ลำดับตอนที่ #26
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #26 : หัสกัณฐ์ผู้ทระนง
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๒๖ หัสกัณฐ์ผู้ทระนง
    รุ่งเช้า เปมิกา และ กันย์ เดินทางออกจากหมู่บ้านป่ามุ่งหน้าไปยังนครมากริด ทั้งสองเดินทางผ่านหมู่บ้านมาหลายหมู่บ้าน ยิ่งใกล้นครมากริดมากเท่าไร เปมิกา ยิ่งพบว่าหมู่บ้านที่นางผ่านมามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาผ่านไปจนเกือบใกล้เที่ยงในที่สุดทั้งสองก็มาถึงนครมากริด เปมิกา ยืนมองดูนครมากริดอย่างเต็มตา ในความรู้สึกของนางนครมากริดนั้นจัดว่าเป็นนครใหญ่ที่ไม่ด้อยกว่านครอัญจารีเลย รอบกำแพงพระนครประทับไปด้วยหมู่ธงทิวที่กำลังพลิ้วไสวด้วยแรงลมที่พัดผ่าน มองลึกเข้าไปภายในกำแพงพระนครก็พบประสาทที่ตั้งเด่นตะหง่านอยู่ ตัวของประสาทสร้างได้อย่างวิจิตร โดยทำหลังคาประสาทซ่อนกันอยู่ ๓ ชั้นในแต่ละชั้นมีการย่อมุมเป็นรูปสัตว์ในป่าหิมพานต์ ส่วนปลายประสาทสูงขึ้นไปเกือบ ๖ วามีเพชรเม็ดใหญ่เม็ดหนึ่งประทับไว้อยู่ที่ส่วนปลายสุด ยามใดที่เพชรเม็ดนั้นต้องแสงจากดวงอาทิตย์ก็ส่องแสงเจิดจรัสให้ได้เห็นแต่ไกล ราษฎร์ที่อาศัยอยู่ในนครแห่งนี้มีทั้งที่เป็นมนุษย์และเป็นยักษ์ โดยเฉพาะเหล่ายักษ์นั้นไม่มีการปกปิดเผ่าพันธุ์ตัวเองแม้แต่น้อย ภาพเหล่านี้ช่างดูขัดตายิ่งนัก แต่อีกในหนึ่งก็เป็นการบ่งบอกและแสดงถึงภูมิปัญญาความสามารถของ หัสกัณฐ์ ผู้ครองนครมากริด เป็นอย่างดีว่า เขาสามารถปกครองให้เหล่ายักษ์และมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็จัดได้ว่าเขาเป็นนักปกครองที่มีฝีมืออยู่ในขั้นยอดเยี่ยม เพราะยักษ์นั้นส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถทนต่อสัญชาติญาณการจับมนุษย์กินเป็นอาหารได้ดังนั้นการที่ผู้ปกครองนครสามารถห้ามเหล่าบริวารของตนไม่ให้กระทำอันตรายต่อมนุษย์ได้นั้น นอกจากจะต้องมีบุญบารีมากถึงขนาดที่ผู้ที่ได้พบเห็นยังต้องกลัวเกรงแล้วยังต้องประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรมอีกด้วยถึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้  เปมิกา มองดูนครมากริดอย่างเพลินเพลิด จน กันย์ ต้องหันมาสะกิดนางเพื่อบอกลา
“ ดวงใจ ข้าจะต้องเข้าไปรายงานตัวแล้ว ขอให้เจ้าโชคดี “
“ ขอบใจพี่ชายที่มาส่งข้า แล้วค่อยเจอกันใหม่นะ“ 
กันย์ ยิ้มให้กับนางก่อนก้าวเดินจากไป
“ แล้วค่อยเจอกันใหม่ “
กันย์ เดินผ่านกลุ่มทหารที่รักษาหน้าประตูนครเข้าไปอย่างง่ายดาย ส่วน เปมิกา รอให้เขาเข้าไปภายในนครมากริดก่อน นางถึงค่อยเดินมาที่หน้าประตูนคร
“ เจ้าเป็นใคร? “ ทหารรักษาประตูนครสี่ห้าคนยืนขวางนางไว้
“ ข้าชื่อ เปมิกา เป็นทูตจากนครอัญจารีมาขอเข้าเฝ้าองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ แห่งนครมากริด “
พอรู้ว่านางเป็นใครเท่านั้น การต้อนรับที่ไม่เป็นมิตรก็เกิดขึ้นในทันที
“ ไสหัว กลับไปซะ ที่นี้ไม่ต้อนรับคนจากนครอัญจารี “
“ นี้นะหรือวิธีต้อนรับทูตของนครเจ้า ทำไมช่างป่าเถื่อนเช่นนี้ “ เปมิกา พูดแบบยียวนทำเอาเหล่าทหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าทนไม่ไหว
“ อย่าคิดว่าเจ้าเป็นผู้หญิงแล้ว พวกข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้านะ รู้ไว้ซะด้วยว่า องค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงมีพระกระแสรับสั่งไม่ให้คนจากนครอัญจารีเข้ามาภายในนครมากริดเป็นอันขาด  หากเจ้ายังไม่รีบกลับไปจะหาว่าพวกข้ารังแกผู้หญิงไม่ได้ “
เปมิกา ค่อยๆ ถอดผ้าคลุมตัวออก เผยให้ได้เห็นรูปร่างและการแต่งตัวของนาง
“ . “ เหล่าทหารต่างจ้องมองอ้าปากค้าง
ภาพที่พวกเขาเห็นก็คือใบหน้าของสาวงามที่ผุดผาด รับกับคิ้วที่ได้รูป ริมฝีปากถูกแต้มด้วยสีชมพูบางๆ ผิวขาวๆที่ถูกแสงอาทิตย์ขับจนนวลเนียร ช่างเป็นสาวงามที่สะกดใจผู้คนได้ยิ่งนัก ยิ่งเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ เป็นชุดสำหรับเชื้อพระวงค์ชั้นสูงของกษัตริย์ ย่อมบอกถึงฐานะของนางเป็นอย่างดี ทำเอาเหล่าทหารที่รักษาประตูนครต่างกลัวเกรงว่าหากใครรู้ว่าพวกเขากล่าวอะไรที่ไม่สมควรกับทูตจากต่างแดนที่มีฐานะสูงศักดิ์เช่นนี้อาจจะต้องอาญาถึงขั้นประหารก็เป็นได้
“ พวกเจ้า ช่วยไปกราบทูลองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ด้วยว่า ข้าเจ้าหญิงเปมิกา แห่งนครวิบูลย์ไพศาล ขอเข้าเฝ้าพระองค์ในฐานะของทูตจากนครอัญจารี “
เหล่าทหารรักษาประตูนครต่างย่อตัวลงถวายบังคม เปมิกา ก่อนจะหันหน้ามามองกัน
“ เจ้ารีบเข้าไปรายงานท่านเสนาวิชิตเร็ว “
ทหารคนหนึ่ง รีบไปรายงานเสนาวิชิต เพียงครู่เดียว เสนาวิชิตก็ออกมาพบกับ เปมิกา
“ องค์เหนือ หัสกัณฐ์ มีรับสั่งให้เชิญพระธิดาไปพบพระองค์ที่พระตำหนักในเขตพระราชฐานฝ่ายใน พระเจ้าข้า “
“ ถ้างั้นท่านก็นำเราไปสิ “
เสนาวิชิต ลุกขึ้นยืนพร้อมกับขอพระราชทานอนุญาต
“ ขอทรงโปรดประทานอนุญาตปลดอาวุธให้กับข้าพระองค์ด้วยเถอะ พระเจ้าข้า “
เปมิกา มองมายังเสนาวิชิต
“ ดาบอยู่คนอยู่ ดาบไม่อยู่คนตาย ท่านคิดว่าข้าควรมอบดาบของข้าให้ท่านหรือเปล่า? “
เสนาวิชิต หน้าซีดลงไม่กล้าสบพระเนตรของเจ้าหญิงแห่งนครวิบูลย์ไพศาล ถึงแม้ เปมิกา จะพูดอย่างนั้นแต่นางก็ปลดดาบปราบลิขิตฟ้าออกจากตัว
“ เอ้า ..  เอาดาบของข้าตามมาด้วย “ เปมิกา เพียงแค่พูดขู่เล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไรมากนักโยนดาบปราบลิขิตฟ้าให้เสนาวิชิตแต่โดยดี
เสนาวิชิต ตกใจที่จู่ๆพระธิดาทรงเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลัน รีบใช้สองมือรับดาบของเปมิกาเอาไว้เพราะกลัวว่าดาบจะตกลงกระทบกับพื้น เปมิกา โยนดาบให้เสนาวิชิตเบาๆ แต่เพียงแค่นั้นก็เกือบทำให้เขาข้อมือหัก
‘ อูย..หนักจัง ’ เสนาวิชิตตกใจไม่คิดว่าอาวุธของ เปมิกา จะหนักมากเช่นนี้
“ พวกเจ้ารีบมาช่วยกันยกดาบของพระธิดา เร็วเข้า “ ทหารสี่ห้าคนช่วยกันยกดาบปราบลิขิตฟ้าแต่ก็ยังยกไม่ขึ้นจนเปมิกา ต้องเอ่ยปากบอก
“ ดาบข้า เห็นใจพวกเขาหน่อย อย่าแกล้งพวกเขาให้มากนักเลย “
หลังสิ้นคำ ดาบของ เปมิกา เบาอย่างปุยนุนขึ้นมาทันทีทันใด สร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่เหล่าทหารเป็นอย่างยิ่ง
“ นำทางไปสิ “ เสนาวิชิต รีบทำตามพระกระแสรับสั่งทันที
เสนาวิชิต พร้อมด้วย เปมิกา และทหารติดตามอีกหนึ่งนายเดินพา เปมิกา ไปจนถึงตำหนักฝ่ายใน เหล่านางกำนัลต่างพากันมาตอนรับตลอดทาง จนมาถึงตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง ตัวตำหนักดูแปลกตาแต่ก็จัดว่าเป็นตำหนักที่สวยงาม รูปทรงของตำหนักเป็นแบบหกเหลี่ยม บนหลังคาตำหนักแทนที่จะเป็นกระเบื้องธรรมดา กลับทำเป็นยอดประสาทขึ้นไปแทน  บริเวณรอบๆ จัดทิวทัศน์จำลองภูเขาและน้ำตกดูสวยงามยิ่งนัก เสนาวิชิต พา เปมิกา เข้าไปภายในตำหนัก เพียงแค่สองคน ส่วนทหารรอเฝ้าอยู่ด้านนอก เสนาวิชิตรับดาบของ เปมิกา จากทหารมาถือไว้เอง ทั้งสองเดินไปจนถึงห้องหนึ่ง แลเห็นคนสองคนอยู่ ณ ที่นั้น คนหนึ่งยืนหันหลังให้กับนางกำลังชื่มชมทัศนียภาพด้านนอกของตำหนัก ส่วนอีกคนนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆคนที่ยืนอยู่นั้นเอง ถัดจากชายสองคนนั้นไปก็เป็นโต๊ะประทับมุกที่ใช้เขียนหนังสือตัวหนึ่งพร้อมเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน
“ ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า บัดนี้ พระธิดาเปมิกา แห่งนครวิบูลย์ไพศาล ทรงเสด็จมาถึงแล้วพระเจ้าข้า “ คนที่นั่งอยู่กราบทูลองค์เหนือหัวแห่งนครมากริด
“ ให้นางเข้ามาได้ บวรเดช “
เสนายักษ์บวรเดช ทูลเชิญเปมิกาเข้าเฝ้า
“ เชิญเสด็จ พระธิดาเปมิกา พระเจ้าข้า “
เปมิกา ก้าวเข้ามาภายในก่อนถวายบังคมต่อองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์
“ หม่อมฉันเปมิกา เจ้าหญิงแห่งนครวิบูลย์ไพศาล ทูตแห่งนครอัญจารี ถวายพระพรเพคะ “
“ ตามสบาย “ ทรงตรัสโดยไม่หันกลับมาทอดพระเนตร
“ ขอบพระทัยเพคะ “
หัสกัณฐ์ ทรงใช้สองพระหัตถ์กอดที่พระอุระของพระองค์ก่อนตรัสกับนางว่า
“ เจ้ารู้หรือเปล่าว่า ทำไมข้าถึงยอมให้เจ้าเข้ามาหาข้า? “
เปมิกาทูลตอบพระองค์ว่า
“ ก็เพราะว่าหม่อมฉันคือทูตจากนครอัญจารีแต่ไม่ใช่ชาวนครอัญจารี ใช่หรือเปล่าเพคะ? “
หัสกัณฐ์ เผยอริมฝีปากรับคำตอบชื่นชมความฉลาดของนาง
“ หึ พูดได้ดี เดี๋ยวนี้เอกสิทธิ์ร้ายกาจไม่เบา ถึงขั้นบีบบังคับให้เจ้าหญิงจากต่างนครมาเป็นทูตได้ มีลูกเล่นอะไรอีกก็ว่ามา “
“ หามิได้เพคะ หม่อมฉันตั้งใจมาเอง ไม่ได้ถูกบีบบังคับแต่อย่างใด ที่องค์เหนือหัวเอกสิทธิ์ทรงให้หม่อมฉันมาขอเข้าเฝ้าพระองค์ก็เพื่อที่จะทูลความช่วยเหลือจากพระองค์ให้ไปช่วยนครอัญจารี ทำศึกเพคะ “
“ ทำศึก? เอกสิทธิ์ไปมีเรื่องกับใคร? “ หัสกัณฐ์มีสีหน้าสงสัย ถึงไม่ได้สนใจข่าวคราวของเพื่อนทรยศมานานแต่เขาก็รู้นิสัยพระราชาเอกสิทธิ์ดีว่าไม่ใช่คนที่นิยมชมชอบการทำศึกสงคราม
“ พระองค์ พอจะรู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องกองทัพอสูรของจ้าวอสูร กัลย์ปาอสูร ไหมเพคะ? “
หัสกัณฐ์ ได้ยินถึงกับตะลึง
“ อะไรนะ กัลย์ปาอสูรยกทัพมาถึงนครอัญจารีแล้วหรือ? “
“ ยังหรอกเพคะ แต่อีกไม่นานก็คงจะมาถึง หากพระองค์จะทรงเมตตาช่วยเหลือชาวนครอัญจารีและชาวนครมากริด พระองค์ก็น่าจะทรงยกทัพไปช่วยรบกับกองทัพอสูรที่นครอัญจารีนะเพคะ “
“ หึๆ ฮะๆๆๆ “ หัสกัณฐ์ หัวเราะ เขานึกไม่ถึงว่าเวรกรรมจะไล่ตาม เอกสิทธิ์ ได้เร็วขนาดนี้
“ ทำจะไม่ได้ล่ะ กองทัพของกัลย์ปาอสูรยกมาทั้งที่ ข้าจะไม่ช่วยเหลือราษฎร์ข้าได้อย่างไร แต่ทำไมข้าจะต้องไปช่วยเหลือนครอัญจารีด้วย รอให้นครอัญจารีแตกเสียก่อนแล้วข้าค่อยยกทัพไปต่อสู้กับกองทัพอสูรจะไม่ดีกว่าหรือ? อาศัยช่วงที่พวกมันอ่อนกำลังและกำลังเหนื่อยล้าจากการทำสงครามก็จัดการพวกมันได้หมดแล้ว จะไปช่วยนครอัญจารีให้เสียเวลาทำไมกัน “
เปมิกา รู้สึกประหวั่นในใจไม่น้อย ไฟแค้นขององค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ช่างรุนแรงอะไรเช่นนี้ แม้แต่คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ก็ดูเหมือนจะพลอยรับเคราะห์ไปด้วย
“ องค์เหนือหัวเอกสิทธิ์ ทรงมอบสิ่งนี้ให้กับหม่อมฉันมา หากพระองค์ยอมช่วยเหลือนครอัญจารี นี้คือสิ่งที่พระองค์จะได้รับเป็นการตอบแทนเพคะ “ อสูรสาวเริ่มแผนการที่นางวางเอาไว้
เปมิกา ยื่นสาสน์ที่พระราชาเอกสิทธิ์ทรงมีถึงองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ พร้อมกับรูปของพระธิดา ปิ่นจันทร์ ให้กับบวรเดช เสนายักษ์รับของจากพระหัตถ์ของพระธิดา ก่อนถวายให้กับเจ้าชีวิตของตน หัสกัณฐ์ ทรงทอดพระเนตรก่อนรับกระบอกรูปและสาสน์ฉบับนั้น ขึ้นมาอ่าน
“ หัสกัณฐ์ เพื่อนรัก ตอนนี้ภัยสงครามกำลังมาเยือนนครของข้า ได้โปรดเห็นความสัมพันธ์แก่ครั้งก่อนเก่า จงช่วยผสกนิกรชาวนครอัญจารีด้วยเถอะ แม้ตัวข้าจะต้องตายก็มิเสียดาย แต่ข้ามิอาจยอมให้ราษฎร์ของข้าต้องมาตายต่อหน้าต่อตาได้ ข้าอยากให้ทั้งสองนครเป็นปึกแผ่น และมีมิตรไมตรีกันเช่นเดิม หากเจ้ายอมตกลงช่วยเหลือ ข้าจะยก ปิ่นจันทร์ ลูกสาวคนเดียวของข้าให้เป็นมเหสีของเจ้า ถือเสียว่าเป็นการขอขมาที่ข้าล่วงเกินเจ้าในครั้งนั้น จากเอกสิทธิ์แห่งนครอัญจารี “
หัสกัณฐ์ นิ่งคิดตรึกตรอง และเปิดกระบอกรูปภาพนั้นออกมาดู ภาพวาดของพระธิดาปิ่นจันทร์ ที่ช่างวาดรูปได้วาดภาพนั้นวาดได้เหมือนมีชีวิต สะกดให้เขามองอย่างลืมตัว
‘ เหมือนมาก เหมือนปิ่นเกสรเหลือเกิน ‘ หัสกัณฐ์ คิดห้วนรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เขาได้พบกับ พระธิดาของนครประกายรุ้งผู้เลอโฉม วันนั้นเป็นวันแรกที่เขาเจอกับปิ่นเกสร เขาตามเอกสิทธิ์เดินทางไปนครประกายรุ้งเพื่อร่วมฉลองงานพิธีสมโภชของนครประกายรุ้ง เขาและเอกสิทธิ์ออกมาเดินเล่นที่อุทยานจนได้มาพบกับปิ่นเกสรเข้า ตอนนั้นนางกำลังเดินชมดอกไม้อยู่ในอุทยานเช่นเดิมกับพวกเขา ฝูงผีเสื้อที่บินมาดอมดมเกสรดอกไม้ต่างร่ายรำอยู่รอบตัวนาง ท่ามกลางเหล่าพระพี่เลี้ยงที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ภาพนั้นเหมือนภาพฝันที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจที่เขาเก็บประทับไว้อยู่ด้วยในความทรงจำทั้งรักและทะนุถนอม แต่ในท้ายที่สุดภาพนั้นก็แตกสลายลงด้วยน้ำมือของเพื่อนรักที่ไร้หัวใจของเขา
“ ขอเสนอนี้ ช่างเย้ายวนยิ่งนัก แต่ . “ หัสกัณฐ์ กำสาสน์ในมือไว้แน่นและบีบอย่างแรง
“ ข้าขอปฎิเสธ “
เปมิกา ตกใจนางไม่คิดเลยว่า แผนการที่นางวางไว้อย่างดีจะไม่เป็นผล
“ คำตอบของข้าเจ้าก็ได้ยินแล้ว เจ้าจะว่าอย่างไร? “
เสียงของ เปมิกา แหบเครือ
“ หม่อมฉันจะนำความของพระองค์ไปกล่าวทูล องค์เหนือหัวเอกสิทธิ์เพคะ ส่วนตัวของหม่อมฉันก็จะอยู่ช่วยนครอัญจารี จนกว่าศึกครั้งนี้จะยุติ  เพราะว่านี้คือหน้าที่ที่หม่อมฉันต้องกระทำเพคะ “
“ ฮะๆๆๆ ใจเด็ดดีใช้ได้ หลานข้าช่างกล้าหาญนัก แม้เป็นหญิงก็ไม่หวั่นเกรงเลยที่จะต่อกรกับเหล่าอสูรที่ชั่วร้าย “
เปมิกา ทั้งสงสัยและไม่เข้าใจว่า เหนือหัว หัสกัณฐ์  ทำไมถึงทรงตรัสเช่นนี้
“ พระองค์ทรงตรัสว่ากระไรเพคะ หม่อมฉันได้ยินไม่ถนัด “
“ ผ่านไปหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าพี่วัลนุราชจะทรงมีลูกสาวที่โตเป็นสาวและ . “ หัสกัณฐ์ ค่อยๆหันหน้ามามอง เปมิกา
“ .สวยอย่างนี้ “
เปมิกา ตะลึง
“ พะพี่ .ชาย “
“ เจอกันอีกแล้วนะ น้องสาว ไม่ใช่สิหลานข้า “
หัสกัณฐ์เดินเข้ามาหา เปมิกา อย่างช้าๆ ส่วนตัวนางยังคงยืนนิ่งอยู่ด้วยความตกใจ
“ ข้ากับเจ้าพี่วัลนุราช เราสองคนนับถือกันเหมือนดังพี่น้อง ไม่ได้พบหน้ากันมาตั้งหลายปีคิดไม่ถึงว่าข้าจะมีหลานสาวที่สวยขนาดนี้ได้ เจ้าพี่วัลนุราชทรงมีบุญยิ่งนัก  “
“ พะพ .. เสด็จอา “  เปมิกา ยังคงพูดตะกักตะกักอยู่
“ ถึงอาจะไม่รับของเสนอของเอกสิทธิ์ แต่เห็นแก่เจ้าพี่วัลนุราชพ่อของเจ้า อาจะยกทัพไปช่วยเจ้ารบกับกองทัพอสูรที่นครอัญจารีด้วย  “
หัสกัณฐ์ เชยคางนางขึ้นมา ก่อนใช้มือของตัวเองค่อยซับเหงื่อที่ไหลอยู่บนแก้มของนาง
“ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เราค่อยออกเดินทางไปนครอัญจารีกันแต่เช้า แต่อาจะบอกอะไรให้เจ้ารู้เอาไว้อย่างหนึ่ง “
หัสกัณฐ์ พูดกับเปมิกา เบาๆ
“ อาไม่คิดที่จะมีหลานสาวสวยๆ แต่อาคิดที่จะ .. “ หัสกัณฐ์หยุดพูดไปและยิ้มให้กับนางด้วยรอยยิ้มของผู้ชายที่มองผู้หญิง
“ เจ้าคงรู้นะว่าอาหมายถึงอะไร? “
หัสกัณฐ์ สั่งเสนาวิชิต
“ วิชิต เจ้าพา เปมิกา หลานข้า ไปยังตำหนักที่ข้าเตรียมไว้ให้ ดูแลนางให้ดีอย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่องเป็นอันขาดเข้าใจไหม?
“ รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า “
เปมิกา เดินตามเสนาวิชิต ไปแต่โดยดี เหมือนต้องการออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด หัสกัณฐ์ มองดูนางจนพ้นสายตา จึงเดินไปที่โต๊ะเขียนสาสน์ฉบับหนึ่งขึ้นมา
“ บวรเดช “ หัสกัณฐ์ เรียกหา
“ พระเจ้าข้า “
“ เจ้าเอาสาสน์ที่ข้าเขียนนี้ ส่งไปถึงท้าววัลนุราช แห่งนครวิบูลย์ไพศาลด้วย “
“ ทรงมีเรื่องรีบร้อนอะไรหรือเปล่าพระเจ้าข้า ถึงได้ “
หัสกัณฐ์ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปใกล้พระบัญชร ยืนรับสายลมที่พัดเข้ามา
“ ไม่มีอะไรหรอก บวรเดช ข้าก็แค่ไปทวงสัญญาเก่าๆ จากเจ้าพี่วัลนุราช เท่านั้นเอง “ คำพูดของหัสกัณฐ์แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่หลบซ่อนอยู่ในใจ เขาไม่เคยนึกเลยว่า ชั่วชีวิตนี้จะได้ทวงคำสัญญาที่เจ้าพี่วัลนุราชทรงให้กับเขาไว้ หากเปมิกา ไม่ได้ปรากฏตัวให้เขาเห็นในวันนี้
------------------------------------------------
“ เจ้าโดนองค์เหนือหัวหัสกัณฐ์ ต้มเสียเปื่อยเลย ดวงใจมาร “ พยัคฆ์วารี พูดอย่างชอบอกชอบใจที่มีคนสามารถหลอก เปมิกา ได้
“ นี้เจ้าจะซ้ำเติมข้าหรืออย่างไรกัน? “ เปมิกา กึ่งอายกึ่งโมโหที่ถูกเสด็จอา ดัดหลังและทำนางหน้าแตกเสียยับเยินไม่มีชิ้นดี
“ ซ้ำเติมอะไร ข้าควรจะดีใจซะด้วยซ้ำไปที่เพื่อนข้าทำงานสำเร็จอย่างงดงามเช่นนี้ “
พยัคฆ์วารี หยุดพูดไปเหมือนพยายามจะคิดหาคำพูดที่ดีที่สุดพูดกับนาง
“ ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะฝีมือของเพื่อนข้าก็เถอะ “
“ ฮึ “ เปมิกา ไม่สบอารมณ์กับคำพูดของ พยัคฆ์วารี ยิ่งนัก เบือนหน้าไปอีกทาง
“ แล้วองค์เหนือหัวหัสกัณฐ์ ทรงจัดเตรียมกองทัพไว้แล้วหรือยัง? “
“ ข้ายังไม่รู้ แต่ที่ข้ารู้แน่ๆ ก็คือหากถ้าข้าย้อนเวลากลับไปได้ข้าจะไม่ที่นครมากริดนี้เป็นอันขาด “ นางว่า พลางเอามือทุบที่โต๊ะอย่างฉุนเฉียว
“ ทำไม? “
เปมิกา ไม่ตอบนึกถึงหน้าเสด็จอาขึ้นเมื่อไรก็อดโมโหไม่ได้เมื่อนั้น ทำให้ พยัคฆ์วารี ต้องเดาเอาเอง
“ ฮะๆ ข้ารู้แล้ว ถ้าให้ข้าเดา องค์เหนือหัวหัสกัณฐ์ คงคิดจะเปลี่ยนฐานะเจ้าจากหลานสาวคนดีเป็นไปเป็นอย่างอื่นใช่ไหม? “ พยัคฆ์วารี ว่า สายตาก็เพ่งมองคาดคั้นนาง
“ เจ้าแมวบ้า เจ้าคิดอะไรอยู่ ข้าเป็นหลานเขานะ “
“ หลานนอกสายเลือดอย่างเจ้านะหรือ? ถ้าข้าเป็นเสด็จอาของเจ้า ข้าก็ไม่อยากรับเหมือนกัน “
“ ทำไม หน้าตาข้าแย่ นิสัยข้าไม่ดีมากนักหรือไง เจ้าถึงคิดว่าข้าไม่ควรเป็นหลานเขา? “
“ ไม่ใช่ เจ้านะดีเกินไป ดีจนน่าจะ... “
พยัคฆ์วารี ชะโงกตัวขยับหน้าเข้ามาใกล้
“ ไปเป็นพระมเหสีแทน “
เปมิกา โมโหจนเลือดขึ้นคว้าคอของ พยัคฆ์วารี เต็มแรง แต่สิ่งที่นางจับต้องได้มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“ นี้แม่คู้ณ รอให้กลับมาถึงนครอัญจารีก่อน ค่อยขย้ำข้าก็ยังทัน ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้ก็ได้ “
เปมิกา จ้องหน้าพยัคฆ์วารี เหมือนอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
“ เจ้านี้ยิ่งมายิ่งเหมือน อนันตวาโย พูดอะไรที่ไม่เข้าหูข้าเสียเหลือเกิน “
“ อย่าเอาข้าไปเปรียบกับเขา ข้ากับเขามันคนละนิสัยกัน “ พยัคฆ์วารี ส่ายหน้าไม่เห็นด้วยไม่ว่ารูปร่างหน้าตาและนิสัยไม่มีส่วนไหนที่เขาเหมือน อนันตวาโย เลยซักนิด
“ แต่เจ้าพูดอะไรที่ทำให้ข้าเสียหายรู้ไหม? “
พยัคฆ์วารี พูดอย่างเคร่งขึง บอก เปมิกา ว่า
“ ข้าถามเจ้าจริงเถอะๆ ดวงใจมาร เจ้าดูไม่ออกจริงๆ หรือว่า ที่องค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงยอมช่วยเจ้าเพราะอะไร? “
เปมิกา นิ่งเงียบไม่กล้าพูดหรือเถียงออกมา
“ เรื่องพ่อของเจ้ามันแค่ข้ออ้างเท่านั้น จริงๆแล้วเขาอยากช่วยเจ้ามากกว่า “
“ เรื่องนั้น..... “ เปมิกา ปฏิเสธไม่ได้เต็มปาก
“ ฟังให้ดีนะ ดวงใจมาร ในเมื่อองค์เหนือหัวหัสกัณฐ์ ทรงปฏิเสธข้อเสนอของทางนครอัญจารีแต่ก็ยังทรงยอมยกทัพมาช่วยเหลือ มันจะมีเหตุผลอื่นไปได้อย่างไรนอกจากองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงพบสิ่งที่ดีกว่าข้อเสนอขององค์เหนือหัว เอกสิทธิ์ เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าพูดเพียงแค่นี้คงเข้าใจใช่ไหม? “
“ แต่เขาเป็นเสด็จอาของข้านะ “ นางพูดเสียงเบาลง
“ เจ้าก็รู้ความจริงมันเป็นอย่างไร เรื่องทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าเจ้าจะยอมหรือว่าจะไม่ยอมเท่านั้น “
“ ข้ายังไม่รู้เลย พยัคฆ์วารี ข้าควรจะทำอย่างไรดี หากเสด็จอาทรงคิดอย่างนั้นกับข้าจริงๆ ข้ายังคิดหาทางแก้ไขไม่ออกเลย “
พยัคฆ์วารี มอง เปมิกา อย่างหนักใจ น้อยครั้งที่เขาจะเห็นนางตกอยู่ในอาการเช่นนี้
“ อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ เหตุการณ์ข้างหน้ายังไม่แน่ชัด ตอนนี้ได้แต่ยึดเป้าหมายหลักที่เราวางไว้ก่อน ต่อสู้กับกองทัพอสูร เรื่องอื่นๆไว้ค่อยแก้ไขทีหลัง “
เปมิกา หัวเราะแบบขมๆ
“ ไปๆมาๆ คนที่น่าจะเป็นคนวางแผนรับศึกคงจะเป็นเจ้าแทนข้าเสียมากกว่า “
“ พูดอย่างนี้แล้ว คิดหรือว่าข้าจะยอมให้เจ้าอู้งาน “
“ หากข้าอู้งานจริง เจ้าจะทำอะไรได้ “
“ ไม่เห็นจะยาก แค่ให้องค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงมาคุยกับเจ้าหน่อย ขี้คร้านเจ้าจะมีแรงทำงานขึ้นเป็นสองเท่า “
เปมิกา สะดุ้งโหยง
“ หากเจ้าทำอย่างนั้นจริงๆ ข้าจะจับเจ้าถลกหนัง  เอาไปทำพรมเช็ดเท้าไว้ที่ห้องของข้า “
“ ไงมีแรงคิดต่อล้อต่อเถียงข้าแล้วหรือ แสดงว่าชื่อนี้ใช้ได้ เห็นทีข้าจะต้องพูดให้เจ้าได้ยินบ่อยๆ “
เปมิกา อายจนหน้าแดง
“ อย่านะ “
“ ล้อเล่นน่า  ข้าหรือจะใจร้ายขนาดนั้น เอาไว้ถ้าทางนี้มีอะไรเกิดขึ้นข้าจะติดต่อไปหาเจ้าแล้วกัน แล้วเจอกันใหม่ “
“ อือ “ นางรับคำของพยัคฆ์วารีเบาๆ
แมลงสื่อสารหยุดส่งภาพและเสียง เปมิกา หยิบแมลงสื่อสารขึ้นมาจากโต๊ะเก็บไว้กับตัว เหลียวมองไปที่ตำหนักหลังนั้นคิดถึงเรื่องราวของนางกับเขา
“ เสด็จอา อย่าทรงคิดกับหม่อมฉันอย่างนี้เลยเพคะ ให้หม่อมฉันเป็นหลานสาวของพระองค์อย่างนี้ตลอดไปเถอะอย่าทรงทำให้หม่อมฉันต้องลำบากใจเลย “ เปมิกา รำพึงกับตัวเองคล้ายอยากจะส่งเสียงนี้ไปให้ หัสกัณฐ์ ได้รับรู้
--------------------------------------------------
ยามดึกดื่นคำคืน น้ำทิพย์ที่สาม ยังคงนอนไม่นอนหลับ เขาเอนกายอยู่บนหัวเตียงมองไปนอกหน้าต่าง เงยหน้ามองดูพระจันทร์ที่มีเพียงแค่เสี้ยวเดียว ข้างกายมีมณีมรกตแนบชิดอยู่
“ ทำไมท่านถึงชอบมองพระจันทร์จัง “ นางถามสายตาก็จับจ้องมองใบหน้าของเขา
น้ำทิพย์ที่สาม ก้มหน้ามามองนางใช้มือลูบผมของนางเล่น
“ พระจันทร์มีทั้งแสงสว่างและความนิ่งสงบ เมื่อข้าได้มองจะปลดปล่อยความคิดที่กังวลใจออกไปได้ “
