ตอนที่ 160 : ปะทะองค์ชายหนึ่ง
บทที่ 4 : ปะทะองค์ชายหนึ่ง
การต่อสู้ในวันที่สี่นอกเมืองหลวงอเคเซียก็จบลงไปอย่างเรียบร้อย แทบจะไม่มีผู้เสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว เพราะวันนี้คนที่ไม่มีฝีมือและแข็งแกร่งไม่มากพอจะเผชิญหน้ากับสัตว์เวทระดับสามต่างถูกส่งไปยังกำแพงชั้นในและเมืองชั้นในเกือบทั้งหมด
ด้วยการถอนกำลังของคนที่ไม่มีประสบการณ์มากนักไปเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ที่มีประสบการณ์และมีสัญชาตญาณที่ดีทำงานได้สะดวกขึ้น
การเก็บกวาดกำแพงและพื้นนที่รอบนอกก็ได้พวกที่ไร้ฝีมือเป็นผู้ช่วยอีกแรง เพราะหลังจากจบสงครามไปแล้ว ซากสัตว์ส่วนใหญ่ถูกเผาไหม้ด้วยพายุเพลิงของโวรา มีเพียงบางส่วนที่บุกมาถึงกำแพงเมืองพร้อมกับเสือดำเขี้ยวขาวทั้งสามตัวเท่านั้นที่มีซากให้เก็บเกี่ยว
ซากสัตว์เวทที่ไม่มีใครจับจ้องหรือตายตอนชุลมุนก็ยกประโยชน์ให้กับผู้ที่พบและชำแหละมัน ส่วนที่มีคนฆ่ามันได้เองก็เป็นของของคนนั้นไป ทำให้การจัดการกับซากสัตว์เวทเป็นไปอย่างรวดเร็ว
มีเพียงสองกลุ่มที่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำการเก็บเกี่ยวในครั้งนี้ หนึ่งคือคนในชุดเกราะรูปโครงกระดูกสีดำซึ่งสังหารและเก็บไปพร้อมๆกัน กับอีกกลุ่มคือกลุ่มของอัศวินในชุดเกราะสีแดงสนิมและนักเวทย์ในชุดคลุมสีแดงเลือด พวกมันไม่แม้แต่ชายตามองซากสัตว์เวท สิ่งพวกมันเก็บมีเพียงเลือดของพวกสัตว์เวทเท่านั้น
ทั้งสองกลุ่มไม่ได้ทำตัวให้เป็นที่สนใจมากนัก กลุ่มหนึ่งก็เล้นกายหลายไปในมุมมืดของกำแพงเมืองชั้นนอก ส่วนอีกกลุ่มก็กระจายตัวไปทั่วทั้งกำแพงเมืองอย่างเงียบๆ
ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงการเคลียพื้นที่ก็สำเร็จและเสร็จเรียบร้อย ผู้คนที่รู้ตัวว่าอ่อนแอก็หนีกลับไปยังกำแพงเมืองชั้นที่สอง ซึ่งที่นั้นมีทหารชุดเกราะอัศวินดำอยู่หลายสิบคน พวกมันกำลังจัดระเบียบทหารชุดเกราะอัศวินทองอยู่ในตอนนี้
เช่นเดียวกับทหารในชุดเกราะอัศวินสีทองที่ดูดีกว่าคนอื่นก็จัดการกับพวกทหารชุดเกราะอัศวินทองสามถึงหกคนของตัวเองเช่นกัน ก่อนที่พวกมันจะไปสั่งการกับพวกทหารชุดเกราะอัศวินเงินอย่างรวดเร็วในภายหลัง
"ระดมกำลังมาเพิ่ม การโจมตีคาดการว่าจะเกิดที่กำแพงทางทิศเหนือเช่นเดิม" เสียงสั่งการของทหารชุดเกราะอัศวินดำดังไปทั่วบริเวณ ก่อนที่พวกทหารชุดเกราะทองจะวิ่งไปรายงานและถ่ายทอดคำสั่งต่อไปยังผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
ในขณะเดียวกันกับที่เหล่าทหารกำลังรับการต่อสู้ในเมืองหลวงอเคเซีย บนเมืองอื่นๆทั่วทั้งอาณาจักรกลับเผชิญหน้ากับสัตว์เวทแบบเดิมเหมือปีที่แล้ว ไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างผิดสังเกตเช่นที่เมืองหลวง แม้กระทั่งการบัญชาการรบและแผนการรบสัตว์เวทเหล่านั้นก็ไม่มี มีเพียงดาหน้าเข้ามาถล่มเมืองโง่ๆเช่นเดิม
