ลำดับตอนที่ #24
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : เปิดเผยตัว
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๒๔ เปิดเผยตัว
    พระราชา อทิตวงค์ แห่งนครวิสัญเทพ ทรงได้รับสาสน์ขอความช่วยเหลือจากพระราชาพิมุก ผู้เป็นพระสหายของพระองค์ เมื่อทางทราบความเช่นนั้นแล้วพระองค์จึงมีรับสั่งให้พระโอรสองค์โตคือ เจ้าชายอภัยวงค์ พร้อมด้วย เจ้าหญิงสิริกันยา พระโอรสและพระธิดา นำกองทัพจากนครวิสัญเทพ มาช่วยเหลือนครอัญจารี ตามที่พระราชาพิมุก ทรงขอร้อง เหตุที่ พระราชา อทิตยวงค์ ทรงให้ความช่วยเหลือ พระราชาพิมุก โดยไม่อิดออดนั้น ก็เพราะทั้งสองพระองค์ทรงเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันและที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ทั้งสองพระองค์ต่างผูกสัมพันธไมตรีโดยการให้ พระธิดาปทุมมาลี ผู้เป็นพี่ของพระธิดา ปทุมเกสร ทรงอภิเษกสมรสกับ เจ้าชายอภัยวงค์ ด้วยเหตุนี้เมื่อนครเตมินทร์ มีภัยอันตรายเกิดขึ้น นครวิสัญเทพ จึงมิอาจนิ่งดูดายได้
    “ จ้า จ้า จ้าๆๆ “
    “ ฮี้ๆๆๆ “
เสียงร้องของคนและม้าลอยดังมาแต่ไกลจนถึง หน้าประตูนครเตมินทร์ ปรากฎขบวนรถม้าขบวนหนึ่งพร้อมด้วยกองทัพใหญ่เคลื่อนพลเข้ามายังนครเตมินทร์  คนที่นำหน้าขบวนมาเป็นหญิงสาวรุ่น เอวบางร่างน้อย อายุอานามคงพอๆ กับ พระธิดาปทุมเกสร ชุดที่นางสวมใส่เป็นชุดทำศึกของเชื้อพระวงค์ชั้นสูง ท่วงท่าในการบังคับม้าดูกระชับกระเช้งและว่องไวเหมือนนักรบ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจลบภาพของพระธิดาที่ดูสูงศักดิ์ออกไปได้ นางสั่งให้ขบวนรถม้าและกองทัพทั้งหมดรออยู่ด้านนอกก่อนควบม้าผ่านเข้าในเขตนครเตมินทร์จนฝุ่นคลุ้งตลบ ยังความแตกตื่นให้กับชาวนครเตมินทร์ยิ่งนัก จนมาถึงหน้าประตูนครเตมินทร์ นางถึงชักสายบังเหียนเพื่อหยุดม้า
“ ฮี้ๆๆๆ “  ม้ากระโดดตัวลอยขึ้นอย่างฉับพลันเนื่องจากหยุดฝีเท้ากะทันหัน มองดูแล้วน่าหวาดเสียวเหลือเกินว่าคนบนหลังม้าจะตกลงมา
“ เช้ง “  เหล่าทหารรักษาประตูนครเตมินทร์ต่างชักดาบออกจากฝักห้อมล้อมนางไม่ให้ขยับไปไหน
“ เจ้าเป็นใครกันถึงกล้าบังอาจขี่ม้าโลดโผน เข้ามาถึงหน้าประตูนครเช่นนี้ ไม่กลัวจะต้องโทษอาญาประหารหรืออย่างไร? “ ทหารรักษาประตูคนหนึ่งถามนาง
หญิงสาวในชุดทะมัดทะแมง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด
“ เจ้าเข้าไปบอกเสด็จลุงพิมุกด้วยว่า ข้าสิริกันยา เจ้าหญิงแห่งนครวิสัญเทพ และเจ้าพี่อภัยวงค์ ขอพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าพระองค์ ตามที่เสด็จลุงส่งสาสน์ไปถึงนครวิสัญเทพ  “
เมื่อรู้ฐานะของนางเหล่าทหารรักษาประตูต่างคุกเข่าขอพระราชทานอภัยโทษ
“ พวกข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระราชทานอภัยพระเจ้าข้า “
“ ไม่ต้องพูดมาก รีบนำความของข้าเข้าไปกราบบังคมทูลได้แล้ว “ นางสั่ง
“ รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า “
ทหารรักษาประตูรีบเข้าไปกราบบังคมทูลรายงานให้พระราชาพิมุกทรงทราบ ซึ่งในท้องพระโรงขณะนี้พระราชาพิมุก ทรงกำลังออกว่าราชการอยู่ ทหารรักษาประตูนคร เมื่อเข้ามาภายในเขตท้องพระโรงก็คลานเข้าไปทูลถวายรายงานทันที
“ ขอเดชะ พระอาญามิพ้นกล้า บัดนี้ องค์หญิงสิริกันยา และพระราชบุตรเขยอภัยวงค์ ขอพระราชานุญาตเข้าเฝ้าพระองค์ พระเจ้าข้า “
พระพักตร์ของ พระราชาพิมุก เปลี่ยนจากที่เคร่งขรึม เป็นมีรอยยิ้มแต้มขึ้นมา
“ พาหลานข้า กับลูกข้า มาหาข้าเดี๋ยวนี้ “
“ รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า “
ทหารรักษาประตู ถวายบังคมลาก่อนไปเชิญพระธิดาและราชบุตรเขยเข้ามา เพียงเวลาไม่นาน ทั้งสิริกันยา ราชบุตรเขยอภัยวงค์ และ พระชายาปทุมมาลี ก็เสด็จเข้ามาภายในท้องพระโรง เหล่าข้าราชบริพาร ต่างถวายบังคม เชื้อพระวงค์ทั้งสาม
“ เสด็จพ่อ “ ปทุมมาลี รีบเข้าไปกอดพระบิดา ด้วยความรักและเป็นห่วง
“ เสด็จพ่อ ทรงไม่เป็นอะไรใช่ไหมเพคะ “ นางทูลถามพระบิดาอย่างรีบร้อน
“ พ่อไม่เป็นไรหรอกลูก  “ พระราชาพิมุก ทรงปลอบโยนพระธิดาของพระองค์
“ ตั้งแต่หม่อมฉันได้ทราบข่าวจากม้าเร็ว ใจคอหม่อมฉันก็ไม่ดีเลยเพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันกลัวว่าเสด็จพ่อจะทรงได้รับอันตราย “
“ เด็กโง่ พ่อไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก “ พระราชาพิมุก ทรงสวมกอดพระธิดาของพระองค์ไว้ เพื่อไม่ต้องการให้ ปทุมมาลี กังวลใจเกี่ยวกับข่าวร้ายให้มากนัก
“ เสด็จพี่ปทุมมาลี “ เสียงกังวานใสของ ปทุมเกสร ร้องเรียกนางจนทำให้พระชายาต้องหันกลับมามอง
“ เสด็จแม่ น้องปทุมเกสร “ พระชายาปทุมมาลี ทรงเสด็จเข้าไปหาทั้งสองพระองค์ ต่างฝ่ายต่างสวมกอดกันต่างพระกรรแสงออกมาด้วยความรักและห่วงใยประกอบกับทั้งสามพระองค์ไม่ได้พบหน้ากันมานานจึงไม่อาจห้ามน้ำพระเนตรที่ไหลออกมาได้
“ เสด็จพ่อ พระเจ้าข้า เรื่องมันเป็นอย่างไรมาอย่างไรพระเจ้าข้า โปรดพระราชทานบอกลูกด้วย “ เจ้าชายอภัยวงค์ ทูลถามพระองค์
“ เฮ้อ!! “ พระราชาพิมุก ถอนพระทัย ก่อนตอบราชบุตรเขยว่า
“ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อหลายคืนก่อน คืนนั้นพ่อกำลังนอนหลับอยู่ดีๆ ก็ฝันถึงเทพบุตรองค์หนึ่งมาเตือนพ่อว่า จะมีพวกอสูรยกกองทัพมารุกรานเรา “
เมื่อได้ยินที่เสด็จพ่อตรัส ปทุมเกสรก็อดยิ้มไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเสด็จพ่อของนางทรงเชื่อที่ อนันตวาโย มาบอกข่าว
“ พอพ่อตื่นขึ้นมา ก็เรียกโหรหลวงให้มาทำนายฝัน แต่โหรหลวงกลับบอกพ่อว่า พ่อไม่ได้ฝันแต่มีเทพบุตรองค์หนึ่งมาเตือนจริงๆ พ่อก็เลยสั่งให้อำมาตย์ไกรเดช และอำมาตย์เตยู ออกลาดตะเวนให้ทั่วนครเตมินทร์ “ พระราชาพิมุกทรงไม่ได้เล่าต่อแต่ขยับพระพักตร์หันไปหา อำมาตย์เตยู แทน
“ กราบบังคมทูลราชบุตรเขย พวกข้าพระพุทธเจ้าเมื่อได้รับทราบก็ทำการออกลาดตะเวนค้นหาเกือบทุกจุดในพระนคร กันอย่างแข็งขัน ก็ยังไม่พบอะไรผิดสังเกต แต่ถึงกระนั้นพวกข้าพระพุทธเจ้าก็ได้หาชะล่าใจไม่ จนเมื่อ ๓ วันก่อนพวกข้าพระพุทธเจ้าและเหล่าทหารกำลังตรวจตราอยู่นอกเขตพระนครก็ได้เจออสูรกลุ่มหนึ่งกำลังไล่จับชาวบ้านกินเป็นอาหาร อยู่ทางชายป่าด้านตะวันออก พวกข้าพระพุทธเจ้าจึงได้ทำการเข้าต่อสู้กับพวกมันโดยหวังว่าจะจัดการพวกมันและจับพวกมันมาเค้นถามเรื่องราวความเป็นมาที่พวกมันแอบเข้ามาภายในนครของเรา แต่พวกมันมีจำนวนมากกว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าก็เลยต้องคุ้มกันชาวบ้านที่เหลือและถอนกำลังกลับมาพระเจ้าข้า “
