะของแพทริกซ์ไม่ถึงคืบ
“ก็ทำนองนั้น”เขาตอบแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร…ทำให้ฉันแทบอยากจะ…
เอาเป็นว่าจบบทเรียน ไม่มีครูฝึกกับลูกศิษย์ก่อนแล้วกัน แล้วค่อยคิดเอาคืนทีหลัง หงุดหงิดชะมัด
ฉันสูดหายใจเข้าปอดแล้วกลั้นหายใจ ตาข้างนึงปิดลง ขณะที่ตาอีกข้างสแกนมองเป้าหมาย
แล้วต้องชะงักเมื่อสมองประมวลผลอะไรใหม่ๆได้อีกแล้ว…คือทิศทางลม ความเร็วลม ความแรงลม ดูเหมือนว่าพลังธาตุลมในกายจะช่วยทำงานอีกแรง แต่หลักๆยังคงใช้ธาตุไฟเพราะมันสามารถทำให้ลูกธนูพุ่งแทรกกำลังลมที่อาจรบกวน ไปยังเป้าหมายได้ง่ายกว่า เปรียบเหมือนกับการมีไฟหุ้มเป็นเกราะดีดีนั่นเอง
เอาล่ะนะ
ฟิ้ว… ศรในมือถูกปล่อยออก
ฉึก…
โดนอะไร?
ฉันกลืนน้ำลายหลายเอื๊อก ก้าวเท้าสั่นๆไปข้างหน้า ตาจับจ้องร่างที่ยังยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นไม่ได้มีทีท่าจะขยับไปไหน…หรือเขาขยับไม่ได้แล้วกันนะ!
“ท่าน…พี่”เสียงที่ออกมาจึงฟังดูแผ่วเบาราวกับขนนกที่กำลังทิ้งตัวลงพื้น
ดวงหน้าของใครบางคนยังคงนิ่งสงบ นัยน์ตาสีโลหิตฉายชัดถึงแววยินดี ปากเรียวขยับยิ้มอ่อนโยน แต่ว่า…แต่ว่าที่แขนเขาน่ะ
มีลูกธนูปักอยู่ที่ต้นแขนซ้าย!!
หลักฐานความแม่นยำยิงไม่พลาดเป้าคือมีเลือดซึมออกมาจากเสื้อเชิ้ตสีดำของเขา อีกทั้งปลายแขนเสื้อยังมีหยดเลือดไหลลงมาอาบมือ
“ขอโทษ…ขอโทษ”ไม่ต้องคิดอีกต่อไป ฉันปราดเข้าไปหาร่างที่บาดเจ็บนั่น
…
หมับ
นัยน์ตาสีโลหิตของคนโตกว่าฉายรอยงุนงงวูบนึง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นประกายแห่งความสุข
ก็เจ้าแมวน้อยทำหน้ารู้สึกผิดเต็มประตู แถมยังเบียดร่างนุ่มนิ่มนั่นมากอดเขาแน่น ถึงมันจะทำให้แผลสดโดนกระทบกระเทือนไปบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้คนอย่างเขาร้องออกมาได้หรอก
“ไม่เป็นไร มารีน่า เก่งมาก อย่างน้อยก็ยิงโดนเป้าซักที”เขาเอ่ยชมจากใจจริง มือขวาข้างที่ไม่บาดเจ็บยกขึ้นลูบไล้เส้นผมสีน้ำตาล อย่างอ่อนโยน
“ขอโทษ…ขอโทษ”คนในอ้อมกอดพึมพำขอโทษไม่หยุด
“งั้น เปลี่ยนคำขอโทษเป็นดึงลูกธนูนี่ออก ดีไหม”เขาพูดกลั้วหัวเราะให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย ทว่ากลับเป็นการทำให้ร่างเล็กผงะก่อนจะทำสีหน้ารู้สึกผิดยิ่งกว่าเดิม กระนั้นเจ้าหล่อนก็สงบลงเพราะรวบรวบสมาธิ มือเล็กๆทาบลงรอบๆบริเวณแผลอย่างนิ่มนวล
“ฮีล”แสงสีทองอร่ามดูงดงามที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นที่ไหน พลังการรักษาที่กำลังสำแดงฤทธิ์นั้นประกาศชัดว่า หล่อนคู่ควรกับตำแหน่งทายาทตระกูลฮีลเลอร์ หากท่านออกัสและท่านเนเฟิลไนล์มาเห็นจะต้องชื่นชมและภูมิใจในบุตรสาวของท่านอย่างแน่นอน
แพทริกซ์หยุดความคิดลงเมื่อลมหายใจเหมือนจะสะดุดไปเสียเฉยๆเมื่อสายตาเลื่อนไปมองดวงหน้าละมุนที่ถูกแสงสีทองอาบไล้อยู่นั้น เหมือนถูกเวทย์มนต์ร้ายกาจสะกดใจให้แกว่งรัวเร็วขึ้น
ไม่ทันสังเกตุว่าคนตรงหน้ากลายเป็นหญิงสาวเต็มตัวตั้งแต่เมื่อไหร่
หรืออาจเป็นเพราะติดภาพเด็กน้อยในวันนั้น เจ้าเด็กที่วิ่งเล่นตัวคนเดียวได้ทั้งวัน
ยามนี้ร่างเล็กๆกลับมีส่วนเว้าส่วนโค้งอย่างที่หญิงสาวควรจะมี เครื่องหน้าทั้งคิ้วเรียวได้รูป ตากลมโต จมูกโด่งรั้นนิดๆ ปากอวบอิ่ม เหมือนถูกจัดวางอย่างดูดีที่สุด เหมาะสมที่สุด
แม้หล่อนไม่ได้งามหยดย้อยปานเทพธิดา หรืออ่อนหวานราวเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์