แต่ในเมืองแห่งใหม่ที่เพิ่งได้รับการยกระดับจากหมู่บ้านขนาดใหญ่ มันกลับเกิดเหตุการณ์ที่ดูจะรุนแรงกว่าที่อื่นใดในอาณาจักรแห่งนี้ ที่นั้นพบเจอกับสัตว์เวทเริ่มต้นที่ระดับสี่หลายแสนตัวไปจนถึงล้านตัว และในแต่ละวันที่ผ่านไปสัตว์เวยที่มาจะเพิ่มระดับไปหนึ่งระดับเสมอ
และในวันที่สี่พวกเขาก็เจอกับสัตว์เวทระดับเจ็ดถึงห้าตัวด้วยกัน แต่เมืองกลับอยู่ดีมีสุขชาวบ้านยังคงทำไร่ทำนาและเลี้ยงสัตว์อย่างสบายอกสบายใจ และสัตว์เวทยังไม่ได้เข้ามาใกล้กับเขตเมืองด้วยซ้ำไป พวกมันถูกรุมสังหารและจัดการซากของมันอย่างรวดเร็วและหมดจด
ด้วยความที่ทหารของหมู่บ้านนี้แข็งแกร่งมากพอๆกับทหารชุดเกราะอัศวินดำของเมืองหลวงเลยทีเดียว ทำให้สัตว์เวทระดับต่ำกว่าเจ็ดแทบจะเป็นเพียงของเล่นของพวกเขา มีเพียงระดับเจ็ดขึ้นไปเท่านั้นถึงจะเรียกว่าคู่ต่อสู้หรือศัตรูของพวกมันได้
"นายน้อย พวกหน่วยที่หนึ่งส่งข่าวมาแล้วขอรับ" พ่อบ้านวัยหนุ่มคนหนึ่งพูดขึ้นในป้อมปราการแห่งหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ในเทือกเขานี้
"ขอบใจมากโฮโอ ได้เวลาไปเมืองหลวงแล้วสินะ" ชายหนุ่มคนหนึ่งลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่เต็มไปด้วยกระดาษสำหรับลองวาดจารึกเวทย์ไป ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานอีกแห่งของป้อมแห่งนี้
ถึงแม้มันจะเหมือนป้อมปราการจากภายนอก แต่เมื่อมองจากด้านในแล้วมันกลับเป็นบ้านหลังใหญ่ที่มีหอคอยสูงสิบชั้นเสียงมากกว่า เพราะจุดที่เป็นป้อมปราการมีเพียงแค่หอคอย ส่วนที่เหลือเป็นเพียงบ้านเรือนและศาลาหายสิบหลังในทะเลหมอกที่เชื่อต่อกันด้วยทางเดินเพียงเท่านั้น
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้นั่งทำการค้นคว้าภายในห้องทำงานนี้ แต่เพราะลูกศิษย์ทั้งสองคนของเขามายุ่งวุ่นวายจนไม่เป็นอันทำอะไร จึงต้องย้ายตัวเองมาหลบอยู่ที่พักส่วนตัวของเขาเช่นนี้นั้นเอง
แม้จะหาที่สงบๆทำการดัดแปลงวงเวทย์หลากหลายรูปแบบก็ตาม แต่การสร้างชุดเกราะที่ลงวงเวทย์ต่อต้านพลังเวทย์ก็ไม่คืบหน้าสักเท่าไร ด้วยความที่มันก็จะลบล้างตัวเองเช่นกันจึงทำให้มันเป็นการจัดการกับวงเวทย์ที่ยากลำบากเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจมันได้ จึงได้แต่ลองผิดลองถูกในกระดาษทดสอบเท่านั้น
ในห้องทำงานอีกห้องหนึ่ง ห้องนี้เต็มไปด้วยวงเวทย์เคลื่อนย้ายหลายสิบอันวาดอยู่บนแท่นหิน และห้องแห่งนี้ก็มีเตาหลอมเหล็กที่ดูทันสมัยยิ่งกว่าเตาหลอมของยุคนี้ไปไกล เพราะมันไม่แผ่ความร้อนออกมานอกเตาแม้แต่น้อย มีเพียงลมอุ่นๆที่พัดโชยออกมาเท่านั้น แต่ด้านในกลับเต็มไปด้วยเหล็กหลอมเหลวที่กำลังถูกลำเลียงไปยังห้องที่เหล็กที่อยู่ข้างๆ
