ตอนที่ 13 : BEAST OF NIGHTMARE :: EPISODE 09 100% {อัพครบ}
EPISODE 09
ตอนนี้เป็นเวลาเย็นมากแล้ว ฉันโทรหาชมพูและบอกให้เธอกินข้าวเย็นได้เลยไม่ต้องรอฉัน ฉันออกมากับภาพวาด เรามากินข้าวที่ร้านอาหารข้างๆกับมหาวิทยาลัย ฉันเป็นคนขอเขาเองว่าไม่อยากไปร้านไกลๆ เพราะฉันต้องให้เขากลับมาส่งที่มอเพื่อเอารถของตัวเองอีก
“กินไร?” เขาปรายตามองฉันสลับกับเมนูที่ถืออยู่ในมือ
“…….” ฉันเงียบเพื่อนึก ผ่านไปร่วมนาทีถึงได้คิดเมนูอาหารที่อยากกินออก “เอาข้าวแกงกะหรี่ไก่”
“เธอชอบกินแกงกะหรี่หรอ?” วาดถามในขณะที่สายตายังจับจ้องอยู่ที่เมนูอาหารในมือ
“ฉันชอบกินอะไรง่ายๆ ยิ่งเป็นอาหารจานเดียวจะดีมาก” จนกระทั่งภาพวาดเงยหน้าขึ้นมองฉัน ฉันถึงได้อ้ำอึ้งเพราะไม่รู้จะไปต่อยังไง “ฉัน..ไม่เรื่องมาก” ฉันตอบอ้อมแอ้มพลางเบนสายตาไปมองรอบๆร้านอาหารแทน
“น่าแปลก ปกติบุคลิกแบบเธอนี่ไม่น่าจะกินอะไรแบบนี้ แถมยัง..” วาดมองไปรอบๆร้านก่อนจะหยุดลงที่ฉันอีกครั้ง “เลือกร้านแบบนี้ด้วย”
ร้านนี้เป็นร้านไม่ได้ใหญ่หรือหรูหราอะไรมากมาย ซึ่งฉันก็พอจะเดาความหมายที่วาดพูดออก ปกติบุคลิกดูหยิ่งจองหอง แต่งตัวแรงๆแบบฉันคงเลือกที่จะเข้าร้านอาหารหรูๆ เลือกกินอาหารดีๆแพงๆ แต่ผิดคาด ฉันถูกบรรดาเฮียๆปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆแล้วว่ามีอะไรกินได้ก็กิน กินอะไรก็อิ่มท้องเหมือนกัน เพราะพวกเรากินเพื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่
“ไม่ต้องสงสัยอะไรมากได้ไหมวาด? รีบๆสั่งมากินได้แล้ว ฉันหิวจนไส้จะขาดแล้วเนี่ย” ฉันรีบเบี่ยงประเด็นทันที
“โอเคครับป้า~” วาดลากเสียงยาว นั่นทำให้ฉันถลึงตาให้เขาอย่างเอาเรื่อง วาดระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งจนจะรีบก้มลงจดเมนูอาหารลงแผ่นกระดาษแล้ววิ่งเอาไปส่งให้เจ้าของร้าน
ฉันนั่งดูดน้ำไปเพลินๆพลางเปิดโทรศัพท์มือถือเช็คเฟสบุ๊คไปด้วย ฉันขมวดคิ้วเมื่อมีเมสเซนเจอร์เข้าจากคนที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกัน ฉันกดเข้าไปอ่านข้อความในนั้น ก่อนที่คิ้วจะขมวดมากขึ้นไปอีกเท่าตัว
B’beer Fong : มากินข้าวกับชู้ กล้ามากนะ!
ฉันเงยหน้าขึ้นจากโทรศัพท์มือถือก่อนจะมองหาเจ้าของข้อความทุเรศที่ส่งมา
B’beer Fong : ไม่ต้องมองหาฉันหรอก กินข้าวให้สนุกเถอะ เพราะต่อจากนี้ชีวิตเธอกับพี่ชายคงไม่สนุกอีกแน่!
ลมหายใจฉันเริ่มหอบแรงขึ้นพร้อมกับมือที่กำมือถือแน่นขึ้นตาม ฉันปรายตามองไปทั่ว ฟองเบียร์อยู่ไหนกันแน่!