“ แล้วพวกท่านพอรู้ไหมว่า พวกมันแอบหลบซ่อนตัวกันอยู่ที่ไหนบ้าง? “ องค์หญิงสิริกันยา ทรงตรัสถาม
อำมาตย์ทั้งสอง อึดอัด ต่างไม่กล้ากราบทูล
“ นี้ท่านสองคนอย่าบอกข้านะว่า ท่านทั้งสองยังไม่รู้เลยว่า พวกมันมีกันอยู่เท่าไรและแอบซ่อนตัวกันอยู่ที่ไหน? “
“ พระเจ้าข้า “ อำมาตย์ไกร ทูลตอบโดยไม่กล้าสบพระพักตร์
“ ให้มันได้อย่างนี้สิ แล้วนี้พวกท่านจะให้ข้ากับเจ้าพี่อภัยวงค์ จัดการพวกมันได้อย่างไรกัน? พวกท่านทำงานกันประสาอะไรถึงไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่าง “ องค์หญิงสิริกันยา เอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ
“ ใจเย็นๆ ก่อน สิริกันยา ท่านอำมาตย์ทั้งสองก็ทำตามกำลังเต็มความสามารถแล้วจะโทษพวกเขาก็ไม่ถูก การติดตามหาพวกอสูรใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายเสียเมื่อไรกัน “ เจ้าชายอภัยวงค์ทรงปรามพระขนิษฐาไว้
“ แล้วเจ้ามีความคิดเห็นอะไรบ้าง? อภัยวงค์ “ พระราชาพิมุก ทรงตรัสถามขอความเห็นจากราชบุตรเขย
“ หม่อมฉันคิดว่า เราต้องนำกำลังออกค้นหาพวกอสูรกลุ่มนี้โดยเร็วที่สุด หากพวกเราจับตัวพวกมันมาได้บ้างก็คงพอจะรู้ว่าพวกมันมีเป้าหมายอะไร และมีกำลังพลอยู่เท่าไร จะทำให้เราวางแผนรับมือพวกมันได้ดียิ่งขึ้น “
“ ดี ที่เจ้าว่ามาพ่อก็เห็นด้วย อำมาตย์ไกรเดช  เจ้าจงไปคัดทหารฝีมือดีมาจำนวนหนึ่ง เมื่อไรที่ลูกข้าพร้อมจะได้ออกค้นหาพวกมันกัน “
“ พระเจ้าข้า “ อำมาตย์ไกร รับพระบัญชา
“ อภัยวงค์ เจ้าระวังตัวให้ดีนะ พวกอสูรมันร้ายนัก “ พระเมสีปทุมวดี ทรงตรัสบอกราชบุตรเขยด้วยความห่วงใยกว่าเขาจะได้รับอันตราย
“ เสด็จแม่ ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหรอก พระเจ้าข้า หม่อมฉันจะระวังตัวเป็นอย่างดี พระเจ้าข้า “
อำมาตย์ไกรเดชกำลังจะทูลลาเพื่อไปจัดเตรียมทหารก็ปรากฏเหล่าทหารที่อยู่หน้าประตูท้องพระโรงร่นถอยเข้ามาภายในท้องพระโรง โดยมีร่างของ ชายหนุ่มผู้สวมใส่สายสังวาลอัญมณีสีเหลือง เดินกดดันพวกเขาเข้ามา
“ เกิดอะไรขึ้น? “ อำมาตย์ไกรเดช รีบเข้าไปถามทหารที่ถอยเข้ามาในท้องพระโรง
“ ท่านอำมาตย์ขอรับ มีใครก็ไม่รู้บุกเข้ามา ฝีมือร้ายกาจนักพวกข้าต้านเขาไม่ไหวขอรับ “
ชายหนุ่มที่องอาจเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย ทุกคนต่างจดจ้องมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ สิริกันยา เห็นชายหนุ่มที่เข้ามาท่าทางมีฝีมือไม่น้อย หากไม่ทำอะไรลงไปบ้างอาจทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารเสีย
“ เจ้าเป็นใครเข้ามาในนี้ทำไม? “
ชายหนุ่มไม่ตอบเดินเข้ามาเรื่อยๆ
“ วอนซะแล้ว “ สิริกันยา อดทนต่อความอวดดีของฝ่ายตรงข้ามไม่ไหว นางประกบสองฝ่ามือเข้าหากัน เรียกอาวุธของตัวเองออกมาทันที
“ ฟิ้วๆๆๆๆ “ พลันปรากฏจักรเพชรขึ้นที่ฝ่ามือของนาง สิริกันยา มองดูเขาอีกครั้งก่อนซัดจักรเพชรเข้าหาชายหนุ่มคนนั้น
“ ฟิ้วๆๆ “ จักรเพชร หมุนตัวเข้าชายหนุ่มคนนั้นทันที แต่ชายหนุ่มลึกลับหาได้ใช้อาวุธต้านทานไม่ กลับปล่อยให้จักรเพชร หมุนเข้าหาตัวเขาอย่างแรง
“ ฟ้าวๆๆๆ เคร้งๆๆๆๆๆ “ จักรเพชรลอยหมุนเข้าทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คมจักรหาได้ระคายผิวของเขาไม่ ชายหนุ่มลึกลับปล่อยให้จักรเพชรหมุนวนเข้าหาเขาไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่บังเกิดผลใดๆแก่เขาเลย จนเขาเริ่มเบื่อหน่าย
“ ฝีมือเจ้ามีเพียงแค่นี้เองหรือ “ ชายหนุ่มพูดเยาะ สิริกันยา พลางยื่นมือจับจักรเพชรเอาไว้
“ อาวุธนี้ดีไม่น้อย แต่จัดการได้แต่อสูรชั้นสวะเท่านั้น เกรงว่าหากนายกองอสูรทีมุน บุกเข้ามาโดยตนเองเจ้าคงโชกเลือดไม่น้อยกว่าจะฆ่ามันได้ ยิ่งเป็นพวกขุนพลมารด้วยแล้ว เจ้าคงถูกมันฆ่าตายไม่ต่ำกว่าสิบครั้งหากยังใจร้อนเช่นนี้ “
ว่าแล้วก็ส่งอาวุธให้แก่นาง สิริกันยา ยื่นมือรับจักรเพชรคืนมา แต่ก็ยังถูกแรงกระแทกจนเซถอย
“ แรงเยอะชะมัดใช่คนหรือเปล่านี้? “ สิริกันยา รู้สึกเสียหน้าอย่างมากที่อาวุธของนางทำอะไรฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เลย
“ เห็นเจ้าใช้จักรเพชรเป็นอาวุธ ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูจักรแก้วอาวุธของเพื่อนข้าหน่อยเป็นไง “
จู่ๆ ก็ปรากฏจักรแก้วขึ้นมาอันหนึ่ง ลอยวนเวียนอยู่รอบตัวของเขา สิริกันยา ไม่ยอมเสียหน้าขว้างจักรเพชรเข้าหาอีกครั้ง จักรทั้งสองโรมรันเข้าหากันเหมือนต้องการให้อีกฝ่ายแหลกลาญไป  สู้กันได้ครู่หนึ่งดูเหมือนคู่คี่ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า จักรแก้ว ยังไม่ได้เองจริงแต่อย่างใด จักรเพชรที่เข้าปะทะกับจักรแก้วแต่ละครั้ง เมื่อกระเด็นกลับมาก็สั่นไปมาไม่หยุดทุกครั้ง เพียงเวลาไม่นานจักรเพชรของ สิริกันยา ก็ถูก จักรแก้ว กำราบลงอย่างราบคาบ ตัวของจักรแก้ว กดทบจักรเพชร จนไม่อาจไปไหนได้
“ เจ้าจะเอายังไง “ เจ้าชายอภัยวงค์ เห็นท่าไม่ดี รีบเข้ามาอยู่เคียงข้างน้องสาว พร้อมพระขรรค์ในมือ
“ ข้าไม่ได้คิดมาสู้กับพวกท่าน เพื่อแต่แค่มาแสดงให้เห็นว่า หากพวกท่านยังคิดจะรักษานครเตมินทร์เอาไว้จะต้องทุมเทฝีมือและวางแผนให้ดีกว่านี้ “
ทุกคนต่างพากันไม่เข้าใจว่า ชายหนุ่มลึกลับ ประสงค์อะไรกันแน่ แต่ปริศนายังไม่ทันคลี่คลายก็มีคนมาใหม่อีกสองคน
“ พอเถอะที่รักของข้า แค่นี้พวกเขาก็คงเข้าใจแล้ว “ มีร่างหญิงสาวที่งดงามโผล่ออกจากหน้าประตูท้องพระโรงอีกสองคน เดินเข้ามาสมทบกับเขา
“ พวกท่านไม่ต้องตกใจไป นางทั้งสองเป็นภรรยาข้าเอง “ สายตาทุกคู่จ้องมองพวกนางไม่กระพริบความงามของนางสะกดผู้คนจนหมดสิ้น แม้แต่เจ้าชายอภัยวงค์ก็ยังแทบไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง
“ ในโลกนี้มีหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ด้วยหรือ ชายคนนี้ทำบุญมากี่ชาติถึงได้ภรรยาทั้งสองที่งดงามเช่นนี้ “
ถัดจากการปรากฏตัวของพวกนาง  จักรแก้วก็ลอยตัวขึ้นปล่อยให้ จักรเพชร คืนสู่มือผู้เป็นเจ้าของ จักรเพชรยังไม่ลอยไปไหนแต่ภายในท้องพระโรงก็เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง พายุหมุนที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนชายหนุ่มผมยาวผู้หนึ่งก่อนยื่นมือไปจับอาวุธของตัวเองที่ลอยอยู่ รูปร่างหน้าตาที่ชวนให้หญิงสาวใฝ่ฝันหาเช่นนี้จะมีใครได้นอกจาก.....
