ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #25 : แม่สื่อแม่ชัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 317
      1
      24 ก.ย. 47

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๒๕ แม่สื่อแม่ชัก



        เปมิกา กำลังอยู่ภายในตำหนักฝ่ายในพร้อมกับ อำมาตย์สุรชาติ เบื้องหน้าของนางคือ พระราชาเอกสิทธิ์แห่งนครอัญจารีและที่อยู่เคียงข้างพระองค์ก็คือพระมเหสีปิ่นเกสร สีพระพักตร์ของทั้งสองพระองค์ดูไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อได้รับข่าวร้ายถึงแม้กระนั้นพระราชาเอกสิทธิ์ก็มิทรงแสดงความอ่อนแอให้เห็นเลยแม้แต่น้อย



    “ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องราวมันจะร้ายแรงถึงเพียงนี้ ตอนแรกที่ข้ารู้ก็แค่มีกองทัพอสูรยกทัพมา คิดไม่ถึงว่าพวกมันจะเป็นกองทัพของจ้าวอสูรที่ร้ายกาจได้ “



    เปมิกา ทูลถามพระราชาเอกสิทธิ์ถึงวิธีการรับมือกองทัพอสูร



    “ แล้วพระองค์ทรงคิดจะทำการอย่างไรต่อไปเพคะ “



    พระราชาเอกสิทธิ์ทรงถอนพระทัย



    “ เฮ้อ!! ถ้าเป็นแค่กองทัพอสูรจากนครใดนครหนึ่งเราก็คงพอจะรับมือได้ แต่นี้เป็นกองทัพจากจ้าวอสูรที่แม้แต่เหล่าเทพยังหวาดกลัว แล้วจะให้เราทำอย่างไรได้ หากเจ้าไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนครของเราไว้ โอกาสที่จะชนะก็คงไม่มี “



    อสูรสาวรับรู้ในสถานการณ์ตอนนี้ว่า กำลังของนครอัญจารี เป็นรองกองทัพอสูรอยู่มาก หากจะชนะศึกนี้ย่อมจะต้องหาพันธมิตรช่วยรบ



    “ พระองค์ทรงมีนครพันธมิตรอยู่ที่ใดบ้างไหมเพคะ? “



    พระราชาเอกสิทธิ์ ทรงตอบว่า



    “ นครพันธมิตรของข้า ก็เห็นจะมีแต่นครวิสุทธิ์ นครของเหล่ากินนรที่อยู่ในป่าหิมพานต์ แต่พวกเขาเองก็คงไม่มีฝีมือมากพอจะต่อกรกับเหล่าอสูรได้ อีกทั้งพวกเรายังเป็นพวกรักความสงบไหนเลยจะมีสักกี่คนที่มีฝีมือในทางสู้รบ “



    “ ทำไมพระองค์ไม่ทรงขอความช่วยเหลือจากนครมากริดล่ะ พระเจ้าข้า? “ อำมาตย์สุรชาติ เสนอความคิดเห็นของตนให้เจ้าเหนือหัวได้ทรงตึกตรองดู



    “ นครมากริด? เป็นนครของใครกันท่านอำมาตย์สุรชาติ? “



    อำมาตย์สุรชาติ กำลังจะตอบคำถามของ เปมิกา แต่ก็หยุดไว้เพียงแค่นั้นเมื่อฉุดคิดได้ว่าอาจจะต้องพระอาญาจากองค์เหนือหัวในฐานะที่กล่าวอะไรที่ไม่บังควรออกไป



    “ อ้าว! ข้าถามทำไมท่านถึงไม่ตอบข้าล่ะ อำมาตย์สุรชาติ? “



    “ เปมิกา อย่าไปถือโทษโกรธอำมาตย์สุรชาติเลย เหตุที่เขาไม่กล้าตอบเจ้าเป็นเพราะเกรงว่าเราจะโกรธเขาเองนั้นแหละ เรื่องของนครมากริดเราอย่าไปพูดถึงเลยดีกว่า ถึงแม้เราจะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากพวกเขา พวกเขาก็ไม่ช่วยเหลือเราหรอก “



    “ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นเพคะ? “ เปมิกา ทูลถามในใจของนางคิดว่าพระราชาเอกสิทธิ์กับเจ้านครมากริด อาจมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนพระองค์ถึงแสดงกิริยาคล้ายกับว่าไม่อยากพูดถึงนครมากริดเลย



    “ เรื่องมันนานมาแล้วตั้งแต่สมัยตอนข้ายังเป็นหนุ่ม พูดไปแล้วความผิดทั้งหมดก็เป็นเพราะข้าเองที่เป็นคนก่อขึ้น “



    แววพระเนตรของพระราชาเอกสิทธิ์ทรงเศร้าหมองนักเมื่อนึกถึงเรื่องราวแต่หนหลัง



    “ ตอนนั้น ข้าและหัสกัณฐ์เจ้านครมากริด เคยเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน แต่สุดท้ายก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นที่ทำให้ข้าและเขาเกิดหมางใจกันขึ้นมา “