แต่มีเสน่ห์เฉพาะของตัวอย่างล้นเหลือ…
แพทริกซ์สัมผัสได้ว่าลูกธนูค่อยๆถูกถอนออกอย่างนิ่มนวล แต่เขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด คงเป็นฤทธิ์เวทย์ของคนที่ชวนหลงไหลที่ทำให้เขาคลั่งไคล้แทบบ้าเพราะเสน่ห์ของเจ้าหล่อน
“เสร็จแล้ว!”เสียงหวานใสดังขึ้น พร้อมกับระบายยิ้มงดงามอย่างภาคภูมิในผลงานตนเอง นัยน์ตากลมโตนั่นยิ้มเป็นรูปจันทร์เสี้ยวชื่นชมผลงานตน ก่อนจะเลื่อนไปสบกับสายตาที่มองมาอยู่นานแล้ว
“มารีน่า”เสียงทุ้มฟังดูคล้ายสะกดความรู้สึกบางอย่าง อะไรที่อัดอั้นมานานแสนนาน
“คะ?”เสียงหวานขานรับแทบจะทันทีโดยไม่ได้ทันสังเกตุแววตาโหยหา เว้าวอนของคนตรงหน้า
ควับ
“ว้าย”ตากลมโตเบิกกว้างอย่างตื่นๆ เมื่อร่างบางของหล่อนถูกคว้าแล้วพลิกกลับมาเป็นฝ่ายที่แนบแผ่นหลังกับแผ่นไม้แทนร่างใครบางคน ที่ขยับเข้ามาจนแทบจะแนบชิดกับร่างของเธอ
นัยน์ตาสีเดียวกันของทั้งสองสบประสาน
“จ…จะทำอะไร”
“ตลอดเวลา…”เสียงทุ้มลึกเริ่มเอ่ย สายตาที่เขามองเธอทำให้เธอหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา เขาไม่เคยมองเธอแบบนี้มาก่อน “ฉันเฝ้าดูเธอเติบโต คอยทะนุถนอมเธอ ไม่แตะต้องเธอเกินกว่าฐานะพี่ชาย”
“…เอ่อ”อะความารีนรู้สึกถึงความอดกลั้นของเขาผ่านสายตา เธอเริ่มจะเข้าใจว่าเขาต้องการสื่ออะไรนั่นทำให้ดวงหน้าที่แดงก่ำนั่นยิ่งแต้มสีเข้มเข้าไปอีก อีกทั้งยังลามถึงใบหู
“แต่ตอนนี้เธอโตเป็นสาวแล้วนะ…สาวน้อย”
“…”
“ได้เวลาที่ฉันจะทวงสิทธิ์ของฉัน กับเธอได้รึยัง”
…
“อะความารีน ฮีลเลอร์!”
ฉันสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงทุ้มเข้มดังเข้าสู่ระบบโสตประสาท ก่อนจะกวาดตาเลิ่กลั่กไปทางต้นเสียง ก็พบว่าเป็นราล์ฟเฟนี่เองที่ตะโกนใส่หน้า
“อยู่ห่างกันแค่นี้จำเป็นต้องเสียงดังด้วยหรอยะ”ฉันยกมือขึ้นลูบอกเพราะยังใจสั่นไม่หาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะตกใจในเหตุการณ์เมื่อกี้ หรือก่อนหน้านั้นกันแน่
“ก็ฉันยืนเรียกแกเป็นสิบรอบแล้ว แกก็มัวแต่ยืนเหม่อเหมือนร่างไร้วิญญาณงั้นแหละ…หรือ หรือว่า…O_o”
“หรืออะไร…”ชักตะงิดๆแล้วว่าเจ้าคนถนัดยั่วมันจะเห็นเหตุการณ์ซ้อมยิงธนูเมื่อกี้หรือเปล่า ถ้ามันเห็นแล้วเอามาล้อล่ะก็…ฉันสาบานว่าจะเสกมันให้กลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็ง ให้มันพูดไม่ได้ไปตลอดชีวิตเลยเอ้า!
“แกเป็น วิญญาณ ที่ตามมาจากคฤหาสน์ฮีลเลอร์!!”ราล์ฟทำตาโตเท่าไข่ห่าน จงใจอ้าปากค้างเสริมความตอแหลที่ดูไม่แนบเนียนสักนิด- -
“เออ เป็นก็ดี จะได้หายตัวไม่มีใครจับได้”ฉันถอนหายใจปลงๆ ในหัวคิดถึงแต่ความรู้สึกตอนนั้น
ทวงสิทธิ์…
จริงสินะ ฉันเคยคิด ตัดพ้อ น้อยอกน้อยใจ ที่ ‘เขา’ ปฏิบัติต่อฉันเหมือนเด็กน้อย ไม่เคยล่วงเลยไปถึงฐานะคนรักจริงๆจังๆ ไม่เคยรู้เลยว่า ‘เขา’ อดทนอดกลั้นมากขนาดไหนถึงสามารถรักษาการกระทำอย่างสุภาพบุรุษ ทะนุถนอมฉันที่สุด…
แล้วไอ้คำว่าทวงสิทธิ์มันคืออะไร…
หมายความว่าเขาจะไม่อดทนอีกแล้วรึเปล่า…
“ทำไม มันมีเรื่องอะไรแกถึงอยากกลายเป็นวิญญาณ หายตัวได้ไม่มีใครจับได้ หืมม์”ราล์ฟหรี่ตา พลางสาวเท้าเข้ามาใกล้
“ก…ก็ บางทีการเป็นอะความารีน ฮีลเลอร์ มันน่าลำบากใจน่ะสิ”ฉันเบือนหน้าออกไปอีกทาง สาบานในใจแล้วว่าไอ้ราล์ฟต้องไม่รู้เรื่องทวงสิทธิ์อะไรนั่น เพราะจอมยั่วอย่างมัน ก็คงจะคาบข่าวไปบอกทรอนซ์ แล้วจากนั้นทรอนซ์ก็คง…
เอ้ะเดี๋ยว…แล้วทำไมต้องไปนึกถึงหมอนั่นด้วยฟะ! งง!
