ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ความทรงจำที่ขาดหาย
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๖ ความทรงจำที่ขาดหาย
    เหล่าเทพผู้ปราบกัลย์ปาอสูรทั้ง ๘ ต่าง ๆ นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งใกล้ ๆ กับ บริเวณที่พวกเขาต่อสู้ กับ น้ำทิพย์ที่สาม ต่างนั่งฟังเรื่องราวจากปาก น้ำทิพย์ที่สาม อย่างเงียบ ๆ ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ก็เริ่มเล่าประวัติความเป็นมาของตนเอง เท่าที่รู้ ให้กับเพื่อนใหม่ทั้ง ๗ ฟัง
“ เท่าที่ข้าจำได้ เหมือนข้าหลุดลอยมาจากที่ไหนไกล ๆ สักที่หนึ่ง มารู้สึกอีกที ข้าก็ นอนหลับอยู่ ใกล้ ๆ  ทางเข้าหมู่บ้านป่าของพวกชาวป่า พอตื่นขึ้นมา ข้าก็จำเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้เลย ตอนแรกข้าคิดจะออกเดินไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เผื่อจะมีใครรู้จักข้าบ้าง ข้าไม่ได้คิดที่จะเข้าไปในหมู่บ้านป่าเลย แต่พอข้าเริ่มออกเดินทาง ข้าก็ได้ยินเสียง.... “
“ เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือ ? “
อัคคีนาคา ถาม น้ำทิพย์ที่สาม เมื่อได้เห็น น้ำทิพย์ที่สาม หยุดพูดไปคล้ายไม่อยากเอ่ยถึง
“ ข้าได้ยินเสียงร้องของชาวบ้าน เสียงร้องที่ทั้งหวาดกลัวและโหยหวน ข้ารีบวิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน สิ่งที่ข้าเห็นคือ ชาวบ้านถูกพวกอสูร ฆ่าตายไปหลายคน บางคนก็ถูกพวกอสูรจับกินเป็นอาหาร แม้แต่เด็กที่ไม่รู้เดียงสา ก็ถูกพวกมันฆ่าด้วย “
แม้พวกเขาทั้ง ๗ จะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง แต่คำพูดของ น้ำทิพย์ที่สาม ที่เข้าหูนั้น สร้างภาพความทารุณโหดร้ายของเหล่าอสูรกลุ่มนั้นได้เป็นอย่างดี
“ ข้าทั้งตกใจทั้งโมโห ไม่รู้ว่าข้าทำอะไรลงไปบ้าง ? สิ่งที่ข้าคิดในตอนนั้น คือ ข้าต้องการเพียงแค่หยุดการกระทำของพวกอสูร เหล่านั้น ข้าฆ่าพวกอสูรเหล่านั้นตายจนเกลี้ยงไม่เหลือ ความรู้สึกของข้าเหมือนสัตว์ป่า ข้าไม่สนใจต่อคำอ้อนวอนของพวกมัน พวกมันถูกข้าฆ่าจนหมด พอรู้สึกตัว ข้ามองไปดูรอบ ๆ ข้าเห็นชาวบ้านรอดตายเพียงไม่กี่คน พวกเขามองข้าอย่างหวาดกลัว ข้าพยายามเดินเข้าไปช่วยพวกเขา แต่มีเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง วิ่งมาขวางทางข้าไว้ เด็กที่ไม่มีแรงแม้กระทั่งที่จะยกดาบ แต่เขาก็พยายามยกดาบขึ้นมาเพื่อไม่ให้ข้าเข้าไปใกล้ ทุกคนมองข้าเหมือนตัวอันตรายสำหรับพวกเขา ยิ่งข้าเดินเข้าไปหาพวกเขามากเท่าไร ทุกคนต่างก็หวาดกลัวร้องข้าชีวิตต่อข้า เด็กคนนั้นเหวี่ยงดาบไปมาไม่ให้ข้าเข้าใกล้ ข้าจึงตัดสินใจเดินออกจากหมู่บ้าน ข้าเดินได้ไม่กี่ก้าว กลับมีอสูรอีก  ๒  ตนที่ยังไม่ตายลุกขึ้นมา พวกมันฆ่าชาวบ้านเหล่านั้น จนหมด ข้ารีบเข้าไปช่วยพวกเขา แต่ข้ามาช้าเกินไป ข้ารู้สึกทนไม่ไหวระบายความแค้นกับอสูรที่ฆ่าชาวบ้านในทันที อสูรทั้ง ๒ ตน ก็ถูกข้าฆ่าตายลง ข้ารีบวิ่งเข้าไปหาเด็กคนนั้น เด็กคนนั้น หันมามองข้า ยิ้มให้กับข้า แล้วบอกข้าว่า....... “
“ เขาบอกอะไรกับเจ้าหรือ ? “
อนันตวาโย เอ่ยถาม เขามองเห็นความเศร้าเสียใจในดวงตาของ น้ำทิพย์ที่สาม เป็นอย่างดี
“ เขาบอกข้าว่า  ..... ได้โปรดช่วยทำให้ข้าพ้นทุกข์ที พ่อกับแม่ข้าตายหมดแล้ว ช่วยทำให้ข้าได้ไปอยู่กับพ่อกับแม่ของข้าด้วย.....  ตอนนั้นข้าตกใจทำอะไรไม่ถูก ไม่ว่าจะทำอย่างไร ข้าก็ฆ่าเด็กคนนั้นไม่ลง เด็กคนนั้นร้องด้วยความเจ็ดปวดจากบาดแผลที่ได้รับอยู่ตลอดเวลา เขาเห็นว่าข้าไม่สามารถทำให้เขาพ้นทุกข์ได้ เด็กคนนั้นจึงหยิบมีดเล่มหนึ่งที่ตกอยู่ใกล้ ๆ มาฆ่าตัวตายเสีย ข้าเสียใจที่ช่วยเขาไม่ได้ สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือ ข้าเผาศพพวกเขาทั้งหมดแล้วฝังพวกเขาไว้ที่เดียวกันเท่านั้น หลังจากนั้นข้าก็เริ่มสืบความเป็นมาของตนเองและเหล่าอสูรกลุ่มนั้น ข้าเคยได้ยินมาจากปากพวกอสูรเหล่านั้นว่าพวกมันเคยฆ่าคนมามากมาย อาจจะมีครอบครัวของข้าร่วมอยู่ในนั้นก็ได้ ข้าจึงติดตามไล่ล่าพวกมันมาตลอด จนข้าได้พบกับสามมหาเทพ สามมหาเทพทรงให้ข้ากำจัด กัลย์ปาอสูร และเหล่าอสูรชั่วพวกนั้น เพื่อความสงบสุขของสามโลก เมื่อข้ารู้เช่นนั้น ข้าจึงตัดสินใจรับหน้าที่นี้ ข้าเองก็เคยพยายามทูลถามพระองค์หลายครั้งแล้วถึงความเป็นมาของข้า แต่พระองค์ไม่ทรงยอมบอก “
มยุราเทวี ได้ฟังเรื่องราวจากปากของ น้ำทิพย์ที่สาม แล้ว ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ตัวของนางไม่คิดเลยว่า สิ่งที่ น้ำทิพย์ที่สาม ได้พานพบมาจะเลวร้ายถึงเพียงนี้ ถ้าเปลี่ยนให้นางจำตัวเองไม่ได้บ้าง นางจะมีสภาพอย่างไร และนางจะอดทนจนถึงเดี๋ยวนี้ ได้หรือไม่ ? น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่ไม่เพียงไม่รู้จักใครเลยแม้ตัวเองเป็นใครก็ยังไม่อาจตอบได้ ส่วน พ่อ แม่ พี่น้อง อยู่ที่ไหนยิ่งไม่ต้องถาม
“ พยัคฆ์วารี เจ้าพอจะรู้บ้างหรือเปล่าว่า น้ำทิพย์ที่สามเป็นเทพสายไหน ? “
นันทาเทพธิดา เอ่ยถาม พยัคฆ์วารี ที่อยู่ข้าง ๆ นาง
“ ข้าไม่รู้หรอกว่า น้ำทิพย์ที่สาม เป็นเทพสายไหน ? “
“ เป็นไปได้ไง ก็พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์มีสายสัมพันธ์กันมากที่สุด พยัคฆ์ กับ สิงห์ ก็มีสายสัมพันธ์ที่ไม่ห่างไกลกันเท่าไร ทำไมเจ้าถึงไม่รู้ล่ะ ? “
นันทาเทพธิดา ถาม พยัคฆ์วารี ด้วยความข้องใจ
“ จริงอยู่ที่เผ่าพันธุ์ พยัคฆ์ กับ สิงห์ มีความสัมพันธ์กัน แต่ข้าไม่เคยได้ยินเสด็จพ่อของข้าพูดถึงเลยว่ามีเผ่าพันธุ์สิงห์ที่มีพลังอำนาจ เหมือน น้ำทิพย์ที่สาม มาก่อน อีกอย่างถ้าจะให้ข้าพูดตรง ๆ ก็คือ เอ้อ...... “
พยัคฆ์วารี หยุดพูดมองดู น้ำทิพย์ที่สาม ที่จ้องมองมาทางเขาด้วยความหวังที่ว่าอาจจะได้รับรู้เรื่องราวของตนเองบ้าง
“ ก็คืออะไร ของเจ้าล่ะ พยัคฆ์วารี พูดขยักไว้อยู่นั้นแหละ “
เปมิกา เริ่มหงุดหงิด ที่ พยัคฆ์วารี อยู่ๆ ก็หยุดพูดไป
“ ก็คือ น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่เผ่าพันธุ์  สิงห์ นะสิ “
ได้ยิน พยัคฆ์วารี พูดออกมา ทั้งหมดทำเสียหน้าเหมือนไม่เชื่อ พลังสิงห์ที่อยู่ในตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม เป็นพลังของเผ่าพันธุ์ สิงห์ ชัด ๆ แม้การใช้พลังจะดูแปลก ๆ แต่ก็เป็นพลังของเผ่าพันธุ์ สิงห์ ไม่ผิดแน่นอน แล้วทำไม พยัคฆ์วารี ถึงบอกว่า น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ สิงห์
“ พูดอะไรของเจ้า พยัคฆ์วารี ทำไม ถึงพูดว่า น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่ เผ่าพันธุ์ สิงห์ ล่ะ “
ตรัยสูรเริ่มขยับเข้ามาใกล้ พยัคฆ์วารี และเอ่ยถามขึ้น
“ นี้ ตรัยสูร ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าเคยเห็น สิงห์ ที่ไหนบ้างที่เป็นมนุษย์แบบ น้ำทิพย์ที่สาม ? ที่ข้าพูดไม่ใช่หมายความว่า สิงห์ ที่แปลงกายเป็นมนุษย์นะ แต่ข้าหมายถึงเป็นมนุษย์ที่ใช้พลังของเผ่าพันธุ์ สิงห์ หรือว่าถ้าพวกเจ้าเคยได้ยินมาก่อนก็ลองบอกข้าให้ชื่นใจหน่อยสิ “
พยัคฆ์วารี พูดตอบตรัยสูร กึ่งประชด ทางคนอื่น ๆ ต่างก็หันมามองหน้ากัน พวกเขาทั้งหมดเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของ มนุษย์ที่ใช้พลังสิงห์มาก่อนเช่นกัน
“ นี้เจ้ากำลังบอกพวกข้าว่า น้ำทิพย์ที่สาม เป็นมนุษย์ แต่ใช้พลังพระเวทย์ของเผ่าพันธุ์ตระกูล สิงห์ อย่างนั้นหรือ ? “
อัคคีนาคา ถาม พยัคฆ์วารี แบบไม่แน่ใจ พลางมองดู น้ำทิพย์ที่สาม ซึ่งยิ่งดูก็ยิ่งน่าสงสาร หน้าตาไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
“ หรือว่า น้ำทิพย์ที่สาม จะเป็นประเภท ลูกครึ่ง ครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงห์ ? “
