ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    I'm not gay!! แต่คนที่ชอบบังเอิญเป็นผู้ชาย (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #32 : Rule 26 : (Special Ball x Din) รักแรกของผม1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 10.93K
      22
      26 มี.ค. 56

    Rule 26 : (Special Ball x Din) รักแรกของผม1

    Special Din's part.

     

                    สมัยม.ต้น  ผมเรียนอยู่โรงเรียนสหศึกษาชื่อดังแห่งหนึ่ง  ในโรงเรียนผมค่อนข้างดังเพราะผมหน้าตาดีแต่ติดตรงที่ว่าผมโคตรจะเตี้ยเลย  ผลการเรียนผมก็กึ่งๆ ไม่ได้เก่งไม่ได้โง่  แต่ที่แน่ๆ ผมเป็นลูกคุณหนูครับ
     

                    “คุณหนูครับ! หยุดวิ่งเสียทีเถอะครับผมเหนื่อย” คุณพ่อบ้านวัยชราร้องเรียกผมขณะที่กำลังวิ่งไล่ตามคุณหนูเอาแต่ใจอย่างผมอยู่  ผมถูกคุณพ่อกับคุณแม่บังคับให้มาอ่านหนังสือที่หอสมุดน่ะสิ  เดิมทีหนังสือที่บ้านผมก็เยอะจะตายอยู่แล้วแต่ถ้าอยู่ที่บ้านผมไม่มีอารมณ์จะอ่านน่ะสิ
     

                    “ถ้าเหนื่อยก็หยุดวิ่งสิ  ผมไม่อยากให้ใครมาเฝ้าดูผมตอนผมอ่านหนังสือนี่” ใครบอกว่าผมจะอ่านหนังสือกันเล่า  ผมจะไปเตะบอลกับเพื่อนที่สวนสารธารณะข้างๆ ต่างหาก
     

                    “แต่ผมต้องรายงานพฤติกรรมของคุณหนูให้คุณท่านรู้นะครับ” คุณพ่อบ้านพูดพลางหอบหายใจถี่รัว
     

                    “เอาเถอะๆ คุณพ่อบ้านไปรอผมที่ร้านกาแฟตรงข้ามหอสมุดละกัน” ผมพูดพลางวิ่งเข้าไปในหอสมุด  ผมกะจะลอบออกไปทางประตูหลังแล้วมันจะทะลุออกไปที่สวนสาธารณะพอดี



     

     

                    โอ้ว  แค่เข้ามาข้างในหอสมุดผมก็รู้สึกอึดอัดจะบ้าตายอยู่แล้ว  กลิ่นหนังสือตลบอบอวนจนผมอยากจะอ้วกออกมาเป็นตัวหนังสือเลยทีเดียว  ในหอสมุดนี้นอกจากจะมีคุณลุงคุณป้าแก่ๆ แล้วก็มีแต่พวกหนอนหนังสือหน้าจืดๆ ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย
     

                    เอ่อ...ประตูหลังของหอสมุดนี่มันอยู่ตรงไหนวะเนี่ย??  เห็นเพื่อนบอกให้ออกทางประตูหลังแต่ว่า...หอสมุดนี่มันใหญ่ชะมัดเลย
     

                    ตุบ!
     

                    “อั่ก!” ผมครางเมื่อผมที่เดินไม่ดูตาม้าตาเรือดันไปชนกับคนคนหนึ่งที่ถือกองหนังสือเต็มมือ  และเมื่อชนกันหนังสือเล่มหนาๆ ที่วางซ้อนกันในอ้อมแขนของคนคนนั้นก็ตกลงเกลื่อนพื้น “นี่นาย!! เดินดูทางหน่อยเด่ะ!” ผมที่ล้มก้นกระแทกพื้นต่อว่าไอ้หนอนหนังสือที่ผมเดินชน  ถึงผมจะผิดแต่ผมก็จะให้ไอ้บ้านั่นมันขอโทษ
     

                    “นั่นมันนายต่างหาก” เสียงทุ้มๆ เย็นๆ ดังต่อว่าผมผมจึงเงยหน้ามองไอ้คนตัวสูง  ไอ้หน้าจืดหนอนหนังสือบังอาจมาว่าฉันเรอะ!
     