    พระราชาเอกสิทธิ์ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่งในพระทัยคงไม่อยากจะเล่าให้เปมิกาฟัง แต่สุดท้ายก็เล่าออกมาจนได้



    “ ข้ากับเขาหลงรักผู้หญิงคนเดียวกัน “



    เปมิกา แอบชำเลืองมอง



    “ พระมเหสีของพระองค์ใช่ไหมเพคะ? “



    พระราชาเอกสิทธิ์ทรงหันมามองหน้าเมียรัก พระนางทรงพยักหน้าให้พระองค์ทรงเล่าต่อไป



    “ ใช่ หากตอนนั้นข้าไม่หึงจนหน้ามืด เรื่องราวคงไม่บานปลายมาถึงปานนี้ “



    “ คนที่ผิดไม่ใช่เสด็จพี่หรอกเพคะ เป็นหม่อมฉันต่างหาก หากตอนนั้นหม่อมฉันไม่น้อยพระทัยเสด็จพี่ แกล้งทำเป็นสนิทสนมกับ หัสกัณฐ์ จนเสด็จพี่ต้องทะเลาะกับเขา เรื่องราวคงไม่เป็นอย่างเช่นทุกวันนี้หรอกเพคะ “



    ในสมัยที่พระราชาเอกสิทธิ์ยังทรงเป็นหนุ่มอยู่นั้น พระองค์ทรงมีพระสหายรักชื่อ หัสกัณฐ์ เจ้านครมากริด ซึ่งมีอาณาเขตอยู่ติดกับนครอัญจารี ตัวของ หัสกัณฐ์ เป็นอสูรสืบเชื้อจากกรุงมลิวัน



    ( ในคราวนั้นไพนาสุริย์วงค์ รู้ว่า พิเภทหรือท้าวทศคิริวงค์มิใช่พ่อของตน จึงเดินทางไปขอความช่วยเหลือจากท้าวจักรวรรดิ เจ้ากรุงมลิวัน ผู้เป็นพระสหายกับพ่อของตนคือ ทศกัณฐ์ ให้ทรงยกทัพมายึดกรุงลงกาจนสำเร็จและแต่งตั้งให้ไพนาสุริย์วงค์เป็นกษัตริย์ครองกรุงลงกามีนามว่า ท้าวทศพิน ร้อนถึงพระพรตและพระสัตรุด น้องของพระรามต้องยกทัพมากำราบและทรงนำทัพบุกเข้าต่อสู้กับท้าวจักรวรรดิ ที่กรุงมลิวัน สุดท้ายเมื่อท้าวจักรวรรดิแพ้ศึกและใกล้ตายได้ขอฝากฝังลูกกับเมียเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนั้นพระรามจึงดำริที่จะให้พระยาอนุชิตหรือหนุมานไปครองกรุงมลิวัน แต่ด้วยความอาลัยรักในพระยาอนุชิต ประกอบกับทรงพบมัจฉานุ ลูกของพระยาอนุชิตกับนางสุวรรณมัจฉา จึงทรงเปลี่ยนพระทัยแต่งตั้งให้ มัจฉานุ เป็นพญาหนุราช ไปครองกรุงมลิวันพร้อมกับนางรัตนมาลี พระธิดาของท้าวจักรวรรดิแทนพระยาอนุชิตผู้เป็นพ่อ ดังนั้น หัสกัณฐ์ ซึ่งเป็นทายาทรุ่นหลังของกรุงมลิวัน จึงมีเชื้อสายของยักษ์วานรอยู่รวมกัน หัสกัณฐ์ จึงมีร่างแปลงอยู่ ๒ ร่างคือ ร่างที่เป็นอสูร และเป็นวานร แต่ส่วนใหญ่ หัสกัณฐ์ จะคงรูปอยู่ในร่างของอสูรมากกว่า ไม่เหมือนกับ พญามารนุราช อุปราชกรุงลงกา หรือ อสุรผัด ลูกชายของพระยาอนุชิตกับนางเบญจกาย ที่เป็นกึ่งอสูรกึ่งวานร )