“ลำบากใจ? เรื่องอะไรล่ะ เรื่องที่ว่าต้องความจำเสื่อมเป็นอีกคนแล้วจู่ๆตื่นมาจำได้หมดเลย เรื่องที่เธอถูกยัดเยียดให้เป็นอาวุธแคปริคอร์น หรือเรื่อง…หัวใจมันเลือกไม่ได้สักที ว่าจะหยุดอยู่ที่ใคร…”ราล์ฟจงใจเน้นประโยคท้าย แถมทิ้งเสียงได้เย้ายวนกวนบาทาที่สุดในปฐพี =_=
“เอ่อ…”ฉันอยากเอาหัวเขกประตูสักทีสองทีเพราะดันไหลไปตามคำยั่วนั่น ถึงกับไปไม่ถูก พูดไม่ออก ติดสตัน ไปหลายวินาทีเลยทีเดียวTT
“เธอ…มากับฉัน”จู่ๆเสียงทุ้มอีกเสียงก็เปรยขึ้นด้านหลัง ทำให้ฉันแทบจะช็อคแล้วอยากสะกิดราล์ฟให้ฆ่าฉันไปเลยก็ดี จะได้เป็นวิญญาณจริงๆ อะเหื้อ!
“อ้าวทรอนซ์ มาก็ดีละ มันกำลังคิดถึงนายอยู่พอดี^-^”ราล์ฟยิ้มกว้างอย่างคนอารมณ์ดี แล้วยังไม่วายหันมาตบบ่าฉันอย่างให้กำลังใจ
“จะยืนค้างอยู่ตรงนี้อีกนานไหม= =”คราวนี้เสียงนั้นเข้มและดุขึ้น ฉันยิ้มแห้ง มองหน้าเจ้าเพื่อนตัวดี กับเจ้าคนที่เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียงสลับกัน
“ฉันเหนื่อยอ่ะ ขอพักแปปนึงได้มั้ยT^T”
“ไม่!/ไม่ได้!”แล้วสองหนุ่มก็ประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง
…
…<40%>
บัดนี้ฉันกำลังยืนพยุงร่างตัวเองที่กำลังหอบตัวโยน แม้เหงื่อจะท่วมตั้งแต่หัวยันเท้าแต่กระนั้นสายตาก็ยังจับจ้องไปยังบุรุษคนเดียวที่ยืนห่างจากฉันประมาณห้าเมตร ในสถานที่ที่ไม่คิดว่าจะมีอยู่ในป้อมปราการครอสอันใหญ่โต เพราะมันคือป่ารกทึบ เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่และพุ่มหญ้าสูงเสียดฟ้า…ดูเป็นที่ส่วนตัวและมีแสงรบกวนน้อยมาก
แต่…จะดีกว่านี้มากถ้า ‘ครูฝึก’ ถนอมร่างฉันบ้าง เพราะตั้งแต่เริ่มชั่วโมงเขาก็เปิดเกมฝึกแบบไม่ต้องอธิบายอะไรมากตามสไตล์ทรอนซีรา
‘หลบการโจมตีของฉันให้ได้’
‘ห้ะ…อะไรนะ แค่นั้นน่ะหร…เฮ้ย!!!’
จู่ๆน้ำแข็งที่ไม่ควรจะมีในที่ที่อาการอบอ้าวแบบนี้ ก็ผุดขึ้นจากดินกระทันหัน! ดีที่ฉันพอมีสติ จึงกระโดดหลบได้หวุดหวิด
ต่อจากนั้นครูฝึกบ้าเลือดก็ไม่ยอมแม้แต่จะให้ฉันปริปากพูดได้อีกแล้วเพราะต้องตั้งสมาธิหลบการโจมตีครั้งต่อไป และต่อๆไปของเขา
“บ้าเอ้ย”ฉันสบถขณะที่จะกระโดดแต่เสียการทรงตัวเพราะขาทั้งสองเริ่มอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง ร่างที่พยายามประคองไว้ก็กลิ้งหลุนๆถากดินแถมมุดเข้าไปในโพรงหญ้า
เหนื่อยแทบขาดใจ
ไอ้คนบ้าพลัง ทำร้ายผู้หญิงไม่มีทางสู้ T^T!