“ เจ้าพี่ อนันตวาโย!!! “ ปทุมเกสร อุทานอย่างดีใจที่ได้เห็นเขา
เสียงของปทุมเกสรปลุกให้ทุกคนตื่นจากภวังค์ พระราชาพิมุกทรงจ้องมอง อนันตวาโย ตาไม่กระพริบ
“ เจ้า .. เจ้าเหมือนมาก เหมือนเทพบุตรที่ข้าฝันถึง “
อนันตวาโย ยิ้มน้อยๆ ก่อนทูลตอบพระองค์ว่า
“ หม่อมฉันดีใจยิ่งนัก ที่พระองค์ยังจดจำคำเตือนของหม่อมฉันได้ “
ปทุมเกสร เดินเข้าไปหา อนันตวาโย มองดูเขาอย่างหลงไหล
“ เจ้าพี่ อนันตวาโย “
“ ดอกบัวน้อย พี่ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พวกเจ้าต้องตกใจกัน “
พระราชาพิมุกและคนอื่นๆ ต่างไม่เข้าใจเหลือเกินว่านี้มันเรื่องอะไรกันทำไมจู่ๆ พระธิดาปทุมเกสรถึงได้รู้จักชายผู้นี้
“ พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? ปทุมเกสร นี้มันเรื่องอะไรกันบอกพ่อมาสิ “
ปทุมเกสร ไม่รู้จะเริ่มอธิบายตรงไหนดี
“ เอ้อ คือว่า .เสด็จพ่อ ”
“ ให้พวกหม่อมฉันเป็นคนตอบจะดีกว่า พระเจ้าข้า “ อนันตวาโย บอก
สายตาทุกคู่ต่างจดจ้องมาที่พวกเขาทั้งสี่
“ หม่อมฉันขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ  หม่อมฉันชื่อ น้ำทิพย์ที่สาม และนี้ก็ภรรยาทั้งสองของหม่อมฉัน มณีมรกต และ ชมพูมุกดา “
เสร็จจากการแนะนำตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม แล้ว ก็ถึงคราวของ อนันตวาโย
“ ส่วนหม่อมฉันชื่อ อนันตวาโย เป็นทายาทเทพแห่งวายุ  พวกเราได้รับหน้าที่ให้มาจัดการกับเหล่าอสูรที่เข้ามารุกรานในโลกมนุษย์พระเจ้าข้า “
“ ถ้าเช่นนี้ ที่ข้าฝันเห็นเจ้าก็คงไม่ใช่ความฝันใช่ไหม? “ พระราชาพิมุกทรงตรัสถาม
“ พระเจ้าข้า คืนนั้นหม่อมฉันแอบเข้าไปเตือนพระองค์เอง เหตุที่พวกหม่อมฉันไม่ปรากฏตัวมาตั้งแต่แรกเพราะยังไม่ต้องการให้ใครรู้และที่สำคัญพระองค์เองก็อาจจะไม่เชื่อหม่อมฉันก็ได้ พวกหม่อมฉันก็เลยต้องวางแผนเพื่อให้พระองค์ทรงรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในนครเตมินทร์ด้วยพระองค์เอง “
สิริกันยา ยังไม่เชื่อพวกเขา อีกทั้งนางยังไม่หายเจ็บใจที่เสียหน้าเมื่อครู่นี้
“ พวกเจ้าพูดกันเอง จะให้พวกเราเชื่อได้อย่างไร ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะเป็นพวกอสูรปลอมแปลงตัวมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ “
อนันตวาโย มองหน้าสาวน้อยที่อวดดี
“ แล้วจะให้พวกข้าทำอย่างไร เจ้าถึงจะเชื่อ? “
สิริกันยา ตอบว่า
“ ก็หาหลักฐานมายืนยันสิ ข้าถึงจะเชื่อ “
อนันตวาโย ไม่ตอบนางในทันทีแต่ดีดนิ้วแทน พลันมีร่างของใคร ๔ คนโผล่ขึ้นมาอย่างทันทีทันใด ก่อนทำความเคารพพวกเขา
“ เทพพิทักษ์นคร!!! “ พระราชาพิมุกทรงตกพระทัยยิ่งนักที่จู่ๆเทพพิทักษ์นครของพระองค์ก็ออกมาพร้อมกันทั้งสี่องค์ แถมยังทำท่าทางเคารพนบน้อมต่อพวกเขาด้วย
“ พวกข้าเหล่าเทพพิทักษ์นครเตมินทร์ ขอคาราวะต่อ ๒ ใน ๘ เทพ ผู้ที่ได้เลือกให้ทำหน้าที่ในการปราบจ้าวอสูรกัลย์ปาอสูร “
อนันตวาโย มองหน้านางยิ้มอย่างเป็นต่อ ส่วนสิริกันยา ทำหน้าไม่ถูกพูดอะไรไม่ออก
“ ที่นี้เจ้าคงเชื่อข้าแล้วสินะ “
---------------------------------------------
...ที่ชะง่อนผาอีกด้านหนึ่งของนครอัญจารี ปรากฏพยัคฆ์ขาวสลับเหลืองแกมริ้วสีดำตัวหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ตาทั้งสองข้างหลับสนิท เหมือนเสือกำลังยืนหลับ แต่จริงๆแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ในเวลานี้เสือน้ำแข็งกำลังใช้จมูกที่ไวกว่าคนธรรมดาทั่วไป สัมผัสกลิ่นที่เขาต้องการ โดยมีสายลมเป็นผู้นำพากลิ่นเหล่านั้นมา
“ อืม... ใช่จริงๆ พวกมันแฝงตัวเข้ามาภายในนครอัญจารีไม่ต่ำกว่า ๒๐๐-๓๐๐ ตน ถ้าให้ข้าไล่ล่าพวกมันไปเรื่อยๆ กว่าจะกำจัดพวกมันเสร็จก็กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๒ วันเห็นจะได้ “
ภาวะบีบคั้นเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มีหนทางออก
“ งั้นต้องมาดูกันหน่อยว่าข้าจะหลอกพวกมันได้หรือเปล่า? “
พยัคฆ์วารี กระโจนตัวลงมาจากหน้าผา สู่บริเวณป่าใหญ่ แยกร่างออกมาทั้งหมด ๕ ร่าง กระจายกำลังออกมาเป็นบริเวณกว้าง ๕ จุด สำรวมจิต เปล่งพลัง สร้างเขตอาคมขึ้นมา ปรากฏลำแสงพุ่งจากจุดที่ ๑ ไปถึงจุดที่ ๕ จุดที่ ๕ ไปจุดที่ ๒ จุดที่ ๒ ไปจุดที่ ๓ จุดที่ ๓ ไปจุดที่ ๔ และจุดที่ ๔ กลับไปยังจุดที่ ๑ กลายเป็นรูปดาวห้าแฉก พร้อมกับปรากฏเขตอาคมรูปวงกลม ล้อมรูปดาวห้าแฉกไว้อีกชั้นหนึ่ง นี้คือเวทย์วิชา
“ ค่ายกลพยัคฆ์กักอธรรม “
เมื่อเสร็จสิ้นแผนการแรก ร่างของ เสือน้ำแข็งทั้ง ๕ ก็กลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง
“ ขั้นตอนแรกสำเร็จแล้ว ต่อไปก็เริ่มขั้นตอนที่ ๒ ได้ “ พยัคฆ์วารี สำรวมจิตคืนร่างเป็นมนุษย์ ก่อนโอมอ่านพระเวทย์อีกแบบหนึ่ง จนมีหมอกควันพวยพุ่งออกมา และแล้วร่างของเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายไปเป็นอีกคนหนึ่ง
“ นายกองอสูรเชวา!!!! “
พยัคฆ์วารี ลืมตาขึ้นสำรวจดูร่างกายตัวเอง
“ ที่นี้ก็ถึงคราวราชสีห์ออกล่าเหยื่อได้แล้ว “
พยัคฆ์วารี ลอยตัวขึ้นสู่เหนือป่า เหาะไปยังทิศทางที่เขาดมกลิ่นได้ พร้อมกับสำรวจรอบๆบริเวณที่เขาเหาะผ่านมา เหาะมาได้ไม่นานก็พบกระท่อมหลังหนึ่งพร้อมกับชาวบ้านอยู่ ๒ คน พยัคฆ์วารี ดมกลิ่นจนแน่ใจถึงค่อยเหาะลงมาพวกเขา
“ อยู่กันที่นี้เองปล่อยให้ข้าตามหาแทบแย่ “  พยัคฆ์วารี แกล้งตีหน้าฉุนเฉียว
ชาวบ้านทั้งสองต่างตกใจที่ได้เห็นเขา
“ ท่านนายกองอสูรเชวา “
ฉับพลันชาวบ้านทั้งสองก็คืนร่างเดิม กลายร่างเป็นอสูร ๒ ตนก่อนก้มตัวทำความเคารพ
“ ท่านนายกองอสูรเชวา ท่านมาที่นครอัญจารี นี้ได้อย่างไรกัน? ทำไมพวกข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย “
พยัคฆ์วารี ทำสีหน้าเป็นปกติไม่มีอาการส่อพิรุธให้เห็น
“ ข้าเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เอง ไม่ได้ส่งข่าวให้ใครรู้ พวกเจ้าทั้งสองรีบระดมพลอสูรสื่อสารทั้งหมด มาพบข้าที่เนินเขาด้านโน้นโดยด่วน “ พยัคฆ์วารีสั่งและชี้นิ้วไปยังเนินเขาลูกนั้น
“ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือขอรับ ท่านนายกองอสูรเชวา ท่านถึงให้พวกข้าระดมพลมากมายอย่างนี้ “
พยัคฆ์วารี แกล้งทำขบเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ
“ จะมีอะไรซะอีกล่ะ ก็พวกเทพนะสิ พวกมันจวนจะมาถึงนครอัญจารีแล้ว โชคดีที่ข้าส่งอสูรสืบข่าวแอบไปดักฟังข่าวมาได้ก่อนที่พวกมันจะมาถึงที่นครอัญจารีนี้ ข้าก็เลยคิดวางแผนการที่จัดการพวกมันก่อนที่พวกมันจะเข้ามายังนครอัญจารี ตอนนี้กองกำลังของข้ากำลังรอพวกเจ้ามารวมพลสมทบอยู่ทางเนินเขาลูกนั้น “
“ โธ่ท่าน เรื่องแค่นี้ ท่านไม่น่าต้องมาเองก็ได้ แค่สั่งพวกทหารมาก็พอแล้ว “ อสูรตนนั้นว่า
“ เฮ้ย!! ไม่ได้ข้าต้องมาเอง ไม่อย่างนั้นข้าไม่วางใจ พวกเจ้าลองคิดดูสิ แม้แต่ ท่านขุนพลมารพลาสูร ยังเกือบเสร็จพวกมัน ขืนข้าไม่มากำกับงานเอง มีหวังล้มไม่เป็นท่าแน่ “
อสูรทั้งสองตนต่างพยักหน้า มีความคิดเห็นคล้อยตาม พยัคฆ์วารี
“ พวกเจ้าไปกันได้แล้ว อย่ามัวชักช้าอยู่ “
“ ขอรับ “
อสูรทั้งสอง เหาะลอยเข้าไปในนครอัญจารี ต่างพากันแยกย้ายส่งข่าวให้เหล่าอสูรสื่อข่าวทั้งหมด มารวมพลที่เนินเขาลูกนั้น ส่วนพยัคฆ์วารี เหาะกลับไปรออยู่ที่เนินเขาก่อนแล้ว เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป เหล่าอสูรสืบข่าว จำนวนไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ ตน ก็เหาะมารวมพลกันนะที่แห่งนั้น
“ ท่านนายกองอสูรเชวา พวกข้ามากันแล้ว ขอรับ “
อสูรทั้งหมดต่างรวมพล ณ ที่แห่งนั้น พลางสอดส่องสายตาหา กองกำลังที่เดินทางมาสมทบ แต่เหล่าอสูรทั้งหมด กลับมองเห็นนายกองอสูรเชวา ยืนอยู่ลำพังเพียงแค่คนเดียว
“ ท่านกองอสูรเชวา พวกเราหายไปไหนกันหมด ทำไมพวกข้าถึงเห็นท่านยืนอยู่เพียงแค่คนเดียว ขอรับ “ อสูรตนนั้นถาม
“ หึๆ พวกมันยังมากันไม่ถึง นครอัญจารี หรอก “
“ อ้าว! ไหนท่านบอกข้าสองคนว่า กองกำลังของพวกเรารออยู่ที่นี้อย่างไรล่ะ? “
พยัคฆ์วารี ยังไม่ตอบพวกเขา แต่ชักดาบเขี้ยวพยัคฆ์ที่แอบซ่อนเอาไว้ออกมาแทน
“ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ให้ข้าส่งพวกเจ้าทั้งหมดไปนรกก่อน แล้วค่อยส่งพวกมันตามไปรวมกับพวกเจ้าทีหลัง “
พยัคฆ์วารี ไม่รอช้ากระโจนเข้าหาเหล่าอสูร กวัดแกว่ง ดาบคู่เข้าสังหารศัตรู พลังเย็นไหลออกจากปลายดาบทั้งสองจนรอบบริเวณหนาวสะท้าน
“ นี้มันอะไรกัน? ท่านนายกองอสูรเชวา ท่านจะทำอะไรพวกข้า “ อสูรตนนั้นร้องถามอย่างตกใจ
“ ก็จะฆ่าพวกเจ้านะสิ ถามได้ “
เหล่าอสูรต่างเห็นผิดท่า อีกทั้งกลัวถูกดักซุ่มโจมตี พยายามหนีออกมาจากบริเวณนั้นให้ได้แต่ทว่า...