สาวงามขมวดคิ้วสงสัย
“ ท่านมีความทุกข์อันใดกัน หรืออยู่กับข้าท่านไม่มีความสุข “
“ ไม่ใช่ เจ้าเข้าใจผิด สิ่งที่ข้าทุกข์ใจนั้นมาจากตัวของข้าเอง “
เขานิ่งเงยหน้ามองพระจันทร์อีกครั้ง
“ ข้าเพียงอยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครเท่านั้น “
“ หมายความว่า..... “
น้ำทิพย์ที่สาม พยักหน้ายอมรับ
“ ใช่...... ข้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน สิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดก็คือ ประวัติความเป็นมาของข้าเอง “
มณีมรกตซุกหน้าเขาหาแผงอกของเขา
“ แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? “
“ รู้สิ “ น้ำทิพย์ที่สามยิ้มมือก็ยังคงลูบผมนางอยู่
“ เจ้าก็เป็นเมียข้านะสิ “
มณีมรกต เอามือทุบอกเขา
“ ตอบไม่ตรงคำถามนี้น่า ท่านไม่อยากรู้หรือว่าข้าเป็นใคร “
“ เทพธิดาดอกไม้สวรรค์ “ น้ำทิพย์ที่สามว่า
“ ท่านรู้ด้วยหรือ? “ นางไม่นึกว่าเขาจะรู้ฐานะของนาง
“ ก็แค่เดาสุ่มเอา แต่ข้ายังไม่เคยรู้มาก่อนว่า มีเทพธิดาดอกไม้สวรรค์ ที่มีสองร่างสองภาคอย่างเจ้าด้วย “
“ ท่านอยากรู้เรื่องของข้าหรือเปล่า? “
น้ำทิพย์ที่สาม ส่ายหน้า
“ ไม่หรอก แต่ถ้าเจ้าจะเล่าข้าก็จะฟัง “
มณีมรกต เงยหน้ามองไปทางหน้าต่าง มองดูดวงดาวที่พร่างพรายอยู่บนท้องฟ้า
“ แต่เดิมข้าเป็นเมล็ดพันธุ์ดอกไม้สวรรค์ ที่อยู่บนอุทยานสวรรค์ “
“ อุทยานสวรรค์ ที่ที่พ่อของพยัคฆ์วารี เป็นคนเฝ้าดูแลไม่ใช่หรือ? “
นางพยักหน้า
“ ใช่ เทพพยัคฆ์ เป็นคนดูแลอุทยานสวรรค์ ส่วนพยัคฆ์วารี ข้าเคยเห็นเขาอยู่ ๒-๓ ครั้ง แต่เขาไม่เคยเห็นข้าหรอก ในอุทยานสวรรค์นอกจากเทพพยัคฆ์แล้ว ยังมีบิดาดอกไม้ และมารดาดอกไม้ เป็นผู้ปลูกและดูแลดอกไม้ในอุทยานสวรรค์แห่งนั้น พวกข้าถือว่าเขาทั้งสองเป็นผู้ให้กำเนิดพวกข้าและเป็นพ่อแม่ของพวกข้าด้วย ข้าเป็นหนึ่งในเมล็ดพันธ์ที่จะปลูกลงในอุทยานสวรรค์แห่งนั้น แต่อาจเป็นเพราะพรหมลิขิต ตอนหว่านเมล็ดพันธุ์ตัวข้าตกลงไปอยู่บนศิลาสองสี “
“ ศิลาสองสี!!! “ น้ำทิพย์ที่สาม เคยได้ยินเรื่องเล่าขานว่านับตั้งแต่มีการค้นพบอุทยานสวรรค์ เหล่าเทพต่างได้พบศิลาอัญมณีก้อนหนึ่งที่มีสองสีในตัวเองคือสีเขียวมรกตและสีชมพูอยู่ในเนื้อเดียวกัน โดยไม่ทราบประวัติความเป็นมาว่าศิลาอัญมณีก้อนนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและใครเป็นคนสร้าง แต่ทุกคนต่างยอมรับกันว่าศิลาอัญมณีก้อนนั้นมีพลังอำนาจอันมหาศาลที่แฝงซ่อนเร้นอยู่ภายใน เคยมีเหล่าเทพมากมายหลายองค์คิดดูดพลังจากศิลาสองสีมาเป็นของตนแต่ยังไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จมาก่อนเลย
“ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? “
“ ข้ากับศิลาสองสีเกิดมีปฏิกิริยากันอย่างรุนแรงเกินที่จะคาดได้ ตัวของข้าและศิลาสองสีเกิดผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน และเกิดเป็นดอกไม้สวรรค์ ณ ที่ตรงนั้นในทันที ทำให้ตัวข้าเป็นดอกไม้ที่มีสีเขียวมรกตและสีชมพูอยู่ในดอกเดียวกัน พ่อกับแม่ข้าเลยตั้งชื่อข้าว่า ชมพูมรกต “
“ แล้วทำไมเจ้าต้องแยกร่างออกมาสองภาคด้วย “ น้ำทิพย์ที่สาม ยังคงข้องใจในเรื่องนี้อยู่
“ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแยกร่างออกมาหรอก เพียงแต่ข้าอยากลองพลังของตัวเองที่ได้รับจากศิลาสองสีว่า สามารถทำอะไรได้บ้าง พอพบว่าข้าสามารถแยกร่างออกจากกันได้โดยไม่มีผลกระทบต่อพลังชีวิตเลย ข้าก็เลยแยกร่างออกจากกันมาตลอด นานๆทีถึงจะรวมร่างกัน “
“ แล้วพี่น้องคนอื่นๆของเจ้าล่ะ? “
“ พี่น้องคนอื่นๆ ของข้าก็มีร่างเป็นเทพธิดาเช่นเดียวกับข้าเหมือนกัน แต่มีพลังไม่เพียงพอที่จะออกจากอุทยานสวรรค์ได้ หากไม่ได้รับอนุญาตแล้วจะออกจากอุทยานสวรรค์ไม่ได้ มีเพียงตัวข้าเท่านั้นที่ออกจากอุทยานสวรรค์ไปมาได้อย่างอิสระ “
“ แล้วเจ้าจะต้องกลับไปที่อุทยานสวรรค์อีกหรือเปล่า? “ เขากลัวจะต้องสูญเสียนางไป
“ ทำไมกลัวว่าข้าจะจากท่านไปหรือ? “ นางเย้าเขาเล่น
“ เจ้าก็รู้อยู่ หากขาดเจ้าไปเจ้าข้าจะเป็นสุขได้อย่างไร “
“ ปากหวานจัง ข้าจะเชื่อดีหรือเปล่านี้ “ มณีมรกตทำท่าทางครุ่นคิด ก่อนตอบเขาว่า
“ อย่าห่วงไปเลย ตอนออกมาข้าได้พบกับสามมหาเทพ พระองค์ทรงบอกข้าว่า ข้าจะกลับไปหรือไม่กลับอุทยานสวรรค์ก็ได้ และพระองค์ก็ทรงชี้ทางให้ข้าออกมาจนมาเจอกับท่านนี้แหละ “
น้ำทิพย์ที่สาม ได้ฟังถึงรู้ว่าที่แท้แล้ว มหาเทพทรงส่งนางมาให้เขานั้นเอง
“ ที่แท้เจ้าก็เป็นเนื้อคู่ของข้านี้เอง “
น้ำทิพย์ที่สาม พูดยังไม่ทันจบ อีกคนหนึ่งก็ค่อยๆ โผล่ออกจากพื้นผ้าที่เขาห่มอยู่มาซบลงกับหน้าอกของเขา
“ แล้วข้าล่ะ เป็นอะไร? “
“ เจ้าเป็นนาง นางก็เป็นเจ้า สรุปก็คือเจ้าก็คือคนที่ข้ารัก “
น้ำทิพย์ที่สาม กอดทั้งสองเอาไว้ พวกนางก็กอดเข้าตอบเช่นกัน
“ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าอดีตของข้าเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นไร ขอเพียงตอนนี้มีเจ้าอยู่กับข้า ข้าก็พอใจแล้ว “
“ ข้าก็เช่นกัน “ พวกนางตอบในชีวิตของพวกนางคนที่นางรักมากที่สุดก็นอกจากพ่อแม่ก็มีเพียง น้ำทิพย์ที่สาม เท่านั้น
“ แต่ข้าสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง “
“ ท่านสงสัยอะไรหรือ? “ พวกนางถาม
“ เมื่อไรเจ้าจะมีลูกกับข้า “
สองสาวหนึ่งวิญญาณหัวเราะนึกว่าเรื่องอะไรซะอีก
“ แล้วท่านอยากมีลูกผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ “ ชมพูมุกดา ถาม
“ ผู้หญิง “ น้ำทิพย์ที่สามตอบแบบไม่ต้องคิด
“ ทำไม? “
“ เพราะถ้าข้ามีลูกข้าอยากให้ลูกข้าเหมือนกับแม่ของเขา “
“ แต่ข้าอยากได้ลูกผู้ชายมากกว่า “ มณีมรกตแย้ง
“ ทำไม “
“ เพราะเขาจะได้เหมือนท่านเหมือนสามีที่ข้ารัก “ ชมพูมุกดาตอบ
น้ำทิพย์ที่สามจูบนางทีละคน ตอนนี้เขาทั้งรักและห่วงนางมากกว่าชีวิตของตัวเอง พวกนางก็จูบตอบเขาเช่นกันก่อนที่จะร่วมร่างเป็นหนึ่งอีกครั้งและให้เขาดอมดมเกสรดอกไม้พานางไปสู่จุดหมายในแดนสวรรค์เหมือนเฉกเช่นคืนแรกที่เขาและนางได้อยู่ร่วมกัน
จบตอนที่ ๒๖ ครับ
ตอนที่ ๒๖ หัสกัณฐ์ผู้ทระนง