ฉันได้แต่แช่งคนฝึกในใจลามไปยังคนคิดแผน คนจัดตาราง และคนที่ยัดเยียดให้ฉันเป็นอาวุธมหาปลัยในความคิดพวกเขา แต่มันบรรลัยชีวิตฉัน! ฮื้อๆๆ
ซู่…
จู่ๆสายฝนก็เทกระหน่ำลงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ฉันยืนมืออันสั่นเทาออกไปรับน้ำเย็นๆ ที่ช่วยล้างเหงื่อไคลออกไปได้บ้าง ขณะที่ยังนั่งขดอู้อยู่ที่เดิมแบบไม่คิดจะไปไหน
ฉึก…
กริชน้ำแข็งลอยเฉียดแก้มด้านขวา ไปปักบนโคนต้นไม้ข้างหน้าใกล้ๆ
ฉันกลืนน้ำลายเอื๊อก…ก่อนจะหันไปมองรูของพุ่มหญ้าที่แอบแฝงตัวอยู่ มันกว้างขนาดที่กริชแทรกผ่านเข้ามาได้พอดี งั้นแสดงว่า…
โดนจับได้แล้ว
ต้องหนีอีกหรอเนี่ย…
ฉันเบ้หน้าก่อนจะคลานไปทางซ้าย กลั้นหายใจเพราะกลิ่นหญ้าชื้นชวนอ้วกลอยเข้ามาแตะจมูก พื้นดินแฉะๆทำให้เข่าและมือสองข้างเปรอะเปรื้อน แต่ไม่มีเวลามาใส่ใจความสะอาดตอนนี้…เพราะไม่อย่างนั้นฉันต้องโดนฆ่าแน่ๆเลยT_T
หรือว่า นายเกลียดฉันขนาดนี้เลยหรอ ฮึ
ฉันอดตั้งคำถามไม่ได้เพราะหมอนั่น…นายทรอนซีราไม่ยอมให้ฉันได้มีเวลาหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าได้เต็มปอดก็เริ่มโจมตีอีกครั้ง และอีกครั้ง เรื่อยๆไม่ยอมหยุด
แต่ว่า…ฝนตกหนักแบบนี้มันมองไม่เห็นทางเลยแฮะ…
ฉันหรี่ตามองฝ่าส่ายฝน อากาศเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ ฉันคิดจะใช้ธาตุไฟเพื่อให้ความอุ่นแก่ร่างกายแต่…ด้วยสมองอันปราดเปรื่องเรื่องการเอาตัวรอดบอกกับฉันว่า…เธอไม่ควรทำอย่างนั้นเพราะนั่นหมายถึงการเผยตัวแก่ศัตรู ต้องกลบกลิ่นไอเวทย์ให้หมด
กลิ่นไอเวทย์ กลิ่นไอเวทย์…
ฉันไม่ได้กลิ่นธาตุน้ำของทรอนซ์ อาจเป็นเพราะเขาก็กลบมันอยู่ หรือไม่ก็คงเป็นเพราะสายฝนธรรมชาตินี่แหละที่ทำให้กลิ่นธาตุน้ำกระจายอยู่ทั่วบริเวณ
ฉันหลุบตาลงรวมสมาธิเพื่อพรางกลิ่นไอเวทย์ของตัวเอง ทีนี้ก็กลายเป็นเหมือนเกมซ่อนหา ที่เป็นเกมที่ฉันชื่นชอบมากที่สุดในวัยเด็ก
ทรอนซีรา นายไม่มีวันหาฉันเจอหรอก หึหึ
ฉันแสยะยิ้ม แต่รู้ตัวอีกทีก็เริ่มรู้สึกมึนๆ เหมือนโลกทั้งโลกหมุนเคว้งคว้าง กลายเป็นสภาวะไร้อากาศ เข่าทั้งสองเจ็บจนชา ไม่รู้ว่าคลานหมอบไปนานแค่ไหน
“อะความารีน! เธออยู่ที่ไหน!” ฉันได้ยินเสียง…เหมือนใครบางคนกำลังร้องเรียก
“ได้ยินฉันไหม! อะความารีน! ตอบฉัน!” ในน้ำเสียงนั้นฟังดูเหมือน…เขากำลังลนลาน เจ็บปวด
“ตอบฉันสิ!!” นี่ฉันหูฝาดรึเปล่า ทำไมเสียงนี้มันช่างคุ้น เหมือน…เขาเลย
“ฉัน…อยู่นี่….ฉัน…”พยายามส่งเสียงออกไปเท่าไหร่ แต่ก็ไม่สามารถสู้เสียงของห่าฝนได้ ฉันรู้สึกคอแห้งไปหมด อีกทั้งจะขยับตัวก็รู้สึกลำบาก ร่างกายฉันไม่สามารถฝืนทนกับกิจกรรมที่หักโหมมาทั้งวันได้อีกแล้ว
“อะความารีน!”
ทรอนซีรา…ฉันอยู่นี่…ทรอนซีรา
“ตอบฉันสิ…ได้โปรด…”
“ฉ…ฉัน…กริ๊ด!”ฉันเบิกตาโพลงเมื่อพบว่าดินที่ฉันยึดเป็นที่พักอยู่นั้นทรุดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างทั้งร่างเซล้มไปตามแรงโน้มถ่วงโลก ภาพตรงหน้าคือทางลาดชันที่ดูจะไม่มีวันสิ้นสุด และจุดที่ไกลที่สุดนั้นอยู่ในความมืด…และนั่นเป็นภาพสุดท้ายที่ฉันเห็นก่อนสติจะดับวูบลง
…
เขาคือทรอนซีรา
ผู้ไม่หวั่นไหวกับอันตรายใดใด หรือกระทั่งความตาย
หากแต่ เว้นว่าอันตรายหรือความตายนั้น จะพรากเธอไป
“อะความารีน! เธออยู่ที่ไหน!” เขาตะโกนลั่นสุดเสียง ตากวาดหาร่างใครบางคนที่ทำให้เขาใจเต้นแปลกๆ ใครบางคนที่เขานึกห่วง ห่วงตั้งแต่ตอนที่เธอแสดงสีหน้าเหนื่อยล้า ห่วงมากเมื่อเขาไม่รับรู้ถึงกลิ่นเวทย์ของเธอ ไม่รู้ว่าเธอพรางมันหรือมีใครทำร้ายเธอ หรือพาตัวเธอไป
สายฝนยังสาดเข้ามาปะทะร่างหนา หากไม่สามารถสั่นคลอนเจ้าชายน้ำแข็งได้
ผิดกับความรู้สึกภายในที่เริ่มก่อตัวเป็นพายุหิมะที่ใหญ่กว่าพายุฝนในยามนี้
“ได้ยินฉันไหม! อะความารีน! ตอบฉัน!”ทรอนซ์เริ่มแผดเสียงลั่นกว่าเดิม สีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกกลับฉายชัดถึงความหวาดกลัว และเจ็บปวด นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกวาดดูจนทั่ว ไม่ละความพยายามแม้แต่เสี้ยววินาที
เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อนในชีวิต…กระทั่งมาเจอเธอ
กลัว…เขากลัวจะเสียเธอไป
กลัวว่าเธอจะเจ็บ…กลัวว่าเธอจะหนาว…
ความจริงเขาน่าจะให้เธอได้พักบ้าง
ทรอนซ์พร่ำโทษตัวเองอยู่ในใจ สาบานว่าจะลงโทษตัวเองให้สาสม ที่ทำให้อะความารีนเหนื่อยล้าขนาดนั้น แทนที่เขาจะยั้งมือไว้บ้าง เป็นเพราะอีกใจนึงก็อยากให้เธอได้เรียนรู้ว่าในสถานการณ์จริง ศัตรูจะไม่ปราณีใคร และเธอต้องพร้อมรับมือกับสถานการณ์นั้น
แต่ตอนนี้เธอไปอยู่ที่ไหนกันนะ
“ตอบฉันสิ!!” อยู่ไหน…เธออยู่ที่ไหนกัน “อะความารีน!”