“ อ๊ากกก “ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเหล่าอสูรหลายตนร้องดังขึ้น ค่ายกลของ พยัคฆ์วารี ทำงานแล้ว แผ่รัศมีครอบ อสูร กลุ่มนั้นไว้ไม่ให้หลบหนีออกไปไหนได้
“ มันต้องไม่ใช่ ท่านนายกองอสูรเชวาแน่ “ เหล่าอสูรเริ่มตะหนักแล้วว่าหลงกลฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว
“ รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้วพวก “ พยัคฆ์วารี พุ่งร่างเข้ามาอย่างเร็วผ่านกลุ่มอสูรไม่ต่ำกว่าสิบตนแต่พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับพยัคฆ์วารีได้ เพียงพริบตาเดียวอสูรทั้งสิบตนก็ถูกสังหารไปจนหมด เลือดนองพื้นไปทั่ว
“ มันหนึ่งคนแต่พวกเรามีเป็นร้อย อย่าไปกลัวมันฆ่ามันให้ได้ “
เหล่าอสูรทั้งหมดต่างกรูเข้าหาพยัคฆ์วารี เหมือนต้องการฉีกเข้าออกเป็นชิ้นๆ เพื่อระบายความแค้น
“ มาเลย เจ้าลูกเต่า มาให้พ่อเชือดซะดีๆ “
พยัคฆ์วารี กระโจนตัวสูงขึ้นพร้อมกับดาบทั้งสอง ก่อนฟาดลงมาอย่างแรง ปรากฏเงาดาบมหึมาและเสียงของสัตว์ร้ายที่ดังกึกก้อง
“ ฟ้าวๆๆๆ  กรรรรรรรร โฮกกกกกกกกกกกกกกกกก “
“ วิชา ๔ พยัคฆ์คำรณ  พยัคฆ์ฟ้าก้องคำราม “
เหล่าอสูรที่กรูกันเข้ามา ถูกเงาดาบยักษ์ ฟันกระจายลงในพริบตาเดียว มีจำนวนไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อยนอนตายอยู่ตรงนั้น เลือดไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำท่วม
“ ร้ายกาจ อะไรอย่างนี้ “ เหล่าอสูรต่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่าศัตรูตรงหน้าจะร้ายกาจและน่ากลัวเช่นนี้
ถึงจะกลัวแต่ถ้าไม่สู้โอกาสรอดก็ไม่มี
“ ตายเป็นตายพวกเราลุย “
“ เฮๆๆๆ “ เหล่าอสูรต่างเฮโลเข้าหา พยัคฆ์วารี อีกรอบ
“ ยังจะดิ้นเอาชีวิตรอดอีกหรือ? “
พยัคฆ์วารี ควงดาบทั้งสองเข้าหาเหล่าอสูรที่บุกเข้ามา เขาควงดาบเปลี่ยนทิศทางไปมาเรื่อยเหมือนไม่มีจุดหมายที่แน่นอนแต่ถ้าสังเกตให้ดี ฝุ่นที่อยู่บนพื้นเริ่มลอยขึ้นมาเหมือนม่านหมอก เหล่าอสูรหยุดชะงักเมื่อมองไม่เห็น พยัคฆ์วารี แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายก็ยังไม่บุกเข้ามา ต่างก็พากันคิดว่า พยัคฆ์วารี กลัวพวกเขาที่มีกำลังมากกว่า
“ มันไม่กล้าบุกเข้ามาหรอก พวกเรารุมสับมันให้เละเลย “
เหล่าอสูรต่างใช้อาวุธที่มี ทิมแทงฝ่าม่านหมอกฝุ่นหวังฆ่าพยัคฆ์วารีให้ได้
“ อ๊ากกกก “
เพียงย่างก้าวแรกที่ฝ่าเข้าไปเท่านั้น พวกอสูรกลุ่มแรกก็กระเด็นลอยกลับออกมาตัวตกลงพื้น ขาดใจตายในทันที ตามเนื้อตัวถูกดาบฟันนับไม่ถ้วน และแล้วฝุ่นก็เริ่มจางลงจนเห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้า
“ หา...... “ เหล่าอสูรต่างตาค้าง พูดอะไรไม่ออก
มีพายุหมุนลูกหนึ่งหมุนวนอยู่ตรงนั้นแต่อะไรไม่น่ากลัวเท่า พายุลูกนี้ไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นพายุที่สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์มาทั่วบริเวณ
“ พายุดาบ!!! “
ดาบที่หมุนอยู่ในพายุกระทบกับแสงอาทิตย์จนเข้าลูกตา เหล่าอสูรต่างไม่อาจทนแสงที่ส่องเข้ามาหาได้ ลืมตาไม่ขึ้นทุกคน
“ ย๊าก  “  พายุดาบหมุนวนเข้าหาเหล่าอสูรแล้ว
“ กระบวนดาบพยัคฆ์ลม พายุดาบคู่ปลิดชีพ “
“ อ๊ากกก “ เหล่าอสูร ไม่สามารถหลบพายุดาบที่พัดเข้ามาได้ถูกฟันจนล้มตายลง ที่โชคร้ายก็ถูกฟันจนตัวขาด แขนขาด ใช้เวลาไม่กี่อึดใจ อสูรทั้งหมด ๓๐๐ ตนก็ถูกพยัคฆ์วารี สังหารตายจนเกือบหมดสิ้น
“ วิ้วๆ “ พายุดาบค่อยผ่อนความเร็วลงจนเหลือแต่ พยัคฆ์วารี
“ เจ้า......เป็นใครกัน? “ อสูรตนหนึ่งที่ใกล้จะหมดลมหายใจเอ่ยถามเขา
พยัคฆ์วารี ไม่ตอบแต่คืนร่างเดิมให้เห็น เพียงแค่นั้นก็เพียงพอเป็นคำตอบให้อีกฝ่ายแล้ว
“ พวก.....เทพ อ๊อคคๆ “ อสูรตนนั้นสิ้นใจตายหลังจากรู้ความจริง
“ ถึงพวกเจ้ากับข้าจะเป็นศัตรูกัน ข้าก็ไม่ใจร้ายปล่อยให้แร้งกา มารุมทึ้งศพของพวกเจ้าหรอก “
พยัคฆ์วารี ใช้พระเวทย์ที่มีอยู่รวบรวมศพของเหล่าอสูรทั้งหมดมากองรวมกัน ก่อนที่จะยื่นมือออกไปข้างหน้า
“ ไฟ  “
“ พรึบ  “ ศพเหล่าอสูรถูกไฟเผามอดไหม้จนหมด
“ แค่นี้ก็เรียบร้อย ทีนี้ก็กลับไปหา ดวงใจมารได้แล้ว “
หลังจากเก็บกวาดร่องรอยแล้ว พยัคฆ์วารีก็เหาะไปสมทบกับ เปมิกา ที่นครอัญจารี ในทันที
จบตอนที่ ๒๔ ครับ วิชา ๔ พยัคฆ์คำรณ ผมดัดแปลงมาจากวิชาแมวน้อยส่งเสียงครับ ตอนดึกๆประมาณเที่ยงคืนถึงตีสอง มักจะมีแมวดำแอบเข้ามาในบ้านผมแล้วร้องเมี้ยวๆอยู่บ่อยๆ ( สงสัยมันคงมาหาเศษอาหารกิน ) ด้วยความกลัวและกึ่งรำคาญเลยไม่ลงไปดู เพราะถ้าเกิดลงไปเจออะไรที่ไม่ใช่แมวดำแล้วจะยุ่ง เหอๆๆๆ ( ที่รู้ว่าแมวดำเพราะเห็นมันมาแอบอยู่บนกำแพงตอนหัวค่ำ ) แฮะๆๆๆ แต่เดี๋ยวนี้มันหนีหายไปไหนไม่รู้แล้วครับ เหลือแต่แมวสีเทาๆที่ยังแวะเวียนมาหาอยู่บ้าง
ตอนที่ ๒๔ เปิดเผยตัว
    พระราชา อทิตวงค์ แห่งนครวิสัญเทพ ทรงได้รับสาสน์ขอความช่วยเหลือจากพระราชาพิมุก ผู้เป็นพระสหายของพระองค์ เมื่อทางทราบความเช่นนั้นแล้วพระองค์จึงมีรับสั่งให้พระโอรสองค์โตคือ เจ้าชายอภัยวงค์ พร้อมด้วย เจ้าหญิงสิริกันยา พระโอรสและพระธิดา นำกองทัพจากนครวิสัญเทพ มาช่วยเหลือนครอัญจารี ตามที่พระราชาพิมุก ทรงขอร้อง เหตุที่ พระราชา อทิตยวงค์ ทรงให้ความช่วยเหลือ พระราชาพิมุก โดยไม่อิดออดนั้น ก็เพราะทั้งสองพระองค์ทรงเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันและที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ทั้งสองพระองค์ต่างผูกสัมพันธไมตรีโดยการให้ พระธิดาปทุมมาลี ผู้เป็นพี่ของพระธิดา ปทุมเกสร ทรงอภิเษกสมรสกับ เจ้าชายอภัยวงค์ ด้วยเหตุนี้เมื่อนครเตมินทร์ มีภัยอันตรายเกิดขึ้น นครวิสัญเทพ จึงมิอาจนิ่งดูดายได้