อนันตวาโย เสนอความคิดเห็นของตนออกมา แต่ถูก พยัคฆ์วารี ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ ไม่ใช่หรอก อนันตวาโย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ข้าต้องได้กลิ่นเผ่าพันธุ์สิงห์จากตัวของ น้ำทิพย์ที่สามบ้าง ? แต่นี้ทั้งตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม มีเพียงแค่กลิ่นของมนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น “
“ แล้วกัน แล้วนี้พวกเราจะช่วย น้ำทิพย์ที่สาม ได้ไงล่ะ ? “
มยุราเทวี พูดขึ้นอย่างปวดหัว เรื่องราวของ น้ำทิพย์ที่สาม ยิ่งฟังยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ น้ำทิพย์ที่สาม กลับพูดบอกเพื่อน ๆ ว่า
“ ช่างเถอะ นกยูง คงมีสักวันที่ข้าคงจะรู้ว่าข้าเป็นใครมาจากไหน ? แต่ตอนนี้ที่สำคัญพวกเราต้องสืบหาร่องรอยของ กัลย์ปาอสูร ให้ได้เสียก่อน “
พอ น้ำทิพย์ที่สาม พูดจบ ทุกคนต่างก็เพิ่งนึกขึ้นได้
“ แย่แล้ว ข้า อนันตวาโย และก็ ตรัยสูร กำลังจับตาดูพวกอสูรดำนั้นอยู่ ต้องรีบกลับไปเฝ้าดูพวกมันแล้ว “
นันทาเทพธิดา พูดขึ้นมาและลุกขึ้นทำท่าจะกลับไปยังชายป่าที่พวกนางเคยแอบเฝ้าดูพวกอสูรดำ
“ ไม่มีประโยชน์หรอก นันทาเทพธิดา ตอนนี้พวกมันคงจะไปกันไกลแล้วตามไม่ทันหรอก “
อนันตวาโย เอ่ยแย้งแต่ ตรัยสูร กลับไม่เห็นด้วย
“ แต่ข้าว่า ถ้าพวกเรารีบตามไปยังอาจจะพอตามทันนะ “
“ ไม่เป็นไรหรอก ตรัยสูร พวกเจ้าไม่ต้องตามไปหรอก ข้ารู้ว่าพวกมันจะไปรวมตัวกันที่ไหน ? “
น้ำทิพย์ที่สาม บอกตรัยสูร ขณะที่ ตรัยสูร เองก็รีบถาม น้ำทิพย์ที่สาม
“ พวกมันจะไป รวมตัวกันที่ไหน ? “
“ ป่าโครงกระดูก พวกมันจะไปพบขุนพลมารพลาสูร ที่ ป่าโครงกระดูก “
“ แล้วไอ้ป่าโครงกระดูกที่ว่า มันอยู่ที่ไหนล่ะ ? “
อัคคีนาคา ถามขึ้นพลางมองมายัง น้ำทิพย์ที่สาม
“ ข้าไม่รู้หรอก ว่ามันอยู่ที่ไหน ? คงต้องเสียเวลา สืบอีกหลายวัน “
น้ำทิพย์ที่สาม เอ่ยตอบ อัคคีนาคา
“ แต่ข้ารู้ว่า ป่าโครงกระดูก อยู่ที่ไหน ?  “
ทุกคนหันมามองหน้าเจ้าของเสียงเมื่อกี้ ฝ่าย เปมิกา พูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ พลางมองเหล่าเพื่อน ๆ ของตน
“ เสด็จพ่อของข้า เคยเล่าเรื่องของป่าโครงกระดูกให้ข้าฟัง รับรองไม่ผิดแน่ “
“ งั้นพวกเรา ออกเดินทางไปที่ป่าโครงกระดูกนั้นดีกว่า ว่าแต่ว่าจะใช้เวลาสักกี่วันล่ะ ดวงใจมาร ? “
เปมิกา คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ ตรัยสูร
“ ก็คงประมาณ ๓- ๔ วันได้มั๊ง ป่าแถบนั้นอันตรายไม่น้อยเหมือนกัน ข้าว่าเริ่มออกเดินทางเลยดีกว่า ระหว่างทางข้าจะเล่าเรื่องของป่าของโครงกระดูกให้พวกเจ้าฟังด้วย “
ทั้งหมดพยักหน้าต่างก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของ เปมิกา ต่างก็พากันออกเดินทางไปยังป่าโครงกระดูกในทันที พวกเขาทั้ง ๘ เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งตรงไปยังป่าโครงกระดูกโดยมี เปมิกา เป็นผู้นำ ในขณะที่มีร่างของใครคนหนึ่งเหาะตามพวกเขาไปอย่างเงียบ ๆ
    ........ ณ. เทือกเขาแห่งหนึ่ง รายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่มากมาย ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง ไม่มีแม้สรรพสัตว์ที่ออกหาอาหาร กลิ่นไอความตายโชยออกมาไม่ขาดสาย ภายในเทือกเขามีภูผาแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ภูผาแห่งนี้ซ่อนความน่ากลัวที่ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเหยียบย่างเข้ามา ลึกเข้าไปภายในภูผามีถ้ำ ในถ้ำแลเห็นเหล่าอสูรร้ายเฝ้าอยู่ปากทางเข้า อสูรหลายตนทำหน้าที่ดูแลเฝ้ายามไม่ให้ใครรุกล้ำเข้ามาได้ เมื่อมองลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จะเห็นตรงส่วนกลางถ้ำเป็นห้องกว้างขนาดใหญ่ มีบัลลังก์รูปหัวอสูร ตั้งอยู่ตรงกลาง ถัดมาจากบัลลังก์อสูร มีที่นั่งลดไหล่กันลงมา ด้านหลังของบัลลังก์อสูรมีรูปหน้าอสูรตนหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวคล้ายกับกำลังคิดกลืนกินชีวิตผู้คน ขณะนี้มีเหล่าอสูรอยู่ ๓ ตน นั่งอยู่ที่นั่งที่ลดหลั่นกัน มี ๒ ตนที่กำลังนั่งคุยพูดจากันอยู่ อีก ๑ นั่งเฉย ๆ มองดูที่เล็บของตนไม่ใส่ใจกับเรื่องของอสูรทั้ง ๒ ที่กำลังพูดคุยกัน แลเห็นอสูรตนหนึ่งกำลังจ้องมองอสูรอีกตนหนึ่งคล้ายกำลังตำหนิอะไรบางอย่าง
“ ทำไมเจ้าทำงานชักช้านัก บาลมารอสูร ป่านนี้แล้ว กองทัพประตูสวรรค์ ยังไม่พร้อมอีกหรือ ? “
บาลมารอสูร จ้องมองดูอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน แยกเขี้ยวออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ อังกลาตู เจ้าคิดว่าข้าว่างงานมากนักหรือไง ? เฮอะ ถึงข้าจะทำงานช้าไปหน่อย อย่างน้อยข้าก็ไม่เหมือนใครบางคนที่วัน ๆ เอาแต่ประจบสอพอ “
แววตาของ อังกลาตู เป็นประกาย จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคือง ๆ เหมือนถูกแทงใจดำเข้า
“ เจ้าหมายถึงใครกัน ? บาลมารอสูร พูดให้ดีหน่อยนะ ไอ้ที่ไม่รู้จริงก็อย่าเอามาพูดดีกว่า “
“ ถ้าไม่จริงก็อย่าเพิ่งร้อนตัวสิ ข้าว่าเอาเวลาที่เจ้ามาต่อล้อต่อเถียงกับข้า ไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายจะดีกว่า “
“ บาลมารอสูร นี้เจ้า........ ฮึม ”
อังกลาตู รีบลุกขึ้นจากที่นั่งของตนด้วยความโกรธ ทางฝ่าย บาลมารอสูร ก็ลุกขึ้นประจันหน้าเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายทำท่าทางจะเข้าโรมรันกันเอง แต่มีเสียงอสูรปีกดำเอ่ยแทรกขึ้นด้วยเสียงแหลมเล็ก
“ เลิกกัดซักที ดีกว่า บาลมารอสูร อังกลาตู พวกเจ้าไม่เบื่อกันบ้างหรือไง ? นี้ถ้าจ้าวอสูรรู้เข้าพระองค์คงไม่พอพระทัยแน่ พวกเจ้าคงไม่อยากจะให้ จ้าวอสูร เสด็จมาทอดพระเนตรมองดูพวกเจ้าทะเลาะกันด้วยพระองค์เองหรอกนะ “
ทั้งสองจ้องมองกันหน่อยหนึ่ง ก่อนสะบัดหน้านั่งลงประจำที่ของตนเอง อสูรปีกดำเริ่มพูดเข้าเรื่องในทันที
“ ตามข่าวที่ข้าสืบมาได้ ตอนนี้มีเทพผู้ถูกคัดเลือกให้ออกมาไล่ล่ากำจัดพวกเราเหล่าอสูรอยู่ พวกเจ้าเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างหรือเปล่า ? “
อสูรปีกดำ พูดไปพลางขัดแต่งเล็บของตนเองอย่างทะนุทนอม ไม่ชายตาแม้แต่มองพวกเขาทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
“ กะอีกแค่เทพกระจอก ๆ พรรค์นั้นเจ้าก็กลัวหรือ ทมิฬดำ “
ทมิฬดำ ได้ยินที่ อังกลาตู พูดยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างมีเลศนัย พลางพูดตอบอีกฝ่ายไป
“ ไม่ได้กลัว เพียงแต่อะไรที่ทำให้จ้าวอสูร ขัดข้องในพระทัย เราก็ต้องกำจัดให้สิ้นซากไม่ใช่หรือ ? อังกลาตู “
อังกลาตู นิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า อย่างเห็นด้วย ทางฝ่าย บาลมารอสูร ก็เอ่ยถามบ้าง
“ พวกมันมีกันสักเท่าไร ? “
“ ตามข่าวที่ข้ารู้มี ๗ “
พอ บาลมารอสูร ได้ยินก็หัวเราะออกมา ทำให้ อังกลาตู อดสงสัยไม่ได้
“ เจ้าหัวเราะ อะไรกัน บาลมารอสูร ? “
“ เจ้าไม่ขำหรือ อังกลาตู เทพผู้ปราบอสูรมีแค่ ๗ แต่กองทัพอสูรของเรามีตั้ง ๓ กองทัพ นี้พวกเทพมันคิดยังไงของมันถึงส่งคนของมันมาแค่ ๗ คนให้พวกเราทรมานเล่น “
บาลมารอสูร กำลังหัวเราะอย่างชอบใจ แต่ ทมิฬดำ พูดอะไรบางอย่างออกมาจน บาลมารอสูร ต้องชะงัก
“ มาให้พวกเราทรมานหรือ ทรมานพวกเรากันแน่ ? เมื่อไม่กี่เพลามานี้ ข้าได้ข่าวมาว่ากองลาดตระเวนของเรา เพิ่งถูกใครก็ไม่รู้ฆ่าตายไป ๑๕๐ ตน ที่แย่กว่านั้นก็คือ ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของคน ๆ คนเดียว เท่านั้น “
“ หาาาาาา “
ทั้ง อังกลาตู และ บาลมารอสูร ครางออกมา พวกเขาต่างไม่คิดว่าจะมีเหล่าเทพที่มีความสามารถถึงเพียงนี้อยู่ในโลกด้วย
“ เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว ข่าวนี้รู้ถึงพระกรรณ ของ จ้าวอสูร หรือยัง ? “
บาลมารอสูร เริ่มวิตกว่าถ้าเจ้าอสูรรู้เรื่องเข้าพวกเขาจะถูกทำโทษอย่างไร ?