“มองหาอะไรอ่ะ?” วาดถามในขณะที่ยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ปะ..เปล่า” ฉันปิดมือถือพร้อมกับยัดมันลงในกระเป๋าสะพายของตัวเอง
ฟองเบียร์ตามราวีฉันไม่เลิก.. แถมข้อความเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง ฉันกับพี่ชายงั้นหรอ? คงไม่ได้หมายถึงเฮียแวมพ์ เฮียเซน แล้วก็เฮียไซนะ จู่ๆฉันก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมา ฉันกำมือแน่นในขณะที่หัวใจยังกระหน่ำเต้นกับข้อความขู่ของฟองเบียร์ หมอนั่นกำลังคิดจะทำอะไรอยู่กันแน่
“ข้าวมาแล้วจ้า” แต่ความคิดก็พลันสะดุดลงเมื่อได้ยินเสียงป้าเจ้าของร้านที่เดินถือถาดข้าวมาส่งที่โต๊ะ
ฉันพับเก็บเรื่องชวดปวดหัวนั้นลงแล้วจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ฉันยิ้มให้ภาพวาดก่อนจะลงมือจัดการกับอาหารตรงหน้า ในระหว่างที่กินกันอยู่ ภาพวาดก็ชวนฉันคุยเรื่องต่างๆนาๆมากมายไปหมด เขาเล่าเรื่องครอบครัวของเขาให้ฉันฟัง เล่าว่าเขาชอบทำอะไร ชอบไปเที่ยวที่ไหน ฉันคุยกับภาพวาดอย่างสนุกสนานจนลืมเรื่องของฟองเบียร์ไปชั่วคราว
{Fongbia Part}
ผมมองภาพด้านหน้าด้วยอาการหงุดหงิดงุ่นง่านของตัวเอง ลามิอากำลังอยู่กับไอ้บ้านั่น คุยกันอย่างสนุกสนานออกรสออกชาติเลยด้วย ผมหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมาก่อนจะกดโทรหาใครบางคน
[เออ..] เสียงงัวเงียตอบรับเมื่อกดรับสายเสร็จสรรพ
“เรื่องที่กูวาน.. เป็นไง?” ผมถาม
[ลูกน้องพ่อกูโทรมารายงานแล้ว ก็โอเค พวกมันทำตามที่มึงบอกกูทุกประการ ไม่ถึงตาย แล้วก็ไม่บาดเจ็บอะไรมากมาย แค่เละเทะพอสมควร] ผมเหยียดยิ้มที่มุมปากเมื่อได้ฟังที่ไอ้เกอร์บอก
“ดี! ขอบใจมึงมาก ถ้ากูใช้ลูกน้องของไอ้ฟาห์ ไอ้แวมไพร์มันต้องสงสัยไอ้ฟาห์และหาทางสืบเรื่องนี้แน่”
[มึงก็เลยยกตีนมาใส่พ่อกูงั้นสิเพื่อนฟอง] ยิ้มผมหุบลงฉับพลัน
“แล้วไงวะ? พ่อมึงก็เป็นศัตรูขู่แข่งของไอ้แวมไพร์อยู่แล้วไม่ใช่ไง? กลัวห่าไร?”
ที่ผมเลือกใช้ลูกน้องของพ่อไอ้เกอร์ เพราะพ่อมันก็รู้จักกับพ่อแม่ผม นับถือเคารพกันแบบพี่น้อง อีกอย่างพ่อของไอ้เกอร์ก็มีไอ้แวมไพร์เป็นคู่แข่งอยู่แล้วด้วย ถึงโดนไอ้แวมไพร์เพ่งเล็ง สุดท้ายมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรด้วยซ้ำ เพราะพ่อมันก็ใช่ว่าจะไม่มีมือมีตีน อย่าคิดว่าไอ้แวมไพร์มันใหญ่ได้แค่คนเดียว
[เออ แล้วมีเรื่องอะไรอีกไหม? ไม่มีก็วางไป กูจะนอน] ผมยิ้มออกอีกครั้งเมื่อน้ำเสียงของไอ้เกอร์เริ่มหงุดหงิด
“จะนอนหรือจะทำห่าไร เอาให้ชัดว่ะเกอร์”
[สัตว์!] มันทิ้งท้ายด้วยคำด่าแสนสุภาพก่อนที่สัญญาณจะถูกตัดไป
ผมส่ายหัวให้ไอ้เกอร์อย่างรู้ทัน เดี๋ยวนี้ติดเด็กถึงขนาดไม่ออกไปดูเดือนดูตะวัน เรียนก็ไม่ไปเรียน ทำงานก็ไม่ทำ ถ้าวันไหนมันตกหลุมรักเด็กคนนั้น เชื่อเถอะว่าไอ้เกอร์เปลี่ยนเป็นคนละคนราวฟ้ากับเหวแน่นอน
ผมพับเก็บความคิดของตัวเองลงแล้วมองเข้าไปในร้านอาหารซึ่งมีร่างของลามิอาและไอ้บ้าคนนั้นนั่งอยู่ ก่อนจะแค่นยิ้มให้แล้วเดินหนีออกมา เกมนี้ผมมทางเลือกเดียวคือต้องชนะ เพราะถ้าผมแพ้ ทุกอย่างที่ผมทำมาก็สูญเปล่า คนบางคนต้องตายฟรี และคนบางคนมันก็จะไม่รู้สำนึกว่าตัวเองผิด!
{Lamiah Part}
สองสัปดาห์ถัดมา..