    “ จ้า จ้า จ้าๆๆ “
    “ ฮี้ๆๆๆ “
เสียงร้องของคนและม้าลอยดังมาแต่ไกลจนถึง หน้าประตูนครเตมินทร์ ปรากฎขบวนรถม้าขบวนหนึ่งพร้อมด้วยกองทัพใหญ่เคลื่อนพลเข้ามายังนครเตมินทร์  คนที่นำหน้าขบวนมาเป็นหญิงสาวรุ่น เอวบางร่างน้อย อายุอานามคงพอๆ กับ พระธิดาปทุมเกสร ชุดที่นางสวมใส่เป็นชุดทำศึกของเชื้อพระวงค์ชั้นสูง ท่วงท่าในการบังคับม้าดูกระชับกระเช้งและว่องไวเหมือนนักรบ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่อาจลบภาพของพระธิดาที่ดูสูงศักดิ์ออกไปได้ นางสั่งให้ขบวนรถม้าและกองทัพทั้งหมดรออยู่ด้านนอกก่อนควบม้าผ่านเข้าในเขตนครเตมินทร์จนฝุ่นคลุ้งตลบ ยังความแตกตื่นให้กับชาวนครเตมินทร์ยิ่งนัก จนมาถึงหน้าประตูนครเตมินทร์ นางถึงชักสายบังเหียนเพื่อหยุดม้า
“ ฮี้ๆๆๆ “  ม้ากระโดดตัวลอยขึ้นอย่างฉับพลันเนื่องจากหยุดฝีเท้ากะทันหัน มองดูแล้วน่าหวาดเสียวเหลือเกินว่าคนบนหลังม้าจะตกลงมา
“ เช้ง “  เหล่าทหารรักษาประตูนครเตมินทร์ต่างชักดาบออกจากฝักห้อมล้อมนางไม่ให้ขยับไปไหน
“ เจ้าเป็นใครกันถึงกล้าบังอาจขี่ม้าโลดโผน เข้ามาถึงหน้าประตูนครเช่นนี้ ไม่กลัวจะต้องโทษอาญาประหารหรืออย่างไร? “ ทหารรักษาประตูคนหนึ่งถามนาง
หญิงสาวในชุดทะมัดทะแมง พูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ไม่ได้ตื่นตกใจแต่อย่างใด
“ เจ้าเข้าไปบอกเสด็จลุงพิมุกด้วยว่า ข้าสิริกันยา เจ้าหญิงแห่งนครวิสัญเทพ และเจ้าพี่อภัยวงค์ ขอพระบรมราชานุญาตเข้าเฝ้าพระองค์ ตามที่เสด็จลุงส่งสาสน์ไปถึงนครวิสัญเทพ  “
เมื่อรู้ฐานะของนางเหล่าทหารรักษาประตูต่างคุกเข่าขอพระราชทานอภัยโทษ
“ พวกข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระราชทานอภัยพระเจ้าข้า “
“ ไม่ต้องพูดมาก รีบนำความของข้าเข้าไปกราบบังคมทูลได้แล้ว “ นางสั่ง
“ รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า “
ทหารรักษาประตูรีบเข้าไปกราบบังคมทูลรายงานให้พระราชาพิมุกทรงทราบ ซึ่งในท้องพระโรงขณะนี้พระราชาพิมุก ทรงกำลังออกว่าราชการอยู่ ทหารรักษาประตูนคร เมื่อเข้ามาภายในเขตท้องพระโรงก็คลานเข้าไปทูลถวายรายงานทันที
“ ขอเดชะ พระอาญามิพ้นกล้า บัดนี้ องค์หญิงสิริกันยา และพระราชบุตรเขยอภัยวงค์ ขอพระราชานุญาตเข้าเฝ้าพระองค์ พระเจ้าข้า “
พระพักตร์ของ พระราชาพิมุก เปลี่ยนจากที่เคร่งขรึม เป็นมีรอยยิ้มแต้มขึ้นมา
“ พาหลานข้า กับลูกข้า มาหาข้าเดี๋ยวนี้ “
“ รับด้วยเกล้า พระเจ้าข้า “
ทหารรักษาประตู ถวายบังคมลาก่อนไปเชิญพระธิดาและราชบุตรเขยเข้ามา เพียงเวลาไม่นาน ทั้งสิริกันยา ราชบุตรเขยอภัยวงค์ และ พระชายาปทุมมาลี ก็เสด็จเข้ามาภายในท้องพระโรง เหล่าข้าราชบริพาร ต่างถวายบังคม เชื้อพระวงค์ทั้งสาม
“ เสด็จพ่อ “ ปทุมมาลี รีบเข้าไปกอดพระบิดา ด้วยความรักและเป็นห่วง
“ เสด็จพ่อ ทรงไม่เป็นอะไรใช่ไหมเพคะ “ นางทูลถามพระบิดาอย่างรีบร้อน
“ พ่อไม่เป็นไรหรอกลูก  “ พระราชาพิมุก ทรงปลอบโยนพระธิดาของพระองค์
“ ตั้งแต่หม่อมฉันได้ทราบข่าวจากม้าเร็ว ใจคอหม่อมฉันก็ไม่ดีเลยเพคะเสด็จพ่อ หม่อมฉันกลัวว่าเสด็จพ่อจะทรงได้รับอันตราย “
“ เด็กโง่ พ่อไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก “ พระราชาพิมุก ทรงสวมกอดพระธิดาของพระองค์ไว้ เพื่อไม่ต้องการให้ ปทุมมาลี กังวลใจเกี่ยวกับข่าวร้ายให้มากนัก
“ เสด็จพี่ปทุมมาลี “ เสียงกังวานใสของ ปทุมเกสร ร้องเรียกนางจนทำให้พระชายาต้องหันกลับมามอง
“ เสด็จแม่ น้องปทุมเกสร “ พระชายาปทุมมาลี ทรงเสด็จเข้าไปหาทั้งสองพระองค์ ต่างฝ่ายต่างสวมกอดกันต่างพระกรรแสงออกมาด้วยความรักและห่วงใยประกอบกับทั้งสามพระองค์ไม่ได้พบหน้ากันมานานจึงไม่อาจห้ามน้ำพระเนตรที่ไหลออกมาได้
“ เสด็จพ่อ พระเจ้าข้า เรื่องมันเป็นอย่างไรมาอย่างไรพระเจ้าข้า โปรดพระราชทานบอกลูกด้วย “ เจ้าชายอภัยวงค์ ทูลถามพระองค์
“ เฮ้อ!! “ พระราชาพิมุก ถอนพระทัย ก่อนตอบราชบุตรเขยว่า
“ เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อหลายคืนก่อน คืนนั้นพ่อกำลังนอนหลับอยู่ดีๆ ก็ฝันถึงเทพบุตรองค์หนึ่งมาเตือนพ่อว่า จะมีพวกอสูรยกกองทัพมารุกรานเรา “
เมื่อได้ยินที่เสด็จพ่อตรัส ปทุมเกสรก็อดยิ้มไม่ได้ เมื่อรู้ว่าเสด็จพ่อของนางทรงเชื่อที่ อนันตวาโย มาบอกข่าว
“ พอพ่อตื่นขึ้นมา ก็เรียกโหรหลวงให้มาทำนายฝัน แต่โหรหลวงกลับบอกพ่อว่า พ่อไม่ได้ฝันแต่มีเทพบุตรองค์หนึ่งมาเตือนจริงๆ พ่อก็เลยสั่งให้อำมาตย์ไกรเดช และอำมาตย์เตยู ออกลาดตะเวนให้ทั่วนครเตมินทร์ “ พระราชาพิมุกทรงไม่ได้เล่าต่อแต่ขยับพระพักตร์หันไปหา อำมาตย์เตยู แทน
“ กราบบังคมทูลราชบุตรเขย พวกข้าพระพุทธเจ้าเมื่อได้รับทราบก็ทำการออกลาดตะเวนค้นหาเกือบทุกจุดในพระนคร กันอย่างแข็งขัน ก็ยังไม่พบอะไรผิดสังเกต แต่ถึงกระนั้นพวกข้าพระพุทธเจ้าก็ได้หาชะล่าใจไม่ จนเมื่อ ๓ วันก่อนพวกข้าพระพุทธเจ้าและเหล่าทหารกำลังตรวจตราอยู่นอกเขตพระนครก็ได้เจออสูรกลุ่มหนึ่งกำลังไล่จับชาวบ้านกินเป็นอาหาร อยู่ทางชายป่าด้านตะวันออก พวกข้าพระพุทธเจ้าจึงได้ทำการเข้าต่อสู้กับพวกมันโดยหวังว่าจะจัดการพวกมันและจับพวกมันมาเค้นถามเรื่องราวความเป็นมาที่พวกมันแอบเข้ามาภายในนครของเรา แต่พวกมันมีจำนวนมากกว่า พวกข้าพระพุทธเจ้าก็เลยต้องคุ้มกันชาวบ้านที่เหลือและถอนกำลังกลับมาพระเจ้าข้า “
“ แล้วพวกท่านพอรู้ไหมว่า พวกมันแอบหลบซ่อนตัวกันอยู่ที่ไหนบ้าง? “ องค์หญิงสิริกันยา ทรงตรัสถาม
อำมาตย์ทั้งสอง อึดอัด ต่างไม่กล้ากราบทูล
“ นี้ท่านสองคนอย่าบอกข้านะว่า ท่านทั้งสองยังไม่รู้เลยว่า พวกมันมีกันอยู่เท่าไรและแอบซ่อนตัวกันอยู่ที่ไหน? “
“ พระเจ้าข้า “ อำมาตย์ไกร ทูลตอบโดยไม่กล้าสบพระพักตร์