    รุ่งเช้า เปมิกา และ กันย์ เดินทางออกจากหมู่บ้านป่ามุ่งหน้าไปยังนครมากริด ทั้งสองเดินทางผ่านหมู่บ้านมาหลายหมู่บ้าน ยิ่งใกล้นครมากริดมากเท่าไร เปมิกา ยิ่งพบว่าหมู่บ้านที่นางผ่านมามีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เวลาผ่านไปจนเกือบใกล้เที่ยงในที่สุดทั้งสองก็มาถึงนครมากริด เปมิกา ยืนมองดูนครมากริดอย่างเต็มตา ในความรู้สึกของนางนครมากริดนั้นจัดว่าเป็นนครใหญ่ที่ไม่ด้อยกว่านครอัญจารีเลย รอบกำแพงพระนครประทับไปด้วยหมู่ธงทิวที่กำลังพลิ้วไสวด้วยแรงลมที่พัดผ่าน มองลึกเข้าไปภายในกำแพงพระนครก็พบประสาทที่ตั้งเด่นตะหง่านอยู่ ตัวของประสาทสร้างได้อย่างวิจิตร โดยทำหลังคาประสาทซ่อนกันอยู่ ๓ ชั้นในแต่ละชั้นมีการย่อมุมเป็นรูปสัตว์ในป่าหิมพานต์ ส่วนปลายประสาทสูงขึ้นไปเกือบ ๖ วามีเพชรเม็ดใหญ่เม็ดหนึ่งประทับไว้อยู่ที่ส่วนปลายสุด ยามใดที่เพชรเม็ดนั้นต้องแสงจากดวงอาทิตย์ก็ส่องแสงเจิดจรัสให้ได้เห็นแต่ไกล ราษฎร์ที่อาศัยอยู่ในนครแห่งนี้มีทั้งที่เป็นมนุษย์และเป็นยักษ์ โดยเฉพาะเหล่ายักษ์นั้นไม่มีการปกปิดเผ่าพันธุ์ตัวเองแม้แต่น้อย ภาพเหล่านี้ช่างดูขัดตายิ่งนัก แต่อีกในหนึ่งก็เป็นการบ่งบอกและแสดงถึงภูมิปัญญาความสามารถของ หัสกัณฐ์ ผู้ครองนครมากริด เป็นอย่างดีว่า เขาสามารถปกครองให้เหล่ายักษ์และมนุษย์ให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงก็จัดได้ว่าเขาเป็นนักปกครองที่มีฝีมืออยู่ในขั้นยอดเยี่ยม เพราะยักษ์นั้นส่วนใหญ่แล้วไม่สามารถทนต่อสัญชาติญาณการจับมนุษย์กินเป็นอาหารได้ดังนั้นการที่ผู้ปกครองนครสามารถห้ามเหล่าบริวารของตนไม่ให้กระทำอันตรายต่อมนุษย์ได้นั้น นอกจากจะต้องมีบุญบารีมากถึงขนาดที่ผู้ที่ได้พบเห็นยังต้องกลัวเกรงแล้วยังต้องประกอบไปด้วยทศพิธราชธรรมอีกด้วยถึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้  เปมิกา มองดูนครมากริดอย่างเพลินเพลิด จน กันย์ ต้องหันมาสะกิดนางเพื่อบอกลา
“ ดวงใจ ข้าจะต้องเข้าไปรายงานตัวแล้ว ขอให้เจ้าโชคดี “
“ ขอบใจพี่ชายที่มาส่งข้า แล้วค่อยเจอกันใหม่นะ“ 
กันย์ ยิ้มให้กับนางก่อนก้าวเดินจากไป
“ แล้วค่อยเจอกันใหม่ “
กันย์ เดินผ่านกลุ่มทหารที่รักษาหน้าประตูนครเข้าไปอย่างง่ายดาย ส่วน เปมิกา รอให้เขาเข้าไปภายในนครมากริดก่อน นางถึงค่อยเดินมาที่หน้าประตูนคร
“ เจ้าเป็นใคร? “ ทหารรักษาประตูนครสี่ห้าคนยืนขวางนางไว้
“ ข้าชื่อ เปมิกา เป็นทูตจากนครอัญจารีมาขอเข้าเฝ้าองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ แห่งนครมากริด “
พอรู้ว่านางเป็นใครเท่านั้น การต้อนรับที่ไม่เป็นมิตรก็เกิดขึ้นในทันที
“ ไสหัว กลับไปซะ ที่นี้ไม่ต้อนรับคนจากนครอัญจารี “
“ นี้นะหรือวิธีต้อนรับทูตของนครเจ้า ทำไมช่างป่าเถื่อนเช่นนี้ “ เปมิกา พูดแบบยียวนทำเอาเหล่าทหารที่ยืนอยู่ตรงหน้าทนไม่ไหว
“ อย่าคิดว่าเจ้าเป็นผู้หญิงแล้ว พวกข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้านะ รู้ไว้ซะด้วยว่า องค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงมีพระกระแสรับสั่งไม่ให้คนจากนครอัญจารีเข้ามาภายในนครมากริดเป็นอันขาด  หากเจ้ายังไม่รีบกลับไปจะหาว่าพวกข้ารังแกผู้หญิงไม่ได้ “
เปมิกา ค่อยๆ ถอดผ้าคลุมตัวออก เผยให้ได้เห็นรูปร่างและการแต่งตัวของนาง
“ . “ เหล่าทหารต่างจ้องมองอ้าปากค้าง
ภาพที่พวกเขาเห็นก็คือใบหน้าของสาวงามที่ผุดผาด รับกับคิ้วที่ได้รูป ริมฝีปากถูกแต้มด้วยสีชมพูบางๆ ผิวขาวๆที่ถูกแสงอาทิตย์ขับจนนวลเนียร ช่างเป็นสาวงามที่สะกดใจผู้คนได้ยิ่งนัก ยิ่งเสื้อผ้าที่นางสวมใส่ เป็นชุดสำหรับเชื้อพระวงค์ชั้นสูงของกษัตริย์ ย่อมบอกถึงฐานะของนางเป็นอย่างดี ทำเอาเหล่าทหารที่รักษาประตูนครต่างกลัวเกรงว่าหากใครรู้ว่าพวกเขากล่าวอะไรที่ไม่สมควรกับทูตจากต่างแดนที่มีฐานะสูงศักดิ์เช่นนี้อาจจะต้องอาญาถึงขั้นประหารก็เป็นได้
“ พวกเจ้า ช่วยไปกราบทูลองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ด้วยว่า ข้าเจ้าหญิงเปมิกา แห่งนครวิบูลย์ไพศาล ขอเข้าเฝ้าพระองค์ในฐานะของทูตจากนครอัญจารี “
เหล่าทหารรักษาประตูนครต่างย่อตัวลงถวายบังคม เปมิกา ก่อนจะหันหน้ามามองกัน
“ เจ้ารีบเข้าไปรายงานท่านเสนาวิชิตเร็ว “
ทหารคนหนึ่ง รีบไปรายงานเสนาวิชิต เพียงครู่เดียว เสนาวิชิตก็ออกมาพบกับ เปมิกา
“ องค์เหนือ หัสกัณฐ์ มีรับสั่งให้เชิญพระธิดาไปพบพระองค์ที่พระตำหนักในเขตพระราชฐานฝ่ายใน พระเจ้าข้า “
“ ถ้างั้นท่านก็นำเราไปสิ “
เสนาวิชิต ลุกขึ้นยืนพร้อมกับขอพระราชทานอนุญาต
“ ขอทรงโปรดประทานอนุญาตปลดอาวุธให้กับข้าพระองค์ด้วยเถอะ พระเจ้าข้า “
เปมิกา มองมายังเสนาวิชิต
“ ดาบอยู่คนอยู่ ดาบไม่อยู่คนตาย ท่านคิดว่าข้าควรมอบดาบของข้าให้ท่านหรือเปล่า? “
เสนาวิชิต หน้าซีดลงไม่กล้าสบพระเนตรของเจ้าหญิงแห่งนครวิบูลย์ไพศาล ถึงแม้ เปมิกา จะพูดอย่างนั้นแต่นางก็ปลดดาบปราบลิขิตฟ้าออกจากตัว
“ เอ้า ..  เอาดาบของข้าตามมาด้วย “ เปมิกา เพียงแค่พูดขู่เล่นๆ ไม่ได้จริงจังอะไรมากนักโยนดาบปราบลิขิตฟ้าให้เสนาวิชิตแต่โดยดี
เสนาวิชิต ตกใจที่จู่ๆพระธิดาทรงเปลี่ยนท่าทีอย่างฉับพลัน รีบใช้สองมือรับดาบของเปมิกาเอาไว้เพราะกลัวว่าดาบจะตกลงกระทบกับพื้น เปมิกา โยนดาบให้เสนาวิชิตเบาๆ แต่เพียงแค่นั้นก็เกือบทำให้เขาข้อมือหัก
‘ อูย..หนักจัง ’ เสนาวิชิตตกใจไม่คิดว่าอาวุธของ เปมิกา จะหนักมากเช่นนี้
“ พวกเจ้ารีบมาช่วยกันยกดาบของพระธิดา เร็วเข้า “ ทหารสี่ห้าคนช่วยกันยกดาบปราบลิขิตฟ้าแต่ก็ยังยกไม่ขึ้นจนเปมิกา ต้องเอ่ยปากบอก
“ ดาบข้า เห็นใจพวกเขาหน่อย อย่าแกล้งพวกเขาให้มากนักเลย “
หลังสิ้นคำ ดาบของ เปมิกา เบาอย่างปุยนุนขึ้นมาทันทีทันใด สร้างความอัศจรรย์ใจให้แก่เหล่าทหารเป็นอย่างยิ่ง
“ นำทางไปสิ “ เสนาวิชิต รีบทำตามพระกระแสรับสั่งทันที
เสนาวิชิต พร้อมด้วย เปมิกา และทหารติดตามอีกหนึ่งนายเดินพา เปมิกา ไปจนถึงตำหนักฝ่ายใน เหล่านางกำนัลต่างพากันมาตอนรับตลอดทาง จนมาถึงตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง ตัวตำหนักดูแปลกตาแต่ก็จัดว่าเป็นตำหนักที่สวยงาม รูปทรงของตำหนักเป็นแบบหกเหลี่ยม บนหลังคาตำหนักแทนที่จะเป็นกระเบื้องธรรมดา กลับทำเป็นยอดประสาทขึ้นไปแทน  บริเวณรอบๆ จัดทิวทัศน์จำลองภูเขาและน้ำตกดูสวยงามยิ่งนัก เสนาวิชิต พา เปมิกา เข้าไปภายในตำหนัก เพียงแค่สองคน ส่วนทหารรอเฝ้าอยู่ด้านนอก เสนาวิชิตรับดาบของ เปมิกา จากทหารมาถือไว้เอง ทั้งสองเดินไปจนถึงห้องหนึ่ง แลเห็นคนสองคนอยู่ ณ ที่นั้น คนหนึ่งยืนหันหลังให้กับนางกำลังชื่มชมทัศนียภาพด้านนอกของตำหนัก ส่วนอีกคนนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆคนที่ยืนอยู่นั้นเอง ถัดจากชายสองคนนั้นไปก็เป็นโต๊ะประทับมุกที่ใช้เขียนหนังสือตัวหนึ่งพร้อมเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน
“ ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า บัดนี้ พระธิดาเปมิกา แห่งนครวิบูลย์ไพศาล ทรงเสด็จมาถึงแล้วพระเจ้าข้า “ คนที่นั่งอยู่กราบทูลองค์เหนือหัวแห่งนครมากริด
“ ให้นางเข้ามาได้ บวรเดช “
เสนายักษ์บวรเดช ทูลเชิญเปมิกาเข้าเฝ้า
“ เชิญเสด็จ พระธิดาเปมิกา พระเจ้าข้า “
เปมิกา ก้าวเข้ามาภายในก่อนถวายบังคมต่อองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์
