บทที่ 1 : ประเพณีอเคเซีย
รถม้าคันหนึ่งแล่นผ่านเขตที่อยู่อาศัยชั้นนอกเข้าสู่เขตการค้าชั้นนอกของเมืองหลวงอเคเซีย สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายหลายร้อยร้านจนถึงร้านค้าขนาดใหญ่กว่าร้านอื่นๆเล้กน้อย มันเป็นร้านที่มีขนาดใหญ่พอควรและมีโรงจอดรถม้าและโกดังเป็นของตัวเองอยู่ด้านข้างร้านค้า
ชายหนุ่มที่เป็นเจ้าของรถม้าลงจากรถม้าแล้วเข้าไปติดต่อกับพนักงานเฝ้าหน้าร้าน สักครู่หนึ่งที่หน้าร้านก็ปรากฎชายร่างอ้วนเดินออกมาก่อนจะยิ้มอย่างยินดีที่เห็นสหายของตนเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัยก่อนจะสั่งให้เด็กๆเอารถม้าเข้าไปเก็บที่โรงจอดรถม้า
เด็กชายที่อยู่ในรถมาลงที่หน้าร้านก่อนจะเดินตามชายทั้งสองเข้าไปในร้านค้า
ที่หลังร้านเป็นบ้านหินผสมไม้สองชั้นที่ลานหน้าบ้านมีเด็กผู้หญิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่กลางลานบ้าน ข้างเด็กหญิงมีหญิงสาวอายุราวยี่สิบปีกำลังนั่งบนหนึ่งในรากของต้นไม้พร้อมกับเรียกลูกบอลสีขาวขุ่นๆขึ้นมาตรงหน้าของนางด้วยการประคองมือทั้งสองข้างไว้ ลูกพลังสีขาวนั้นบ้างครั้งก็เหมือนจะแตกบางครั้งก็เหมือนจะหายไปทำให้สีหน้าของหญิงสาวแปลกพิกลตามความเปลี่ยนแปลงของลูกบอลนี้
เด็กชายจ้องมองลูกบอลนั้นด้วยความสนใจเพราะมันเป็นหนึ่งในการความคุมพลังเวทย์เพื่อฝึกฝนการควบคุมพลังมันเป็นบทเรียนของผู้ฝึกฝนขั้นสูง
เด็กชายทราบอยู่แล้วว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นพี่สาวของ'ลิลลี่' เธอมีชื่อว่าโรสแมรี่ บิดาและมารดาของพวกนางคือดีล เมอลีนกับเซเรน่า เมอลีนด้วยความที่บิดาเป็นพ่อค้าจึงทำให้มีทรัพยากรมากพอที่จะฝึกฝนศาสตร์ต่างๆได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ในอาณาจักรอเคเซียครอบครัวที่มีฐานะดีมักจะให้ลูกหลานเริ่มฝึกศาสตร์ที่แต่ละคนสนใจตั้งแต่อายุเจ็ดถึงแปดปีซึ่งเป็นช่วงอายุที่เหมาะสมสำหรับการเริ่มฝึกฝนที่สุดเมื่ออายุครบสิบปีก็ส่งเข้าโรงเรียนในเมืองหลวง ส่วนครอบครัวที่ฐานะปานกลางจะส่งลูกๆของพวกเขาเข้าศึกษาในโรงเรียนตามเมืองต่างๆหรือเมืองหลวงในตอนอายุสิบปีเท่านั้นแทบจะไม่ได้ใช้จ่ายสำหรับฝึกฝนก่อนเข้าเลยเลยแม้แต่น้อย และครอบครัวที่ยากจนมักจะเริ่มฝึกฝนตอนอายุสิบปีเช่นกันแต่มักจะเล่าเรียนกับอาจารย์ประจำหอสมุดเมืองหรือหมู่บ้านไม่ก็เรียนกับคนในหมู่บ้านนั้นๆที่พอจะมีวิชาความรู้อยู่บ้าง
ครอบครัวของบิชอบเองจัดยู่ในประเภทฐานะปานกลางค่อยข้างไปทางยากจน เนื่องจากที่ดินหนึ่งไร่ให้ผลผลิตได้สองรอบต่อปีซึ่งเพียงพอต่อการใช้จ่ายทั้งปีเหลือเก็บบ้างเล็กน้อยแต่เพราะบิดาตนเคยเป็นทหารเก่าจึงพอออกล่าสัตว์เวทเพื่อล่าศิลาจิตอสูรมาเปลี่ยนเป็นเงินได้มากโข