“ ให้มันได้อย่างนี้สิ แล้วนี้พวกท่านจะให้ข้ากับเจ้าพี่อภัยวงค์ จัดการพวกมันได้อย่างไรกัน? พวกท่านทำงานกันประสาอะไรถึงไม่รู้เรื่องอะไรซักอย่าง “ องค์หญิงสิริกันยา เอ่ยขึ้นอย่างขัดใจ
“ ใจเย็นๆ ก่อน สิริกันยา ท่านอำมาตย์ทั้งสองก็ทำตามกำลังเต็มความสามารถแล้วจะโทษพวกเขาก็ไม่ถูก การติดตามหาพวกอสูรใช่ว่าจะเป็นเรื่องง่ายเสียเมื่อไรกัน “ เจ้าชายอภัยวงค์ทรงปรามพระขนิษฐาไว้
“ แล้วเจ้ามีความคิดเห็นอะไรบ้าง? อภัยวงค์ “ พระราชาพิมุก ทรงตรัสถามขอความเห็นจากราชบุตรเขย
“ หม่อมฉันคิดว่า เราต้องนำกำลังออกค้นหาพวกอสูรกลุ่มนี้โดยเร็วที่สุด หากพวกเราจับตัวพวกมันมาได้บ้างก็คงพอจะรู้ว่าพวกมันมีเป้าหมายอะไร และมีกำลังพลอยู่เท่าไร จะทำให้เราวางแผนรับมือพวกมันได้ดียิ่งขึ้น “
“ ดี ที่เจ้าว่ามาพ่อก็เห็นด้วย อำมาตย์ไกรเดช  เจ้าจงไปคัดทหารฝีมือดีมาจำนวนหนึ่ง เมื่อไรที่ลูกข้าพร้อมจะได้ออกค้นหาพวกมันกัน “
“ พระเจ้าข้า “ อำมาตย์ไกร รับพระบัญชา
“ อภัยวงค์ เจ้าระวังตัวให้ดีนะ พวกอสูรมันร้ายนัก “ พระเมสีปทุมวดี ทรงตรัสบอกราชบุตรเขยด้วยความห่วงใยกว่าเขาจะได้รับอันตราย
“ เสด็จแม่ ไม่ต้องทรงเป็นห่วงหรอก พระเจ้าข้า หม่อมฉันจะระวังตัวเป็นอย่างดี พระเจ้าข้า “
อำมาตย์ไกรเดชกำลังจะทูลลาเพื่อไปจัดเตรียมทหารก็ปรากฏเหล่าทหารที่อยู่หน้าประตูท้องพระโรงร่นถอยเข้ามาภายในท้องพระโรง โดยมีร่างของ ชายหนุ่มผู้สวมใส่สายสังวาลอัญมณีสีเหลือง เดินกดดันพวกเขาเข้ามา
“ เกิดอะไรขึ้น? “ อำมาตย์ไกรเดช รีบเข้าไปถามทหารที่ถอยเข้ามาในท้องพระโรง
“ ท่านอำมาตย์ขอรับ มีใครก็ไม่รู้บุกเข้ามา ฝีมือร้ายกาจนักพวกข้าต้านเขาไม่ไหวขอรับ “
ชายหนุ่มที่องอาจเดินเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผย ทุกคนต่างจดจ้องมองเขาอย่างไม่ไว้ใจ สิริกันยา เห็นชายหนุ่มที่เข้ามาท่าทางมีฝีมือไม่น้อย หากไม่ทำอะไรลงไปบ้างอาจทำให้ขวัญกำลังใจของเหล่าทหารเสีย
“ เจ้าเป็นใครเข้ามาในนี้ทำไม? “
ชายหนุ่มไม่ตอบเดินเข้ามาเรื่อยๆ
“ วอนซะแล้ว “ สิริกันยา อดทนต่อความอวดดีของฝ่ายตรงข้ามไม่ไหว นางประกบสองฝ่ามือเข้าหากัน เรียกอาวุธของตัวเองออกมาทันที
“ ฟิ้วๆๆๆๆ “ พลันปรากฏจักรเพชรขึ้นที่ฝ่ามือของนาง สิริกันยา มองดูเขาอีกครั้งก่อนซัดจักรเพชรเข้าหาชายหนุ่มคนนั้น
“ ฟิ้วๆๆ “ จักรเพชร หมุนตัวเข้าชายหนุ่มคนนั้นทันที แต่ชายหนุ่มลึกลับหาได้ใช้อาวุธต้านทานไม่ กลับปล่อยให้จักรเพชร หมุนเข้าหาตัวเขาอย่างแรง
“ ฟ้าวๆๆๆ เคร้งๆๆๆๆๆ “ จักรเพชรลอยหมุนเข้าทำร้ายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คมจักรหาได้ระคายผิวของเขาไม่ ชายหนุ่มลึกลับปล่อยให้จักรเพชรหมุนวนเข้าหาเขาไปเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่บังเกิดผลใดๆแก่เขาเลย จนเขาเริ่มเบื่อหน่าย
“ ฝีมือเจ้ามีเพียงแค่นี้เองหรือ “ ชายหนุ่มพูดเยาะ สิริกันยา พลางยื่นมือจับจักรเพชรเอาไว้
“ อาวุธนี้ดีไม่น้อย แต่จัดการได้แต่อสูรชั้นสวะเท่านั้น เกรงว่าหากนายกองอสูรทีมุน บุกเข้ามาโดยตนเองเจ้าคงโชกเลือดไม่น้อยกว่าจะฆ่ามันได้ ยิ่งเป็นพวกขุนพลมารด้วยแล้ว เจ้าคงถูกมันฆ่าตายไม่ต่ำกว่าสิบครั้งหากยังใจร้อนเช่นนี้ “
ว่าแล้วก็ส่งอาวุธให้แก่นาง สิริกันยา ยื่นมือรับจักรเพชรคืนมา แต่ก็ยังถูกแรงกระแทกจนเซถอย
“ แรงเยอะชะมัดใช่คนหรือเปล่านี้? “ สิริกันยา รู้สึกเสียหน้าอย่างมากที่อาวุธของนางทำอะไรฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เลย
“ เห็นเจ้าใช้จักรเพชรเป็นอาวุธ ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูจักรแก้วอาวุธของเพื่อนข้าหน่อยเป็นไง “
จู่ๆ ก็ปรากฏจักรแก้วขึ้นมาอันหนึ่ง ลอยวนเวียนอยู่รอบตัวของเขา สิริกันยา ไม่ยอมเสียหน้าขว้างจักรเพชรเข้าหาอีกครั้ง จักรทั้งสองโรมรันเข้าหากันเหมือนต้องการให้อีกฝ่ายแหลกลาญไป  สู้กันได้ครู่หนึ่งดูเหมือนคู่คี่ แต่ทุกคนต่างรู้ดีว่า จักรแก้ว ยังไม่ได้เองจริงแต่อย่างใด จักรเพชรที่เข้าปะทะกับจักรแก้วแต่ละครั้ง เมื่อกระเด็นกลับมาก็สั่นไปมาไม่หยุดทุกครั้ง เพียงเวลาไม่นานจักรเพชรของ สิริกันยา ก็ถูก จักรแก้ว กำราบลงอย่างราบคาบ ตัวของจักรแก้ว กดทบจักรเพชร จนไม่อาจไปไหนได้
“ เจ้าจะเอายังไง “ เจ้าชายอภัยวงค์ เห็นท่าไม่ดี รีบเข้ามาอยู่เคียงข้างน้องสาว พร้อมพระขรรค์ในมือ
“ ข้าไม่ได้คิดมาสู้กับพวกท่าน เพื่อแต่แค่มาแสดงให้เห็นว่า หากพวกท่านยังคิดจะรักษานครเตมินทร์เอาไว้จะต้องทุมเทฝีมือและวางแผนให้ดีกว่านี้ “
ทุกคนต่างพากันไม่เข้าใจว่า ชายหนุ่มลึกลับ ประสงค์อะไรกันแน่ แต่ปริศนายังไม่ทันคลี่คลายก็มีคนมาใหม่อีกสองคน
“ พอเถอะที่รักของข้า แค่นี้พวกเขาก็คงเข้าใจแล้ว “ มีร่างหญิงสาวที่งดงามโผล่ออกจากหน้าประตูท้องพระโรงอีกสองคน เดินเข้ามาสมทบกับเขา
“ พวกท่านไม่ต้องตกใจไป นางทั้งสองเป็นภรรยาข้าเอง “ สายตาทุกคู่จ้องมองพวกนางไม่กระพริบความงามของนางสะกดผู้คนจนหมดสิ้น แม้แต่เจ้าชายอภัยวงค์ก็ยังแทบไม่อยากเชื่อในสายตาตัวเอง
“ ในโลกนี้มีหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ด้วยหรือ ชายคนนี้ทำบุญมากี่ชาติถึงได้ภรรยาทั้งสองที่งดงามเช่นนี้ “
ถัดจากการปรากฏตัวของพวกนาง  จักรแก้วก็ลอยตัวขึ้นปล่อยให้ จักรเพชร คืนสู่มือผู้เป็นเจ้าของ จักรเพชรยังไม่ลอยไปไหนแต่ภายในท้องพระโรงก็เกิดพายุหมุนอย่างรุนแรง พายุหมุนที่เกิดขึ้นตรงหน้าก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนชายหนุ่มผมยาวผู้หนึ่งก่อนยื่นมือไปจับอาวุธของตัวเองที่ลอยอยู่ รูปร่างหน้าตาที่ชวนให้หญิงสาวใฝ่ฝันหาเช่นนี้จะมีใครได้นอกจาก.....