    ถึงแม้เขาจะเป็นอสูรแต่ก็เป็นอสูรที่ดีและมีคุณธรรม ทั้งหัสกัณฐ์และพระราชาเอกสิทธิ์ ต่างหลงรักพระมเหสีปิ่นเกสร ซึ่งเป็นพระธิดาของเจ้านครประกายรุ้ง ดังนั้นต่างฝ่ายต่างจึงพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อพิชิตใจพระมเหสีปิ่นเกสรให้ได้ แต่ด้วยแรงหนุนจากเครือญาติประกอบกับเสด็จพ่อของพระมเหสีปิ่นเกสร ทรงไม่อยากได้ราชบุตรเขยเป็นอสูร พระราชาเอกสิทธิ์จึงได้ครอบครองทั้งตัวและหัวใจของพระนางอย่างสมบูรณ์ ฝ่าย หัสกัณฐ์ แม้จะรู้สึกเสียใจแต่ด้วยความเป็นลูกผู้ชาย เมื่อเป็นผู้แพ้ก็มิได้พาลแต่อย่างใด ทั้งยังยินดีกับความรักของทั้งสองพระองค์อีกด้วย แต่ด้วยความที่พระราชาเอกสิทธิ์ทรงพระกรรณเบาและเชื่อคนง่าย จึงทำให้ความหึงหวงบดบังความคิดถูกผิดเสียหมดและด้วยความน้อยพระทัยของพระมเหสีปิ่นเกสรที่พระสวามีทรงไม่ไว้วางพระทัยพระนาง พระนางจึงทำท่าทีประชดประชันพระสวามี โดยแสร้งทำเป็นสนิทสนมและเอาอกเอาใจ หัสกัณฐ์ อย่างออกหน้าออกตา แรกๆ พระราชาเอกสิทธิ์ ก็ทรงทำเป็นพระทัยเย็น แต่พอหนักๆเข้า พระองค์ก็อดรนทนไม่ไหวถึงขนาดออกพระโอษฐ์ต่อว่า หัสกัณฐ์ อย่างเสียๆหายๆ หัสกัณฐ์ เองก็ใช่ว่าจะไม่ใช่คนที่ไม่มีความอดทน และในตอนนั้นเขาเองก็ยังรู้ด้วยว่าเหตุที่ว่า พระราชาเอกสิทธิ์ ทรงมาต่อว่าเขานั้นก็เพราะพระราชเอกสิทธิ์กำลังทรงเข้าใจในตัวของเขาผิดไป แต่ด้วยคำพูดที่กระทบกระเทียบนั้นรุนแรงเกินกว่าที่เขาจะให้อภัยได้ ทำให้ หัสกัณฐ์ ไม่อาจทนได้เช่นกัน



    “ เอกสิทธิ์ เจ้าจงจำคำพูดของข้าไว้ให้ดี ข้า หัสกัณฐ์ ไม่ใช่คนที่ชอบตีท้ายครัวผู้อื่นแต่อย่างใด นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้ากับเจ้าไม่ใช่เพื่อนกัน และข้าจะไม่มาเหยียบนครอัญจารีของเจ้าอีก “



    หัสกัณฐ์ จากไปพร้อมกับคำพูดที่เขาทิ้งท้ายไว้ และนับแต่นั้นเขาก็ไม่กลับมาที่นครอัญจารีอีกเลย แม้ตอนหลังพระราชาเอกสิทธิ์และพระมเหสีปิ่นเกสรจะปรับความเข้าใจกันได้ และเคยไปขอเข้าพบ หัสกัณฐ์ ที่นครมากริดหลายครั้ง แต่ หัสกัณฐ์ ก็ไม่ทรงยอมให้เข้าพบและขับไล่ทั้งสองกลับมาทุกคราว ด้วยเหตุนี้นครอัญจารีจึงขาดพันธมิตรที่สำคัญนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา



    เมื่อ เปมิกา ได้รับรู้เรื่องราวดังนั้นแล้วก็คิดที่จะหาทางช่วยเหลือให้สองนครคืนดีกัน เพราะหากได้กำลังจากนครมากริดมาช่วยเหลือ การต่อสู้กับกองทัพอสูรก็จะไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสมากนัก



    “ อย่างไรเราก็ต้องการกำลังเสริมมาช่วยในการรบนะเพคะ หากมีวิธีการใดให้ เหนือหัวหัสกัณฐ์ ทรงยอมช่วยพระองค์ได้ ก็น่าจะลองดู “



    “ เจ้าจะทำอย่างไร? ข้าเคยลองมาแล้วหลายวิธีเขาก็ใจแข็งเสียเหลือเกิน “



    “ พระองค์ทรงมีพระธิดาอยู่องค์หนึ่งไม่ใช่หรือเพคะ “ เปมิกา แย้มแผนการที่นางคิดเอาไว้ ให้ทั้งสองพระองค์ฟัง



    “ นี้เจ้าหมายความว่า……. “ พระมเหสี ได้ฟังมีหรือจะไม่เข้าใจ



    “ เพคะ ลูกย่อมเป็นตัวแทนของแม่ได้ หากพระธิดาของพระองค์ทรงไปเป็นมเหสีของเหนือหัว หัสกัณฐ์ ก็อาจจะพอทดแทนสิ่งที่แล้วมาได้บ้าง อีกทั้งเหนือหัว หัสกัณฐ์  ก็จะไม่มีข้อโต้แย้งที่จะไม่มาช่วยพระองค์อีกด้วยเพคะ “



    พระราชาเอกสิทธิ์และพระมเหสีปิ่นเกสร ยังไม่ทรงเอื้อนพระโอษฐ์ว่าอย่างใด พลันมีคนพูดแซงเสียก่อน