“นายชวนฉันมาที่นี่ทำไมเนี่ย?” ฉันยกกระเป๋าขึ้นบังแดดที่ส่องจ้าจนทำให้เหงื่อไหลลงตามขมับพลางเอ่ยถามภาพวาดที่เอาแต่จูงมือฉันไม่หยุด
“พามาดูเพื่อนฉันแข่งบาสไง ตาเธอมีปัญหาหรอ?” ภาพวาดถามด้วยน้ำเสียงกวนประสาท
นี่ฉันเพิ่งรู้จักและเริ่มคุยกับหมอนี่แค่สองอาทิตย์เองนะ เดี๋ยวนี้หัดกวนประสาทฉันแล้วหรอ!
“ก็เห็น” ฉันปรายตามองบรรดาผู้ชายตัวสูงที่กำลังยื้อแย่งลูกบาสเก็ตบอลอยู่ก่อนจะหันกลับมามองภาพวาด “แต่ฉันไม่อยากดูไง พาฉันกลับเถอะน่า”
“นั่งๆๆ” ภาพวาดกดฉันให้นั่งลงบนสแตนเชียร์ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งข้างฉัน
“…….” ฉันเงียบ รอบข้างมีคนดูอยู่มากมายทั้งหญิงและชาย แต่ส่วนมากรู้สึกจะเป็นผู้หญิงนะ แถมยัง..กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งราวกับคนเสียสติด้วย
“ฉันให้เดาว่าเพื่อนฉันคนไหน” ภาพวาดยักคิ้วให้ฉันสองสามทีก่อนจะมองเข้าไปในสนามบาส
“…….” ฉันมองตามเขาไป ทุกคนล้วนหน้าตาดีมีสง่าราศีหมด แต่มีอยู่คนหนึ่งที่สะดุดตาฉันมาก “คนนั้นมั้ง” ฉันเลยชี้นิ้วส่งเดชไปที่ผู้ชายคนนั้นทันที
“เห้ย! ทายถูกด้วย” ภาพวาดตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยยิ้ม “ไอ้นั่นชื่อคีตะ เป็นเพื่อนฉันตั้งแต่สมัยมัธยมละ แถมยังเก่งบาสมากๆด้วยนะ”
“…….” ฉันมองไปยังคีตะอีกครั้ง จะว่าไป หมอนั่นทั้งขาวทั้งสูงเลย
“มันเล่นตำแหน่งพอยท์การ์ด” ฉันนิ่งเงียบเพื่อฟังภาพวาดพูด แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกสะกิดตามด้วยคำถามที่ถูกถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น “นี่เธอรู้ป่ะว่าตำแหน่งนี้เล่นยากที่สุดเลยนะ”
“…….” ฉันส่ายหน้ายืนยันคำตอบ
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุเท่านี้ ฉันเคยดูกีฬาบาสที่ไหนกันล่ะ ตอนเด็กฉันก็ต้องระเห็จออกจากบ้านตามพวกบรรดาเฮียๆไปคุมคลับนั่นคลับนี่ พอโตขึ้นมาหน่อยก็ต้องมาหัดยิงปืนกับเฮียแวมพ์ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็ต้องมานั่งเรียนรู้งานจากเฮียนี่ไง ฉันจะเอาเวลาที่ไหนไปศึกษาเกี่ยวกับบาสเก็ตบอลกันเล่า
“เพราะตำแหน่งนี้ต้องอาศัยความสามารถในการส่งบอลที่แม่นยำ แถมยังเป็นตำแหน่งที่ต้องควบคุมเกมอีกด้วย ฉันก็เล่นนะ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้เล่นละ” ฉันขมวดคิ้วทันที
“ทำไมอ่ะ?”