“ หม่อมฉันเปมิกา เจ้าหญิงแห่งนครวิบูลย์ไพศาล ทูตแห่งนครอัญจารี ถวายพระพรเพคะ “
“ ตามสบาย “ ทรงตรัสโดยไม่หันกลับมาทอดพระเนตร
“ ขอบพระทัยเพคะ “
หัสกัณฐ์ ทรงใช้สองพระหัตถ์กอดที่พระอุระของพระองค์ก่อนตรัสกับนางว่า
“ เจ้ารู้หรือเปล่าว่า ทำไมข้าถึงยอมให้เจ้าเข้ามาหาข้า? “
เปมิกาทูลตอบพระองค์ว่า
“ ก็เพราะว่าหม่อมฉันคือทูตจากนครอัญจารีแต่ไม่ใช่ชาวนครอัญจารี ใช่หรือเปล่าเพคะ? “
หัสกัณฐ์ เผยอริมฝีปากรับคำตอบชื่นชมความฉลาดของนาง
“ หึ พูดได้ดี เดี๋ยวนี้เอกสิทธิ์ร้ายกาจไม่เบา ถึงขั้นบีบบังคับให้เจ้าหญิงจากต่างนครมาเป็นทูตได้ มีลูกเล่นอะไรอีกก็ว่ามา “
“ หามิได้เพคะ หม่อมฉันตั้งใจมาเอง ไม่ได้ถูกบีบบังคับแต่อย่างใด ที่องค์เหนือหัวเอกสิทธิ์ทรงให้หม่อมฉันมาขอเข้าเฝ้าพระองค์ก็เพื่อที่จะทูลความช่วยเหลือจากพระองค์ให้ไปช่วยนครอัญจารี ทำศึกเพคะ “
“ ทำศึก? เอกสิทธิ์ไปมีเรื่องกับใคร? “ หัสกัณฐ์มีสีหน้าสงสัย ถึงไม่ได้สนใจข่าวคราวของเพื่อนทรยศมานานแต่เขาก็รู้นิสัยพระราชาเอกสิทธิ์ดีว่าไม่ใช่คนที่นิยมชมชอบการทำศึกสงคราม
“ พระองค์ พอจะรู้ข่าวเกี่ยวกับเรื่องกองทัพอสูรของจ้าวอสูร กัลย์ปาอสูร ไหมเพคะ? “
หัสกัณฐ์ ได้ยินถึงกับตะลึง
“ อะไรนะ กัลย์ปาอสูรยกทัพมาถึงนครอัญจารีแล้วหรือ? “
“ ยังหรอกเพคะ แต่อีกไม่นานก็คงจะมาถึง หากพระองค์จะทรงเมตตาช่วยเหลือชาวนครอัญจารีและชาวนครมากริด พระองค์ก็น่าจะทรงยกทัพไปช่วยรบกับกองทัพอสูรที่นครอัญจารีนะเพคะ “
“ หึๆ ฮะๆๆๆ “ หัสกัณฐ์ หัวเราะ เขานึกไม่ถึงว่าเวรกรรมจะไล่ตาม เอกสิทธิ์ ได้เร็วขนาดนี้
“ ทำจะไม่ได้ล่ะ กองทัพของกัลย์ปาอสูรยกมาทั้งที่ ข้าจะไม่ช่วยเหลือราษฎร์ข้าได้อย่างไร แต่ทำไมข้าจะต้องไปช่วยเหลือนครอัญจารีด้วย รอให้นครอัญจารีแตกเสียก่อนแล้วข้าค่อยยกทัพไปต่อสู้กับกองทัพอสูรจะไม่ดีกว่าหรือ? อาศัยช่วงที่พวกมันอ่อนกำลังและกำลังเหนื่อยล้าจากการทำสงครามก็จัดการพวกมันได้หมดแล้ว จะไปช่วยนครอัญจารีให้เสียเวลาทำไมกัน “
เปมิกา รู้สึกประหวั่นในใจไม่น้อย ไฟแค้นขององค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ช่างรุนแรงอะไรเช่นนี้ แม้แต่คนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ก็ดูเหมือนจะพลอยรับเคราะห์ไปด้วย
“ องค์เหนือหัวเอกสิทธิ์ ทรงมอบสิ่งนี้ให้กับหม่อมฉันมา หากพระองค์ยอมช่วยเหลือนครอัญจารี นี้คือสิ่งที่พระองค์จะได้รับเป็นการตอบแทนเพคะ “ อสูรสาวเริ่มแผนการที่นางวางเอาไว้
เปมิกา ยื่นสาสน์ที่พระราชาเอกสิทธิ์ทรงมีถึงองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ พร้อมกับรูปของพระธิดา ปิ่นจันทร์ ให้กับบวรเดช เสนายักษ์รับของจากพระหัตถ์ของพระธิดา ก่อนถวายให้กับเจ้าชีวิตของตน หัสกัณฐ์ ทรงทอดพระเนตรก่อนรับกระบอกรูปและสาสน์ฉบับนั้น ขึ้นมาอ่าน
“ หัสกัณฐ์ เพื่อนรัก ตอนนี้ภัยสงครามกำลังมาเยือนนครของข้า ได้โปรดเห็นความสัมพันธ์แก่ครั้งก่อนเก่า จงช่วยผสกนิกรชาวนครอัญจารีด้วยเถอะ แม้ตัวข้าจะต้องตายก็มิเสียดาย แต่ข้ามิอาจยอมให้ราษฎร์ของข้าต้องมาตายต่อหน้าต่อตาได้ ข้าอยากให้ทั้งสองนครเป็นปึกแผ่น และมีมิตรไมตรีกันเช่นเดิม หากเจ้ายอมตกลงช่วยเหลือ ข้าจะยก ปิ่นจันทร์ ลูกสาวคนเดียวของข้าให้เป็นมเหสีของเจ้า ถือเสียว่าเป็นการขอขมาที่ข้าล่วงเกินเจ้าในครั้งนั้น จากเอกสิทธิ์แห่งนครอัญจารี “
หัสกัณฐ์ นิ่งคิดตรึกตรอง และเปิดกระบอกรูปภาพนั้นออกมาดู ภาพวาดของพระธิดาปิ่นจันทร์ ที่ช่างวาดรูปได้วาดภาพนั้นวาดได้เหมือนมีชีวิต สะกดให้เขามองอย่างลืมตัว
‘ เหมือนมาก เหมือนปิ่นเกสรเหลือเกิน ‘ หัสกัณฐ์ คิดห้วนรำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งที่เขาได้พบกับ พระธิดาของนครประกายรุ้งผู้เลอโฉม วันนั้นเป็นวันแรกที่เขาเจอกับปิ่นเกสร เขาตามเอกสิทธิ์เดินทางไปนครประกายรุ้งเพื่อร่วมฉลองงานพิธีสมโภชของนครประกายรุ้ง เขาและเอกสิทธิ์ออกมาเดินเล่นที่อุทยานจนได้มาพบกับปิ่นเกสรเข้า ตอนนั้นนางกำลังเดินชมดอกไม้อยู่ในอุทยานเช่นเดิมกับพวกเขา ฝูงผีเสื้อที่บินมาดอมดมเกสรดอกไม้ต่างร่ายรำอยู่รอบตัวนาง ท่ามกลางเหล่าพระพี่เลี้ยงที่วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ภาพนั้นเหมือนภาพฝันที่ติดตรึงอยู่ในหัวใจที่เขาเก็บประทับไว้อยู่ด้วยในความทรงจำทั้งรักและทะนุถนอม แต่ในท้ายที่สุดภาพนั้นก็แตกสลายลงด้วยน้ำมือของเพื่อนรักที่ไร้หัวใจของเขา
“ ขอเสนอนี้ ช่างเย้ายวนยิ่งนัก แต่ . “ หัสกัณฐ์ กำสาสน์ในมือไว้แน่นและบีบอย่างแรง
“ ข้าขอปฎิเสธ “
เปมิกา ตกใจนางไม่คิดเลยว่า แผนการที่นางวางไว้อย่างดีจะไม่เป็นผล
“ คำตอบของข้าเจ้าก็ได้ยินแล้ว เจ้าจะว่าอย่างไร? “
เสียงของ เปมิกา แหบเครือ
“ หม่อมฉันจะนำความของพระองค์ไปกล่าวทูล องค์เหนือหัวเอกสิทธิ์เพคะ ส่วนตัวของหม่อมฉันก็จะอยู่ช่วยนครอัญจารี จนกว่าศึกครั้งนี้จะยุติ  เพราะว่านี้คือหน้าที่ที่หม่อมฉันต้องกระทำเพคะ “
“ ฮะๆๆๆ ใจเด็ดดีใช้ได้ หลานข้าช่างกล้าหาญนัก แม้เป็นหญิงก็ไม่หวั่นเกรงเลยที่จะต่อกรกับเหล่าอสูรที่ชั่วร้าย “
เปมิกา ทั้งสงสัยและไม่เข้าใจว่า เหนือหัว หัสกัณฐ์  ทำไมถึงทรงตรัสเช่นนี้
“ พระองค์ทรงตรัสว่ากระไรเพคะ หม่อมฉันได้ยินไม่ถนัด “
“ ผ่านไปหลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าพี่วัลนุราชจะทรงมีลูกสาวที่โตเป็นสาวและ . “ หัสกัณฐ์ ค่อยๆหันหน้ามามอง เปมิกา
“ .สวยอย่างนี้ “
เปมิกา ตะลึง
“ พะพี่ .ชาย “
“ เจอกันอีกแล้วนะ น้องสาว ไม่ใช่สิหลานข้า “
หัสกัณฐ์เดินเข้ามาหา เปมิกา อย่างช้าๆ ส่วนตัวนางยังคงยืนนิ่งอยู่ด้วยความตกใจ
“ ข้ากับเจ้าพี่วัลนุราช เราสองคนนับถือกันเหมือนดังพี่น้อง ไม่ได้พบหน้ากันมาตั้งหลายปีคิดไม่ถึงว่าข้าจะมีหลานสาวที่สวยขนาดนี้ได้ เจ้าพี่วัลนุราชทรงมีบุญยิ่งนัก  “
“ พะพ .. เสด็จอา “  เปมิกา ยังคงพูดตะกักตะกักอยู่
“ ถึงอาจะไม่รับของเสนอของเอกสิทธิ์ แต่เห็นแก่เจ้าพี่วัลนุราชพ่อของเจ้า อาจะยกทัพไปช่วยเจ้ารบกับกองทัพอสูรที่นครอัญจารีด้วย  “
หัสกัณฐ์ เชยคางนางขึ้นมา ก่อนใช้มือของตัวเองค่อยซับเหงื่อที่ไหลอยู่บนแก้มของนาง
“ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อน พรุ่งนี้เราค่อยออกเดินทางไปนครอัญจารีกันแต่เช้า แต่อาจะบอกอะไรให้เจ้ารู้เอาไว้อย่างหนึ่ง “
หัสกัณฐ์ พูดกับเปมิกา เบาๆ
“ อาไม่คิดที่จะมีหลานสาวสวยๆ แต่อาคิดที่จะ .. “ หัสกัณฐ์หยุดพูดไปและยิ้มให้กับนางด้วยรอยยิ้มของผู้ชายที่มองผู้หญิง
“ เจ้าคงรู้นะว่าอาหมายถึงอะไร? “
หัสกัณฐ์ สั่งเสนาวิชิต
“ วิชิต เจ้าพา เปมิกา หลานข้า ไปยังตำหนักที่ข้าเตรียมไว้ให้ ดูแลนางให้ดีอย่าให้มีอะไรขาดตกบกพร่องเป็นอันขาดเข้าใจไหม?
“ รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า “
เปมิกา เดินตามเสนาวิชิต ไปแต่โดยดี เหมือนต้องการออกไปจากที่นี้ให้เร็วที่สุด หัสกัณฐ์ มองดูนางจนพ้นสายตา จึงเดินไปที่โต๊ะเขียนสาสน์ฉบับหนึ่งขึ้นมา
“ บวรเดช “ หัสกัณฐ์ เรียกหา
“ พระเจ้าข้า “
“ เจ้าเอาสาสน์ที่ข้าเขียนนี้ ส่งไปถึงท้าววัลนุราช แห่งนครวิบูลย์ไพศาลด้วย “
“ ทรงมีเรื่องรีบร้อนอะไรหรือเปล่าพระเจ้าข้า ถึงได้ “
หัสกัณฐ์ ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปใกล้พระบัญชร ยืนรับสายลมที่พัดเข้ามา
“ ไม่มีอะไรหรอก บวรเดช ข้าก็แค่ไปทวงสัญญาเก่าๆ จากเจ้าพี่วัลนุราช เท่านั้นเอง “ คำพูดของหัสกัณฐ์แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มที่หลบซ่อนอยู่ในใจ เขาไม่เคยนึกเลยว่า ชั่วชีวิตนี้จะได้ทวงคำสัญญาที่เจ้าพี่วัลนุราชทรงให้กับเขาไว้ หากเปมิกา ไม่ได้ปรากฏตัวให้เขาเห็นในวันนี้
------------------------------------------------
“ เจ้าโดนองค์เหนือหัวหัสกัณฐ์ ต้มเสียเปื่อยเลย ดวงใจมาร “ พยัคฆ์วารี พูดอย่างชอบอกชอบใจที่มีคนสามารถหลอก เปมิกา ได้
“ นี้เจ้าจะซ้ำเติมข้าหรืออย่างไรกัน? “ เปมิกา กึ่งอายกึ่งโมโหที่ถูกเสด็จอา ดัดหลังและทำนางหน้าแตกเสียยับเยินไม่มีชิ้นดี
“ ซ้ำเติมอะไร ข้าควรจะดีใจซะด้วยซ้ำไปที่เพื่อนข้าทำงานสำเร็จอย่างงดงามเช่นนี้ “
พยัคฆ์วารี หยุดพูดไปเหมือนพยายามจะคิดหาคำพูดที่ดีที่สุดพูดกับนาง
“ ถึงแม้จะไม่ใช่เพราะฝีมือของเพื่อนข้าก็เถอะ “
“ ฮึ “ เปมิกา ไม่สบอารมณ์กับคำพูดของ พยัคฆ์วารี ยิ่งนัก เบือนหน้าไปอีกทาง
“ แล้วองค์เหนือหัวหัสกัณฐ์ ทรงจัดเตรียมกองทัพไว้แล้วหรือยัง? “
“ ข้ายังไม่รู้ แต่ที่ข้ารู้แน่ๆ ก็คือหากถ้าข้าย้อนเวลากลับไปได้ข้าจะไม่ที่นครมากริดนี้เป็นอันขาด “ นางว่า พลางเอามือทุบที่โต๊ะอย่างฉุนเฉียว
“ ทำไม? “
เปมิกา ไม่ตอบนึกถึงหน้าเสด็จอาขึ้นเมื่อไรก็อดโมโหไม่ได้เมื่อนั้น ทำให้ พยัคฆ์วารี ต้องเดาเอาเอง
“ ฮะๆ ข้ารู้แล้ว ถ้าให้ข้าเดา องค์เหนือหัวหัสกัณฐ์ คงคิดจะเปลี่ยนฐานะเจ้าจากหลานสาวคนดีเป็นไปเป็นอย่างอื่นใช่ไหม? “ พยัคฆ์วารี ว่า สายตาก็เพ่งมองคาดคั้นนาง
“ เจ้าแมวบ้า เจ้าคิดอะไรอยู่ ข้าเป็นหลานเขานะ “
“ หลานนอกสายเลือดอย่างเจ้านะหรือ? ถ้าข้าเป็นเสด็จอาของเจ้า ข้าก็ไม่อยากรับเหมือนกัน “
“ ทำไม หน้าตาข้าแย่ นิสัยข้าไม่ดีมากนักหรือไง เจ้าถึงคิดว่าข้าไม่ควรเป็นหลานเขา? “
“ ไม่ใช่ เจ้านะดีเกินไป ดีจนน่าจะ... “
พยัคฆ์วารี ชะโงกตัวขยับหน้าเข้ามาใกล้
“ ไปเป็นพระมเหสีแทน “
เปมิกา โมโหจนเลือดขึ้นคว้าคอของ พยัคฆ์วารี เต็มแรง แต่สิ่งที่นางจับต้องได้มีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
“ นี้แม่คู้ณ รอให้กลับมาถึงนครอัญจารีก่อน ค่อยขย้ำข้าก็ยังทัน ไม่ต้องรีบร้อนขนาดนี้ก็ได้ “
เปมิกา จ้องหน้าพยัคฆ์วารี เหมือนอยากจะฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
“ เจ้านี้ยิ่งมายิ่งเหมือน อนันตวาโย พูดอะไรที่ไม่เข้าหูข้าเสียเหลือเกิน “
“ อย่าเอาข้าไปเปรียบกับเขา ข้ากับเขามันคนละนิสัยกัน “ พยัคฆ์วารี ส่ายหน้าไม่เห็นด้วยไม่ว่ารูปร่างหน้าตาและนิสัยไม่มีส่วนไหนที่เขาเหมือน อนันตวาโย เลยซักนิด
“ แต่เจ้าพูดอะไรที่ทำให้ข้าเสียหายรู้ไหม? “
พยัคฆ์วารี พูดอย่างเคร่งขึง บอก เปมิกา ว่า
“ ข้าถามเจ้าจริงเถอะๆ ดวงใจมาร เจ้าดูไม่ออกจริงๆ หรือว่า ที่องค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงยอมช่วยเจ้าเพราะอะไร? “
เปมิกา นิ่งเงียบไม่กล้าพูดหรือเถียงออกมา
“ เรื่องพ่อของเจ้ามันแค่ข้ออ้างเท่านั้น จริงๆแล้วเขาอยากช่วยเจ้ามากกว่า “
“ เรื่องนั้น..... “ เปมิกา ปฏิเสธไม่ได้เต็มปาก
“ ฟังให้ดีนะ ดวงใจมาร ในเมื่อองค์เหนือหัวหัสกัณฐ์ ทรงปฏิเสธข้อเสนอของทางนครอัญจารีแต่ก็ยังทรงยอมยกทัพมาช่วยเหลือ มันจะมีเหตุผลอื่นไปได้อย่างไรนอกจากองค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงพบสิ่งที่ดีกว่าข้อเสนอขององค์เหนือหัว เอกสิทธิ์ เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าพูดเพียงแค่นี้คงเข้าใจใช่ไหม? “
“ แต่เขาเป็นเสด็จอาของข้านะ “ นางพูดเสียงเบาลง
“ เจ้าก็รู้ความจริงมันเป็นอย่างไร เรื่องทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าเจ้าจะยอมหรือว่าจะไม่ยอมเท่านั้น “
“ ข้ายังไม่รู้เลย พยัคฆ์วารี ข้าควรจะทำอย่างไรดี หากเสด็จอาทรงคิดอย่างนั้นกับข้าจริงๆ ข้ายังคิดหาทางแก้ไขไม่ออกเลย “
พยัคฆ์วารี มอง เปมิกา อย่างหนักใจ น้อยครั้งที่เขาจะเห็นนางตกอยู่ในอาการเช่นนี้
“ อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ เหตุการณ์ข้างหน้ายังไม่แน่ชัด ตอนนี้ได้แต่ยึดเป้าหมายหลักที่เราวางไว้ก่อน ต่อสู้กับกองทัพอสูร เรื่องอื่นๆไว้ค่อยแก้ไขทีหลัง “
เปมิกา หัวเราะแบบขมๆ
“ ไปๆมาๆ คนที่น่าจะเป็นคนวางแผนรับศึกคงจะเป็นเจ้าแทนข้าเสียมากกว่า “
“ พูดอย่างนี้แล้ว คิดหรือว่าข้าจะยอมให้เจ้าอู้งาน “
“ หากข้าอู้งานจริง เจ้าจะทำอะไรได้ “
“ ไม่เห็นจะยาก แค่ให้องค์เหนือหัว หัสกัณฐ์ ทรงมาคุยกับเจ้าหน่อย ขี้คร้านเจ้าจะมีแรงทำงานขึ้นเป็นสองเท่า “
เปมิกา สะดุ้งโหยง
“ หากเจ้าทำอย่างนั้นจริงๆ ข้าจะจับเจ้าถลกหนัง  เอาไปทำพรมเช็ดเท้าไว้ที่ห้องของข้า “
“ ไงมีแรงคิดต่อล้อต่อเถียงข้าแล้วหรือ แสดงว่าชื่อนี้ใช้ได้ เห็นทีข้าจะต้องพูดให้เจ้าได้ยินบ่อยๆ “
เปมิกา อายจนหน้าแดง
“ อย่านะ “
“ ล้อเล่นน่า  ข้าหรือจะใจร้ายขนาดนั้น เอาไว้ถ้าทางนี้มีอะไรเกิดขึ้นข้าจะติดต่อไปหาเจ้าแล้วกัน แล้วเจอกันใหม่ “
“ อือ “ นางรับคำของพยัคฆ์วารีเบาๆ
แมลงสื่อสารหยุดส่งภาพและเสียง เปมิกา หยิบแมลงสื่อสารขึ้นมาจากโต๊ะเก็บไว้กับตัว เหลียวมองไปที่ตำหนักหลังนั้นคิดถึงเรื่องราวของนางกับเขา
“ เสด็จอา อย่าทรงคิดกับหม่อมฉันอย่างนี้เลยเพคะ ให้หม่อมฉันเป็นหลานสาวของพระองค์อย่างนี้ตลอดไปเถอะอย่าทรงทำให้หม่อมฉันต้องลำบากใจเลย “ เปมิกา รำพึงกับตัวเองคล้ายอยากจะส่งเสียงนี้ไปให้ หัสกัณฐ์ ได้รับรู้
--------------------------------------------------
ยามดึกดื่นคำคืน น้ำทิพย์ที่สาม ยังคงนอนไม่นอนหลับ เขาเอนกายอยู่บนหัวเตียงมองไปนอกหน้าต่าง เงยหน้ามองดูพระจันทร์ที่มีเพียงแค่เสี้ยวเดียว ข้างกายมีมณีมรกตแนบชิดอยู่