“ ยังไม่มีใครทูลให้พระองค์ทราบหรอก แต่ถึงไม่ทูลบอกพระองค์ พระองค์ก็ทรงทราบอยู่ดี ข้าว่าทางที่ดีพวกเจ้ารีบหาทาง กำจัดพวกเทพเหล่านั้นดีกว่า ก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามายัง ภูผาอสูร แห่งนี้ ถ้าเกิด พวกขุนพลเงาออกโรงมาจัดการแทน ความดีความชอบที่พวกเจ้าทำมาจะมลายหายไปหมดสิ้น “
ทมิฬดำ ยังคงแต่งเล็บที่คมกริบของตัวเองต่อไป ก่อนจะวางตะไบแต่งเล็บลงข้าง ๆ พลางเกร็งกำลังที่นิ้วทั้งสิบ พร้อมตวัดไปที่โต๊ะศิลาที่อยู่ใกล้ ๆ
“ เปรี้ยง  โครมๆๆ “
พอสิ้นเสียง โต๊ะศิลาตัวนั้นแหลกเป็นเสี่ยง ๆ
“ แล้วตอนนี้มีใครอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุมากที่สุด ? “
ทมิฬดำ ชำเลืองมอง อังกลาตู พลางบอกต่อเขาอย่างช้า ๆ
“ ขุนพลมารพลาสูร ตอนนี้เขากำลังรวบรวมเสบียงอาหารและกำลังสืบหาข่าวคราวของพวกเทพเหล่านั้นอยู่ “
“ ดี ข้าจะส่งสารไปถึง พลาสูร ให้ พลาสูร  จัดการพวกมันซะ “
อังกลาตู พูดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม ส่วน บาลมารอสูร ถาม ทมิฬดำ ถึงคู่หูของเขาที่ไม่เห็นหน้ามาหลายวันแล้ว
“ แล้วนี้ มันจาปา มันหายหัวไปไหนกัน ? “
“ มันจาปา เพื่อนเจ้านะเหรอ ?  ท่านจ้าวอสูร ให้ ออกไปหาโลหิตของสาวพรหมจรรย์มาทำพิธีชุบ ๖ อาวุธ ศักดิ์สิทธิ์  อีกไม่นานก็คงจะกลับมาแล้ว “
ทมิฬดำ พูดจบ หันหน้ามองเข้าไปทางห้องพิธี ด้านในสุด ซึ่งเป็นที่ ที่จ้าวอสูร กำลังทำพิธีชุบอาวุธทั้ง ๖ อยู่ ในใจรู้สึกเกรงกลัวกับห้องพิธีนี้ไม่น้อยทีเดียว ในห้องพิธี มีอสูรหนุ่ม ผู้หนึ่ง กำลังนั่งบริกรรมพระเวทย์อย่างแน่นแน่ แลเห็นโฉมหน้าของ จ้าวอสูร ที่เหล่าเทพ ต้องการจะเจอะเจอ อสูร ๓ หน้า ๖ มือ ผู้แสนน่ากลัว
“ กัลย์ปาอสูร “
กัลย์ปาอสูร ค่อย ๆ เริ่มลืมตาของตนขึ้นมา จ้องมองอาวุธ ทั้ง ๖ อย่างสนใจ รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากยากจะเข้าใจถึงความคิดของจ้าวอสูรร้ายตนนี้
“ อิๆๆ  อีกไม่นานแล้วสินะ อีกไม่นาน ก็จะสำเร็จ เวลาที่ข้ารอคอยมานานแสนนานใกล้จะบรรลุแล้ว ถึงตอนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องตกเป็นของข้า ฮะๆๆๆๆ “
เสียงหัวเราะของ กัลย์ปาอสูร ดังก้องไปทั่วห้องพิธี แสงแวววับสีแดงคล้ายโลหิตสะท้อนไปทั่วอาวุธทั้ง ๖  กลิ่นไอพลังความตายแผ่ซ่านออกมาจากอาวุธทั้ง ๖ ไม่ขาดสาย เหมือนอสูรร้ายที่กระหายเลือดอย่างบ้าคลั่ง เฉกเช่นเดียวกันกับผู้เป็นเจ้าของ
    .ในป่าใหญ่ เวลานี้เป็นเวลากลางคืน เหล่าเทพทั้ง ๘ ต่างนอนพักผ่อนในระหว่างเดินทาง มี ๗ คนที่กำลังนอนหลับสนิท ในขณะที่ อนันตวาโย เฝ้ายามป้องกันอันตราย จากการลอบจู่โจมจากพวกเหล่าอสูร อนันตวาโย ก่อกองไฟไว้กองเล็ก ๆ กองหนึ่ง ทางมยุราเทวี และ อัคคีนาคา นอนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดียวกัน ทาง นันทาเทพธิดา และ เปมิกา นอนอยู่ใต้ต้นไม้อีกตนหนึ่ง ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ห่างออกมาอีกหน่อย เห็น พยัคฆ์วารี ตรัยสูร และ น้ำทิพย์ที่สาม นอนอยู่ด้วยกัน  ฝ่าย อนันตวาโย ยังเฝ้ายามอยู่ อย่างระแวดระวัง อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้ง ๗ กำลังนอนหลับสนิท หากแต่ น้ำทิพย์ที่สาม ที่นอนหลับสนิทเช่นกันนั้น เขากำลังเข้าสู่ห้วงของภาพอะไรบางอย่าง ภาพฝันที่น้อยครั้งจะปรากฏให้เห็น  ในฝันตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม กำลังยืนอยู่ในทุ่งหญ้าโล่งกว้าง มองดู ทิวทัศน์ ที่ปรากฏ แม้ว่าจะแปลกตา แต่ก็งดงามจนบรรยายไม่ถูก เขามองไปเรื่อย ๆ ทุ่งกว้างแห่งนี้ไม่รู้สิ้นสุดที่ตรงไหน เขาเดินไปข้างหน้า จ้องมองดูทุ่งหญ้าที่เห็นซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นที่แห่งใดกันแน่ เขาเดินมาเรื่อย ๆ  จนพบเห็น ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่ชายหญิงทั้งสองหันด้านข้างให้กับเขาอยู่ มองดูหน้าทั้งสองแล้วไม่ชัดเจน คล้ายพร่ามัวอย่างไรบอกไม่ถูก สักครู่มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง วิ่งมาหาพวกเขาทั้งสอง ในมือถือดอกไม้ดอกหนึ่ง เด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่มี สังวาล อัญมณีสีเหลือง สวมใส่ติดตัวอยู่  เด็กคนนั้นเอ่ยบอกกับพวกเขาทั้งสองคนเมื่อวิ่งมาถึงตัว
“ ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาแล้ว “
ชายหญิงทั้งคู่ ยิ้มอย่างดีใจที่ได้เห็นเด็กน้อย หญิงสาว ลดตัวลงไปอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมา
“ ลูกแม่ เจ้าไปเล่นที่ไหนมา ? “
เด็กน้อยยิ้มตอบแม่ด้วยน้ำเสียงสดใส
“ ข้าไปที่ดงดอกไม้มา ข้าเด็ดมาดอกหนึ่ง ข้าเอามาให้ท่านแม่ขอรับ “
“ ขอบใจจ๊ะลูกรัก “
หญิงสาวผู้เป็นแม่ เอ่ยตอบด้วยเสียงอันอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันแสดงสีหน้าที่หนักใจ
“ ลูกพ่อเจ้ามาหาพ่อสิ “
ผู้เป็นแม่ ปล่อยตัว ลูกรักของตน ขณะที่เด็กน้อย เดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อ
“ ต่อไปเจ้าจะเล่นอย่างนี้ อีกไม่ได้แล้วรู้ไหม ? “
“ ทำไมขอรับ ท่านพ่อ ทำไมข้าถึงออกมาเล่นไม่ได้อีกขอรับ ? “
เด็กน้อย ถามผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้าใจ เหตุใดพ่อของตนถึงพูดเช่นนั้น
“ ลูกพ่อ ต่อไปเจ้าต้องแบกรับหน้าที่ หน้าที่ที่สำคัญยิ่ง เจ้าต้องรับตำแหน่งนี้ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ เราต่อไป “
เด็กน้อย เบ้ปากไปอีกทางหนึ่ง เขาเป็นแค่เพียงเด็กเล็ก ๆ ทำไมต้องไปรับตำแหน่งอะไรบ้า ๆ นั้นด้วย
“ ข้าไม่รับไม่ได้หรือ ? ท่านพ่อ “
ผู้เป็นพ่อมองลูกรักอย่างเอ็นดู แม้คำถามดูจะไร้เดียงสาไปหน่อย แต่กับลูกคนนี้แล้วเขาเองก็ไม่อาจปฏิเสธการตอบคำถามของบุตรชายได้