รายได้ทั้งปีของครอบครัวเขาประมาณสองร้อยเหรียญจิตมารหรือสองแสนเหรียญจิตอสูรซึ่งค่าใช้จ่ายต่อวันอยู่ที่คนละหนึ่งร้อยเหรียญจิตอสูรเท่านั้น เงินจำนวนนี้แบ่งเป็นรายได้จากข้าวสาลีสองรอบประมาณหนึ่งร้อยเหรียญจิตมาร ศิลาจิตอสูรเจ็ดสิบเหรียญจิตมารและอีกประมาณสามสิบจากเงินเดือนที่ได้จากการเป็นทหารของหมู่บ้าน
เด็กชายหันไปสังเกตดีลและบิชอบที่กำลังคุยกันอย่างออกรสอกชาติโดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนเพิ่มเข้ามาในเส้นทางเดินอีกหนึ่งคน ข้าหันไปยิ้มเจื่อนๆให้หญิงวัยกลางคนที่ยังมีความสวยงามไม่น้อยปรากฎให้เห็นที่เดินมาจากทางด้านโกดังเก็บของเธอคือภรรยาของดีลหรือมารดาของลิลลี่และโรสแมรี่ คุณหญิงเซเรน่าผู้ค่อยสนับสนุนสามีตัวเองจนมีกิจการที่ใหญ่โตได้และเธอยังเป็นเพื่อนสนิทของท่านแม่ของจูเนียร์อีกด้วย
"ท่านพ่อ ท่านลุง" ครรชิตสะกิดไปยังเจ้าของเชื่อเมื่อเห็นว่าใบหน้าของท่านหญิงเซเรน่าเริ่มไม่ดี
แม้ว่าเขาจะสะกิดไปแล้วแต่ก็ไม่ทำให้ทั้งคู่รู้สึกตัว ข้าเลยพยักหน้าท่านหญิงเซเรน่าก่อนจะเดินหนีไปยังที่ๆลูกของเธอนั่งอยู่ เซเรน่าหันมายิ้มให้เด็กชายก่อนจะดึงหูแล้วล่าชายหนุ่มทั้งคู่ไปยังศาลาที่พักที่อยู้ใกล้ๆสระบัวที่อยู่ทางซ้ายมือของลานหน้าบ้าน
เขาไปนั่งบนรากไม้อันหนึ่งเพื่อนั่งสมาธิเช่นเดียวกับลิลลี่ ตอนนี้เขาใกล้จะบรรลุขั้นที่หกของผลัดกายวชิระแล้วอีกเพียงสองครั้งเขาก็แข็งแกร่งพอๆกับสัตว์เวทระดับหนึ่งในวัยรุ่น
จากการคาดคะเนภายในคืนนี้เขาคงบรรลุผลัดกายวชิระขั้นหกอย่างแน่นอน!
เมื่อเด็กชายเข้าสู่สมาธิสรรพเสียงรอบต้นไม้กลับเงียบสงัดจนได้ยินเพียงเสียงลมให้ใจอันแผ่วเบาของทั้งสามคนใต้ต้นไม้เท่านั้น
"บิชอบเจ้าหนูนั้นมันฝึกฝนเวทมนต์งั้นรึ" ดีลเอ่ยปากถามเพื่อนชายโดยที่ทั้งคู่ยังกุมหูข้างที่โดนบิดอยู่เพื่อบรรเทาอาการเจ็บ
"ไม่ใช่หรอกมันเป็นการฝึกสมาธิที่ลูกข้าไปอ่านเจอมาในห้องสมุดนะ มันเอาไว้ลับประสาทสัมผัส เจ้าที่ฝึกเวทย์ก็น่าจะรู้ว่าไม่มีกระแสมานารอบๆลูกข้าที่ถูกดูดเข้าไปนี้" บิชอบตอบตามตรงเพราะตนก็เคยถูกอาจารย์ในตระกลูฝึกด้วยการเข้าสมาธิเหมือนกันแต่เป็นในท่าตั้งดาบเพื่อหลอมรวมร่างกายให้เป็นส่วนหนึ่งของดาบแม้ตนจะไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก
"นั้นสินะ" ดีลพึมพำเบาๆก่อนจะมองไปยังภรรยาตนที่ยังจ้องตาเขียวปัด "อะ แฮ่มๆ ท่านหญิงเซเรน่ามีอะไรให้ศรีสามีคนนี้รับใช้หรือ"
"พวกท่านอย่าส่งเสียดังสิ รบกวนการฝึกของเด็กๆหมด" หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวในศาลาริมน้ำกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลแต่แผ่วเบาเพื่อไม่ให้เสียงไปรบกวนเด็กๆในลานต้นไม้หน้าบ้าน
"การเดินทางเป็นอย่างไรบ้างล่ะ บิชอบ" เซเรน่าถามเมื่อละสายตามาจากเด็กๆ
"ก็ไม่ลำบากเท่าไร ดีที่มากับพวกขบวนพ่อค้านะ"
"ข้าไม่ยักกะรู้ว่าสหายข้าให้ดาบแก่ลูกชายพกติดตัวแบบนั้นนะ" ดีลถามด้วยความสงสัยเพราะตนไม่เคยเห็นเพื่อนคนนี้สอนวิชาดาบให้ใครมาก่อน