                    หือ!?! เอ่อ...ที่บอกว่าหน้าจืดเมื่อกี้ผมขอถอนคำพูดนะครับ  ไอ้บ้านี่หน้าตาโคตรดีเลย! แถมตัวยังสูงมากๆ อีกต่างหาก
     

                    “เอ๋?”
     

                    “ถ้าจะวิ่งเล่นก็ออกไปข้างนอก  เป็นเด็กเป็นเล็กหัดรู้กาลเทศะเสียบ้าง” ผมชะงักเมื่อถูกต่อว่า  ผมเหลือบมองเครื่องแบบนักเรียนที่หมอนั่นใส่ก่อนจะฉุนกึกขึ้นมา  นี่มันเครื่องแบบนักเรียนม.ต้นของโรงเรียนชายล้วน SM นี่หว่า  ไอ้คนตัวโคตรสูงนี่อยู่ม.ต้นหรอกเรอะ!?!
     

                    “เป็นเด็กม.ต้นเหมือนกันแท้ๆ อย่ามาว่าฉันนะ” ผมชี้หน้าไอ้แว่นตรงหน้า
     

                    “ฮึ!” ไอ้แว่นตัวสูงมองหน้าผมอย่างเหยียดๆ ก่อนจะก้มลงเก็บหนังสือที่หล่น  ผมหน้าบูดบึ้งอย่างอารมณ์เสียก่อนจะผลักไอ้บ้านั่นจนล้มก้นจ้ำเบ้า
     

                    “แบร่!!” ผมแลบลิ้นใส่หมอนั่นก่อนจะรีบวิ่งหาประตูหลังเพื่อออกไปเตะบอลกับเพื่อน



     

                   

                    ผมเตะบอลกับเพื่อนอย่างสนุกสนานจนเป็นเวลาเย็น  ผมบอกลากับเพื่อนก่อนจะเดินเข้าไปในหอสมุดจากทางด้านหลังอีกครั้งก่อนจะพบว่า...มันปิดแล้ว!!
     

                    นี่เพิ่งจะหกโมงเองนะเฟ้ย  ทำไมรีบปิดจังวะ!!
     

                    เมื่อรู้ว่ามันปิดแล้วผมจึงค่อยๆ แอบย่องออกไปตรงถนนใหญ่ข้างๆ สวนสาธารณะ  ถ้าผมเจอคุณพ่อบ้านตอนนี้ผมต้องโดนดุแน่เพราะฉะนั้นผมหนีกลับบ้านเองดีกว่า  แทนที่ผมจะถูกคุณพ่อบ้านดุผมทำให้คุณพ่อบ้านถูกพ่อผมดุเพราะให้ผมกลับบ้านเองดีกว่า (เหอๆๆ กูนี่มันเด็กเปรตจริงๆ)

                    ปิ๊นๆๆๆ
     

                    เหวอออออออ!!  ผมถอยหลังกรูดเมื่อรถบีบแตรเสียงดังขณะที่ผมกำลังจะข้ามถนน 
     

                    “โธ่เว้ย!! ทำไมไม่ขับช้าๆ เล่า!!” ผมตะโกนด่าไอ้รถคันนั้น
     

                    “คนที่ผิดน่ะมันนายต่างหาก” พอสิ้นเสียงคำด่าของผมเสียงทุ้มๆ ก็ดังขึ้นผมจึงหันไปมองคนพูด  ไอ้แว่นคนเดิมที่เจอในหอสมุดนั่นพูดขณะที่กำลังเดินอ่านหนังสือ
     

                    “อย่ามายุ่งกับฉันน่า!” ผมทำปากยื่น
     

                    “อ๊ะ หมาน่ารักจัง” ไอ้แว่นบ้านั่นไม่สนใจผมก่อนจะเดินไปหาหมาปอมปอมที่ดูเหมือนจะเดินหลงกับเจ้าของ  หนอย กล้าเมินกูแล้วสนใจหมาเรอะ! “หลงกับเจ้าของสินะ  เดี๋ยวพี่ชายจะตามหาให้นะ” ไอ้แว่นนั่นพูดก่อนจะยิ้มจนตาหยี  ชิ!! ทีพูดกับหมาล่ะยิ้มซะกว้าง
     

                    บ๊อกๆ  เจ้าหมาขนฟูที่อยู่ในอ้อมแขนของไอ้แว่นนั่นหันมาหาผมแล้วเห่าใหญ่เลย  เหวอ  ไม่เอาๆ ฉันเกลียดหมา!
     