“ ไม่ได้หรอกลูก เจ้าเป็นผู้เดียวที่จะสามารถสืบทอดตำแหน่งนี้ได้ “
“ ทำไมต้องเป็นข้าด้วยขอรับท่านพ่อ ทำไมท่านพ่อและท่านแม่ถึงไม่ท่านพี่รับตำแหน่งแทนขอรับ “
ผู้เป็นพ่อและผู้แม่มองหน้ากัน คล้ายหาคำอธิบายให้แก่ลูกของตนอยู่ แลเห็นผู้เป็นแม่ย่อตัวลงมาหาลูกชายของตนก่อนตอบคำถามของบุตรชาย
“ เพราะโชคชะตาได้ลิขิตให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดอย่างไรล่ะ “
“ โชคชะตา “
เด็กน้อยทวนคำอย่างช้า ๆ
“ โชคชะตาเป็นใครหรือขอรับ ? “
ผู้เป็นพ่อและแม่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ในคำถามขอลูกชายของตน
“ ลูกพ่อเมื่อเจ้าโตขึ้นเจ้าจะรู้เองว่า โชคชะตาเป็นใคร “
ผู้เป็นพ่อและแม่จูงมือบุตรชายของตนเดินจากไป น้ำทิพย์ที่สาม พยายามจะเดินเข้าไปหา คนทั้งสามแต่เหมือนที่หมอกหนา ๆ มากลางกั้นไม่ให้เขาเข้าไปได้ เพียงแต่ได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนทั้งสามลอยดังมากับสายลมและเงาจาง ๆ ของทั้งสามที่อยู่ในกลุ่มหมอก
“ ลูกรักของพ่อ เมื่อเจ้าได้รับตำแหน่งนี้ ต่อไปทุกคนในที่นี้จะเรียกเจ้าว่า ...... น้ำทิพย์ที่สาม “
“ ฮะๆ น้ำทิพย์ที่สาม “
เด็กน้อย หัวเราะร่าเริงอย่างอารมณ์ดี กลับกันกับที่ น้ำทิพย์ที่สาม ที่พยายามเข้าไปหาพวกเขาแต่เหมือนถูกอะไรกระแทกหลุดลอยมายังที่ใด ที่หนึ่ง เวิ้งว้าง เดียวดาย ไร้จุดหมาย เหมือนอยู่ในห้วงจักรวาล อันไกลโพ้น
“ อ๊ะ “
น้ำทิพย์ที่สาม สะดุ้งตื่นขึ้นจากการหลับใหล เหงื่อท่วมตัว ทั่วทั้งใบหน้ามีคราบเหงื่อไหลปรากฏอยู่ ทั้งเหนื่อยเหมือนคนเดินทางไกล ในหัวปวดคล้ายจะระเบิด เขาพยายามทบทวนความฝันที่ปรากฏนั้นอีกครั้ง แต่จำได้ไม่หมด ความฝันที่ดูเหมือนจริงและโหยหามาตลอดเวลา
“ เจ้านอนไม่หลับหรือ น้ำทิพย์ที่สาม “
อนันตวาโย เอ่ยถาม น้ำทิพย์ที่สาม ขณะเดียวกันมองดูท่าทางของเขา แลเห็นที่ใบหน้ามีเม็ดเหงื่อปรากฏให้เห็นทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้
“ เปล่าหรอก อนันตวาโย ข้าหลับไปแล้ว เพียงแต่ข้า...... “
“ เพียงแต่ เพียงแต่อะไร ? “
อนันตวาโย ลุกจากที่นั่งของตนเดินมานั่งใกล้ ๆ กับ น้ำทิพย์ที่สาม
“ เพียงแต่ข้าฝัน “
“ ฝัน เจ้าฝันเห็นอะไร ? “
น้ำทิพย์ที่สาม พยายามนึกทบทวนเรื่องราวที่เขาฝันเมื่อครู่ ก่อนเอ่ยบอก อนันตวาโย ว่า
“ ข้าฝันเห็นคนสามคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง และเด็กตัวเล็ก ๆ อีกหนึ่งคน “
อนันตวาโย นิ่งฟังพอจะเดาอะไรออก
“ สามคนที่เจ้าฝัน เป็นพ่อ แม่ ลูก กันใช่ไหม ? “
น้ำทิพย์ที่สาม พยักหน้า แทนคำตอบ ขณะที่มือทั้งสองปาดเหงื่อที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
“ นั้นอาจจะเป็นความฝันที่เกี่ยวกับตัวเจ้าก็ได้ สามคนนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเจ้า ไม่แน่เด็กคนนั้นอาจเป็นเจ้าเองหรือไม่ก็พี่น้องของเจ้าก็ได้ “
อนันตวาโย บอกความเห็นของเขาต่อ น้ำทิพย์ที่สาม ส่วนมืออีกข้างก็หยิบเศษไม้ที่เก็บรวบรวมไว้ตั้งแต่ตอนเย็นโยนเข้าไปในกองไฟใกล้จะมอดดับ ทำให้เปลวไฟกลับมาลุกโชนอีกครั้งหนึ่ง
“ เสียดาย ข้าจำตอนท้ายของความฝันไม่ได้ เหมือนข้าได้ยินคำพูดอะไรบ้างอย่างที่เกี่ยวกับตัวของข้า ไม่รู้อีกเมื่อไรข้าถึงจะได้ฝันแบบนี้อีก “
เจ้าของเสียงพูดแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ออกมา แม้การคาดหวังแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ มากกว่าจะเชื่อถือได้ แต่ตัวเขาก็ยังเชื่อ เชื่อในความฝันของตนเอง แม้ความฝันจะดูเลือนรางแต่บางทีอะไรที่สร้างความหวังได้ ก็ยังดีกว่าอะไรที่ไม่มีให้คาดหวัง
“ อย่ากังวล เลย น้ำทิพย์ที่สาม เมื่อก่อนเจ้าอาจไม่มีใครเลย แต่ตอนนี้เจ้าก็มีพวกข้าอยู่ พวกข้าและเจ้าเป็นเพื่อนกัน อย่างไรพวกข้าก็จะช่วยเจ้าจนถึงที่สุด “
น้ำทิพย์ที่สาม ยิ้มออกมาอย่างตื้นตันมิได้
“ ข้าขอบใจพวกเจ้ามาก อนันตวาโย พวกเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่า ข้าไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียวในโลกนี้ “
ขณะที่พวกเขายังพูดคุยกันอยู่ มีสมุนของขุนพลมารพลาสูร ที่ออกมาสืบข่าวอยู่ตนหนึ่งกำลังแอบดูอยู่ใกล้ ๆ กับที่พวกเขากำลังนอนหลับกันอยู่ อสูรตนนี้แอบติดตามพวกเขาทั้ง ๘ ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางมายังป่าโครงกระดูก
“ พวกเทพที่ถูกส่งมาปราบพวกข้าก็คือพวกนี้เอง แต่ตามข่าวที่ข้ารู้มีเพียงแค่ ๗ นี้น่า ทำไมพวกนี้มันมี ๘ ล่ะ “
อสูรตนนั้นเริ่มไม่แน่ใจว่าที่เขาแอบติดตามพวกเขาทั้ง ๘ นั้นจะใช่เหล่าเทพจริง ๆ หรือเปล่า ?
“ ยังไงก็ช่าง ต้องกลับไปรายงานให้ท่านขุนพลมาร พลาสูร ทราบก่อนดีกว่า กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ “
คิดได้ดังนั้น จึงเริ่มขยับตัวออกมาจากที่ซ่อนคิดเหาะกลับไปหาขุนพลมาร พลาสูร ทันที พอหันหลังกลับมากลับเจออสูรสาวยืนอยู่ด้านหลังของตน อสูรตนนั้นตกใจไม่น้อยที่มีหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้ มายืนอยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว รีบชักดาบออกมาในทันที
“ แม่สาวน้อย เจ้าเป็นใครกัน ? แล้วมายืนอยู่ข้างหลังข้าตั้งแต่เมื่อไร ? “
อสูรสาวยืนจ้องหน้าอสูรตนนั้นด้วยสายตาเย็นเฉียบ เอ่ยตอบขึ้นอย่างช้า ๆ
“ ก็ตั้งแต่เจ้าแอบตามพวกข้านั้นแหละ ส่วนข้าเป็นใครไม่จำเป็นต้องบอกให้เจ้ารู้ เพราะอีกเดี๋ยวเจ้าก็คงไม่มีโอกาสได้ไปบอกใครอยู่แล้ว “
อสูรตนนั้น เริ่มโกรธจนหน้าเขียว แอบชำเลืองมองดูด้านหลังพบว่า ทั้ง ๘ ยังคงอยู่ที่เดิม แล้วอสูรสาวตนนี้เป็นใครกันแน่ ?