“ตอบฉันสิ…ได้โปรด…”เสียงทุ้มเริ่มแผ่วลง เขาคุกเข่าข้างนึงลงกับพื้นดินแฉะ ตาหลุบต่ำเพื่อข่มกลั้นอารมณ์ความรู้สึกมากมายที่ท่วมท้น และชัดเจนว่าผู้หญิงคนนั้นคือคนสำคัญเพียงใด
“กริ๊ด!” เสียงเล็กๆดังจากที่ที่เขาอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็ทำให้ใจเขาชุ่มชื้นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะรีบรีดพลังไอน้ำไปยังฝ่าเท้าเพื่อเคลื่อนที่ไปยังต้นเสียงให้เร็วที่สุด
นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มสะท้อนอารมณ์สั่นไหว หนึ่งวินาทีเหมือนหนึ่งปี เขารู้สึกว่ามันช่างนานเหลือเกิน จนกระทั่งเมื่อสอดส่องจนพบร่างใครบางคนที่ตามหา เวลาเหมือนหยุดเดินและพรากลมหายใจของเขาไป ความรู้สึกอึดอัดแล่นพล่านในอก ทรอนซีราเร่งฝีเท้าไปยังร่างเล็กที่นอนนิ่งคว่ำหน้าจมกองโคลน ขณะที่ลำตัวพาดคาอยู่ที่ตอไม้ใหญ่
มือหนารีบพยุงร่างนั่นขึ้นมา สายฝนช่วยชะล้างใบหน้าเรียวรูปไข่ให้เห็นเค้าโครงเดิมบ้าง แม้จะเปรอะเปื้อนดินโคลนแต่ก็ชัดเจนแล้วว่านี่คือผู้หญิงคนที่เขาตามหา
“อะ…ควา…”เสียงทุ้มเข้มแผ่วเบาลงแทบจะไม่ได้ยิน
“อืมม”เสียงหวานครางในลำคอเหมือนคนนอนหลับ และรำคาญสิ่งรบกวน นั่นทำให้ทรอนซ์โล่งอกไปเปราะนึงที่ว่าเขาไม่ได้มาช้าเกินกว่าที่เธอจะหยุดหายใจ
“ฉันขอโทษ”สิ้นคำจากบุรุษ ตาคมกริบหลุบลงต่ำ ก่อนจะโน้มหน้าลงประทับรอยจูบไว้บนหน้าผากของคนที่ไม่ได้สติ แล้วค้างอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน
ฝนหยุดตกแล้ว กลิ่นหญ้าชื้นยังคงลอยวนเวียนในอากาศ
หญิงสาวค่อยๆปรือตาขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นนัยน์ตาสีแดงสด ที่ดูโดดเด่นในความมืดอันมีเพียงดวงจันทร์ที่ให้แสงสว่าง ภาพแรกที่เห็นคือภาพป้อมปราการครอสที่อยู่ด้านล่างไกลออกไป ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางท้องนภาสีดำเข้ม ไร้ซึ่งหมู่ดาว
อะความารีนขมวดคิ้วเป็นปม กระพริบตาอีกทีสองทีเพื่อยืนยันว่าภาพตรงหน้าเป็นเรื่องจริงไม่ใช่ความฝัน สมองพยายามประมวลผลเหตุการณ์ในความทรงจำครั้งสุดท้าย
เธอพลัดตาลงไปขณะที่ดินทรุด แล้วสติก็ดับวูบลงในตอนนั้น
พอเริ่มขยับตัวก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ…
ร่างของเธอถูกวางอยู่บนอะไรบางอย่าง…
อะไรบางอย่างที่มีชีวิต และกำลังพ่นลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอเป่ารดต้นคอเธอจากด้านหลัง
หญิงสาวเลื่อนสายตาลงมองเอวคอดของตนที่ถูกแขนแข็งแกร่งโอบเอาไว้ หรือจะพูดให้ถูกคือ เธอกำลังถูกโอบกอดจากด้านหลัง!