“ก็ฉันเริ่มคลั่งไคล้มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ไง พอฉันเริ่มชอบบิ๊กไบค์ บาสเก็ตบอลก็ห่างหายจากฉันไปเลย” ฉันพยักหน้าตามที่ภาพวาดพูด
มันก็ถูกของเขา การที่เราชอบสิ่งหนึ่งมากกว่าอีกสิ่ง เราก็อยากที่จะทำสิ่งนั้นมากกว่า ฉันมองใบหน้าสดใสของภาพวาดพลางนึกในใจไปด้วยว่า ทำไมฉันถึงได้รู้สึกอบอุ่นตลอดเวลาที่มีเขาอยู่ด้วย ทั้งๆที่ฉันกับเขาดูเหมือนจะไม่เคยเจอกันมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
“ฉันดู..บาสไม่เป็นหรอกนะ” ฉันบอกเสียงอ่อนก่อนจะเบนสายตาไปมองบรรดานักกีฬาบาสเก็ตบอลในสนาม
“ฮ่าๆๆ แค่ดูบาสเอง ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย ดูแค่ว่าทีมเพื่อนฉันชู้ตลงห่วงฝั่งตรงข้ามได้ก็พอแล้ว”
“อ่า..” ฉันตอบรับ
“เธอรู้ป่ะว่าคนเล่นบาสน่ะมีเสน่ห์นะ” ฉันเลิกคิ้วมองภาพวาด
“ยังไง?” แล้วถามเขาด้วยน้ำเสียงที่ติดไปทางแปลกใจ
“ก็คนเล่นบาสน่ะสาวกรี๊ดเยอะไง ฮ่าๆๆๆ” แล้วหมอนี่ก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลังเลย
อะไรเนี่ย.. นึกว่าสาระจะมีมากกว่านี้ซะอีก
“บ้าบอนะนายเนี่ย” ฉันส่ายหัวพร้อมกับระเบิดหัวเราะออกมา
จะว่าไป นับตั้งแต่วันที่ฉันไปกินข้าวกับภาพวาด วันถัดมาฟองเบียร์ก็ไม่ได้มาเจอฉันอีกเลย ไม่มาระราน แล้วก็ไม่ได้ส่งข้อความมาก่อกวนฉันด้วย แปลกมาก.. ทั้งๆที่หมอนั่นคอยจ้องแต่จะเล่นงานฉันเช้าเย็น แต่ทำไมถึงได้หายเงียบไปแบบนี้ก็ไม่รู้ คงไม่ได้ประสบอุบัติเหตุตายไปแล้วหรอกนะ
ถ้าตายจริง.. ฉันคงต้องทำบุญไปให้เขายกใหญ่เลยแหละ
“นั่นไง มันมาละ” ฉันมองไปด้านหน้าเมื่อถูกภาพวาดสะกิดที่หัวไหล่
คีตะเดินมาใกล้สนาม เขาหยิบน้ำจากมือของภาพวาดไปดื่มจนเหลือครึ่งขวดก่อจะส่งกลับมาให้พร้อมกับปรายตามองฉัน หัวคิ้วเข้มขมวดก่อนที่ลูกตาจะกรอกขึ้นลงเหมือนกำลังสำรวจฉันอยู่ ทันใดนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นแล้วหันไปพูดกับภาพวาด
“ไปม่อมาจากไหนอีกล่ะมึง?” คีตะเท้าเอวถามเสียงเรียบ
“ม่อที่ไหนสัส! นี่เพื่อนกู” ภาพวาดตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแล้วเอ่ยต่อ “ทำไมเกมส์ยังไม่จบอีกวะ?”
“ยาก..” คีตะตอบสั้นๆแล้วหันไปชี้นิ้วใส่นักกีฬาบาสอีกทีมที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม “พวกนั้นมีหลายคนที่เป็นนักบาสมืออาชีพ เล่นเก่ง แถมส่งลูกโคตรแม่น”
“แค่นี้มึงก็กลัวแล้วหรอไอ้คี?” ฉันปรายตามองภาพวาดเมื่อสังเกตเห็นว่าเขาพูดเหมือนกำลังท้าทายคีตะ
“กูไม่ได้กลัว!” คีตะขึ้นเสียงใส่ทันที
“งั้นไหนลองชนะให้กูดูเป็นบุญตาอีกสักรอบหน่อยสิเพื่อนเลิฟ” ภาพวาดยื่นมือไปตบไหล่ของคีตะสองทีก่อนจะยักคิ้วเป็นเชิงล้อเลียนไปให้
คีตะถลึงตาใส่ก่อนจะเดินเข้าสนามเมื่อกรรมการเรียก ฉันหันไปหาภาพวาด ตั้งท่าจะถามเขา แต่เหมือนเขารู้อยู่ก่อนแล้วว่าฉันจะถามอะไรเลยเอ่ยขึ้นแทรกซะก่อน
“ฉันต้องกระตุ้นมันหน่อย เป็นธรรมดาแหละ เธอไม่ต้องแปลกใจหรอก ไอ้คีมันต้องโดนท้าทายถึงจะปล่อยของได้”
ต่อจากนั้นเกมส์ก็เริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มสังเกตเห็นถึงพฤติกรรมบางอย่างของคีตะ เขาเริ่มฮึกเหิมขึ้นจนทำให้เกมส์ที่กำลังแข่งขันอยู่ดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งบอร์ดขึ้นเวลาเหลือนาทีสุดท้าย และแต้มของทีมคีตะยังสูสีไล่เลี่ยกันกับทีมคู่ต่อสู้ ฉันกุมมือเข้าหากันแน่น รู้สึกลุ้นไปกับเขาเหมือนกันนะ