                    “หวา” ผมยกแขนขึ้นปิดหน้าก่อนจะก้าวถอยหลังแต่ดันสะดุดก้อนหินจึงล้มลง
     

                    “คึๆ กลัวเหรอ?” ไอ้แว่นนั่นมองผมอย่างขำๆ ก่อนจะอุ้มลูกหมาเข้ามาใกล้ผม
     

                    “อย่าเอามันเข้ามานะ เหวอ ไม่เอาๆๆๆ” ผมเอามือปิดหน้าปิดตาด้วยความหวาดกลัว  ผมกลัวจริงๆ นะเนี่ย
     

                    “ฮุๆๆ อ่อนแอจังเลยนะ  เด็กนี่ออกจะน่ารักแท้ๆ” ไอ้แว่นนั่นหัวเราะคิกคักพลางจุ๊บเจ้าขนฟูนั่นเบาๆ อี๊ว แค่เห็นผมก็ขนลุกแล้ว  ไอ้บ้านั่นไม่กลัวหมากัดรึไงนะ
     

                    แบบว่า...สมัยประถมผมเคยไปแกล้งหมาจนถูกกัดน่ะสิตอนนี้ผมก็เลยยังฝังใจกับหมาอยู่เลย
     

                    “ลองจับดูสิ  เขาเป็นเด็กดีนะ  ไม่กัดหรอก” เจ้าแว่นนั่นนั่งยองๆ ตรงหน้าผม(ตอนที่ล้มผมยังไม่กล้าลุกเลย)ก่อนจะยื่นเจ้าหมานั่นมาใกล้ๆ
     

                    “อ๋า ไม่อาว เอามันออกไปๆๆ โฮ!!  พ่อครับแม่ครับ!!” เนื่องจากผมกลัวมากที่เจ้าหมานั่นมันอยู่ใกล้หน้าผมมากๆ ผมจึงร้องไห้ออกมา
     

                    “ฮะ ฮ่าๆๆ นี่กลัวจริงๆ เหรอ คิกๆ เอ้า เจ้าหนู เป็นเด็กดีแล้วไปรออยู่ตรงนั้นนะ” ไอ้แว่นพูดพลางปล่อยให้หมาไปยืนอยู่ห่างๆ ซึ่งดูเหมือนเจ้าหมานั่นจะทำตามอย่างว่าง่าย
     

                    “โฮ ฮือๆๆ” ผมยังร้องไห้ไม่หยุด
     

                    “โอ๋ๆ ไม่ร้องนะ  มันไปแล้ว” ไอ้เจ้าแว่นบ้านั่นพูดก่อนจะกอดผมไว้  หือ? อ่า...อบอุ่น แต่...อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นเด็กอนุบาลเซ่!! ฉันอยู่ม.หนึ่งแล้วนะเว้ย!
     

                    “ฮือๆ ไอ้บ้าๆ อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นเด็กนะ โฮ” ผมร้องไห้โวยวายพลางทุบอกไอ้คนตัวสูง
     

                    “อย่าร้องไห้นะ  เดี๋ยวเลี้ยงไอติม” นี่!! ก็บอกแล้วไงว่าอย่าทำเหมือนฉันเป็นเด็ก!!
     