"ยังไงลูกข้ามันก็เป็นผู้ชายตะกลูแอสลาสยังไงมันก็มีสักวันที่ต้องเข้าสู่วังวนอำนาจตระกูลอยู่ดี เจ้าก็รู้เรื่องตระกลูข้าดีนี้" บิชอบตอบด้วยเสียงอาลัยอาวรและโศกเศร้าในเวลาเดียวกัน
สองสามีภรรยามองหน้ากันก่อนจะถอนหายใจออกมา ทำไมพวกเจ้าจะไม่รู้ว่าตระกลูแอสลาสเป็นอย่างไรทุกๆสิบห้าปีตระกลูจะเรียกเด็กรุ่นเยาว์ทั้งหมดมารวมตัวกันไม่ว่าจะออกจากตระกูลไปแล้วหรือไม่ก็ถูกเชิญมาเพื่อคัดเลือกคนที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละการฝึกฝนเพื่อรับตำแหน่งและอำนาจในตระกูล
เพื่อนเขาเองหลังจากผ่านการคัดเลือกก็ออกจากตระกูลทันทีพร้อมด้วยอากาศบาดเจ็บเรื้อรังที่รักษาได้ยากยิ่งนับวันยิ่งย่ำแย่ ด้วยฝีมือที่ดีพอสมควรจึงได้สัญญาสืบทอดโฉนดที่ดินขนาดเล็กมาจากตระกูล อีกสองปีก็จะครบเวลาที่ชายหนุ่มต้องไปเยี่ยมเยือนตระกูลอีกครั้งเพื่อต่อสัญญาสืบทอดโฉนดที่ดินฉบับนี้ด้วยการต่อสู้ของลูกชาย แต่ถ้าชายหนุ่มตายเสียก่อนสัญญาสืบทอดโฉนดที่ดินคงจะเป็นโมฆะเมื่อครบรอบคัดเลือกรุ่นเยาว์
ตระกูลแอสลาสเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางใหญ่ในเมืองแบล็คร็อคที่ดินในหมู่บ้านสี่แห่งรอบเมืองเป็นของตระกูลแอสลาสและหมู่บ้านกรีนพีชที่สองพ่อลูกอยู่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
"ไม่ต้องห่วงหรอกน่าลูกข้าก็เริ่มฝึกฝนในช่วงวัยเดียวกับข้านี้แหละอย่างน้อยลูกข้าก็จะมีชีวิตสงบสุขไปอีกสิบห้าปี" บิชอบยิ้มให้สองสามีภรรยาก่อนจะนิ่งเงียบจมไปกับภวังค์ในอดีต
ในวันที่ 1 เดือนที่สี่ ปีเวทย์ที่ 23,023 ภายในอาณาจักรอเคเซีย ณ เมืองหลวงอเคเซียบ้านเรือนและร้านค้าประดับตกแต่งด้วยสีสันสดใสสวยงาม ทุกบ้านจะประดับธงที่เป็นสัญลักษณ์ของอาณาจักรเป็นรูปม้วนตำราสองเล่มไขว้กันผืนหลังเป็นหนังสือสัญญาสีน้ำตาลไหม้
ที่กลางเมืองเป็นลานกว้างขนาดสี่สนามฟุตบอลภายในลานเต็มไปด้วยเด็กชายและหญิงที่ยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบโดยเรียงตามวันเกิดตะทะเบียนประชากรที่จัดทำทุกๆเดือน
ในแถวที่ระบุเดือนที่สามมีเด็กชายตัวน้อยสะพายด้วยไม้ไว้ที่กลางหลังยืนสบนิ่งอยู่โดยไม่สนใจรอบข้างสายตาจับจ้องไปบนเวทีที่อยู่ด้านหน้าที่บนเวทีนั้นมีศิลาสีทองสูงเจ็ดถึงแปดเมตรแทนที่จะบอกว่ามันวางอยู่บนเวทีต้องบอกว่าเวทีถูกสร้างรอบๆมันมากกว่า
รอบๆเสาศิลานั้นมีนักเวทย์ขั้นสูงหลายคนกำลังจัดแจงทีนั่งบองบรรดาแขกที่มาจับตามองเด็กที่มีแววเพื่อนับไปฝึกฝนในการใช้พันธะสัญญา
หลังจากผ่านไปหลายนาทีก็ปรากฎร่างของชายแก่ที่เดินไปยังหน้าเสาศิลาอเคเซียก่อนจะร่ายเวทย์บางอย่างด้วยนิ้วมือใส่ลำคอของตัวเอง
"ยินดีตอนรับทุกๆท่านเข้าสู่ประเพณีอเคเซียของเรา วันนี้ผมในฐานะผู้อำนวยการโรงเรียนเวทย์หลวง'อเคเซีย' ขอทำการเปิดงานอเคเซียอย่างเป็นทางการ!"
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 3 ตุลาคม 2559 / 18:43