ในวงเวทย์เคลื่อย้ายอันหนึ่งกำลังทำงานอยู่ มันขนย้ายโกเลมมนุษย์ขนาดใหญ่ที่สูงถึงสี่เมตร มันดันรถเข็นที่ขนาดพอๆกับมันมาด้วย ซึ่งจะส่งไปยังสายพานลำเลียงแร่ที่จะนำไปยังเตาหลอมแร่ชนิดต่างๆ
ด้วยการผลิตขนาดใหญ่ขนาดนี้ ธุรกิจหลักของเมืองแห่งนี้มีสองอย่างด้วยกัน คือการปรุงยาระดับเริ่มต้นจนถึงยาระดับกลางส่งขาย และมียาระดับสูงลงประมูลอีกด้วย ส่วนอีกอย่างคืออาวุธระดับต่ำจำนวนมาก ซึ่งนานๆครั้งจะส่งอาวุธระดับกลางที่ทำจากชิ้นส่วนสัตว์เวทผสมแร่ไปลงประมูล
ด้วยการควบคุมการขายและประมูลโดยกลุ่มการค้า'Orebal' ทำให้กลุ่มการค้าเติบโตขึ้นอย่างมากจนกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มการค้าขนาดใหญ่ของอาณาจักรอเคเซียไปแล้ว ด้วยการกระจายสินค้าทั้งสองชนิดไปทั่วอาณาจักร และด้วยสินค้าที่มีคุณภาพสูงมากจึงทำให้กลุ่มการค้าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง มุมของพวกเงานั้นสิ่งนี้หมายถึงครรชิตได้ควบคุมตลาดและเศรษฐกิจของอาณาจักรไว้ถึงสามในสิบส่วนแล้ว ในส่วนธุรกิจอื่นๆที่ยังไม่ได้พัฒนา ถ้าในอนาคตเกิดการพัฒนาไปอย่างมาก ก็จะทำให้เขาครอบครองเศรษฐกิจได้ทั้งหมด
บนถนนสายหนึ่งบนเมืองหลวงอเคเซียปรากฏร่างของชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งขึ้น มันเดินออกจากบ้านที่ดูดีกว่าบ้านโดยรอบเล็กน้อย บ้านหลังนี้มีกำแพงที่สูงใหญ่กว่าใครเพื่อนและมีประตูเหล็กปิดไว้อย่างแน่นหนาอีกด้วย
ชายหนุ่มได้พลักประตูเหล็กและปิดมันได้ด้วยตัวคนเดียว เมื่อเขาออกมาบนท้องถนนแล้วสิ่งแรกที่เขาทำคือการมองไปรอบๆ
"ไม่หนักอย่างที่คิดแหะ เอาเถอะวันนี้พวกมันคงเริ่มลงมือกันแล้ว เราต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมเสียดีกว่า" ชายหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนจะส่งข้อความออกไป
"ดูหน่อยสิว่าพลังมานาเยอะอยู่ตรงไหนบ้าง" ชายหนุ่มก้มไปดูปลอกแขนสีเงินอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนที่มันจะเผยรอยยิ้มออกมา
ครรชิตมุ่งหน้าไปยังเขตการทหาร ก่อนจะเบี่ยงออกจากถนนหลักตรงไปยังส่วนเขตที่พักของราชวงศ์นอกราชวัง
หนึ่งในตำหนักของเหล่าองค์ชายมีกลิ่นโลหิตแผ่วจางลอยออกมา ถ้ามิใช่ผู้ที่มีประสามสัมผัสที่ดีเยี่ยมเช่นชายหนุ่ม มันก็คงไม่มีใครสังเกตถึงกลิ่นเลือดนี้
ชายหนุ่มเดินลัดเลาะและซ่อนอยู่ในเงาไปด้วยระหว่างเคลื่อนที่ไปยังตำหนักเป้าหมาย มันผ่านทั้งยามที่ดูซีดเซียวแต่กลับมีกลิ่นอายที่แข็งแกร่งระดับผู้ใช้ศาสตราขึ้นสูงหลายร้อยคน ตรงไปยังเรือนรับลองแห่งหนึ่งที่ครั้งหนึ่งเขาเคยมีเยือนแล้ว แต่ตอนนั้นไม่อาจจะรับรู้ถึงระดับมานาที่น่าตกใจเช่นดังตอนนี้ได้ก็เท่านั้น
ครรชิตลบตัวตนและกลิ่นอายของตัวเองตัวเกราะปราณบางๆ แล้วลอบเร้นเข้าไปดักฟังอยู่กำแพงไม้บางๆ ซึ่งมันสามารถได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในได้อย่างชัดเจน