“ ทำไมท่านถึงชอบมองพระจันทร์จัง “ นางถามสายตาก็จับจ้องมองใบหน้าของเขา
น้ำทิพย์ที่สาม ก้มหน้ามามองนางใช้มือลูบผมของนางเล่น
“ พระจันทร์มีทั้งแสงสว่างและความนิ่งสงบ เมื่อข้าได้มองจะปลดปล่อยความคิดที่กังวลใจออกไปได้ “
สาวงามขมวดคิ้วสงสัย
“ ท่านมีความทุกข์อันใดกัน หรืออยู่กับข้าท่านไม่มีความสุข “
“ ไม่ใช่ เจ้าเข้าใจผิด สิ่งที่ข้าทุกข์ใจนั้นมาจากตัวของข้าเอง “
เขานิ่งเงยหน้ามองพระจันทร์อีกครั้ง
“ ข้าเพียงอยากรู้ว่าตัวเองเป็นใครเท่านั้น “
“ หมายความว่า..... “
น้ำทิพย์ที่สาม พยักหน้ายอมรับ
“ ใช่...... ข้าไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน สิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดก็คือ ประวัติความเป็นมาของข้าเอง “
มณีมรกตซุกหน้าเขาหาแผงอกของเขา
“ แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร? “
“ รู้สิ “ น้ำทิพย์ที่สามยิ้มมือก็ยังคงลูบผมนางอยู่
“ เจ้าก็เป็นเมียข้านะสิ “
มณีมรกต เอามือทุบอกเขา
“ ตอบไม่ตรงคำถามนี้น่า ท่านไม่อยากรู้หรือว่าข้าเป็นใคร “
“ เทพธิดาดอกไม้สวรรค์ “ น้ำทิพย์ที่สามว่า
“ ท่านรู้ด้วยหรือ? “ นางไม่นึกว่าเขาจะรู้ฐานะของนาง
“ ก็แค่เดาสุ่มเอา แต่ข้ายังไม่เคยรู้มาก่อนว่า มีเทพธิดาดอกไม้สวรรค์ ที่มีสองร่างสองภาคอย่างเจ้าด้วย “
“ ท่านอยากรู้เรื่องของข้าหรือเปล่า? “
น้ำทิพย์ที่สาม ส่ายหน้า
“ ไม่หรอก แต่ถ้าเจ้าจะเล่าข้าก็จะฟัง “
มณีมรกต เงยหน้ามองไปทางหน้าต่าง มองดูดวงดาวที่พร่างพรายอยู่บนท้องฟ้า
“ แต่เดิมข้าเป็นเมล็ดพันธุ์ดอกไม้สวรรค์ ที่อยู่บนอุทยานสวรรค์ “
“ อุทยานสวรรค์ ที่ที่พ่อของพยัคฆ์วารี เป็นคนเฝ้าดูแลไม่ใช่หรือ? “
นางพยักหน้า
“ ใช่ เทพพยัคฆ์ เป็นคนดูแลอุทยานสวรรค์ ส่วนพยัคฆ์วารี ข้าเคยเห็นเขาอยู่ ๒-๓ ครั้ง แต่เขาไม่เคยเห็นข้าหรอก ในอุทยานสวรรค์นอกจากเทพพยัคฆ์แล้ว ยังมีบิดาดอกไม้ และมารดาดอกไม้ เป็นผู้ปลูกและดูแลดอกไม้ในอุทยานสวรรค์แห่งนั้น พวกข้าถือว่าเขาทั้งสองเป็นผู้ให้กำเนิดพวกข้าและเป็นพ่อแม่ของพวกข้าด้วย ข้าเป็นหนึ่งในเมล็ดพันธ์ที่จะปลูกลงในอุทยานสวรรค์แห่งนั้น แต่อาจเป็นเพราะพรหมลิขิต ตอนหว่านเมล็ดพันธุ์ตัวข้าตกลงไปอยู่บนศิลาสองสี “
“ ศิลาสองสี!!! “ น้ำทิพย์ที่สาม เคยได้ยินเรื่องเล่าขานว่านับตั้งแต่มีการค้นพบอุทยานสวรรค์ เหล่าเทพต่างได้พบศิลาอัญมณีก้อนหนึ่งที่มีสองสีในตัวเองคือสีเขียวมรกตและสีชมพูอยู่ในเนื้อเดียวกัน โดยไม่ทราบประวัติความเป็นมาว่าศิลาอัญมณีก้อนนั้นเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและใครเป็นคนสร้าง แต่ทุกคนต่างยอมรับกันว่าศิลาอัญมณีก้อนนั้นมีพลังอำนาจอันมหาศาลที่แฝงซ่อนเร้นอยู่ภายใน เคยมีเหล่าเทพมากมายหลายองค์คิดดูดพลังจากศิลาสองสีมาเป็นของตนแต่ยังไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จมาก่อนเลย
“ แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? “
“ ข้ากับศิลาสองสีเกิดมีปฏิกิริยากันอย่างรุนแรงเกินที่จะคาดได้ ตัวของข้าและศิลาสองสีเกิดผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน และเกิดเป็นดอกไม้สวรรค์ ณ ที่ตรงนั้นในทันที ทำให้ตัวข้าเป็นดอกไม้ที่มีสีเขียวมรกตและสีชมพูอยู่ในดอกเดียวกัน พ่อกับแม่ข้าเลยตั้งชื่อข้าว่า ชมพูมรกต “
“ แล้วทำไมเจ้าต้องแยกร่างออกมาสองภาคด้วย “ น้ำทิพย์ที่สาม ยังคงข้องใจในเรื่องนี้อยู่
“ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะแยกร่างออกมาหรอก เพียงแต่ข้าอยากลองพลังของตัวเองที่ได้รับจากศิลาสองสีว่า สามารถทำอะไรได้บ้าง พอพบว่าข้าสามารถแยกร่างออกจากกันได้โดยไม่มีผลกระทบต่อพลังชีวิตเลย ข้าก็เลยแยกร่างออกจากกันมาตลอด นานๆทีถึงจะรวมร่างกัน “
“ แล้วพี่น้องคนอื่นๆของเจ้าล่ะ? “
“ พี่น้องคนอื่นๆ ของข้าก็มีร่างเป็นเทพธิดาเช่นเดียวกับข้าเหมือนกัน แต่มีพลังไม่เพียงพอที่จะออกจากอุทยานสวรรค์ได้ หากไม่ได้รับอนุญาตแล้วจะออกจากอุทยานสวรรค์ไม่ได้ มีเพียงตัวข้าเท่านั้นที่ออกจากอุทยานสวรรค์ไปมาได้อย่างอิสระ “
“ แล้วเจ้าจะต้องกลับไปที่อุทยานสวรรค์อีกหรือเปล่า? “ เขากลัวจะต้องสูญเสียนางไป
“ ทำไมกลัวว่าข้าจะจากท่านไปหรือ? “ นางเย้าเขาเล่น
“ เจ้าก็รู้อยู่ หากขาดเจ้าไปเจ้าข้าจะเป็นสุขได้อย่างไร “
“ ปากหวานจัง ข้าจะเชื่อดีหรือเปล่านี้ “ มณีมรกตทำท่าทางครุ่นคิด ก่อนตอบเขาว่า
“ อย่าห่วงไปเลย ตอนออกมาข้าได้พบกับสามมหาเทพ พระองค์ทรงบอกข้าว่า ข้าจะกลับไปหรือไม่กลับอุทยานสวรรค์ก็ได้ และพระองค์ก็ทรงชี้ทางให้ข้าออกมาจนมาเจอกับท่านนี้แหละ “
น้ำทิพย์ที่สาม ได้ฟังถึงรู้ว่าที่แท้แล้ว มหาเทพทรงส่งนางมาให้เขานั้นเอง
“ ที่แท้เจ้าก็เป็นเนื้อคู่ของข้านี้เอง “
น้ำทิพย์ที่สาม พูดยังไม่ทันจบ อีกคนหนึ่งก็ค่อยๆ โผล่ออกจากพื้นผ้าที่เขาห่มอยู่มาซบลงกับหน้าอกของเขา
“ แล้วข้าล่ะ เป็นอะไร? “
“ เจ้าเป็นนาง นางก็เป็นเจ้า สรุปก็คือเจ้าก็คือคนที่ข้ารัก “
น้ำทิพย์ที่สาม กอดทั้งสองเอาไว้ พวกนางก็กอดเข้าตอบเช่นกัน
“ ถึงข้าจะไม่รู้ว่าอดีตของข้าเป็นอย่างไรก็ไม่เป็นไร ขอเพียงตอนนี้มีเจ้าอยู่กับข้า ข้าก็พอใจแล้ว “
“ ข้าก็เช่นกัน “ พวกนางตอบในชีวิตของพวกนางคนที่นางรักมากที่สุดก็นอกจากพ่อแม่ก็มีเพียง น้ำทิพย์ที่สาม เท่านั้น
“ แต่ข้าสงสัยอยู่อย่างหนึ่ง “
“ ท่านสงสัยอะไรหรือ? “ พวกนางถาม
“ เมื่อไรเจ้าจะมีลูกกับข้า “
สองสาวหนึ่งวิญญาณหัวเราะนึกว่าเรื่องอะไรซะอีก
“ แล้วท่านอยากมีลูกผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ “ ชมพูมุกดา ถาม
“ ผู้หญิง “ น้ำทิพย์ที่สามตอบแบบไม่ต้องคิด
“ ทำไม? “
“ เพราะถ้าข้ามีลูกข้าอยากให้ลูกข้าเหมือนกับแม่ของเขา “
“ แต่ข้าอยากได้ลูกผู้ชายมากกว่า “ มณีมรกตแย้ง
“ ทำไม “
“ เพราะเขาจะได้เหมือนท่านเหมือนสามีที่ข้ารัก “ ชมพูมุกดาตอบ
น้ำทิพย์ที่สามจูบนางทีละคน ตอนนี้เขาทั้งรักและห่วงนางมากกว่าชีวิตของตัวเอง พวกนางก็จูบตอบเขาเช่นกันก่อนที่จะร่วมร่างเป็นหนึ่งอีกครั้งและให้เขาดอมดมเกสรดอกไม้พานางไปสู่จุดหมายในแดนสวรรค์เหมือนเฉกเช่นคืนแรกที่เขาและนางได้อยู่ร่วมกัน
จบตอนที่ ๒๖ ครับ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น