“ เจ้าพี่ อนันตวาโย!!! “ ปทุมเกสร อุทานอย่างดีใจที่ได้เห็นเขา
เสียงของปทุมเกสรปลุกให้ทุกคนตื่นจากภวังค์ พระราชาพิมุกทรงจ้องมอง อนันตวาโย ตาไม่กระพริบ
“ เจ้า .. เจ้าเหมือนมาก เหมือนเทพบุตรที่ข้าฝันถึง “
อนันตวาโย ยิ้มน้อยๆ ก่อนทูลตอบพระองค์ว่า
“ หม่อมฉันดีใจยิ่งนัก ที่พระองค์ยังจดจำคำเตือนของหม่อมฉันได้ “
ปทุมเกสร เดินเข้าไปหา อนันตวาโย มองดูเขาอย่างหลงไหล
“ เจ้าพี่ อนันตวาโย “
“ ดอกบัวน้อย พี่ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้พวกเจ้าต้องตกใจกัน “
พระราชาพิมุกและคนอื่นๆ ต่างไม่เข้าใจเหลือเกินว่านี้มันเรื่องอะไรกันทำไมจู่ๆ พระธิดาปทุมเกสรถึงได้รู้จักชายผู้นี้
“ พวกเจ้าเป็นใครกันแน่? ปทุมเกสร นี้มันเรื่องอะไรกันบอกพ่อมาสิ “
ปทุมเกสร ไม่รู้จะเริ่มอธิบายตรงไหนดี
“ เอ้อ คือว่า .เสด็จพ่อ ”
“ ให้พวกหม่อมฉันเป็นคนตอบจะดีกว่า พระเจ้าข้า “ อนันตวาโย บอก
สายตาทุกคู่ต่างจดจ้องมาที่พวกเขาทั้งสี่
“ หม่อมฉันขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ  หม่อมฉันชื่อ น้ำทิพย์ที่สาม และนี้ก็ภรรยาทั้งสองของหม่อมฉัน มณีมรกต และ ชมพูมุกดา “
เสร็จจากการแนะนำตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม แล้ว ก็ถึงคราวของ อนันตวาโย
“ ส่วนหม่อมฉันชื่อ อนันตวาโย เป็นทายาทเทพแห่งวายุ  พวกเราได้รับหน้าที่ให้มาจัดการกับเหล่าอสูรที่เข้ามารุกรานในโลกมนุษย์พระเจ้าข้า “
“ ถ้าเช่นนี้ ที่ข้าฝันเห็นเจ้าก็คงไม่ใช่ความฝันใช่ไหม? “ พระราชาพิมุกทรงตรัสถาม
“ พระเจ้าข้า คืนนั้นหม่อมฉันแอบเข้าไปเตือนพระองค์เอง เหตุที่พวกหม่อมฉันไม่ปรากฏตัวมาตั้งแต่แรกเพราะยังไม่ต้องการให้ใครรู้และที่สำคัญพระองค์เองก็อาจจะไม่เชื่อหม่อมฉันก็ได้ พวกหม่อมฉันก็เลยต้องวางแผนเพื่อให้พระองค์ทรงรู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในนครเตมินทร์ด้วยพระองค์เอง “
สิริกันยา ยังไม่เชื่อพวกเขา อีกทั้งนางยังไม่หายเจ็บใจที่เสียหน้าเมื่อครู่นี้
“ พวกเจ้าพูดกันเอง จะให้พวกเราเชื่อได้อย่างไร ไม่แน่ว่าพวกเจ้าอาจจะเป็นพวกอสูรปลอมแปลงตัวมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ “
อนันตวาโย มองหน้าสาวน้อยที่อวดดี
“ แล้วจะให้พวกข้าทำอย่างไร เจ้าถึงจะเชื่อ? “
สิริกันยา ตอบว่า
“ ก็หาหลักฐานมายืนยันสิ ข้าถึงจะเชื่อ “
อนันตวาโย ไม่ตอบนางในทันทีแต่ดีดนิ้วแทน พลันมีร่างของใคร ๔ คนโผล่ขึ้นมาอย่างทันทีทันใด ก่อนทำความเคารพพวกเขา
“ เทพพิทักษ์นคร!!! “ พระราชาพิมุกทรงตกพระทัยยิ่งนักที่จู่ๆเทพพิทักษ์นครของพระองค์ก็ออกมาพร้อมกันทั้งสี่องค์ แถมยังทำท่าทางเคารพนบน้อมต่อพวกเขาด้วย
“ พวกข้าเหล่าเทพพิทักษ์นครเตมินทร์ ขอคาราวะต่อ ๒ ใน ๘ เทพ ผู้ที่ได้เลือกให้ทำหน้าที่ในการปราบจ้าวอสูรกัลย์ปาอสูร “
อนันตวาโย มองหน้านางยิ้มอย่างเป็นต่อ ส่วนสิริกันยา ทำหน้าไม่ถูกพูดอะไรไม่ออก
“ ที่นี้เจ้าคงเชื่อข้าแล้วสินะ “
---------------------------------------------
...ที่ชะง่อนผาอีกด้านหนึ่งของนครอัญจารี ปรากฏพยัคฆ์ขาวสลับเหลืองแกมริ้วสีดำตัวหนึ่งยืนอยู่บนนั้น ตาทั้งสองข้างหลับสนิท เหมือนเสือกำลังยืนหลับ แต่จริงๆแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่ ในเวลานี้เสือน้ำแข็งกำลังใช้จมูกที่ไวกว่าคนธรรมดาทั่วไป สัมผัสกลิ่นที่เขาต้องการ โดยมีสายลมเป็นผู้นำพากลิ่นเหล่านั้นมา
“ อืม... ใช่จริงๆ พวกมันแฝงตัวเข้ามาภายในนครอัญจารีไม่ต่ำกว่า ๒๐๐-๓๐๐ ตน ถ้าให้ข้าไล่ล่าพวกมันไปเรื่อยๆ กว่าจะกำจัดพวกมันเสร็จก็กินเวลาไม่ต่ำกว่า ๒ วันเห็นจะได้ “
ภาวะบีบคั้นเช่นนี้ใช่ว่าจะไม่มีหนทางออก
“ งั้นต้องมาดูกันหน่อยว่าข้าจะหลอกพวกมันได้หรือเปล่า? “
พยัคฆ์วารี กระโจนตัวลงมาจากหน้าผา สู่บริเวณป่าใหญ่ แยกร่างออกมาทั้งหมด ๕ ร่าง กระจายกำลังออกมาเป็นบริเวณกว้าง ๕ จุด สำรวมจิต เปล่งพลัง สร้างเขตอาคมขึ้นมา ปรากฏลำแสงพุ่งจากจุดที่ ๑ ไปถึงจุดที่ ๕ จุดที่ ๕ ไปจุดที่ ๒ จุดที่ ๒ ไปจุดที่ ๓ จุดที่ ๓ ไปจุดที่ ๔ และจุดที่ ๔ กลับไปยังจุดที่ ๑ กลายเป็นรูปดาวห้าแฉก พร้อมกับปรากฏเขตอาคมรูปวงกลม ล้อมรูปดาวห้าแฉกไว้อีกชั้นหนึ่ง นี้คือเวทย์วิชา
“ ค่ายกลพยัคฆ์กักอธรรม “
เมื่อเสร็จสิ้นแผนการแรก ร่างของ เสือน้ำแข็งทั้ง ๕ ก็กลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง
“ ขั้นตอนแรกสำเร็จแล้ว ต่อไปก็เริ่มขั้นตอนที่ ๒ ได้ “ พยัคฆ์วารี สำรวมจิตคืนร่างเป็นมนุษย์ ก่อนโอมอ่านพระเวทย์อีกแบบหนึ่ง จนมีหมอกควันพวยพุ่งออกมา และแล้วร่างของเขาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนกลายไปเป็นอีกคนหนึ่ง
“ นายกองอสูรเชวา!!!! “
พยัคฆ์วารี ลืมตาขึ้นสำรวจดูร่างกายตัวเอง
“ ที่นี้ก็ถึงคราวราชสีห์ออกล่าเหยื่อได้แล้ว “
พยัคฆ์วารี ลอยตัวขึ้นสู่เหนือป่า เหาะไปยังทิศทางที่เขาดมกลิ่นได้ พร้อมกับสำรวจรอบๆบริเวณที่เขาเหาะผ่านมา เหาะมาได้ไม่นานก็พบกระท่อมหลังหนึ่งพร้อมกับชาวบ้านอยู่ ๒ คน พยัคฆ์วารี ดมกลิ่นจนแน่ใจถึงค่อยเหาะลงมาพวกเขา
“ อยู่กันที่นี้เองปล่อยให้ข้าตามหาแทบแย่ “  พยัคฆ์วารี แกล้งตีหน้าฉุนเฉียว
ชาวบ้านทั้งสองต่างตกใจที่ได้เห็นเขา
“ ท่านนายกองอสูรเชวา “
ฉับพลันชาวบ้านทั้งสองก็คืนร่างเดิม กลายร่างเป็นอสูร ๒ ตนก่อนก้มตัวทำความเคารพ
“ ท่านนายกองอสูรเชวา ท่านมาที่นครอัญจารี นี้ได้อย่างไรกัน? ทำไมพวกข้าถึงไม่รู้เรื่องเลย “
พยัคฆ์วารี ทำสีหน้าเป็นปกติไม่มีอาการส่อพิรุธให้เห็น
“ ข้าเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี้เอง ไม่ได้ส่งข่าวให้ใครรู้ พวกเจ้าทั้งสองรีบระดมพลอสูรสื่อสารทั้งหมด มาพบข้าที่เนินเขาด้านโน้นโดยด่วน “ พยัคฆ์วารีสั่งและชี้นิ้วไปยังเนินเขาลูกนั้น
“ มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือขอรับ ท่านนายกองอสูรเชวา ท่านถึงให้พวกข้าระดมพลมากมายอย่างนี้ “
พยัคฆ์วารี แกล้งทำขบเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ
“ จะมีอะไรซะอีกล่ะ ก็พวกเทพนะสิ พวกมันจวนจะมาถึงนครอัญจารีแล้ว โชคดีที่ข้าส่งอสูรสืบข่าวแอบไปดักฟังข่าวมาได้ก่อนที่พวกมันจะมาถึงที่นครอัญจารีนี้ ข้าก็เลยคิดวางแผนการที่จัดการพวกมันก่อนที่พวกมันจะเข้ามายังนครอัญจารี ตอนนี้กองกำลังของข้ากำลังรอพวกเจ้ามารวมพลสมทบอยู่ทางเนินเขาลูกนั้น “
“ โธ่ท่าน เรื่องแค่นี้ ท่านไม่น่าต้องมาเองก็ได้ แค่สั่งพวกทหารมาก็พอแล้ว “ อสูรตนนั้นว่า
“ เฮ้ย!! ไม่ได้ข้าต้องมาเอง ไม่อย่างนั้นข้าไม่วางใจ พวกเจ้าลองคิดดูสิ แม้แต่ ท่านขุนพลมารพลาสูร ยังเกือบเสร็จพวกมัน ขืนข้าไม่มากำกับงานเอง มีหวังล้มไม่เป็นท่าแน่ “
อสูรทั้งสองตนต่างพยักหน้า มีความคิดเห็นคล้อยตาม พยัคฆ์วารี
“ พวกเจ้าไปกันได้แล้ว อย่ามัวชักช้าอยู่ “
“ ขอรับ “
อสูรทั้งสอง เหาะลอยเข้าไปในนครอัญจารี ต่างพากันแยกย้ายส่งข่าวให้เหล่าอสูรสื่อข่าวทั้งหมด มารวมพลที่เนินเขาลูกนั้น ส่วนพยัคฆ์วารี เหาะกลับไปรออยู่ที่เนินเขาก่อนแล้ว เพียงเวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูป เหล่าอสูรสืบข่าว จำนวนไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ ตน ก็เหาะมารวมพลกันนะที่แห่งนั้น
“ ท่านนายกองอสูรเชวา พวกข้ามากันแล้ว ขอรับ “
อสูรทั้งหมดต่างรวมพล ณ ที่แห่งนั้น พลางสอดส่องสายตาหา กองกำลังที่เดินทางมาสมทบ แต่เหล่าอสูรทั้งหมด กลับมองเห็นนายกองอสูรเชวา ยืนอยู่ลำพังเพียงแค่คนเดียว
“ ท่านกองอสูรเชวา พวกเราหายไปไหนกันหมด ทำไมพวกข้าถึงเห็นท่านยืนอยู่เพียงแค่คนเดียว ขอรับ “ อสูรตนนั้นถาม
“ หึๆ พวกมันยังมากันไม่ถึง นครอัญจารี หรอก “
“ อ้าว! ไหนท่านบอกข้าสองคนว่า กองกำลังของพวกเรารออยู่ที่นี้อย่างไรล่ะ? “
พยัคฆ์วารี ยังไม่ตอบพวกเขา แต่ชักดาบเขี้ยวพยัคฆ์ที่แอบซ่อนเอาไว้ออกมาแทน
“ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ให้ข้าส่งพวกเจ้าทั้งหมดไปนรกก่อน แล้วค่อยส่งพวกมันตามไปรวมกับพวกเจ้าทีหลัง “
พยัคฆ์วารี ไม่รอช้ากระโจนเข้าหาเหล่าอสูร กวัดแกว่ง ดาบคู่เข้าสังหารศัตรู พลังเย็นไหลออกจากปลายดาบทั้งสองจนรอบบริเวณหนาวสะท้าน
“ นี้มันอะไรกัน? ท่านนายกองอสูรเชวา ท่านจะทำอะไรพวกข้า “ อสูรตนนั้นร้องถามอย่างตกใจ
“ ก็จะฆ่าพวกเจ้านะสิ ถามได้ “
เหล่าอสูรต่างเห็นผิดท่า อีกทั้งกลัวถูกดักซุ่มโจมตี พยายามหนีออกมาจากบริเวณนั้นให้ได้แต่ทว่า...