“ก….กริ๊ดO_O อุ้บๆ”ไม่ทันได้กรีดร้องสุดเสียงมือหนาก็เลื่อนขึ้นมาทาบลงบนริมฝีปากเธอแน่น กลิ่นไอเวทย์ในตัวเขาเธอจำได้แม่นยำ ไม่เคยลืม กลิ่นธาตุน้ำบริสุทธิ์นั่น…
“อย่าส่งเสียง”เขาปรามเสียงเข้ม ถึงจะไม่ได้หันไปมองแต่เธอเดาว่าเขาจะต้องส่งสายตาดุมาให้เธอเป็นแน่
“อื้อๆๆ”ร่างเล็กดิ้นขลุกขลัก พยายามขัดขืนที่ถูกพันธนาการอย่างแนบชิด…อาจจะไม่เหมาะสมสำหรับฐานะเธอและเขาในตอนนี้ มือเล็กจึงเอื้อมไปแกะมือหนาให้ปล่อยให้เธอพูดได้อิสระอีกครั้ง “ทรอนซ์ นี่นาย…!”
บ้าไปแล้วหรอ…
คำพูดกลับถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอตั้งแต่วินาทีที่เธอหันไปสบตากับเจ้าของนัยน์ตาสีเข้มทรงเสน่ห์นั่น กำแพงสูงที่เธอพยายามจะสร้างกลับพังทลายไปไม่เหลือชิ้นดี หรืออาจจะพังตั้งแต่วันที่เขาข้ามเส้นเข้ามานานแล้วก็เป็นได้
“อยู่แบบนี้อีกสักพัก…ได้ไหม?”เสียงทุ้มกระซิบแผ่ว ตาสีทะเลลึกทอแสงอ่อนลงแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก เขาไม่ได้ต้องการคำตอบ เพราะหลังจากนั้นเขาก็กำชับอ้อมกอดให้แน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม โอบกอดหญิงสาวจากด้านหลัง และพิงศีรษะไว้กับไหล่เล็กๆราวกับลูกแมวตัวน้อยที่ออดอ้อนเจ้าของไม่มีผิด
“ทรอนซ์…”ดวงหน้าละมุนของหญิงสาวขึ้นสีระเรื่อ ริมฝีปากเม้มแน่น พยายามบังคับหัวใจตัวเองไม่ให้กระหน่ำเต้นรัวฟ้องอาการต่อหน้าคนตรงหน้านี้…ไม่อย่างนั้น…ถ้าไม่อย่างนั้นละก็…
“ฉันพยายามแล้ว แต่อดห่วงเธอไม่ได้”คนพูดน้อยเปรยแทรกขณะที่ตาทั้งสองยังปิดสนิท เหมือนพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเอง “ฉันพยายามห่างแต่กลับใกล้เธอเข้าไปอีก”
เท่านั้นคนฟังก็ชะงัก ไม่คิดเลยว่าจะได้ยินคำที่หวานหูที่สุดเท่าที่เคยฟังจากปากบุรุษเจ้าชายเย็นชาคนนี้ คำไม่กี่คำที่เหมือนน้ำเย็นชโลมใจให้พองโตขึ้น คำตอบที่เธอเฝ้าค้นหามานาน นานจนเลิกคิดจะรอ แต่ไม่ใช่ว่าไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับฟัง…ตลอดเวลาเธอแค่ต้องการให้เขา ชัดเจน…
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะ…ถ้าฉันจะบอกว่า”ร่างบางพลิกกายไปซบหน้าลงบนอกอุ่นๆ ก่อนจะเอื้อมมือเล็กประคองใบหน้าคมคายหล่อเหลาไร้ที่ติไว้อย่างเบามือ “ฉันคิดถึงนายมาก คิดถึงจนแทบทนไม่ได้ เจ็บปวดทุกครั้งที่นายเมินใส่ และดีใจแทบบ้าที่นายใส่ใจฉัน”
ทรอนซ์พ่นลมหายใจออกช้าๆ ค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยประกายกล้า ดูมุ่งมั่นกว่าเดิมหากแต่แฝงด้วยความอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นฉันคงปล่อยให้เธอไปไหนไม่ได้”
อะความารีนเลิกคิ้วนิดๆ ก่อนจะขยับยิ้มน่ารักอย่างพอใจในคำตอบ เพียงยิ้มเล็กๆก็ทำให้หัวใจคนมองแกว่งเบาๆ เกินจะหักห้ามใจได้อีกต่อไป
มือหนาข้างนึงเอื้อมมาประคองดวงหน้าเล็ก ขณะที่มืออีกข้างเลื่อนไปโอบรอบคอระหงส์ให้ขยับข้ามาใกล้พอ ที่เขาจะมอบความรู้สึกทั้งหมดให้เธอรู้
ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันแผ่วเบา สัมผัสราวกับชั่งใจกล้าๆกลัวๆ และยังลังเล…ก่อนที่รสจูบนั้นจะค่อยๆลึกซึ้ง และดูดดื่มขึ้นเมื่อต่างฝ่ายต่างบดเบียดเข้าใกล้กัน พยายามตักตวงความหอมหวานของกันและกัน อารมณ์ที่อัดอั้นถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมด ทั้งความคิดถึง ห่วงหา เนิ่นนาน…เสมือนว่าเวลาถูกหยุดค้างไว้แค่นั้น และมีเพียงเขาทั้งสองในห้วงเวลาแห่งความรักเช่นนี้
“อื้อ…ทรอนซ์”ท่านหญิงคนสำคัญผละจากรสจูบเมื่อรู้สึกว่าเพิ่งนึกอะไรออก
“หืมม์”คนถูกเบรคอารมณ์ค้างครางในลำคอ ก่อนจะเลื่อนหน้าเข้าไปใกล้ให้ปลายจมูกชนกับจมูกเล็กๆของคนในอ้อมกอด
“เอ่อ…ฉันคิดว่าเราควรกลับแล้วล่ะ”
“ทำไม?”