จนกระทั่งเสียงดังขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหมดเวลาแล้ว ฉันหันไปมองแต้มที่ขึ้นอยู่บนบอร์ด พบว่าทีมของคีตะชนะแล้ว คีตะวิ่งมาทางฉันและไฮไฟว์กับภาพวาด ฉันมองพวกเขาสองคนแล้วอดยิ้มไม่ได้ ดูเหมาะกันจังเลยนะ
“ยิ้มอะไรของเธอ?” ภาพวาดหันมาขมวดคิ้วมองฉัน ฉันจึงส่ายหน้าน้อยๆให้
“เป็นไง? กูเจ๋งพอยัง?” คีตะพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้ภาพวาดก่อนจะหันมาส่งยิ้มให้ฉันบ้าง
“เออครับพ่อคนเก่ง” ภาพวาดพยักหน้าให้ก่อนจะบอกต่อ “มึงไปเปลี่ยนชุดไป เดี๋ยวไปกินข้าวกัน”
“เออๆ” คีตะเดินออกไปจากตรงนี้ทันทีที่ถูกภาพวาดสั่ง
“วันนี้ไปกินข้าวด้วยกันนะลามิอา” ก่อนที่ภาพวาดจะหันมาชวนฉัน
ฉันนิ่งเงียบอยู่นานเพราะต้องใช้ความคิด อันที่จริง.. วันนี้เฮียเซนกับเฮียไซต้องบินไปดูงานที่ต่างประเทศ ฉันตั้งใจว่าจะไปส่งที่สนามบินพร้อมเฮียแวมพ์ แต่คิดๆดูแล้ว ฉันเบื่อมากที่ต้องไปกับพวกพี่ชาย เพราะพวกเขาเอาแต่พูดถึงเรื่องงาน ซึ่งฉันไม่ชอบเลยเพราะมันค่อนข้างซีเรียส
“ตกลง” ฉันตอบรับภาพวาด เขายิ้มให้ฉันจนตาหยี
“งั้นไปรอไอ้คีที่รถฉันกัน” ภาพวาดลุกพรวดขึ้นก่อนจะยื่นมือมาทางฉัน
ฉันมองมือของภาพวาดและเหลือบตาขึ้นมองเขา ริมฝีปากถูกเม้มเข้าหากัน ฉันตัดสินใจยื่นมือออกไปจับกับภาพวาด ฝ่ามือของเขานุ่มและรู้สึกได้ถึงไออุ่นบางอย่าง
มันแปลกจริงๆนะ...
{Fongbia Part}
ผมนอนอยู่บนโซฟาโดยที่บนลำตัวมีเจ้าริคกี้แมวขี้เซานอนอยู่ ผมลูบตัวมันไปมาทำให้เจ้าริคกี้ขยับตัวเบาๆ อิจฉามันจริงๆที่ไม่ต้องมีอะไรให้คิด ผมปรายตามองฝ้าเพดานก่อนจะหลับตาลง ใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้มของคนคนนั้นยังคงติดตรึงอยู่ในห้วงความทรงจำ ผมไม่เคยลืมเธอเลย..
เปลือกตาทั้งสองถูกบังคับให้ลืมขึ้นอีกครั้ง ผมเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่วางแอ้งแม้งอยู่บนโต๊ะมาก่อนจะกดเข้าเฟสบุ๊คเพื่อเช็คความเคลื่อนไหวของโซเชียล พอเลื่อนหน้าฟีดข่าวไปได้สักพักก็นึกอะไรขึ้นได้ ผมกดเข้าเมสเซนเจอร์ของตัวเองที่เคยพิมพ์ไปหาลามิอา เธอกดอ่านแต่ไม่ตอบ
ผมกดเข้าโปรไฟล์ของเธอก่อนจะเลื่อนลงเพื่อสำรวจทามไลน์เธอ ภาพของไอ้ผู้ชายคนที่ขับมอเตอร์ไซค์ชนเธอวันนั้นกับลามิอาที่ถูกถ่ายคู่กันสะดุดตาผมจนต้องกดดู คิ้วขวาผมกระตุกสองทีเมื่อมองภาพนี้ มันถูกแท็กโดยเจ้าของเฟสที่มีชื่อว่า P’Wadd Pix และถ้าให้เดา.. ก็คงเป็นเฟสของมัน
ช่วงนี้ผมไม่ได้เข้าไปวอแวกับลามิอาอีกเพราะรู้สึกเบื่อ ผมเบื่อที่จะต้องตามขู่เธอทุกวัน ปล่อยให้เธอได้มีชีวิตที่สงบบ้างก็ถือว่าทำบุญทำทานให้ แต่คงให้ทานมากไป เธอถึงได้สงบสุขจนไปเที่ยวกับไอ้บ้านี่ได้
ผมกดกลับไปที่เมสเซนเจอร์ของเธออีกครั้งก่อนจะพิมพ์ข้อความลงไปแล้วกดส่งให้เธอ
B’beer Fong : ฉันแค่ปล่อยให้เธอมีลมหายใจแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ ไม่นึกว่าเธอจะระรื่นไปเที่ยวกับผู้ชายได้อีกนะลามิอา
เพียงไม่นาน.. เธอก็กดอ่าน จุดสามจุดเคลื่อนไหวไปมาทำให้ผมเหยียมยิ้มขึ้นอย่างสะใจ เธอกำลังโต้ตอบผม ผมนับหนึ่งสองสามไปเรื่อยๆจนกระทั่งจุดสามจุดที่เคลื่อนไหวอยู่หายไป ข้อความของเธอถูกตอบกลับมา
Lamiah Phitakkullawong : ไปตายซะ
“!!!” ผมชะงักไปก่อนจะรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์ด้วยความรัวเร็ว
B’beer Fong : เธออยากลองดีกับฉันใช่ไหมลามิอา?