"ทหารของข้าประจำที่หมดแล้วสินะ" เสียงอันเย็นชาและไร้ซึ่งอารมณ์ดังขึ้น
"เพค่ะฝ่าบาท กระหม่อมได้ส่งทหารส่วนพระองค์ทั้งหมดไปยังกำแพงเมืองตามรับสั่งแล้ว ไม่ทราบว่าจะให้หม่อมฉันดำเนินการเช่นใดต่อไปดีเพค่ะ" เสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น มันเป็นเสียงที่ดูแหลมผิดปรกติสำหรับผู้ชาย
"เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น คำสั่งข้าได้ส่งไปยังพวกมันเรียบร้อยแล้ว เจ้าไปจัดการพวกขุนนางที่ทรยศข้าดีกว่า"
"รับบัญชาเพค่ะ" เสียงตอบรับที่มาพร้อมกับเสียงฝีเท้าที่เดินไปยังประตูเรือนพัก
ครรชิตที่แอบฟังอยู่ถึงกับขมวดคิ้ว เพราะเสียงที่เขาได้ยินมันไร้ซึ่งเสียงของอารมณ์และความรู้สึก เหมือนกับว่าเป็นเสียงของหุ่นยนต์เสียด้วยซ้ำไป
ชายหนุ่มรออยู่สักพักจนแน่ใจแล้วว่ารอบเรือนพักนี้ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆแล้ว เขาจัดการโยนแผนจารึกหลายร้อยแผ่นไปรอบๆเรือนพักหลังนี้ในทันที มันไร้ซึ่งเสียงลมหรือเสียงกระทบใดๆทั้งสิ้น
ฟุ่บ!
เสียงของครรชิตที่พุ่งเข้าไปยังเรือนพักขององค์ชายหนึ่งอย่างรวดเร็ว ภายในห้องไร้ซึ่งวี่แววขององค์ชายมีเพียงดาบและเก้าอี้ทรงสูงวางอยู่กลางห้องเท่านั้น
ครรชิตกวาดตามองไปรอบๆ ภายในห้องไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆที่เขารับรู้ได้เลย มีเพียงดาบที่วางไว้อยู่มีอาการสั่นอยู่เล็กน้อยจากการที่มันถูกปักเอาไว้ที่ข้างเก้าอี้ทรงสูงตัวนั้น
ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะได้ตรวจสอบเพิ่มเติม บนคานด้านบนกลับเกิดการเคลื่อนไหวในเสี้ยววินาทีที่ครรชิตเหลือบตามองขึ้นไป สิ่งแรกที่ปรากฏในสายตาของครรชิตคือฝ่ามือสีขาวซีดที่พุ่งลงมาที่กลางหัวของเขา
ตึบ! เปรี๊ยง!
ชายหนุ่มกลายเป็นเงาหลบการโจมตีไปอย่างเฉียดฉิว มีเพียงพื้นที่รับการโจมตีแทบที่จะเป็นหัวของเขา ทำให้พื้นหินอ่อนอย่างตีถึงกับราวไปทั้งแถบ และเป็นหลุมลึกหลายเซนติเมตร
"หึ" เสียงแสดงความไม่พอใจมาจากบุรุษที่ยืนอยู่ตรงรอยแตกนั้น
มันเป็นชายหนุ่มในชุดคลุมสีแดงเลือดที่ส่งกลิ่นอายของโลหิตออกมาอย่างรุนแรง ใบหน้าของมันคล้ายกับองค์ชายสองพอสมควรแต่ที่ต่างกันคือ มันเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่ควรจะมีบนใบหน้าของมนุษย์ ทั้งแววตาที่ไร้ซึ่งประกายของชีวิต ผิวหน้าที่ซีดขาวไร้ซึ่งสีเลือด จนดูเหมือนว่าเป็นผิวสีเทาแทนที่จะเป็นสีเนื้อเหมือนคนทั่วไป
นอกจากผิวหน้าแล้วส่วนอื่นๆที่มองเห็นนอกเสื้อผ้าก็เป็นเช่นเดียวกัน ต่างก็มีสีเทาไปทั่วทั้งร่างกายและยังปรากฏเส้นเลือดสีดำขึ้นแทบทุกจุดของร่างกาย
มันมองมายังครรชิตเหมือนกับมองสิ่งที่ไม่มีค่า มันเยียดยิ้มที่แสนจะน่ารังเกียจออกมา มันแสยะยิ้มโดยไม่มีความรู้สึกร่วมของใบหน้าเลยแม้แต่น้อย เหมือนกันว่ามีเพียงปากที่ยิ้มออกมาเท่านั้น
เคร้ง!