“เอ่อ…ก็ถ้าฉันหายไปแล้วมันเลยเวลาจนดึกดื่นขนาดนี้ แล้ว…เอ่อ”
“เธอห่วงเรื่องแพทริกซ์?”อะความารีนแทบสะดุ้งพอเห็นไฟรักในดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นแปรเปลี่ยนเป็นไฟอาฆาตนิดๆ ก่อนจะรีบอธิบาย
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ก็…ใช่แหละ”ดูเหมือนคำอธิบายของเธอยิ่งเสริมอารมณ์ร้อนแรงในดวงตาคู่นั้น เธอจึงรีบหาคำมาอธิบายเสริม “เขาก็เหมือนพี่ชายน่ะ”
“เหมือนยังไง ไม่เลยสักนิด= =”
“เอาน่า ฉันกับเขารู้จักกันตั้งแต่เด็ก เขาก็เหมือนผู้ปกครองและปฎิบัติกับฉันเหมือนน้องสาวคนนึงเท่านั้นแหละ”
“เขา…เคยแตะต้องเธอมากกว่าพี่ชายรึเปล่า?”ทรอนซ์หรี่ตาลงจับผิด เสียงเข้มดุกลายๆเหมือนปีศาจร้ายเตรียมตะครุบเหยื่อ เหยื่อที่อยู่ในอ้อมกอดเขาเนี่ยแหละ เพราะไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ปล่อยไปไหนอีกแล้ว
“เปล่าๆๆ ไม่เคยเลย อย่างที่บอกว่าเขาปฎิบัติต่อฉันเหมือนน้องสาว แล้วก็เป็นพี่ชายที่ดี”หญิงสาวปฎิเสธเป็นพัลวัน แต่แอบรู้สึกผิดนิดหน่อยเพราะมันไม่ใช่ทั้งหมดที่เธอพูด เพราะพี่ชายที่ดีคนนั้นเพิ่งจะมาปฎิบัติกับเธอแปลกๆเมื่อตอนที่ฝึกวันนี้สดๆร้อนๆเลยต่างหาก
ใช่…เขาพูดถึงเรื่องทวงสิทธิ์
“แล้วไป= =”สีหน้าเขาดูช่างผ่อนคลาย เหมือนยกภูเขาทั้งลูกออกจากอก
“ถ้างั้นเรารีบกลับเถอะนะ*^*”
“…ก็ได้”
อะความารีนจึงค้นพบคำตอบว่าเธอมาอยู่บนต้นไม้สูงใหญ่นี้ได้อย่างไร เมื่อร่างหนายันตัวขึ้นพร้อมโอบกอดร่างเธอไว้ เธอก็ได้ยินเสียงพึมพำเป็นภาษาแปลกๆก่อนที่ร่างเธอและเขาจะวาร์ปหายจากที่ที่เคยอยู่ ไปยืนอยู่ ณ บริเวณทางเข้าป้อมปราการครอส
…
หัวใจเจ้ากรรมมันยังไม่ยอมหยุดเต้นรัวเร็ว ตั้งแต่เดินเข้าปราสาทจนมาหยุดอยู่หน้าห้อง
ยังไม่อยากเชื่อว่าคนที่เดินข้างๆจะเป็นทรอนซีราและไม่อยากเชื่อว่าทรอนซีรา เจ้าชายน้ำแข็งเดินได้(เนี่ยนะ!?)จะเป็นฝ่ายรุกและพูดความในใจออกมา
ให้ตายดิ! นี่มันอะไรกัน T T//
“ฝันดีนะ”หน้ากะตุกอีกครั้งก็ตอนได้ยินเขาพูดเบาๆแต่ฟังดูมีเสน่ห์ มีพลังล้นหลาม…นายนี่มันร้ายกาจเหมือนกันนะ U///U ฉันเบือนสายตาหลบตาคมๆที่สื่อความนัยเพราะทนพลังดาเมจไม่ได้
“เอ่อ…ฝันดีทรอนซ์”ก็เลยพูดงึมงำกำมือแน่น มองจ้องพื้นเสมือนว่ากำลังสแกนหาแบคทีเรียและไรฝุ่น
ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจ ก่อนสัมผัสอุ่นจากมือหนา ที่ช้อนคางกึ่งบังคับให้เงยหน้าขึ้น สบตาเขา…
“เธออึดอัดหรอ”แม้สีหน้าท่าทางของเขาจะดูไร้อารมณ์แต่ถ้ารู้จักเขาดีบวกกับตาไวนิดนึงก็จะเห็นได้ว่านัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มนั่นสั่นไหวอยู่แวบนึง…แค่เพียงเสี้ยววิเท่านั้น
“ม…ไม่ใช่หรอก แค่รู้สึกว่านายดูเปลี่ยนไป”ฉันค่อยๆลดเสียงเพราะยิ่งพูดยิ่งเหมือนตอกย้ำความรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง ก็ใครใช้ให้เขาเย็นชา ไร้อารมณ์ทำเป็นไม่แคร์ไม่สนใจฉันเล่า! แล้วจู่ๆก็มาเปลี่ยนบทจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเนี่ยนะ
“หรือเธออยากให้…เป็นเหมือนเดิม”เสียงทุ้มจากคนที่ควบคุมอารมณ์แย่ขึ้นทุกวันเริ่มแฝงด้วยความไม่พอใจนิดๆ
“เปล่า! ไม่ใช่!”ฉันคว้าหมับไปที่มือหนาที่ดูเหมือนจะชักกลับไป “ฉันแค่ไม่แน่ใจว่าที่นายพูด นายมั่นใจแค่ไหน…คือนายแน่ใจแล้วหรอ…มันอาจจะเป็นแค่แบบ อารมณ์ชั่ววูบรึเปล่า…ก็พอดีฉันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย นายอาจจะอุปปาทานไปเองว่าเป็นห่วงฉัน หรือว่า ฉันสำคัญ…อะไรทำนองนั้นละมั้ง…ซึ่งเอ่อ…”