ผมพิมพ์ตอบกลับไป มันขึ้นว่าอ่านแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้พิมพ์อะไรตอบกลับมาอีก เธอหายไป แถมจุดสีเขียวที่ขึ้นว่าออนไลน์อยู่ก็หายไปอีกด้วย กล้าปิดเฟสบุ๊คหนีขนาดนี้ เห็นทีอีกไม่นานผมคงต้องไปก่อกวนให้เธอรู้หน่อยแล้วว่าไม่มีทางหลีกเลี่ยงผมพ้นหรอก ถ้าปลิงที่ว่าแน่ยังแพ้ผมเลยด้วยซ้ำ!
{Lamiah Part}
ฉันโยนโทรศัพท์มือถือของตัวเองลงในกระเป๋าสะพายทันที
“มีอะไรหรือเปล่า?” จนคนที่ขับรถอยู่ด้านข้างหันมามอง
“ปะ..เปล่า มีพวกโรคจิตก่อกวนนิดหน่อยน่ะ นายขับรถไปเถอะ” ฉันบอกภาพวาดในขณะที่สายตาของตัวเองยังมองไปด้านหน้า
ก่อนหน้านี้ฉัน ภาพวาด และคีตะ เราไปกินข้าวกันที่ร้านใกล้ๆกับสนามแข่งก่อนจะแวะส่งคีตะมาเอารถที่สนามแข่งบาส พอร่ำลาคีตะเสร็จเรียบร้อยเราก็นั่งรถออกมาเลย ภาพวาดอาสาจะมาส่งฉันที่คลับ ซึ่งฉันก็ไม่ได้ห้ามเขา อย่างที่บอกว่ามีบางอย่างในตัวภาพวาดที่ทำให้ฉันรู้สึกไว้วางใจเขามากกว่าผู้ชายคนไหน
“ฉันเห็นเธอดูหงุดหงิดตั้งแต่หยิบโทรศัพท์มาพิมพ์แชทแล้วนะ มีอะไรหรือเปล่า? บอกฉันได้นะ” ภาพวาดปรายตามามองฉันแว๊บหนึ่งก่อนจะหันไปจดจ่ออยู่กับการขับรถต่อ
“ไม่มีอะไรหรอก แค่พวกโรคจิตชอบก่อกวนน่ะ ฉันโดนประจำจนชินแล้ว”
“แน่นะ?” เสียงของภาพวาดคล้ายกับไม่แน่ใจ
“นะ..แน่สิ เซ้าซี้จังนายเนี่ย” ฉันบ่นอุบก่อนจะเอนหัวลงพิงกับพนักเบาะรถ
“ก็แล้วไป แต่ถ้ามันมาทำอะไรเธอนะ รีบบอกฉันด่วนเลยนะ ฉันจะซัดมันให้” ฉันยิ้มให้กับท่าทางหัวเสียของภาพวาด
อย่างน้อย.. ฉันก็มีเขาเนี่ยแหละที่พร้อมจะเป็นเพื่อนที่ดีกับฉันได้
“นายรู้จักเขาหรือไง?” ฉันเลิกคิ้วถามลองหยั่งเชิง
“ไม่รู้” ภาพวาดส่ายหน้าพรืด
“ฉันถามอะไรนายหน่อยสิวาด” ฉันหันไปจ้องภาพวาดตรงๆ เขาก็หันมาด้วย แต่แค่แว๊บเดียวเท่านั้นเพราะภาพวาดกำลังขับรถอยู่เขาเลยหันมาเผชิญหน้ากับฉันตรงๆไม่ได้ “ทำไมนายถึงชื่อภาพวาดล่ะ?”