“ เฮอะ คิดจะฆ่าข้าเหรอ ? จะให้เจ้ารู้ความร้ายกาจของข้า อสูรแดง บ้าง  “
อสูรแดง ตรงดิ่งเข้าเล่นงานอสูรสาว ฟันดาบอย่างแรงหมายจบชีวิตของอีกฝ่ายให้ได้ ความเร็วของอสูรแดงมีไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับอสูรสาวแล้วยังเหมือนฟ้ากับเหว อสูรสาวเอี้ยวตัวหลบคมดาบเพียงนิดเดียว คมดาบไม่ได้สัมผัสเส้นขนแม้แต่เพียงเส้นเดียว เพียงเสี้ยวเวลาอสูรสาวชักดาบออกมาเพียงแค่เห็นแสงจากคมดาบเพียงแวบเดียวเท่านั้น อสูรแดงก็ถึงกลับเปล่งเสียงร้องอย่างโหยหวน นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ตรงนั้น
“ อ๊ากกกกก “
เสียงร้องของอสูรแดงปลุกให้คนที่ยังหลับอยู่ตื่นขึ้น อนันตวาโย และ น้ำทิพย์ที่สาม รีบพุ่งตัวไปยังทางเสียงที่ได้ยิน ฝ่ายคนอื่น ๆ ก็รีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว มีเพียง เปมิกา เท่านั้นที่เดินอย่างช้า ๆ ไม่อาทรร้อนใจใด ๆ ทั้งสิ้น  พอพวกเขามาถึงต่างพบอสูรแดง นอนดิ้นทุรนทรายกองอยู่ที่พื้น พร้อมค่อย ๆ ขาดใจตายในที่สุด มองไปข้างหน้าเห็นอสูรสาวยืนอยู่ถัดลงมาที่มือของนางกำลังที่ดาบที่ทุกคนคุ้นตา
“ ดวงใจมาร นี้มันอะไรกัน ? แล้วอสูรตนนี้เป็นใครกัน “
เปมิกา เก็บดาบปราบลิขิตฟ้า คืนสู้ฝักก่อนเอ่ยตอบอย่างช้า ๆ
“ อสูรตนนี้ มันชื่อ อสูรแดง เป็นอสูรสืบข่าว สงสัยจะสังกัดอยู่กับขุนพลมารตนใดตนหนึ่งของ กัลย์ปาอสูร ถ้าให้ข้าเดาคงเป็นของ ขุนมาร พลาสูร เพราะป่าแถบอยู่ห่างจากป่าโครงกระดูกไม่มากเท่าไร “
ทุกคนยืนฟัง เปมิกา ที่พูดอยู่ข้างหน้ากลับได้ยินเสียง เปมิกา เอ่ยตอบมาทางด้านหลังอีก
“ มันแอบติดตามพวกเรามาตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้ว คงจะมาสืบข่าวเกี่ยวกับเรื่องของเหล่าเทพที่จะออกมาปราบพวกอสูร  ข้าก็เลยจัดการมันซะ “
ทุกคนต่างหันรีหันขวางมอง หน้าที หลังที ในตอนนี้มี เปมิกา ถึง ๒ คน ยืนพูดคุยกับพวกเขาอยู่
“ วิชาแยกร่างเหรอ ? ร้ายกาจไม่เบา แยกไปตั้งแต่ตอนไหนกัน ทำไมพวกเราถึงไม่รู้เลยล่ะ ? “
น้ำทิพย์ที่สาม คิดไม่ถึงว่า เปมิกา จะมีวิชาแยกร่างที่ร้ายกาจมากขนาดนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังจับสัมผัสไม่ได้
“ ก็ตั้งแต่ ตอนเริ่มนั่งฟังเจ้าเล่าเรื่องนั้นแหละ ข้ารู้สึกว่ามีใครจับตาดูอยู่ จึงแยกร่างออกมาตั้งแต่ตอนนั้น “
อสูรสาว เฉลยคำตอบให้ฟัง ทาง ตรัยสูร เอ่ยพูดขึ้นอย่างเสียดาย
“ ความจริง เจ้าไม่น่าจะฆ่ามันเลยนะ จะได้รู้พวกมันคิดทำอะไรกันอยู่ ? “
เปมิกา ยิ้มออกมาน้อย ๆ ตอบ ตรัยสูร ว่า
“ ถึงจับมันไว้มันก็ไม่บอกหรอก มันตายสิถึงจะดีจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรามากกว่า “
มยุราเทวี ได้ฟังเริ่มคิดอะไรออกขึ้นมา 
“ หรือว่าเจ้าจะ............ “
เปมิกาทั้ง ๒ คน เดินเข้ามารวมร่างกัน ก่อนจะเอนตัวยังต้นไม้ แววตาเป็นประกายแฝงความนัยและความคิด
“ ใช่แล้ว นกยูง งานนี้เราต้องให้ ตรัยสูร เป็นตัวชูโรงซะแล้ว “
ตรัยสูร ทำหน้าสี งง ๆ ไม่รู้ว่า สองสาวงามหมายถึงอะไร หากแต่ความคิดของ เปมิกา นั้นปรากฏออกมาทางสีหน้าและแววตา หากสิ่งที่นางคิดไม่ผิด การไล่ล่าติดตาม กัลย์ปาอสูร อาจจะไม่ได้ยากอย่างที่ใคร ๆ คิดก็เป็นได้
จบตอนที่ ๖ ครับ  ว่าแต่ ตอนต่อไป จะเอาไงดีหว่า ???? ยังคิดไม่ออก ^_^
ตอนที่ ๖ ความทรงจำที่ขาดหาย
    เหล่าเทพผู้ปราบกัลย์ปาอสูรทั้ง ๘ ต่าง ๆ นั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งใกล้ ๆ กับ บริเวณที่พวกเขาต่อสู้ กับ น้ำทิพย์ที่สาม ต่างนั่งฟังเรื่องราวจากปาก น้ำทิพย์ที่สาม อย่างเงียบ ๆ ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ก็เริ่มเล่าประวัติความเป็นมาของตนเอง เท่าที่รู้ ให้กับเพื่อนใหม่ทั้ง ๗ ฟัง
“ เท่าที่ข้าจำได้ เหมือนข้าหลุดลอยมาจากที่ไหนไกล ๆ สักที่หนึ่ง มารู้สึกอีกที ข้าก็ นอนหลับอยู่ ใกล้ ๆ  ทางเข้าหมู่บ้านป่าของพวกชาวป่า พอตื่นขึ้นมา ข้าก็จำเรื่องราวต่าง ๆ ไม่ได้เลย ตอนแรกข้าคิดจะออกเดินไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เผื่อจะมีใครรู้จักข้าบ้าง ข้าไม่ได้คิดที่จะเข้าไปในหมู่บ้านป่าเลย แต่พอข้าเริ่มออกเดินทาง ข้าก็ได้ยินเสียง.... “
“ เจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือ ? “
อัคคีนาคา ถาม น้ำทิพย์ที่สาม เมื่อได้เห็น น้ำทิพย์ที่สาม หยุดพูดไปคล้ายไม่อยากเอ่ยถึง
“ ข้าได้ยินเสียงร้องของชาวบ้าน เสียงร้องที่ทั้งหวาดกลัวและโหยหวน ข้ารีบวิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน สิ่งที่ข้าเห็นคือ ชาวบ้านถูกพวกอสูร ฆ่าตายไปหลายคน บางคนก็ถูกพวกอสูรจับกินเป็นอาหาร แม้แต่เด็กที่ไม่รู้เดียงสา ก็ถูกพวกมันฆ่าด้วย “
แม้พวกเขาทั้ง ๗ จะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตาตนเอง แต่คำพูดของ น้ำทิพย์ที่สาม ที่เข้าหูนั้น สร้างภาพความทารุณโหดร้ายของเหล่าอสูรกลุ่มนั้นได้เป็นอย่างดี
“ ข้าทั้งตกใจทั้งโมโห ไม่รู้ว่าข้าทำอะไรลงไปบ้าง ? สิ่งที่ข้าคิดในตอนนั้น คือ ข้าต้องการเพียงแค่หยุดการกระทำของพวกอสูร เหล่านั้น ข้าฆ่าพวกอสูรเหล่านั้นตายจนเกลี้ยงไม่เหลือ ความรู้สึกของข้าเหมือนสัตว์ป่า ข้าไม่สนใจต่อคำอ้อนวอนของพวกมัน พวกมันถูกข้าฆ่าจนหมด พอรู้สึกตัว ข้ามองไปดูรอบ ๆ ข้าเห็นชาวบ้านรอดตายเพียงไม่กี่คน พวกเขามองข้าอย่างหวาดกลัว ข้าพยายามเดินเข้าไปช่วยพวกเขา แต่มีเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง วิ่งมาขวางทางข้าไว้ เด็กที่ไม่มีแรงแม้กระทั่งที่จะยกดาบ แต่เขาก็พยายามยกดาบขึ้นมาเพื่อไม่ให้ข้าเข้าไปใกล้ ทุกคนมองข้าเหมือนตัวอันตรายสำหรับพวกเขา ยิ่งข้าเดินเข้าไปหาพวกเขามากเท่าไร ทุกคนต่างก็หวาดกลัวร้องข้าชีวิตต่อข้า เด็กคนนั้นเหวี่ยงดาบไปมาไม่ให้ข้าเข้าใกล้ ข้าจึงตัดสินใจเดินออกจากหมู่บ้าน ข้าเดินได้ไม่กี่ก้าว กลับมีอสูรอีก  ๒  ตนที่ยังไม่ตายลุกขึ้นมา พวกมันฆ่าชาวบ้านเหล่านั้น จนหมด ข้ารีบเข้าไปช่วยพวกเขา แต่ข้ามาช้าเกินไป ข้ารู้สึกทนไม่ไหวระบายความแค้นกับอสูรที่ฆ่าชาวบ้านในทันที อสูรทั้ง ๒ ตน ก็ถูกข้าฆ่าตายลง ข้ารีบวิ่งเข้าไปหาเด็กคนนั้น เด็กคนนั้น หันมามองข้า ยิ้มให้กับข้า แล้วบอกข้าว่า....... “
“ เขาบอกอะไรกับเจ้าหรือ ? “
อนันตวาโย เอ่ยถาม เขามองเห็นความเศร้าเสียใจในดวงตาของ น้ำทิพย์ที่สาม เป็นอย่างดี
“ เขาบอกข้าว่า  ..... ได้โปรดช่วยทำให้ข้าพ้นทุกข์ที พ่อกับแม่ข้าตายหมดแล้ว ช่วยทำให้ข้าได้ไปอยู่กับพ่อกับแม่ของข้าด้วย.....  ตอนนั้นข้าตกใจทำอะไรไม่ถูก ไม่ว่าจะทำอย่างไร ข้าก็ฆ่าเด็กคนนั้นไม่ลง เด็กคนนั้นร้องด้วยความเจ็ดปวดจากบาดแผลที่ได้รับอยู่ตลอดเวลา เขาเห็นว่าข้าไม่สามารถทำให้เขาพ้นทุกข์ได้ เด็กคนนั้นจึงหยิบมีดเล่มหนึ่งที่ตกอยู่ใกล้ ๆ มาฆ่าตัวตายเสีย ข้าเสียใจที่ช่วยเขาไม่ได้ สิ่งเดียวที่ข้าทำได้คือ ข้าเผาศพพวกเขาทั้งหมดแล้วฝังพวกเขาไว้ที่เดียวกันเท่านั้น หลังจากนั้นข้าก็เริ่มสืบความเป็นมาของตนเองและเหล่าอสูรกลุ่มนั้น ข้าเคยได้ยินมาจากปากพวกอสูรเหล่านั้นว่าพวกมันเคยฆ่าคนมามากมาย อาจจะมีครอบครัวของข้าร่วมอยู่ในนั้นก็ได้ ข้าจึงติดตามไล่ล่าพวกมันมาตลอด จนข้าได้พบกับสามมหาเทพ สามมหาเทพทรงให้ข้ากำจัด กัลย์ปาอสูร และเหล่าอสูรชั่วพวกนั้น เพื่อความสงบสุขของสามโลก เมื่อข้ารู้เช่นนั้น ข้าจึงตัดสินใจรับหน้าที่นี้ ข้าเองก็เคยพยายามทูลถามพระองค์หลายครั้งแล้วถึงความเป็นมาของข้า แต่พระองค์ไม่ทรงยอมบอก “