ทำไมใบหน้าที่ควรไร้อารมณ์เริ่มมีสีแดงแต้มจัดอย่างนั้นล่ะ…รู้ตัวอีกทีว่าคงพูดอะไรผิดไป เขาก็โกรธจนเหมือนจะพ่นไฟออกมาได้แล้ว ทรอนซ์กัดฟันกรอด เหมือนกำลังอดทนอดกลั้นที่จะไม่เสกฉันเป็นรูปปั้นน้ำแข็งยังไงยังงั้น…
“ฉันดูเป็นคนโลเล เปลี่ยนใจง่ายๆงั้นหรอ”
“ฉันขอโทษY_Y”
“ตลอดเวลา สิ่งที่ฉันทำ มันยังไม่ชัดเจนอีกหรือ…อะความารีน”
น้ำเสียงและสายตาตัดพ้อทำให้ความรู้สึกบางอย่างอัดจุกแน่นในอก คำตอบนั้นฉันรู้ดีอยู่แก่ใจ หวนระลึกถึงความทรงจำในอดีต ไม่มีสักครั้งเลยที่ทรอนซีราผู้เย็นชา จะแสดงให้เห็นว่าเขาไร้เยื่อใยต่อฉันแล้วจริงๆ
“นี่มันอะไร”เสียงทุ้มลึกอีกเสียงดังมาจากบริเวณหัวบันได ฉันเบิกตากว้างก่อนที่จะรู้ตัวคนๆนั้นก็เข้ามาคว้าแขนฉันไว้ ตาสีแดงดุดันวาววับเหมือนปีศาจ
“ท่านพี่”ฉันมองหน้าแพทริกซ์ที่จ้องทรอนซ์เขม็ง มือของเขานั้นร้อนราวกับไฟลาวา ถ้าฉันไม่มีพลังธาตุไฟบริสุทธิ์ป่านนี้แขนของฉันก็คงไหม้ไปแล้วล่ะ
“ปล่อยเธอซะ”ทรอนซ์เปรยเสียงเย็นก่อนที่จะจับหมับกับแขนอีกข้างของฉันไว้ และถ้าฉันไม่มีพลังธาตุน้ำละก็ แขนของฉันคงถูกหุ้มด้วยน้ำแข็งไปแล้วล่ะ
“เธอเป็นของฉัน”แพทริกซ์แทบจะตวาดเสียง ไอเย็นแผ่ออกจากตัวเขาเสมือนว่าพร้อมจะสู้รบ
“ปล่อยฉันนะทั้งคู่เลยT_T”
“เธอเป็นของตัวเธอเอง และมีสิทธ์เลือก”ทรอนซ์พูดราบเรียบ ทั้งคู่จ้องหน้ากันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ แต่ไม่มีใครสนใจฉันเลยนะเนี่ยยู้ฮูๆ
“หยุดเลยนะ”ฉันพยายามสะบัดมือทั้งสองข้างออกจากพันธนาการ ของคนสองคนที่จู่ๆก็ดูจะไม่รู้จักโต เหมือนเด็กแย่งของเล่นขึ้นไปทุกที
พอรู้ตัวอีกที ในมือแพทริกซ์ก็มีดาบยาวที่มีไฟลามเลียทั่วพื้นผิว ส่วนทรอนซ์ก็มีดาบคู่ที่ด้ามทำจากน้ำแข็ง และทั้งคู่อยู่ในท่าพร้อมสู้
“ถ้าจะสู้กัน ฉันจะหนีออกจากที่นี่…คนเดียว!!”ฉันแผดเสียงลั่น ในใจรู้สึกทั้งหงุดหงิด ทั้งโมโห เมื่อตวัดสายตามองคนทั้งคู่ที่ยอมลดดาบลงแล้วก็เสริมประโยคต่อไป “พวกนายโตๆกันแล้ว เอะอะอะไรก็ตัดสินกันด้วยกำลังเนี่ยนะ ฮึ ต่อให้สู้กันให้ตายไปข้างแล้วอะไรจะดีขึ้นไหม สงครามข้างนอกก็ฆ่ากันตายอยู่แล้ว ยังจะสู้กันกับเรื่อง แค่เนี้ย!”
ไม่ว่าเปล่าฉันทำนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เกือบติดกัน ให้เหลือช่องว่างเพียงนิดเดียว
“ถ้าพูดจากันด้วยเหตุผลไม่ได้ก็อย่าพูดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่เลย!”
ฉันทิ้งท้ายตวัดมองทั้งคู่ที่ดูเหมือนจะค้างเป็นรูปปั้นไม่ยอมขยับ ก่อนจะกระทืบเท้าออกไปจากฉากน่าอึดอัดเหล่านั้น
<to be con.>
ขอบคุณทุกคอมเม้น ถ้าไม่มีเม้น ไม่มีกำลังใจจริงๆนะเนี่ย
5555 เจอกันในตอนหน้าค่ะรีดเดอร์ที่น่ารักทุกท่าน<3 : )
บาบิQ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

น่ารักจุง.. มีพระเอกสองคนได้ป่ะ T__T
คิดถึงเรื่องนี้สุดๆๆๆๆๆๆ ยังติดตามจนกว่าจะจบกันไปข้างนึงเลยนะ
สู้ๆไรเตอร์ !!!!!!!! Fighting!!!!!!!!!!
จากการอ่าน ฮือๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เจ็บแทน 2 คน ไม่รู้จะเลือกใคร คนนู่นก็ดีกับเราจะตาย อีกคนก็รัก มีเยื่อใยให้ทั้ง 2 คน แง้ๆๆๆๆๆๆ มาหาหนูสักคนก็ยังดีนะคะ 555+