ความจริงแล้ว.. ฉันเป็นพวกไม่ชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านเท่าไหร่หรอก แต่เป็นเพราะชื่อภาพวาดเป็นชื่อที่แปลก ไม่ค่อนมีใครเขาตั้งกัน ฉันเลยค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมพ่อแม่ของภาพวาดถึงเลือกตั้งชื่อนี้ให้เขา ถ้าฉันมัวแต่เก็บความสงสัยไว้กับตัวเองโดยไม่ถามออกไป ทุกอย่างก็จะไม่กระจ่าง
“คืองี้..” ภาพวาดเกริ่น “พ่อฉันเป็นจิตกร ส่วนแม่ฉันเป็นนักดนตรี พวกท่านรักและหลงใหลในศิลปะด้วยกันทั้งคู่ ตอนฉันเกิดมา แม่ฉันท่านนั่งเล่นเปียโนดูพ่อวาดภาพเด็กผู้ชายอยู่ ความจริงพ่อวาดฉันที่อยู่ในท้องนั่นแหละ แล้วแม่ฉันก็ดันปวดท้องคลอดขึ้นมาตอนนั้นพอดี พอฉันเกิดก็เลยได้ชื่อว่าภาพวาดนี่ไง”
“ดีจัง” ฉันพยักหน้ารับรู้
ชื่อของภาพวาดดูมีความหมายมากจริงๆ แต่ชื่อของฉันกับบรรดาพี่ชายนี่สิ ดันแปลว่าปีศาจซะได้ ดูยังไงก็ไม่มีความหมายอะไรเลยด้วยซ้ำ
“แล้วชื่อเธอล่ะ? ไม่มีความหมาย?” ฉันหันไปจ้องภาพวาดก่อนจะหลุบตาลง
“ชื่อลามิอาเป็นชื่อของปีศาจน่ะ” ฉันตอบเสียงเบา
“จริงดิ? ฉันนึกว่ามันไม่มีความหมายซะอีก เห็นชื่อแปลกดี”
“มีสิ แต่ความหมายมันค่อนข้างแย่หน่อย” ฉันตอบก่อนจะหลุบตาขึ้นมองหน้าวาดแล้วเสมองไปนอกกระจกรถแทน
“นี่ลามิอา..” ฉันหันไปมองเขาอีกรอบเมื่อถูกขานชื่อ “ต่อให้ความหมายของชื่อเธอมันจะแย่แค่ไหน แต่มันก็ดีที่ยังพอมีความหมายไม่ใช่หรือไง?”
“…….” ก็จริง.. ฉันมองใบหน้าด้านข้างของภาพวาดก่อนจะยิ้มให้เขา
“พรุ่งนี้มีเรียนไหม?” เขาว่าต่อ “ฉันมารับเอาป่ะ?”
ฉันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับไปว่า “ก็ได้”
ฉันนอนพลิกซ้ายพลิกขวาไปมา ดวงตาลืมขึ้นท่ามกลางความมืดมิด พอภาพวาดมาส่งฉันที่คลับเสร็จ ฉันก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็เข้านอนเลย ฉันไม่ได้ไปหาชมพูเพราะคิดว่าเธอน่าจะอยู่กับเฮียแวมพ์ ไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ ตอนนี้ฉันเลยนอนไม่หลับกระสับกระส่ายเป็นว่าเล่นเลย
ฉันยกมือขึ้นควานหาโทรศัพท์ จำได้ว่าก่อนหน้าที่จะอาบน้ำฉันหยิบมันเอามาวางไว้ที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนที่จะขยับตัวลุกขึ้นนั่งไปด้วย
ติ๊ง!
เป็นจังหวะเดียวกับที่ฉันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและเสียงข้อความก็ดังขึ้นแจ้งเตือนพอดี ฉันเปิดอ่านมัน..
‘ฝันดีนะยัยบ๊อง’
ผู้ส่ง :: ภาพวาด
รอยยิ้มถูกประทับเข้ามาแทนที่บนใบหน้าฉัน ก่อนที่เรียวนิ้วของตัวเองจะรัวตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ในโทรศัพท์กลับไป
‘ฝันดีเหมือนกันนะวาด <3’
ส่งแล้ว :: ลามิอา
ฉันกดล็อคหน้าจอแล้วทิ้งตัวลงบนเตียง เปลือกตาถูกปิดลง
นายเป็นใครนะภาพวาด..? ทำไมถึงได้ทำให้ฉันรู้สึกดีขนาดนี้ได้
วันถัดมา
ภาพวาดขับรถมารับฉันโดยที่เฮียแวมพ์ไม่รู้ วันนี้เฮียฉันต้องเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศอีกแล้ว ช่วงนี้ชมพูก็บ่นว่าเหงาบ่อยๆด้วย ฉันเลยชวนชมพูมามหาวิทยาลัยพร้อมกันเลย
“วันนี้เพื่อนฉันไปด้วยนะ” ฉันชะโงกหน้าไปบอกภาพวาดที่นั่งประจำที่ตรงคนขับเรียบร้อย
“อื้อ..” ภาพวาดหันมาพยักหน้าให้ฉันพร้อมส่งยิ้มให้
ฉันหันไปหาชมพูที่นั่งนิ่งพร้อมกับใบหน้าที่ฉายแววสงสัยอยู่ ก่อนจะยกโทรศัพท์ขึ้นบอกเธอเป็นเชิงว่ามีอะไรให้คุยกันในแชทก็แล้วกัน เพียงไม่นานข้อความเมสเซนเจอร์ก็เด้งรัวๆขึ้นมาเป็นสิบๆข้อความ ไม่ต้องเดาเลยว่าของใคร
Pink Chompoo : เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ
Pink Chompoo : เขาเป็นใคร
Pink Chompoo : มายุ่งกับเธอได้ไง
Pink Chompoo : ไปรู้จักกันตอนไหน
Pink Chompoo : แล้วเธอบอกเฮียเธอหรือยัง
Pink Chompoo : ถ้าเฮียเธอรู้นะ เขาไม่รอดแน่ลามิอา
แล้วก็ข้อความของ Pink Chompoo ก็ยังมีอีกเยอะแยะมากมายจนฉันตามไม่ทัน ฉันมองชมพูผ่านกระจกมองหลัง เป็นจังหวะเดียวกับที่เธอจ้องฉันเขม็งอยู่ก่อนหน้านี้ ฉันถลึงตาใส่เธอก่อนจะกดตัวอักษรแต่ละตัวบนแป้นพิมพ์เพื่ออธิบายเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น
พอมาถึงมหาวิทยาลัย ฉันกับชมพูลงรถที่หน้าตึกคณะของชมพูก่อน ความจริงวันนี้ฉันมีเรียนบ่ายๆ แต่ชมพูมีเรียนเช้า ฉันเลยบอกให้ภาพวาดมารับตอนเช้าพร้อมเลย พอรถของภาพวาดขับออกไป อาการเจ็บแปลบที่ต้อแขนก็เล่นงานฉันจนต้องหลุบตามอง ตามมาด้วยเสียงโอดครวญของตัวเอง
“โอ๊ย!”