ในเวลาเดียวกับที่มันส่งยิ้มออกมา ดาบที่อยู่ข้างเก้าอี้พลันพุ่งออกจากพื้นดินและตรงมายังครรชิตในทันที ชายหนุ่มหลบการโจมตีจากดาบได้อย่างหมดจด ก่อนจะทะยานตัวไปข้างหน้าเพื่อทิ้งระยะห่างจากองค์ชายหนึ่งหลายเมตร
"การต้อนรับขององค์ชายนี้ดูรุนแรงจังเลยนะขอรับ" ครรชิตพูดออกมายิ้มๆ ก่อนจะหลบรังสีดาบที่ฟันออกมาจากการสะบัดดาบขององค์ชาย
ไม่มีการตอบกลับมีแต่คมดาบและรังสีดาบเป็นตัวแทนของเจตนาขององค์ชายอย่างชัดเจนที่สุด ทุกดาบและกระบวนท่าต่างเล็งไปที่จุดตายทุกครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่ครรชิตได้รับการโจมตีจากคมดาบ
พวกเขาแลกเปลี่ยนกระบวนท่าดาบกันไปได้สักพัก ครรชิตที่ไม่เคยชักดาบออกจากฝักเลยสักครั้งได้ถอยออกไปหลายก้าว ก่อนจะมองไปยังองค์ชายหนึ่งที่กำลังมองมายังตัวมันเองเช่นกัน
โดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ องค์ชายและครรชิตต่างพุ่งเข้าหากันด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิมอย่างเทียบไม่ติด ฝักดาบของครรชิตพุ่งทะยานไปก่อนที่ดาบจะพุ่งตามติดไปราวกับเงา ในขณะเดียวกันองค์ชายหนึ่งเองก็เรียกดาบสั้นออกมาอีกเล่มก่อนจะเคลื่อนไหวราวกับพายุเข้าใส่ชายหนุ่ม
ฝักดาบถูกมีดสั้นปัดกระเด็นในขณะเดียวกันดาบยาวในมือก็พุ่งเข้าฟาดฟันกับดาบยาวของครรชิต ทั้งคู่ต่างฟาดฟันใส่กันจนเห็นเป็นเพียงแสงสีขาวของดาบสีขาวราวกับกระดูกขององค์ชาย และเงาสีดำของดาบยาวที่ทำจากแร่เหล็กดำของครรชิต ทั้งคู่ปะทะกันแต่ละครั้งประกายไฟปะทุกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง
ยิ่งปะทะกันมากเท่าใดความแตกต่างของประสิทธิภาพอาวุธยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้น ดาบเหล็กดำของครรชิตปรากฏรอยบิ่นขึ้นมากพอๆกับรอยแตกร้าวและหลุมบนพื้นดิน ไม่เพียงแค่ดาบที่ฟาดฟันใส่กันเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหมัดหรือเท้าต่างก็แลกเปลี่ยนใส่อีกฝ่ายเมื่อมีโอกาศ
แม้พื้นหินอ่อนและผนังห้องจะมีรอยประทับของฝ่ามือและฝ่าเท้าเต็มไปหมด แต่มันกลับไม่มีใครรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในแม้แต่น้อย
การต่อสู้อุ่นเครื่องของทั้งคู่เพิ่งจบลงไปเท่านั้น เมื่อเสื้อผ้าของแต่ละคนเริ่มมีรอยฉีกขาดเล็กๆน้อยๆหลายสิบแห่ง การต่อสู้ก็เริ่มดุเดือดมากขึ้นไปอีก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ตอนปล่อยสัตว์อสูรระดับ7ที่บาดเจ็บทิ้งในป่า พวกองค์ชาย คนโน้นคนนี้แม้งล่ากันตั้งนานยังทำไรไม่ได้ แล้วพระเอกบอกระดับ7แม้งอ่อนๆ แต่พอพระเอกมาสู้องค์ชายตอนนี้ดันสูสี เหอะๆ ถ้ามันเก่งขนาดนี้น่าจะยึดประเทศไปนานละ