    “ ดวงใจมาร เจ้าเปลี่ยนจากกุนซือของกองทัพ มาเป็นแม่สื่อแม่ชักตั้งแต่เมื่อไรกัน? “



    เสียงทุ้มๆที่หยอกล้อนางเช่นนี้คุ้นหูยิ่งนัก



    “ เจ้ามาแล้วหรือพยัคฆ์วารี “



    พยัคฆ์วารี เดินเข้ามาภายในตำหนักในด้วยท่าทางที่ห้าวหาญ ก่อนถวายบังคมต่อพระราชาเอกสิทธิ์



    “ ตามสบายเถอะ ท่านเองหรือพยัคฆ์วารี องอาจสมชื่อจริงๆ พระธิดาเปมิกาบอกข้าว่า ท่านกำลังหาทางเล่นงานพวกอสูรสืบข่าวอยู่ ตอนนี้ทางท่านเป็นอย่างไรบ้าง? “



    พยัคฆ์วารี ทูลตอบในทันที



    “ หม่อมฉันได้กำจัด อสูรสืบข่าวในนครอัญจารีจนหมดแล้ว ที่เหลือก็คงเป็นหน้าที่ของแม่สื่อสาววางแผนต่อไปพระเจ้าข้า “



    เปมิกา หันหน้ามามองเขา



    “ ทำไมเจ้าไม่ชอบแผนที่ข้าวางไว้หรือ? “



    “ เปล่า “  พยัคฆ์วารี ปฏิเสธ



    “ ก็แค่คิดว่า เหนือหัว หัสกัณฐ์ จะทรงยอมรับข้อเสนอของเจ้าหรือเปล่าก็เท่านั้น “



    เปมิกา คิดแล้วไม่ผิด



    “ เจ้าแมวขี้เซา กลับมาตั้งนานแล้วแทนที่จะเข้ามาช่วยกันวางแผน กลับแอบนอนหลับฟังอยู่ข้างนอกแทน คิดอู้งานหรือไง? “



    “ ข้านะหรือจะอู้งาน? ผิดแล้ว ที่ข้าไม่เข้ามาก็เพราะจะรอชมความคิดอันฉลาดปราชญ์เปรื่องของเจ้านั้นแหละ แต่ดูท่าเจ้าจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว  “



    “ ข้านะหรือคว้าน้ำเหลว คว้าน้ำเหลวอย่างไร? “ เปมิกา ถาม



    “ ข้อแรกเจ้าลืมคิดไปแล้วหรือว่า พระธิดายังไม่เคยพบหน้ากับเหนือหัว หัสกัณฐ์ พระธิดาอาจไม่ทรงชอบเหนือหัว หัสกัณฐ์ ก็เป็นได้  ข้อสอง ก็เหมือนกันกับข้อแรก เหนือหัว หัสกัณฐ์ อาจไม่ชอบพอพระธิดาเช่นกัน ข้อสามถึงอาจจะมีแนวโน้มว่าทั้งสองพระองค์จะรักใคร่ชอบพอกันได้แต่เจ้าจะทำอย่างไรให้เหนือหัว หัสกัณฐ์ มาที่นครอัญจารี เพราะพระองค์เคยลั่นพระโอษฐ์ไว้ว่าจะไม่มาเหยียบที่นครอัญจารีนี้อีกและการที่จะให้พระธิดานั่งวอหามส่งไปประเคนให้เขาถึงที่นั้น ย่อมทำให้เหนือหัวหัสกัณฐ์ ทรงดูถูกดูแคลนพระธิดาได้ เกียรติยศของลูกผู้หญิงก็จะถูกทำลายลงไปอย่างสิ้นเชิงและหมดค่าภายในพริบตา “



    “ เยี่ยมมากพูดได้ดี ที่เจ้าพูดมาถูกทุกอย่าง “ เปมิกา ชื่นชมต่อการวิเคราะห์เหตุผลของพยัคฆ์วารีเสียจริงๆ



    “ ข้าถอนคำพูดที่ว่าเจ้าอู้งาน เจ้าสมควรเป็นผู้ช่วยข้าได้อย่างดียิ่ง “



    พยัคฆ์วารี ขมวดคิ้วเมื่อไม่เห็นท่าทางที่ร้อนอกร้อนใจของ เปมิกา เลย



    “ ดูเหมือนเจ้าจะไม่กังวลใจเลยแม้แต่น้อย ดูไปดูมา ข้าคงเข้าใจผิดไปเองเสียแล้ว ที่คิดว่าเจ้าจะคว้าน้ำเหลว “



    เปมิกา ยังไม่ตอบเขา หันมาทูลถามพระมเหสีว่า



    “ พระมเหสีเพคะ พระมเหสีทรงมีทางเกลี่ยกล่อมให้พระธิดาทรงยอมอภิเษกกับเหนือหัว หัสกัณฐ์ บ้างไหมเพคะ? “



    “ เรื่องนั้นเราก็อาจจะพอทำได้ แต่เจ้าจะใช้วิธีไหนทำให้ หัสกัณฐ์ ยอมรับขอเสนอนี้? “



    “ พระองค์อย่าทรงลืมไปสิเพคะ มารยาหญิงมีตั้งหลายร้อยเล่มเกวียน แค่หยิบมาใช้สักเล่มสองเล่ม ก็เกินพอแล้วเพคะ “