“มันน่าหยิกให้แขนเขียวจริงๆเลย!” เสียงชมพูบ่นอุบ
“อะไร?” ฉันมองหน้าเธอพลางทำหน้าไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร “ฉันกับวาด เราเป็นแค่เพื่อนกันนะ” ฉันอธิบาย
“ไม่เชื่ออ่ะ ดูสายตาผู้ชายคนนั้นแล้วฉันคิดว่าไม่ใช่แค่เพื่อนแน่นอน” ชมพูส่ายหน้าพรืด
“เธอดูออกหรือไง?” ฉันเลิกคิ้วถาม
“ออกสิ ตอนที่ภาพวาดมองเธอนะ ตาเขานี่หวานเชื่อมเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์เลย” ฉันยิ้มให้ชมพูเมื่อเธอทำท่าทางประกอบคำว่า ‘หวานเชื่อมเป็นน้ำผึ้งพระจันทร์’
“แต่ฉันคิดกับเขาแค่เพื่อน” ฉันยืนยันเสียงหนักแน่น
“ระวังไว้เถอะลามิอา เฮียแวมพ์ของเธอยิ่งหวงเธออยู่ด้วย” ชมพูชี้หน้าฉันคล้ายกับกำลังขู่ ฉันเลยยกแขนขึ้นคล้องกับแขนของเธอไว้ก่อนจะดันตัวเธอให้เดินเข้าตึก
“ไปเรียนได้แล้วค่ะคุณพี่สะใภ้” ฉันบอกเสียงหวาน
Rrrr!
แต่เสียงริงโทนจากโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายของชมพูก็ดังขึ้นซะก่อน ฉันรวมทั้งชมพูชะงักทันที เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาก่อนจะกดรับสายแล้วแนบมันเข้าที่หูของตัวเอง
“ว่าไงพี่พอร์ช?” พอร์ชคือพี่ชายแท้ๆของชมพูเองแหละ
[…….] เสียงปลายสายตอบกลับมา มันดังเล็ดลอดออกมาจากโทรศัพท์ของชมพูแต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฉันเลยจับใจความไม่ได้
“วะ..ว่าไงนะ!?” ฉันสะดุ้งเมื่อชมพูตอบกลับเสียงสั่น
“มีอะไรชมพู?” ฉันสะกิดที่เอวของชมพูรัวๆ รู้สึกใจไม่ค่อยดีขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าขาวอมชมพูของเธอซีดลง
ปึก!
ยังไม่ทันที่ชมพูจะตอบฉัน โทรศัพท์จากมือของเธอก็ร่วงลงพื้นโดยไร้การบอกกล่าวล่วงหน้า ชมพูหันมาหาฉันก่อนจะดึงฉันเข้าไปกอด เธอซบหน้าลงกับไหล่ฉันจนสัมผัสได้ถึงน้ำอุ่นๆที่ไหลออกมาเปรอะเปื้อนชุดนักศึกษาของฉัน
เสียงสั่นพร้อมกับเสียงสะอื้นเอ่ยกับฉันว่า “ลามิอา.. ฮึก.. เฮียแวมพ์ถูกยิง”
“…….” ทันทีที่ได้ยิน ตัวฉันก็ชาราวกับถูกคำสาป
ใครอยากรู้ว่าภาพวาดหน้าตายังไง จินตนาการตามรูปนี้เลยเด้อ 55555
ส่วนพี่คีตะ ให้จินตนาการตามรูปนี้นะ 5555
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

#เตรียมรอเปลี่ยนข้าง