มยุราเทวี ได้ฟังเรื่องราวจากปากของ น้ำทิพย์ที่สาม แล้ว ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ ตัวของนางไม่คิดเลยว่า สิ่งที่ น้ำทิพย์ที่สาม ได้พานพบมาจะเลวร้ายถึงเพียงนี้ ถ้าเปลี่ยนให้นางจำตัวเองไม่ได้บ้าง นางจะมีสภาพอย่างไร และนางจะอดทนจนถึงเดี๋ยวนี้ ได้หรือไม่ ? น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่ไม่เพียงไม่รู้จักใครเลยแม้ตัวเองเป็นใครก็ยังไม่อาจตอบได้ ส่วน พ่อ แม่ พี่น้อง อยู่ที่ไหนยิ่งไม่ต้องถาม
“ พยัคฆ์วารี เจ้าพอจะรู้บ้างหรือเปล่าว่า น้ำทิพย์ที่สามเป็นเทพสายไหน ? “
นันทาเทพธิดา เอ่ยถาม พยัคฆ์วารี ที่อยู่ข้าง ๆ นาง
“ ข้าไม่รู้หรอกว่า น้ำทิพย์ที่สาม เป็นเทพสายไหน ? “
“ เป็นไปได้ไง ก็พวกเจ้าเป็นเผ่าพันธุ์มีสายสัมพันธ์กันมากที่สุด พยัคฆ์ กับ สิงห์ ก็มีสายสัมพันธ์ที่ไม่ห่างไกลกันเท่าไร ทำไมเจ้าถึงไม่รู้ล่ะ ? “
นันทาเทพธิดา ถาม พยัคฆ์วารี ด้วยความข้องใจ
“ จริงอยู่ที่เผ่าพันธุ์ พยัคฆ์ กับ สิงห์ มีความสัมพันธ์กัน แต่ข้าไม่เคยได้ยินเสด็จพ่อของข้าพูดถึงเลยว่ามีเผ่าพันธุ์สิงห์ที่มีพลังอำนาจ เหมือน น้ำทิพย์ที่สาม มาก่อน อีกอย่างถ้าจะให้ข้าพูดตรง ๆ ก็คือ เอ้อ...... “
พยัคฆ์วารี หยุดพูดมองดู น้ำทิพย์ที่สาม ที่จ้องมองมาทางเขาด้วยความหวังที่ว่าอาจจะได้รับรู้เรื่องราวของตนเองบ้าง
“ ก็คืออะไร ของเจ้าล่ะ พยัคฆ์วารี พูดขยักไว้อยู่นั้นแหละ “
เปมิกา เริ่มหงุดหงิด ที่ พยัคฆ์วารี อยู่ๆ ก็หยุดพูดไป
“ ก็คือ น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่เผ่าพันธุ์  สิงห์ นะสิ “
ได้ยิน พยัคฆ์วารี พูดออกมา ทั้งหมดทำเสียหน้าเหมือนไม่เชื่อ พลังสิงห์ที่อยู่ในตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม เป็นพลังของเผ่าพันธุ์ สิงห์ ชัด ๆ แม้การใช้พลังจะดูแปลก ๆ แต่ก็เป็นพลังของเผ่าพันธุ์ สิงห์ ไม่ผิดแน่นอน แล้วทำไม พยัคฆ์วารี ถึงบอกว่า น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ สิงห์
“ พูดอะไรของเจ้า พยัคฆ์วารี ทำไม ถึงพูดว่า น้ำทิพย์ที่สาม ไม่ใช่ เผ่าพันธุ์ สิงห์ ล่ะ “
ตรัยสูรเริ่มขยับเข้ามาใกล้ พยัคฆ์วารี และเอ่ยถามขึ้น
“ นี้ ตรัยสูร ข้าขอถามเจ้าหน่อย เจ้าเคยเห็น สิงห์ ที่ไหนบ้างที่เป็นมนุษย์แบบ น้ำทิพย์ที่สาม ? ที่ข้าพูดไม่ใช่หมายความว่า สิงห์ ที่แปลงกายเป็นมนุษย์นะ แต่ข้าหมายถึงเป็นมนุษย์ที่ใช้พลังของเผ่าพันธุ์ สิงห์ หรือว่าถ้าพวกเจ้าเคยได้ยินมาก่อนก็ลองบอกข้าให้ชื่นใจหน่อยสิ “
พยัคฆ์วารี พูดตอบตรัยสูร กึ่งประชด ทางคนอื่น ๆ ต่างก็หันมามองหน้ากัน พวกเขาทั้งหมดเองก็ไม่เคยได้ยินเรื่องราวของ มนุษย์ที่ใช้พลังสิงห์มาก่อนเช่นกัน
“ นี้เจ้ากำลังบอกพวกข้าว่า น้ำทิพย์ที่สาม เป็นมนุษย์ แต่ใช้พลังพระเวทย์ของเผ่าพันธุ์ตระกูล สิงห์ อย่างนั้นหรือ ? “
อัคคีนาคา ถาม พยัคฆ์วารี แบบไม่แน่ใจ พลางมองดู น้ำทิพย์ที่สาม ซึ่งยิ่งดูก็ยิ่งน่าสงสาร หน้าตาไม่มีความสุขแม้แต่น้อย
“ หรือว่า น้ำทิพย์ที่สาม จะเป็นประเภท ลูกครึ่ง ครึ่งมนุษย์ครึ่งสิงห์ ? “
อนันตวาโย เสนอความคิดเห็นของตนออกมา แต่ถูก พยัคฆ์วารี ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ ไม่ใช่หรอก อนันตวาโย ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ข้าต้องได้กลิ่นเผ่าพันธุ์สิงห์จากตัวของ น้ำทิพย์ที่สามบ้าง ? แต่นี้ทั้งตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม มีเพียงแค่กลิ่นของมนุษย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น “
“ แล้วกัน แล้วนี้พวกเราจะช่วย น้ำทิพย์ที่สาม ได้ไงล่ะ ? “
มยุราเทวี พูดขึ้นอย่างปวดหัว เรื่องราวของ น้ำทิพย์ที่สาม ยิ่งฟังยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ แต่ น้ำทิพย์ที่สาม กลับพูดบอกเพื่อน ๆ ว่า
“ ช่างเถอะ นกยูง คงมีสักวันที่ข้าคงจะรู้ว่าข้าเป็นใครมาจากไหน ? แต่ตอนนี้ที่สำคัญพวกเราต้องสืบหาร่องรอยของ กัลย์ปาอสูร ให้ได้เสียก่อน “
พอ น้ำทิพย์ที่สาม พูดจบ ทุกคนต่างก็เพิ่งนึกขึ้นได้
“ แย่แล้ว ข้า อนันตวาโย และก็ ตรัยสูร กำลังจับตาดูพวกอสูรดำนั้นอยู่ ต้องรีบกลับไปเฝ้าดูพวกมันแล้ว “
นันทาเทพธิดา พูดขึ้นมาและลุกขึ้นทำท่าจะกลับไปยังชายป่าที่พวกนางเคยแอบเฝ้าดูพวกอสูรดำ
“ ไม่มีประโยชน์หรอก นันทาเทพธิดา ตอนนี้พวกมันคงจะไปกันไกลแล้วตามไม่ทันหรอก “
อนันตวาโย เอ่ยแย้งแต่ ตรัยสูร กลับไม่เห็นด้วย
“ แต่ข้าว่า ถ้าพวกเรารีบตามไปยังอาจจะพอตามทันนะ “
“ ไม่เป็นไรหรอก ตรัยสูร พวกเจ้าไม่ต้องตามไปหรอก ข้ารู้ว่าพวกมันจะไปรวมตัวกันที่ไหน ? “
น้ำทิพย์ที่สาม บอกตรัยสูร ขณะที่ ตรัยสูร เองก็รีบถาม น้ำทิพย์ที่สาม
“ พวกมันจะไป รวมตัวกันที่ไหน ? “
“ ป่าโครงกระดูก พวกมันจะไปพบขุนพลมารพลาสูร ที่ ป่าโครงกระดูก “
“ แล้วไอ้ป่าโครงกระดูกที่ว่า มันอยู่ที่ไหนล่ะ ? “
อัคคีนาคา ถามขึ้นพลางมองมายัง น้ำทิพย์ที่สาม
“ ข้าไม่รู้หรอก ว่ามันอยู่ที่ไหน ? คงต้องเสียเวลา สืบอีกหลายวัน “
น้ำทิพย์ที่สาม เอ่ยตอบ อัคคีนาคา
“ แต่ข้ารู้ว่า ป่าโครงกระดูก อยู่ที่ไหน ?  “
ทุกคนหันมามองหน้าเจ้าของเสียงเมื่อกี้ ฝ่าย เปมิกา พูดขึ้นอย่างสบายอารมณ์ พลางมองเหล่าเพื่อน ๆ ของตน
“ เสด็จพ่อของข้า เคยเล่าเรื่องของป่าโครงกระดูกให้ข้าฟัง รับรองไม่ผิดแน่ “
“ งั้นพวกเรา ออกเดินทางไปที่ป่าโครงกระดูกนั้นดีกว่า ว่าแต่ว่าจะใช้เวลาสักกี่วันล่ะ ดวงใจมาร ? “
เปมิกา คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบ ตรัยสูร
“ ก็คงประมาณ ๓- ๔ วันได้มั๊ง ป่าแถบนั้นอันตรายไม่น้อยเหมือนกัน ข้าว่าเริ่มออกเดินทางเลยดีกว่า ระหว่างทางข้าจะเล่าเรื่องของป่าของโครงกระดูกให้พวกเจ้าฟังด้วย “
ทั้งหมดพยักหน้าต่างก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของ เปมิกา ต่างก็พากันออกเดินทางไปยังป่าโครงกระดูกในทันที พวกเขาทั้ง ๘ เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้ามุ่งตรงไปยังป่าโครงกระดูกโดยมี เปมิกา เป็นผู้นำ ในขณะที่มีร่างของใครคนหนึ่งเหาะตามพวกเขาไปอย่างเงียบ ๆ