                    “จริงนะ?” แฮ่ๆ แต่พอดีว่าผมชอบกินของหวานอ่ะ
     

                    “อืม แต่หลังจากที่ตามหาเจ้าของของเด็กนั่นเจอนะ” ไอ้แว่นยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน  ไม่น่าเชื่อ?? นึกว่าจะยิ้มให้คนอื่นไม่เป็นเสียอีก
     

                    “ไม่...ฉันกลัวหมา” ผมทำหน้าแหย
     

                    “ไม่เอาน่า เด็กนั่นนิสัยดีออก  มานี่มะ” ไอ้แว่นนั่นหันเรียกหมา  เฮ้ย อย่าเรียกมันมา
     

                    “แง! ไม่ๆๆ” ผมแหกปากน้องอีกครั้งหมอนั่นจึงดึงผมเข้าไปกอดอีกรอบ  เสียงผมหายไปเมื่อปากของผมถูกปิดด้วยไหล่หนา  ไอ้หมอนี่เป็นเด็กม.ต้นแน่เหรอ?  ทำไมถึงตัวสูงและไหล่กว้างน่าซบน่าไซ้แบบนี้นะ
     

                    “ดูนี่สิ ไม่กัดจริงๆ นะ” ไอ้หมอนั่นพูด  แขนข้างหนึ่งกอดผมไว้อีกข้างก็อุ้มหมา
     

                    “โฮ!! แง้!!” ผมร้องไห้หนักกว่าเดิมเมื่อผมบังเอิญไปสบตาแป๋วๆ ของเจ้าขนฟูเข้า
     

                    “ถ้าไม่อยากกลัวหมานายต้องเผชิญหน้ากับมันนะ” ไอ้แว่นนั่นพูด  ผมกอดแขนไอ้แว่นเสียแน่นด้วยความกลัว
     

                    บ๊อกๆ เสียงเห่าดังขึ้นอีกผมจึงยิ่งกอดไอ้แว่นแน่นกว่าเดิม
     

                    “หือ?” ผมส่งเสียงออกมาอย่างสงสัยเมื่ออุ้งเท้าเล็กๆ แตะที่ไหล่ของผม  ผมหันไปมองเจ้าของอุ้งเท้าก่อนจะผวา  เจ้าขนฟูนั่นแตะไหล่ผมเบาๆ อย่างเป็นมิตรแต่ยังไงๆ ผมก็ยังกลัวนี่นา
     

                    “โอเคๆ” ไอ้แว่นนั่นพูดอย่างอ่อนใจก่อนจะปล่อยเจ้าหมาออกจากอ้อมแขนของตัวเองแล้วหันมากอดผมไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง  ฟินเลยกู
     

                    “อึ๊ก ฮือๆ” ผมสะอื้น น้ำมูกน้ำตาที่ไหลออกมาก็เช็ดเสื้อไอ้บ้าแว่นนี่แหละ
     

                    “ฉันจะตามหาเจ้าของหมานี่  นายขี่หลังฉันแล้วจับเชือกนี่นะ” ไอ้แว่นปล่อยผมออกจากอ้อมแขนก่อนจะย่อตัวลงเพื่อให้ผมขึ้นหลัง  พอผมปีนขึ้นหลังเสร็จไอ้แว่นก็ยัดเชือกจูงหมามาใส่มือผม
     

                    “แล้วนายจะไปตามหาที่ไหน” ผมถาม  ตอนนี้ผมกำลังจะหยุดร้องแล้วครับ  แค่ถูกปลอบนิดๆ ผมก็ยอมหยุดร้องไห้แล้ว  ใจง่ายเนอะ
     

                    “ก็ในสวนสาธารณะนี่และ  เจ้าของเองก็น่าจะกำลังตามหาเด็กนี่อยู่”



     

     

                    บ๊อกๆๆๆ
     

                    ขณะที่กำลังด้านผ่านเซเว่นเจ้าหมานี่ก็เห่าใหญ่เลย  เห่าไม่พอมันยังวิ่งอีกเจ้าแว่นจึงต้องวิ่งตามและนั่นก็ทำให้คางของผมกระแทกกับไหล่ไอ้แว่นดังอั่กๆ
     

                    บ๊อกๆๆ
     

                    เจ้าขนฟูตัวนั้นวิ่งไปหยุดตรงหน้าผู้หญิงแต่งตัวเปรี้ยวๆ คนหนึ่งก่อนจะเห่ารัว
     

                    “คุณ...เป็นเจ้าของหมาตัวนี้ใช่ไหมครับ?” ไอ้แว่นถามขึ้น
     

                    “ไม่ใช่นะ!” ผู้หญิงคนนั้นพูดก่อนจะเบะปากใส่เจ้าหมา  เจ้านั่นทำหน้าเศร้าก่อนจะเข้าไปแทะรองเท้าส้นสูงสีแดงของผู้หญิงคนนั้นทำเอาหล่อนกรี๊ด
     