    เปมิกา สั่งการอำมาตย์สุรชาติในทันที



    “ ท่านอำมาตย์สุรชาติ  ท่านช่วยเขียนแผนที่ไปนครมากริดให้ข้าด้วย แล้วจัดหาช่างฝีมือดีในการวาดรูป วาดภาพของพระธิดาให้ข้าม้วนหนึ่ง “



    “ ข้าพระองค์จะทำตามพระกระแสรับสั่ง พระเจ้าข้า “ อำมาตย์สุรชาติ ตอบพระธิดาเปมิกา



    หลังจากสั่งงานอำมาตย์สุรชาติเสร็จแล้ว ก็ถึงตาเจ้าแมวขี้เซาบ้าง



    “ พยัคฆ์วารี ข้ามีเรื่องให้เจ้าช่วย “



    “ ข้ากำลังรอฟังอยู่ “



    “ ระหว่างที่ข้าไม่อยู่นี้ เจ้ากับอำมาตย์สุรชาติช่วยกันวางกำลังรักษานครอัญจารีเอาไว้ให้ดี ระวังอย่าให้พวกอสูรเข้ามาภายในนครได้อีก “



    “ ไม่มีปัญหา ว่าแต่เจ้ามีแผนการอะไรไม่คิดจะบอกกันบ้างหรือ? “ พยัคฆ์วารี ถามในใจของเขายังคิดไม่ออกว่า เปมิกา จะมีวิธีการใดที่แก้ไขปัญหาที่เขาว่าได้



    “ เอาไว้เมื่อ เหนือหัวหัสกัณฐ์เสด็จมาถึง เจ้าก็รู้เองแหละ “ เปมิกาตอบ



    หลังจากนั้น เปมิกา ก็ทูลขอร้องพระราชาเอกสิทธิ์



    “ เหนือหัวเอกสิทธิ์เพคะ หม่อมฉันขอให้พระองค์ทรงเขียนสาสน์ให้สองฉบับ ฉบับหนึ่งส่งไปถึงนครวิสุทธิ์ ขอกำลังสนับสนุนมาช่วยเราเท่าที่เขาจะให้เราได้ อีกฉบับหนึ่งไปถึงเหนือ หัสกัณฐ์ ที่นครมากริด “



    เปมิกา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำและหนักแน่น



    “ ว่าพระองค์ทรงอยากผูกสัมพันธไมตรีให้เหมือนเมื่อครั้งก่อนโดยทรงยอมยกพระธิดาให้เป็นพระมเหสีของเหนือหัว หัสกัณฐ์ เพคะ “



    พระราชาเอกสิทธิ์ ทรงหันพระพักตร์มาหาพระมเหสีปิ่นเกสร พระนางทรงตรัสว่า



    “ ทำตามที่ เปมิกา บอกเถอะเพคะ อย่างไรบ้านเมืองและราษฎร์ก็สำคัญกว่า ความสุขสบายของเรานะเพคะ “



    เมื่อเป็นเช่นนี้พระองค์ก็ทรงยอมทำตามโดยไม่มีข้อโต้แย้ง



    “ ก็ได้ เราจะทำตามที่เจ้าบอก อำมาตย์สุรชาติ เดี๋ยวเจ้าให้ทหารไปตาม อำมาตย์ทุเสน ให้มาพบข้าด้วย ข้าจะให้เขาเดินทางไปที่นครวิสุทธิ์แทนข้า “



    “ รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า “



    พยัคฆ์วารี มอง เปมิกา อย่างครุ่นคิด นางช่างเฉียบขาดนัก ไม่มีท่าทีที่จะลังเลแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าแผนการของนางจะสำเร็จไปด้วยดีหรือไม่? ถึงแม้นางจะเป็นนักวางแผนตัวยง แต่ใจคนลึกสุดจะยัง ต่อให้วางแผนดีอย่างไร ที่คิดว่าสำเร็จ ก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จก็เป็นได้ แม้ว่าเขาจะเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของนางก็ตาม



    ----------------------------------------------



    เปมิกา ใช้เวลาเดินทางถึง ๑ วันเต็มในการเดินทางไป นครมากริด ระหว่างทางที่เดินทางผ่านมานางสังเกตหาหนทางที่จะนำกองทัพจากนครมากริดเดินทางมาให้ถึงนครอัญจารี โดยเร็วที่สุด ทุกทางที่เห็นเป็นไปได้ก็เห็นจะมีแต่ ทางแม่น้ำและทะเลเท่านั้นที่จะเคลื่อนทัพมาได้เร็วกว่าทางบก  เปมิกา  เดินทางใกล้มาถึงเขตชายแดน นครมากริด ขึ้นเรื่อยๆ เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ นางก็มาถึงหมู่บ้านชาวป่า เขตชายแดนนครมากริดแล้ว เปมิกา เข้าไปภายในหมู่บ้านก็เห็นตลาดร้านค้ามากมาย ส่วนใหญ่ของที่ชาวบ้านนำมาวางขายกัน มักจะเป็นของป่าและก็หนังสัตว์เสียเป็นส่วนใหญ่