    ........ ณ. เทือกเขาแห่งหนึ่ง รายล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่มากมาย ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง ไม่มีแม้สรรพสัตว์ที่ออกหาอาหาร กลิ่นไอความตายโชยออกมาไม่ขาดสาย ภายในเทือกเขามีภูผาแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ภูผาแห่งนี้ซ่อนความน่ากลัวที่ไม่มีมนุษย์คนไหนกล้าเหยียบย่างเข้ามา ลึกเข้าไปภายในภูผามีถ้ำ ในถ้ำแลเห็นเหล่าอสูรร้ายเฝ้าอยู่ปากทางเข้า อสูรหลายตนทำหน้าที่ดูแลเฝ้ายามไม่ให้ใครรุกล้ำเข้ามาได้ เมื่อมองลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จะเห็นตรงส่วนกลางถ้ำเป็นห้องกว้างขนาดใหญ่ มีบัลลังก์รูปหัวอสูร ตั้งอยู่ตรงกลาง ถัดมาจากบัลลังก์อสูร มีที่นั่งลดไหล่กันลงมา ด้านหลังของบัลลังก์อสูรมีรูปหน้าอสูรตนหนึ่งกำลังแยกเขี้ยวคล้ายกับกำลังคิดกลืนกินชีวิตผู้คน ขณะนี้มีเหล่าอสูรอยู่ ๓ ตน นั่งอยู่ที่นั่งที่ลดหลั่นกัน มี ๒ ตนที่กำลังนั่งคุยพูดจากันอยู่ อีก ๑ นั่งเฉย ๆ มองดูที่เล็บของตนไม่ใส่ใจกับเรื่องของอสูรทั้ง ๒ ที่กำลังพูดคุยกัน แลเห็นอสูรตนหนึ่งกำลังจ้องมองอสูรอีกตนหนึ่งคล้ายกำลังตำหนิอะไรบางอย่าง
“ ทำไมเจ้าทำงานชักช้านัก บาลมารอสูร ป่านนี้แล้ว กองทัพประตูสวรรค์ ยังไม่พร้อมอีกหรือ ? “
บาลมารอสูร จ้องมองดูอีกฝ่ายอย่างไม่สะทกสะท้าน แยกเขี้ยวออกมาอย่างไม่ค่อยพอใจ
“ อังกลาตู เจ้าคิดว่าข้าว่างงานมากนักหรือไง ? เฮอะ ถึงข้าจะทำงานช้าไปหน่อย อย่างน้อยข้าก็ไม่เหมือนใครบางคนที่วัน ๆ เอาแต่ประจบสอพอ “
แววตาของ อังกลาตู เป็นประกาย จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเคือง ๆ เหมือนถูกแทงใจดำเข้า
“ เจ้าหมายถึงใครกัน ? บาลมารอสูร พูดให้ดีหน่อยนะ ไอ้ที่ไม่รู้จริงก็อย่าเอามาพูดดีกว่า “
“ ถ้าไม่จริงก็อย่าเพิ่งร้อนตัวสิ ข้าว่าเอาเวลาที่เจ้ามาต่อล้อต่อเถียงกับข้า ไปเลียแข้งเลียขาเจ้านายจะดีกว่า “
“ บาลมารอสูร นี้เจ้า........ ฮึม ”
อังกลาตู รีบลุกขึ้นจากที่นั่งของตนด้วยความโกรธ ทางฝ่าย บาลมารอสูร ก็ลุกขึ้นประจันหน้าเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายทำท่าทางจะเข้าโรมรันกันเอง แต่มีเสียงอสูรปีกดำเอ่ยแทรกขึ้นด้วยเสียงแหลมเล็ก
“ เลิกกัดซักที ดีกว่า บาลมารอสูร อังกลาตู พวกเจ้าไม่เบื่อกันบ้างหรือไง ? นี้ถ้าจ้าวอสูรรู้เข้าพระองค์คงไม่พอพระทัยแน่ พวกเจ้าคงไม่อยากจะให้ จ้าวอสูร เสด็จมาทอดพระเนตรมองดูพวกเจ้าทะเลาะกันด้วยพระองค์เองหรอกนะ “
ทั้งสองจ้องมองกันหน่อยหนึ่ง ก่อนสะบัดหน้านั่งลงประจำที่ของตนเอง อสูรปีกดำเริ่มพูดเข้าเรื่องในทันที
“ ตามข่าวที่ข้าสืบมาได้ ตอนนี้มีเทพผู้ถูกคัดเลือกให้ออกมาไล่ล่ากำจัดพวกเราเหล่าอสูรอยู่ พวกเจ้าเคยได้ยินข่าวกันมาบ้างหรือเปล่า ? “
อสูรปีกดำ พูดไปพลางขัดแต่งเล็บของตนเองอย่างทะนุทนอม ไม่ชายตาแม้แต่มองพวกเขาทั้งสองเลยแม้แต่น้อย
“ กะอีกแค่เทพกระจอก ๆ พรรค์นั้นเจ้าก็กลัวหรือ ทมิฬดำ “
ทมิฬดำ ได้ยินที่ อังกลาตู พูดยิ้มออกมาน้อย ๆ อย่างมีเลศนัย พลางพูดตอบอีกฝ่ายไป
“ ไม่ได้กลัว เพียงแต่อะไรที่ทำให้จ้าวอสูร ขัดข้องในพระทัย เราก็ต้องกำจัดให้สิ้นซากไม่ใช่หรือ ? อังกลาตู “
อังกลาตู นิ่งคิดนิดหนึ่งก่อนพยักหน้า อย่างเห็นด้วย ทางฝ่าย บาลมารอสูร ก็เอ่ยถามบ้าง
“ พวกมันมีกันสักเท่าไร ? “
“ ตามข่าวที่ข้ารู้มี ๗ “
พอ บาลมารอสูร ได้ยินก็หัวเราะออกมา ทำให้ อังกลาตู อดสงสัยไม่ได้
“ เจ้าหัวเราะ อะไรกัน บาลมารอสูร ? “
“ เจ้าไม่ขำหรือ อังกลาตู เทพผู้ปราบอสูรมีแค่ ๗ แต่กองทัพอสูรของเรามีตั้ง ๓ กองทัพ นี้พวกเทพมันคิดยังไงของมันถึงส่งคนของมันมาแค่ ๗ คนให้พวกเราทรมานเล่น “
บาลมารอสูร กำลังหัวเราะอย่างชอบใจ แต่ ทมิฬดำ พูดอะไรบางอย่างออกมาจน บาลมารอสูร ต้องชะงัก
“ มาให้พวกเราทรมานหรือ ทรมานพวกเรากันแน่ ? เมื่อไม่กี่เพลามานี้ ข้าได้ข่าวมาว่ากองลาดตระเวนของเรา เพิ่งถูกใครก็ไม่รู้ฆ่าตายไป ๑๕๐ ตน ที่แย่กว่านั้นก็คือ ดูเหมือนจะเป็นฝีมือของคน ๆ คนเดียว เท่านั้น “
“ หาาาาาา “
ทั้ง อังกลาตู และ บาลมารอสูร ครางออกมา พวกเขาต่างไม่คิดว่าจะมีเหล่าเทพที่มีความสามารถถึงเพียงนี้อยู่ในโลกด้วย
“ เรื่องนี้ไม่ธรรมดาเสียแล้ว ข่าวนี้รู้ถึงพระกรรณ ของ จ้าวอสูร หรือยัง ? “
บาลมารอสูร เริ่มวิตกว่าถ้าเจ้าอสูรรู้เรื่องเข้าพวกเขาจะถูกทำโทษอย่างไร ?
“ ยังไม่มีใครทูลให้พระองค์ทราบหรอก แต่ถึงไม่ทูลบอกพระองค์ พระองค์ก็ทรงทราบอยู่ดี ข้าว่าทางที่ดีพวกเจ้ารีบหาทาง กำจัดพวกเทพเหล่านั้นดีกว่า ก่อนที่พวกมันจะบุกเข้ามายัง ภูผาอสูร แห่งนี้ ถ้าเกิด พวกขุนพลเงาออกโรงมาจัดการแทน ความดีความชอบที่พวกเจ้าทำมาจะมลายหายไปหมดสิ้น “
ทมิฬดำ ยังคงแต่งเล็บที่คมกริบของตัวเองต่อไป ก่อนจะวางตะไบแต่งเล็บลงข้าง ๆ พลางเกร็งกำลังที่นิ้วทั้งสิบ พร้อมตวัดไปที่โต๊ะศิลาที่อยู่ใกล้ ๆ
“ เปรี้ยง  โครมๆๆ “
พอสิ้นเสียง โต๊ะศิลาตัวนั้นแหลกเป็นเสี่ยง ๆ
“ แล้วตอนนี้มีใครอยู่ใกล้สถานที่เกิดเหตุมากที่สุด ? “
ทมิฬดำ ชำเลืองมอง อังกลาตู พลางบอกต่อเขาอย่างช้า ๆ
“ ขุนพลมารพลาสูร ตอนนี้เขากำลังรวบรวมเสบียงอาหารและกำลังสืบหาข่าวคราวของพวกเทพเหล่านั้นอยู่ “
“ ดี ข้าจะส่งสารไปถึง พลาสูร ให้ พลาสูร  จัดการพวกมันซะ “
อังกลาตู พูดด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม ส่วน บาลมารอสูร ถาม ทมิฬดำ ถึงคู่หูของเขาที่ไม่เห็นหน้ามาหลายวันแล้ว
“ แล้วนี้ มันจาปา มันหายหัวไปไหนกัน ? “
“ มันจาปา เพื่อนเจ้านะเหรอ ?  ท่านจ้าวอสูร ให้ ออกไปหาโลหิตของสาวพรหมจรรย์มาทำพิธีชุบ ๖ อาวุธ ศักดิ์สิทธิ์  อีกไม่นานก็คงจะกลับมาแล้ว “
ทมิฬดำ พูดจบ หันหน้ามองเข้าไปทางห้องพิธี ด้านในสุด ซึ่งเป็นที่ ที่จ้าวอสูร กำลังทำพิธีชุบอาวุธทั้ง ๖ อยู่ ในใจรู้สึกเกรงกลัวกับห้องพิธีนี้ไม่น้อยทีเดียว ในห้องพิธี มีอสูรหนุ่ม ผู้หนึ่ง กำลังนั่งบริกรรมพระเวทย์อย่างแน่นแน่ แลเห็นโฉมหน้าของ จ้าวอสูร ที่เหล่าเทพ ต้องการจะเจอะเจอ อสูร ๓ หน้า ๖ มือ ผู้แสนน่ากลัว
“ กัลย์ปาอสูร “
กัลย์ปาอสูร ค่อย ๆ เริ่มลืมตาของตนขึ้นมา จ้องมองอาวุธ ทั้ง ๖ อย่างสนใจ รอยยิ้มปรากฏที่มุมปากยากจะเข้าใจถึงความคิดของจ้าวอสูรร้ายตนนี้
“ อิๆๆ  อีกไม่นานแล้วสินะ อีกไม่นาน ก็จะสำเร็จ เวลาที่ข้ารอคอยมานานแสนนานใกล้จะบรรลุแล้ว ถึงตอนนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างต้องตกเป็นของข้า ฮะๆๆๆๆ “
เสียงหัวเราะของ กัลย์ปาอสูร ดังก้องไปทั่วห้องพิธี แสงแวววับสีแดงคล้ายโลหิตสะท้อนไปทั่วอาวุธทั้ง ๖  กลิ่นไอพลังความตายแผ่ซ่านออกมาจากอาวุธทั้ง ๖ ไม่ขาดสาย เหมือนอสูรร้ายที่กระหายเลือดอย่างบ้าคลั่ง เฉกเช่นเดียวกันกับผู้เป็นเจ้าของ