                    “เจ้านี่เป็นของคุณสินะ” ไอ้แว่นพูดด้วยสีหน้าจริงจัง  ผมแอบเห็นผู้หญิงคนนั้นหน้าแดงด้วย  ก็พอเข้าใจอยู่หรอกเพราะไอ้แว่นนี่มันหล่อบรรลัยเลยน่ะสิ
     

                    “ฉันเอามันมาทิ้งแล้วเพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่ของฉัน” ผู้หญิงคนนั้นแว้ดใส่พวกเรา
     

                    “ทำไมล่ะ? น่ารักขนาดนี้คุณทิ้งมันทำไม” ผมถามเสียงดัง  ไอ้แว่นเหลือบมองผมเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย  ดูท่าทางเจ้าหนูนี่หงอยไปเลย
     

                    “ก็มันกัดรองเท้ากับกระเป๋าของฉัน  ฉันเลยเอามันมาทิ้ง มีปัญหาอะไรไหม?”
     

                    “มันน่าสงสารนะครับ” ไอ้แว่นพูด
     

                    “ถ้าสงสารก็เอามันไปเลยสิ  อย่ามายุ่งกับฉันอีกนะ!” ผู้หญิงคนนั้นสะบัดขาออกจากเจ้าหนูขนฟูก่อนจะเดินกระแทกส้นจากไป
     

                    “สงสัยต้องเอากลับบ้านซะแล้วสิ” เจ้าแว่นพูดเบาๆ
     

                    “แล้วไอติมฉันล่ะ?” ผมถามอย่างหงอยๆ  นี่ก็เย็นมากแล้วด้วย
     

                    “พรุ่งนี้ละกัน  ฉันอยู่ที่หอสมุดเหมือนเดิม” หมอนั่นพูด
     

                    “ถ้านายเบี้ยวฉันล่ะ?” ผมถามพลางปีนลงจากแผ่นหลังกว้าง
     

                    “หืมม์? งั้นก็...จุ๊บ!” หมอนั่นพูดพลางก้มลงมาจุ๊บที่ปากผมเบาๆ  ผมถอยกรูดอ้าปากค้าง
     

                    “นะ...นาย...นาย...”
     

                    “จูบสัญญาไง” หมอนั่นพูดก่อนจะอุ้มหมาเดินจากผมไป  ผมยืนกุมปากนิ่งค้าง  อยากจะยิ้มแต่ก็ยิ้มไม่ออก  เขินสุดๆ เลยล่ะครับ
     

                    อ่า...ใจผมเต้นแรงชะมัด!! ไอ้แว่นที่เดินจากไปท่ามกลางเสียงอาทิตย์ตกสีส้มก็เท่เป็นบ้า 
     

                    ผม...พบรักเสียแล้วล่ะครับ



     

     

                    วันต่อมา  หลังเลิกเรียนผมก็กลับไปเปลี่ยนชุดและมาที่หอสมุดอีกครั้ง  คุณพ่อคุณแม่และคุณพ่อบ้านต่างตกใจที่ผมตื๊อขอมาหอสมุด  เนื่องจากเมื่อวานผมแอบกลับบ้านคนเดียวพ่อจึงไม่ให้ผมมาที่หอสมุดอีกแต่พอเจอลูกอ้อนพ่อก็ยอม
     

                    ผมเดินเข้ามาในหอสมุดก่อนจะมองหาร่างสูงๆ ในชุดนักเรียนม.ต้น
     

                    “อ๊ะ เจ้าแว่น!” ผมตะโกนเรียกเจ้าแว่นก่อนจะโบกมือหย็อยๆ  รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมองมาแปลกๆ แฮะ
     

                    “นี่ เงียบหน่อยสิ  ที่นี่ห้องสมุดนะ” เจ้าแว่นพูดก่อนจะก้มลงอ่านหนังสือ  ดุผมอีกแล้ว  ชิ! คนอุตส่าห์ชอบ
     