    “ ป้าจ๊ะป้า จากที่นี้ไปนครมากริด ต้องใช้เวลาอีกนานไหม? “



    หญิงที่ขายของอยู่เงยหน้าขึ้นมามองนาง



    “ ก็อีกโขละแม่หนู ดูเจ้าคงเป็นนักเดินทางระหว่างชายแดนสินะ “



    “ ใช่จ๊ะ “ เปมิกาตอบ



    “ วันนี้แม่หนูคงไปไม่ทันหรอก อีกเดี๋ยวก็จะค่ำแล้ว เอางี้แม่หนู เดินไปตามทางนี้นะจะมีอีกหมู่บ้านหนึ่ง พวกนักเดินทางมักไปแวะเวียนกันที่นั้น แถวนั้นมีที่พักและทหารจากนครมากริด มาคอยดูแลรักษาความปลอดภัยให้ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อแล้วกันนะ แม่หนู “



    เปมิกา หันหน้าไปมองตามที่ป้าคนนั้นชี้ ก่อนหันหน้ามาขอบคุณป้าคนนั้น



    “ ขอบใจจ๊ะป้า “



    เปมิกา เดินมาตามทางเรื่อยๆ จนถึงหมู่บ้านหนึ่ง เหลียวมองซ้ายขวากำลังคิดหาที่พักก็พลันได้ยินเสียงร้องถาม



    “ เจ้าเป็นนักเดินทางที่มาหาที่พักใช่หรือไม่? “



    เปมิกา หันหน้าไปมอง ก็พบทหารคนหนึ่ง รูปร่างกำยำ ท่าทางดูสง่า ผิดวิสัยทหารชั้นธรรมดาโดยทั่วไป



    “ ใช่ ท่านเป็นใคร? “



    “ ข้าเป็นทหารของนครมากริด มาคอยดูแลความปลอดภัยให้กับเหล่านักเดินทางที่เข้ามาภายในนครของเรา “



    “ ถ้าเช่นนั้น พอมีที่ใดให้ข้าพักได้บ้าง? “



    ทหารคนนั้นเหลียวมองดูรอบๆ ก่อนที่จะส่ายหน้า



    “ วันนี้มีคนเข้ามาเยอะเหลือเกิน ที่พักเลยเต็มหมด เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เจ้าตามข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปพักที่กระท่อมของข้า อยู่ใกล้ๆแถวนี้เอง กระท่อมหลังนั้นข้าให้ยายคนหนึ่งคอยดูแลให้ เพราะนานๆ ข้าถึงจะมาที่ชายแดนนี้ทีหนึ่ง ตามข้ามาสิ “



    ทหารคนนั้นเดินนำหน้า เปมิกา ไป นางสะพายของเดินตามเขาไปจนถึงกระท่อมหลังที่ว่า



    “ อ้าว! พอหนุ่ม วันนี้ทำไมถึงมาถึงนี้ได้ล่ะ? “



    “ ก็ได้รับคำสั่งให้มาดูแลพวกนักเดินทางนั้นแหละจ๊ะยาย ข้าถึงมาได้ แล้วนั้นยายจะไปไหน? “ เขาถาม



    “ จะเอาผักกับปลานี้ไปแลกข้าวนะ อีกเดี๋ยวก็กลับ แล้วแม่หนูนั้นใครกัน? “



    “ อ๋อ นี้นะหรือ นักเดินทางนั้นแหละ เผอิญที่พักเต็ม ข้าก็เลยพามาพักกับเราด้วย “



    ยายคนนั้นยิ้มให้ เปมิกา



    “ แม่หนู เดินทางมาไกลคงจะเหนื่อย พักกินน้ำกินท่าก่อนนะ ตามสบายเดี๋ยวยายก็กลับมาแล้ว “



    “ ขอบใจจ๊ะยาย “ เปมิกา กล่าวขอบคุณและยิ้มตอบ



    ยายคนนั้นเดินลงจากกระท่อมไป เปมิกา วางย่ามที่สะพายอยู่ลงบนแคร่ ทหารคนนั้นหยิบขันน้ำมาตักน้ำให้ เปมิกา ดื่ม



    “ ดื่มน้ำเสียก่อนสิ “  เปมิกา รับขันมาจากเขา ค่อยๆ ดื่มน้ำในขันนั้น นางเพิ่งสังเกตหน้าตาของเขาได้ชัดเจนขึ้น หน้าตาของเขาค่อนข้างดี ถึงแม้จะมีรอยเปื้อนที่บนใบหน้าและคราบเหงื่อก็ตาม



    “ ขอบใจพี่ชายนะ คุยกันตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่รู้ชื่อพี่ชายเลย “