“ อ๊ากกก “ เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของเหล่าอสูรหลายตนร้องดังขึ้น ค่ายกลของ พยัคฆ์วารี ทำงานแล้ว แผ่รัศมีครอบ อสูร กลุ่มนั้นไว้ไม่ให้หลบหนีออกไปไหนได้
“ มันต้องไม่ใช่ ท่านนายกองอสูรเชวาแน่ “ เหล่าอสูรเริ่มตะหนักแล้วว่าหลงกลฝ่ายตรงข้ามเสียแล้ว
“ รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้วพวก “ พยัคฆ์วารี พุ่งร่างเข้ามาอย่างเร็วผ่านกลุ่มอสูรไม่ต่ำกว่าสิบตนแต่พวกเขาไม่สามารถต่อกรกับพยัคฆ์วารีได้ เพียงพริบตาเดียวอสูรทั้งสิบตนก็ถูกสังหารไปจนหมด เลือดนองพื้นไปทั่ว
“ มันหนึ่งคนแต่พวกเรามีเป็นร้อย อย่าไปกลัวมันฆ่ามันให้ได้ “
เหล่าอสูรทั้งหมดต่างกรูเข้าหาพยัคฆ์วารี เหมือนต้องการฉีกเข้าออกเป็นชิ้นๆ เพื่อระบายความแค้น
“ มาเลย เจ้าลูกเต่า มาให้พ่อเชือดซะดีๆ “
พยัคฆ์วารี กระโจนตัวสูงขึ้นพร้อมกับดาบทั้งสอง ก่อนฟาดลงมาอย่างแรง ปรากฏเงาดาบมหึมาและเสียงของสัตว์ร้ายที่ดังกึกก้อง
“ ฟ้าวๆๆๆ  กรรรรรรรร โฮกกกกกกกกกกกกกกกกก “
“ วิชา ๔ พยัคฆ์คำรณ  พยัคฆ์ฟ้าก้องคำราม “
เหล่าอสูรที่กรูกันเข้ามา ถูกเงาดาบยักษ์ ฟันกระจายลงในพริบตาเดียว มีจำนวนไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อยนอนตายอยู่ตรงนั้น เลือดไหลทะลักออกมาเหมือนน้ำท่วม
“ ร้ายกาจ อะไรอย่างนี้ “ เหล่าอสูรต่างตื่นตระหนก ไม่คิดว่าศัตรูตรงหน้าจะร้ายกาจและน่ากลัวเช่นนี้
ถึงจะกลัวแต่ถ้าไม่สู้โอกาสรอดก็ไม่มี
“ ตายเป็นตายพวกเราลุย “
“ เฮๆๆๆ “ เหล่าอสูรต่างเฮโลเข้าหา พยัคฆ์วารี อีกรอบ
“ ยังจะดิ้นเอาชีวิตรอดอีกหรือ? “
พยัคฆ์วารี ควงดาบทั้งสองเข้าหาเหล่าอสูรที่บุกเข้ามา เขาควงดาบเปลี่ยนทิศทางไปมาเรื่อยเหมือนไม่มีจุดหมายที่แน่นอนแต่ถ้าสังเกตให้ดี ฝุ่นที่อยู่บนพื้นเริ่มลอยขึ้นมาเหมือนม่านหมอก เหล่าอสูรหยุดชะงักเมื่อมองไม่เห็น พยัคฆ์วารี แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายก็ยังไม่บุกเข้ามา ต่างก็พากันคิดว่า พยัคฆ์วารี กลัวพวกเขาที่มีกำลังมากกว่า
“ มันไม่กล้าบุกเข้ามาหรอก พวกเรารุมสับมันให้เละเลย “
เหล่าอสูรต่างใช้อาวุธที่มี ทิมแทงฝ่าม่านหมอกฝุ่นหวังฆ่าพยัคฆ์วารีให้ได้
“ อ๊ากกกก “
เพียงย่างก้าวแรกที่ฝ่าเข้าไปเท่านั้น พวกอสูรกลุ่มแรกก็กระเด็นลอยกลับออกมาตัวตกลงพื้น ขาดใจตายในทันที ตามเนื้อตัวถูกดาบฟันนับไม่ถ้วน และแล้วฝุ่นก็เริ่มจางลงจนเห็นภาพที่อยู่เบื้องหน้า
“ หา...... “ เหล่าอสูรต่างตาค้าง พูดอะไรไม่ออก
มีพายุหมุนลูกหนึ่งหมุนวนอยู่ตรงนั้นแต่อะไรไม่น่ากลัวเท่า พายุลูกนี้ไม่ใช่พายุธรรมดา แต่เป็นพายุที่สะท้อนแสงของดวงอาทิตย์มาทั่วบริเวณ
“ พายุดาบ!!! “
ดาบที่หมุนอยู่ในพายุกระทบกับแสงอาทิตย์จนเข้าลูกตา เหล่าอสูรต่างไม่อาจทนแสงที่ส่องเข้ามาหาได้ ลืมตาไม่ขึ้นทุกคน
“ ย๊าก  “  พายุดาบหมุนวนเข้าหาเหล่าอสูรแล้ว
“ กระบวนดาบพยัคฆ์ลม พายุดาบคู่ปลิดชีพ “
“ อ๊ากกก “ เหล่าอสูร ไม่สามารถหลบพายุดาบที่พัดเข้ามาได้ถูกฟันจนล้มตายลง ที่โชคร้ายก็ถูกฟันจนตัวขาด แขนขาด ใช้เวลาไม่กี่อึดใจ อสูรทั้งหมด ๓๐๐ ตนก็ถูกพยัคฆ์วารี สังหารตายจนเกือบหมดสิ้น
“ วิ้วๆ “ พายุดาบค่อยผ่อนความเร็วลงจนเหลือแต่ พยัคฆ์วารี
“ เจ้า......เป็นใครกัน? “ อสูรตนหนึ่งที่ใกล้จะหมดลมหายใจเอ่ยถามเขา
พยัคฆ์วารี ไม่ตอบแต่คืนร่างเดิมให้เห็น เพียงแค่นั้นก็เพียงพอเป็นคำตอบให้อีกฝ่ายแล้ว
“ พวก.....เทพ อ๊อคคๆ “ อสูรตนนั้นสิ้นใจตายหลังจากรู้ความจริง
“ ถึงพวกเจ้ากับข้าจะเป็นศัตรูกัน ข้าก็ไม่ใจร้ายปล่อยให้แร้งกา มารุมทึ้งศพของพวกเจ้าหรอก “
พยัคฆ์วารี ใช้พระเวทย์ที่มีอยู่รวบรวมศพของเหล่าอสูรทั้งหมดมากองรวมกัน ก่อนที่จะยื่นมือออกไปข้างหน้า
“ ไฟ  “
“ พรึบ  “ ศพเหล่าอสูรถูกไฟเผามอดไหม้จนหมด
“ แค่นี้ก็เรียบร้อย ทีนี้ก็กลับไปหา ดวงใจมารได้แล้ว “
หลังจากเก็บกวาดร่องรอยแล้ว พยัคฆ์วารีก็เหาะไปสมทบกับ เปมิกา ที่นครอัญจารี ในทันที
จบตอนที่ ๒๔ ครับ วิชา ๔ พยัคฆ์คำรณ ผมดัดแปลงมาจากวิชาแมวน้อยส่งเสียงครับ ตอนดึกๆประมาณเที่ยงคืนถึงตีสอง มักจะมีแมวดำแอบเข้ามาในบ้านผมแล้วร้องเมี้ยวๆอยู่บ่อยๆ ( สงสัยมันคงมาหาเศษอาหารกิน ) ด้วยความกลัวและกึ่งรำคาญเลยไม่ลงไปดู เพราะถ้าเกิดลงไปเจออะไรที่ไม่ใช่แมวดำแล้วจะยุ่ง เหอๆๆๆ ( ที่รู้ว่าแมวดำเพราะเห็นมันมาแอบอยู่บนกำแพงตอนหัวค่ำ ) แฮะๆๆๆ แต่เดี๋ยวนี้มันหนีหายไปไหนไม่รู้แล้วครับ เหลือแต่แมวสีเทาๆที่ยังแวะเวียนมาหาอยู่บ้าง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น