                    “เลี้ยงไอติม” ผมทวง
     

                    “อืม แต่ขออ่านเรื่องนี้จบก่อน” ไอ้แว่นพูดทั้งๆ ที่ยังไม่เงยหน้ามาจากหนังสือ  ผมอยากรู้ว่ามันเรื่องอะไรผมจึงชะโงกหน้าไปดู
     

                    เอ่อ...ตาลายเลยครับ  หนังสือที่หมอนี่อ่านมีแต่ภาษาอังกฤษ  อังกฤษล้วนๆ แถมยังไม่มีภาพประกอบเหมือนนิทานที่ผมชอบอ่านด้วย
     

                    “นายอ่านออกเหรอ?” ผมนั่งเท้าคางตรงหน้าของหมอนั่นก่อนจะถาม
     

                    “อืม”
     

                    “โม้แน่ๆ เลย” ผมพูด  เด็กม.ต้นที่ไหนจะมานั่งอ่านหนังสือภาษาอังกฤษยากๆ แบบนี้ทุกๆ วันกันเล่า  แค่อ่านการ์ตูนที่เป็นภาษาไทยผมก็เอียนแล้ว

                    “อืม”
     

                    “นั่นไง”
     

                    “นั่งเงียบๆ ได้ไหม  ถ้านายกวนฉันแล้วตอนไหนฉันจะอ่านจบ” ไอ้แว่นเงยหน้าจากหนังสือมาจ้องผมดุๆ อ่า...สายตาร้อนแรงเป็นบ้า  เขินเลยเรา
     

                    “เหลืออีกเป็นสิบหน้าแน่ะ  อีกกี่ชั่วโมงถึงจะจบล่ะ” ผมถาม  ถ้าเป็นผมคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองชั่วโมงแน่  ก็กว่าจะมานั่งอ่านนั่งแปลอีก  หน้าหนึ่งก็กินไปตั้งหลายนาที
     

                    “ขออีกสิบนาที”
     

                    “โม้ สิบนาทีจะจบได้ไง...”
     

                    OxO!!!
     

                    “เงียบได้ซักที” ไอ้แว่นพูดก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสืออีกครั้ง
     

                    ให้ตายเถอะ...หมอนั่นปิดปากผมด้วยการจูบน่ะสิ  ผมอึ้งจึงเงียบไปพักใหญ่  อยาก...อยากได้อีก



     

     

                    “นาย อ่านจบรึยัง  หิวๆๆ” สักพักผมก็ส่งเสียงหนวกหูน่ารำคาญอีกครั้ง  จูบอีกสิ แล้วจะเงียบ
     

                    “ใกล้แล้ว” หมอนั่นพูด
     

                    “หิวๆๆ” ถ้าไม่จูบฉันก็จะไม่เงียบนะ
     

                    “เฮ้อ!
     

                    หมอนั่นตบโต๊ะเบาๆ ก่อนจะจับคางผมแล้วดึงให้เข้าไปใกล้  เฮือก! ทำไมทำตาดุจังล่ะ
     

                    จ๊วบบบ!

                    ผมเบิกตากว้างเมื่อเจ้าหมอนั่นจูบผม แล้วก็...อื้อ! ชะ...ใช้ลิ้นด้วย!
     

                    “ถ้าไม่เงียบฉันจะทำแบบนี้อีก” หมอนั่นขู่ผมก่อนจะอ่านหนังสือต่อ  ผมยังคงอึ้งและดูเหมือนจะช็อคไปแล้วด้วย  ไม่ได้ช็อคเพราะรังเกียจ  แต่ช็อคเพราะเขินมากต่างหาก  หมอนี่...ไวไฟจริงๆ

     



     

                    “ขี่หลังหน่อยสิ” ผมอ้อนเมื่อหมอนั่นปิดหนังสือลง
     

                    “ไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะนายน่ะ” หมอนั่นชายตามองผม
     

                    “ถะ...ถ้า...ถ้าไม่ให้ขี่หลังก็...จะ...จะ...จูบแบบเมื่อกี้อีกทีได้ไหม?” ผมก้มหน้าพูดก่อนจะบิดตัวไปมา  อ๊าก!  เขินเป็นบ้า  เขินชะมัดเลย!