    “ ข้าชื่อ กันย์ แล้วเจ้าล่ะ ? “ เขาถาม



    “ ดวงใจ “



    เขาพยักหน้าอย่างรับรู้ และเอ่ยถาม นางว่า



    “ เจ้าเดินทางมาจากไหนกัน “



    “ นครอัญจารี “



    พอได้ยินชื่อนครเท่านั้น เขาก็ตวัดสายตามามองนางอย่างแข็งกล้า แต่ในช่วงไม่นานแววตาเช่นนั้นก็หายไป



    “ พยายามอย่าพูดถึงชื่อนครนี้ให้ใครได้ยินอีกเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะโชคร้ายก็ได้ “



    “ ทำไม? “



    “ เจ้าเป็นนักเดินทางก็น่าจะพอรู้เรื่องราวของนครเราบ้าง? อย่าให้ข้าต้องพูดอะไรให้มากความ “



    “ ใช่ ข้ารู้ รู้ลึก รู้จริง และรู้ดี ข้าถึงได้มาที่นี้อย่างไรล่ะ “ นางตอบ



    เขาชะงักเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติจากคำพูดของนาง



    “ นี้เจ้าอย่าบอกข้าว่า เจ้าเป็นทูตมาจากนครอัญจารีนะ “



    “ ก็คล้ายๆ อย่างนั้น “



    ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน จ้องหน้าของเปมิกา ใบหน้าขึงขังจนน่ากลัว



    “ ทางที่ดีพรุ่งนี้เจ้ารีบออกไปจากที่นี้ดีกว่า  หากเจ้าเดินทางไปถึงนครมากริดแล้ว อาจไม่มีชีวิตรอดกลับออกมาก็ได้ “



    “ เท่าที่ข้ารู้มา เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงไม่เคยประหารทูตมิใช่หรือ? แล้วทำไมข้าจะต้องกลัวด้วย “



    สีหน้าของเขาในเวลานี้ไม่เป็นมิตรด้วยเลย



    “ ไม่ว่าใครก็มักมีความอดทนจำกัด ไม่เคยทำ ใช่ว่าไม่คิดจะทำ ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี พรุ่งนี้รีบกลับไปเสียดีกว่า ข้ายังไม่อยากให้เจ้าต้องมาจบชีวิตลงที่นี้โดยเรื่องที่มิใช่ความผิดอะไรของเจ้าเลยแม้แต่น้อย “



    “ มันก็ไม่แน่ ข้าอาจมีข้อเสนออะไรที่ทำให้ เหนือหัวหัสกัณฐ์ ของพี่ชายทรงพอพระทัยก็ได้ “ เปมิกาตอบ ใบหน้าของนางไม่มีเค้าของหวาดกลัวจากคำขู่เลยแม้แต่น้อย



    “ งั้นก็ตามใจ หากเกิดอะไรขึ้นมาอย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน “  ชายหนุ่มพูดพลางชี้นิ้วไปที่ห้องเล็กๆห้องหนึ่ง



    “ โน้นห้องอาบน้ำ ถือเสียว่าข้าช่วยให้เจ้าสบายเนื้อสบายตัวก่อนตายก็แล้วกัน  “



    “ ขอบใจพี่ชายมากนะสำหรับคำเตือน คนอย่างข้าไม่ตายง่ายๆ หรอก ยังอยู่อีกนานโขเลยทีเดียว “ นางว่าแล้วก็สะบัดหน้าใส่เขาพลางหอบหิ้วเสื้อผ้าเข้าไปด้วย



    “ ปากเก่งไปเถอะ ดาบมาจ่อคอหอยเจ้าเมื่อไรจะรู้สึก “



    ชายหนุ่มไม่สนใจ  เปมิกา อีกเขาเข้าไปในห้องครัว หยิบปลาที่คลุกเครื่องเทศเอาไว้ตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายมา ๔-๕ ตัว ก่อนนำมาเสียบไม้ ย่างปลาเหล่านั้นที่หน้ากระท่อม เสียงของน้ำที่ดังกระทบกับพื้นนานพอๆ กับที่ปลาเริ่มสุกและส่งกลิ่นหอม และแล้วในที่สุดก็มีเสียงเปิดประตูออกมา



    “ เสร็จแล้วก็มากินข้าวกินปลาด้วยกัน ยายข้าเพิ่งกลับมากี้ได้พวกผลไม้มาด้วย เดี๋ยวจะหาว่าข้าแล้งน้ำใจกับคนใกล้ตาย “



    “ ขอบใจจ๊ะ พี่ชาย งั้นข้าไม่ขัดศรัทธาล่ะนะ “



    เขาหันหน้ามามองหน้านาง ฉับพลันต้องตกตะลึง



    ‘ สวย….. สวยจัง ‘ เขาคิดไม่ถึงว่าหญิงสาวเมื่อครู่จะงามได้ถึงขนาดนี้



    เปมิกา นั้นเดินทางมาตลอดวัน ตามตัวมีแต่ฝุ่นที่และคราบสกปรกดังนั้นเมื่อมองดูเผินๆ จึงไม่มีใครให้ความสนใจนาง แต่หยกก็คือหยกอยู่วันยังค่ำแม้จะมีรอยเปื้อนอยู่บ้าง หากแต่เมื่อใดที่เช็ดออกความงามย่อมปรากฏให้เห็น



    “ แม่หนู มาเอาข้าวไปกินซิ “



    “ จ๊ะยาย “ เปมิกาตอบ พลางยื่นมือรับจานสามใบพร้อมกับโถข้าว



    ชายหนุ่มยังคงแกล้งสงวนท่าทีทำเป็นไม่สนใจ แต่ก็อดแอบมองนางไม่ได้



    ‘ คิดไม่ถึงว่าทูตของนครอัญจารีจะสวยอย่างนี้ ’



    เปมิกา ยายแก่ และชายหนุ่ม ล้อมวงเข้ามากินอาหารมื้อเย็นนั้น ชายหนุ่มกินข้าวไม่ได้เต็มท้องนัก เพราะมัวแต่แอบมองดู เปมิกา อยู่ตลอดเวลา ผิดกับเปมิกา ที่ไม่สนใจสิ่งใดทานอาหารมื้อนั้นอย่างเอร็ดอร่อย พอพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทั้งสองก็พูดคุยกันอีกครั้ง



    “ พรุ่งนี้ข้าจะออกเดินทางแต่เช้า อย่างไรข้าก็ต้องขอบใจพี่ชายมากนะ ที่ให้ข้าพักด้วย “



    “ พรุ่งนี้ข้าก็จะเข้าไปในนครมากริดเช่นกัน ข้าจะไปส่งเจ้าจนถึงประตูนครแล้วค่อยกลับเข้าไปรายงานตัว “



    “ ไม่กลัวถูกประหารชีวิตหรือ? พี่ชาย “ นางแซวเขาเล่น



    “ หึ หากกลัวข้าตาย เจ้าเปลี่ยนใจก็ยังทันนะ “ เขาว่า



    “ ข้าตัดสินใจแล้วและจะไม่เปลี่ยนใจเป็นอันเด็ดขาด เอาเป็นว่าหาก เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงพิโรธข้าจะขอรับโทษแทนพี่ชายก็แล้วกัน “



    “ ขอบใจ อย่างน้อยเจ้าก็เป็นคนที่มีน้ำใจใช้ได้ “ เขาชม



    “ ว่าแต่ข้าขอถาม พี่ชายหน่อยจะได้ไหม? “  



    “ เจ้าจะถามอะไรข้า “ เขาสงสัย



    “ เหนือหัว หัสกัณฐ์ หน้าตาเป็นอย่างไร หนุ่มหรือแก่ หล่อหรือน่าเกลียด “



    “ เจ้าจะรู้ไปทำไม พรุ่งนี้ก็ต้องพบอยู่แล้ว “



    “ รู้ก่อนย่อมได้เปรียบ เผื่อข้ารู้จะได้ตึกตรองหน่อยว่าจะยื่นข้อเสนออย่างไรดี ที่จะรักษาชีวิตน้อยๆเอาไว้ได้ “ นางว่า



    ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขบขัน คิดไม่ถึงว่านอกจากนางจะไม่กลัวตายแล้ว ยังมีเวลาคิดถึงเรื่องเช่นนี้อีก



    “ เอาเป็นว่าไม่น่าเกลียด แต่ก็ไม่หนุ่ม ก็แล้วกัน “



    “ ตรงตามที่คิดไว้เลย  หาว.... ดึกแล้ว ข้าขอตัวไปน้อยก่อนละนะ ราตรีสวัสดิ์พี่ชาย “



    “ ราตรีสวัสดิ์ เช่นกันน้องสาว “



    เปมิกา เดินเข้าไปนอนภายในกระท่อมโดยมีสายตาของเขาเฝ้ามองดูนางจนประตูกระท่อมปิดสนิทลง



    “ อย่ากลัวไปเลย ดวงใจ ถ้าเหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงพบเจ้า ย่อมไม่มีทางสังหารเจ้าได้ลงคอหรอก  “ เขาแอบรำพึงเบาๆ เงยหน้ามองดูดวงดาวบนท้องฟ้าที่ระยิบระยับอยู่ในเวลานี้ ก่อนหลับตาลงครุ่นคิดเรื่องของนางอยู่ในใจ



    จบตอนที่ ๒๕ ครับ  ลองไปอ่านโครงสร้างเรื่องที่ผมเขียนไว้ดูนะครับ http://taptapa.freewebpage.org  ใครไม่เข้าใจตรงไหนก็เขียนถามได้ แต่เนื้อเรื่องในตอนนี้ ไอ้หมอกำลังจีบ เปมิกา อยู่นะ ดีไม่ดี เปมิกา อาจเผลอใจไปตกหลุมรักเขาก็ได้ ( ทั้งที่ตามปกติก็เป็นอสูรสาวที่ใจแข็งอยู่แล้วก็เถอะ หุๆๆ ) เอ! แล้วเหนือหัว หัสกัณฐ์ จะทรงยอมรับขอเสนอไหมน่า ต้องรอลุ้นดูในตอนหน้านะครับ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×