                    “ไม่” เหอ?
     

                    “นี่นาย  ไม่เคยมีใครปฏิเสธฉันเลยนะ” ผมทำปากยื่นอย่างงอนๆ
     

                    “อ๋อ มีแต่คนตามใจสินะนายน่ะ” หมอนั่นถามขณะเดินเอาหนังสือไปเก็บซึ่งผมก็เดินตามไป
     

                    “ก็นะ” ผมพยักหน้า
     

                    “ถ้าอยากจูบก็จูบเองสิ” หมอนั่นหันมามองหน้าผมเมื่อเก็บหนังสือเข้าชั้นแล้ว
     

                    “เอ๋? อะ...” ถึงหมอนั่นจะบอกให้ผมจูบเองก็เถอะแต่...ผมจูบไม่เป็นอ่ะ  แล้วอีกอย่าง...ถึงผมเขย่งเพื่อที่จะจูบหมอนั่นผมก็ไม่ถึงอยู่ดี  หมอนั่นเองก็ยืนซะเต็มความสูง  ถ้ามันไม่ก้มลงมาผมก็จูบไม่ได้หรอก  แต่...อายชะมัดเลยว่ะ
     

                    “หืมม์?”
     

                    “เหวออออออ” รู้สึกเหมือนว่าระบบความคิดความอ่านของผมจะรวนไปหมด  รู้ตัวอีกทีผมก็วิ่งแจ้นออกจากหอสมุดไปที่รถของตัวเองแล้ว
     

                    ทำไงดีอ่ะ?? ผมเขินจนหน้าจะระเบิดออกมาเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว



     

     

                    “พ่อครับ  ผมอยากเท่” พอกลับถึงบ้านผมก็วิ่งเข้าไปที่ห้องของพ่อผมทันที
     

                    “หา? เป็นอะไรมาล่ะหึดิน?” พ่อผมละสายตาจากเอกสารมามองผม  เพราะพ่ออยากจะให้ความสำคัญกับผมและน้องพ่อจึงหอบงานมาทำที่บ้านประจำเลย  พ่อเป็นประธานบริษัทรับเหมาก่อสร้างและพ่อมักจะไปดูไซด์งานอยู่บ่อยๆ พ่อผมจึงต้องมีร่างกายที่แข็งแรงและพ่อเองก็เท่มากด้วย  พูดได้ว่าพ่อผมแอบหล่อ ฮ่าๆๆ
     

                    “ผมอยากเป็นคนเก่ง เท่  อยากตัวสูงๆ และดูเป็นผู้ใหญ่  ผมไม่อยากร้องไห้ครับพ่อ!” ผมพูดก่อนจะยืนตะเบ๊ะท่าตัวตรงให้ดูเหมือนลูกผู้ชาย
     

                    “โอ้ เป็นคำพูดที่ดีนี่  ถ้าอยากเก่งจะต้องอ่านหนังสือเยอะๆ ถ้าอยากเท่ก็ต้องเล่นกีฬา” พ่อผมยิ้มกว้าง  คงจะดีใจที่ลูกมีใจขยันเพื่อเป้าหมายที่พูดมาเมื่อครู่
     

                    “สอนผมทีครับ”
     

                    “อืม...พ่อไม่ค่อยจะว่างด้วยสิ  เดี๋ยวพ่อจ้างครูมาสอนเอาไหม?” พ่อเอ่ย
     

                    “ผมอยากเป็นลูกผู้ชายเหมือนพ่อ  ให้พ่อสอนนั่นแหละครับ” ผมพูดเสียงดังฟังชัด
     

                    “นั่นสินะ งั้นพ่อขอเวลาเคลียร์งานครึ่งชั่วโมง  ลูกออกไปรอพ่อที่สระว่ายน้ำนะ” พ่อยิ้ม ผมจึงยิ้มกลับและวิ่งออกจากห้องไปเตรียมชุดว่ายน้ำ
     

                    แบบว่า...ผมยังว่ายน้ำไม่เป็นเลยอ่ะครับ


    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    B B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×