    .ในป่าใหญ่ เวลานี้เป็นเวลากลางคืน เหล่าเทพทั้ง ๘ ต่างนอนพักผ่อนในระหว่างเดินทาง มี ๗ คนที่กำลังนอนหลับสนิท ในขณะที่ อนันตวาโย เฝ้ายามป้องกันอันตราย จากการลอบจู่โจมจากพวกเหล่าอสูร อนันตวาโย ก่อกองไฟไว้กองเล็ก ๆ กองหนึ่ง ทางมยุราเทวี และ อัคคีนาคา นอนอยู่ใต้ต้นไม้ต้นเดียวกัน ทาง นันทาเทพธิดา และ เปมิกา นอนอยู่ใต้ต้นไม้อีกตนหนึ่ง ที่อยู่ใกล้ ๆ กัน ห่างออกมาอีกหน่อย เห็น พยัคฆ์วารี ตรัยสูร และ น้ำทิพย์ที่สาม นอนอยู่ด้วยกัน  ฝ่าย อนันตวาโย ยังเฝ้ายามอยู่ อย่างระแวดระวัง อันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ ทั้ง ๗ กำลังนอนหลับสนิท หากแต่ น้ำทิพย์ที่สาม ที่นอนหลับสนิทเช่นกันนั้น เขากำลังเข้าสู่ห้วงของภาพอะไรบางอย่าง ภาพฝันที่น้อยครั้งจะปรากฏให้เห็น  ในฝันตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม กำลังยืนอยู่ในทุ่งหญ้าโล่งกว้าง มองดู ทิวทัศน์ ที่ปรากฏ แม้ว่าจะแปลกตา แต่ก็งดงามจนบรรยายไม่ถูก เขามองไปเรื่อย ๆ ทุ่งกว้างแห่งนี้ไม่รู้สิ้นสุดที่ตรงไหน เขาเดินไปข้างหน้า จ้องมองดูทุ่งหญ้าที่เห็นซึ่งไม่แน่ใจว่าเป็นที่แห่งใดกันแน่ เขาเดินมาเรื่อย ๆ  จนพบเห็น ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเขา แต่ชายหญิงทั้งสองหันด้านข้างให้กับเขาอยู่ มองดูหน้าทั้งสองแล้วไม่ชัดเจน คล้ายพร่ามัวอย่างไรบอกไม่ถูก สักครู่มีเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง วิ่งมาหาพวกเขาทั้งสอง ในมือถือดอกไม้ดอกหนึ่ง เด็กชายตัวเล็ก ๆ ที่มี สังวาล อัญมณีสีเหลือง สวมใส่ติดตัวอยู่  เด็กคนนั้นเอ่ยบอกกับพวกเขาทั้งสองคนเมื่อวิ่งมาถึงตัว
“ ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ามาแล้ว “
ชายหญิงทั้งคู่ ยิ้มอย่างดีใจที่ได้เห็นเด็กน้อย หญิงสาว ลดตัวลงไปอุ้มเด็กคนนั้นขึ้นมา
“ ลูกแม่ เจ้าไปเล่นที่ไหนมา ? “
เด็กน้อยยิ้มตอบแม่ด้วยน้ำเสียงสดใส
“ ข้าไปที่ดงดอกไม้มา ข้าเด็ดมาดอกหนึ่ง ข้าเอามาให้ท่านแม่ขอรับ “
“ ขอบใจจ๊ะลูกรัก “
หญิงสาวผู้เป็นแม่ เอ่ยตอบด้วยเสียงอันอ่อนโยน แต่ในขณะเดียวกันแสดงสีหน้าที่หนักใจ
“ ลูกพ่อเจ้ามาหาพ่อสิ “
ผู้เป็นแม่ ปล่อยตัว ลูกรักของตน ขณะที่เด็กน้อย เดินเข้าไปหาผู้เป็นพ่อ
“ ต่อไปเจ้าจะเล่นอย่างนี้ อีกไม่ได้แล้วรู้ไหม ? “
“ ทำไมขอรับ ท่านพ่อ ทำไมข้าถึงออกมาเล่นไม่ได้อีกขอรับ ? “
เด็กน้อย ถามผู้เป็นพ่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้าใจ เหตุใดพ่อของตนถึงพูดเช่นนั้น
“ ลูกพ่อ ต่อไปเจ้าต้องแบกรับหน้าที่ หน้าที่ที่สำคัญยิ่ง เจ้าต้องรับตำแหน่งนี้ เพื่อสืบทอดเจตนารมณ์ของบรรพบุรุษ เราต่อไป “
เด็กน้อย เบ้ปากไปอีกทางหนึ่ง เขาเป็นแค่เพียงเด็กเล็ก ๆ ทำไมต้องไปรับตำแหน่งอะไรบ้า ๆ นั้นด้วย
“ ข้าไม่รับไม่ได้หรือ ? ท่านพ่อ “
ผู้เป็นพ่อมองลูกรักอย่างเอ็นดู แม้คำถามดูจะไร้เดียงสาไปหน่อย แต่กับลูกคนนี้แล้วเขาเองก็ไม่อาจปฏิเสธการตอบคำถามของบุตรชายได้
“ ไม่ได้หรอกลูก เจ้าเป็นผู้เดียวที่จะสามารถสืบทอดตำแหน่งนี้ได้ “
“ ทำไมต้องเป็นข้าด้วยขอรับท่านพ่อ ทำไมท่านพ่อและท่านแม่ถึงไม่ท่านพี่รับตำแหน่งแทนขอรับ “
ผู้เป็นพ่อและผู้แม่มองหน้ากัน คล้ายหาคำอธิบายให้แก่ลูกของตนอยู่ แลเห็นผู้เป็นแม่ย่อตัวลงมาหาลูกชายของตนก่อนตอบคำถามของบุตรชาย
“ เพราะโชคชะตาได้ลิขิตให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดอย่างไรล่ะ “
“ โชคชะตา “
เด็กน้อยทวนคำอย่างช้า ๆ
“ โชคชะตาเป็นใครหรือขอรับ ? “
ผู้เป็นพ่อและแม่หัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ในคำถามขอลูกชายของตน
“ ลูกพ่อเมื่อเจ้าโตขึ้นเจ้าจะรู้เองว่า โชคชะตาเป็นใคร “
ผู้เป็นพ่อและแม่จูงมือบุตรชายของตนเดินจากไป น้ำทิพย์ที่สาม พยายามจะเดินเข้าไปหา คนทั้งสามแต่เหมือนที่หมอกหนา ๆ มากลางกั้นไม่ให้เขาเข้าไปได้ เพียงแต่ได้ยินเสียงพูดคุยกันของคนทั้งสามลอยดังมากับสายลมและเงาจาง ๆ ของทั้งสามที่อยู่ในกลุ่มหมอก
“ ลูกรักของพ่อ เมื่อเจ้าได้รับตำแหน่งนี้ ต่อไปทุกคนในที่นี้จะเรียกเจ้าว่า ...... น้ำทิพย์ที่สาม “
“ ฮะๆ น้ำทิพย์ที่สาม “
เด็กน้อย หัวเราะร่าเริงอย่างอารมณ์ดี กลับกันกับที่ น้ำทิพย์ที่สาม ที่พยายามเข้าไปหาพวกเขาแต่เหมือนถูกอะไรกระแทกหลุดลอยมายังที่ใด ที่หนึ่ง เวิ้งว้าง เดียวดาย ไร้จุดหมาย เหมือนอยู่ในห้วงจักรวาล อันไกลโพ้น
“ อ๊ะ “
น้ำทิพย์ที่สาม สะดุ้งตื่นขึ้นจากการหลับใหล เหงื่อท่วมตัว ทั่วทั้งใบหน้ามีคราบเหงื่อไหลปรากฏอยู่ ทั้งเหนื่อยเหมือนคนเดินทางไกล ในหัวปวดคล้ายจะระเบิด เขาพยายามทบทวนความฝันที่ปรากฏนั้นอีกครั้ง แต่จำได้ไม่หมด ความฝันที่ดูเหมือนจริงและโหยหามาตลอดเวลา
“ เจ้านอนไม่หลับหรือ น้ำทิพย์ที่สาม “
อนันตวาโย เอ่ยถาม น้ำทิพย์ที่สาม ขณะเดียวกันมองดูท่าทางของเขา แลเห็นที่ใบหน้ามีเม็ดเหงื่อปรากฏให้เห็นทำให้อดเป็นห่วงไม่ได้
“ เปล่าหรอก อนันตวาโย ข้าหลับไปแล้ว เพียงแต่ข้า...... “
“ เพียงแต่ เพียงแต่อะไร ? “
อนันตวาโย ลุกจากที่นั่งของตนเดินมานั่งใกล้ ๆ กับ น้ำทิพย์ที่สาม
“ เพียงแต่ข้าฝัน “
“ ฝัน เจ้าฝันเห็นอะไร ? “
น้ำทิพย์ที่สาม พยายามนึกทบทวนเรื่องราวที่เขาฝันเมื่อครู่ ก่อนเอ่ยบอก อนันตวาโย ว่า
“ ข้าฝันเห็นคนสามคน ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง และเด็กตัวเล็ก ๆ อีกหนึ่งคน “
อนันตวาโย นิ่งฟังพอจะเดาอะไรออก
“ สามคนที่เจ้าฝัน เป็นพ่อ แม่ ลูก กันใช่ไหม ? “
น้ำทิพย์ที่สาม พยักหน้า แทนคำตอบ ขณะที่มือทั้งสองปาดเหงื่อที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขา
“ นั้นอาจจะเป็นความฝันที่เกี่ยวกับตัวเจ้าก็ได้ สามคนนั้นอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวเจ้า ไม่แน่เด็กคนนั้นอาจเป็นเจ้าเองหรือไม่ก็พี่น้องของเจ้าก็ได้ “
อนันตวาโย บอกความเห็นของเขาต่อ น้ำทิพย์ที่สาม ส่วนมืออีกข้างก็หยิบเศษไม้ที่เก็บรวบรวมไว้ตั้งแต่ตอนเย็นโยนเข้าไปในกองไฟใกล้จะมอดดับ ทำให้เปลวไฟกลับมาลุกโชนอีกครั้งหนึ่ง
“ เสียดาย ข้าจำตอนท้ายของความฝันไม่ได้ เหมือนข้าได้ยินคำพูดอะไรบ้างอย่างที่เกี่ยวกับตัวของข้า ไม่รู้อีกเมื่อไรข้าถึงจะได้ฝันแบบนี้อีก “
เจ้าของเสียงพูดแล้วก็ถอนใจเฮือกใหญ่ ออกมา แม้การคาดหวังแบบนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆ มากกว่าจะเชื่อถือได้ แต่ตัวเขาก็ยังเชื่อ เชื่อในความฝันของตนเอง แม้ความฝันจะดูเลือนรางแต่บางทีอะไรที่สร้างความหวังได้ ก็ยังดีกว่าอะไรที่ไม่มีให้คาดหวัง
“ อย่ากังวล เลย น้ำทิพย์ที่สาม เมื่อก่อนเจ้าอาจไม่มีใครเลย แต่ตอนนี้เจ้าก็มีพวกข้าอยู่ พวกข้าและเจ้าเป็นเพื่อนกัน อย่างไรพวกข้าก็จะช่วยเจ้าจนถึงที่สุด “
น้ำทิพย์ที่สาม ยิ้มออกมาอย่างตื้นตันมิได้
“ ข้าขอบใจพวกเจ้ามาก อนันตวาโย พวกเจ้าทำให้ข้ารู้สึกว่า ข้าไม่ได้อยู่เพียงตัวคนเดียวในโลกนี้ “
ขณะที่พวกเขายังพูดคุยกันอยู่ มีสมุนของขุนพลมารพลาสูร ที่ออกมาสืบข่าวอยู่ตนหนึ่งกำลังแอบดูอยู่ใกล้ ๆ กับที่พวกเขากำลังนอนหลับกันอยู่ อสูรตนนี้แอบติดตามพวกเขาทั้ง ๘ ตั้งแต่เริ่มออกเดินทางมายังป่าโครงกระดูก
“ พวกเทพที่ถูกส่งมาปราบพวกข้าก็คือพวกนี้เอง แต่ตามข่าวที่ข้ารู้มีเพียงแค่ ๗ นี้น่า ทำไมพวกนี้มันมี ๘ ล่ะ “
อสูรตนนั้นเริ่มไม่แน่ใจว่าที่เขาแอบติดตามพวกเขาทั้ง ๘ นั้นจะใช่เหล่าเทพจริง ๆ หรือเปล่า ?
“ ยังไงก็ช่าง ต้องกลับไปรายงานให้ท่านขุนพลมาร พลาสูร ทราบก่อนดีกว่า กันไว้ย่อมดีกว่าแก้ “
คิดได้ดังนั้น จึงเริ่มขยับตัวออกมาจากที่ซ่อนคิดเหาะกลับไปหาขุนพลมาร พลาสูร ทันที พอหันหลังกลับมากลับเจออสูรสาวยืนอยู่ด้านหลังของตน อสูรตนนั้นตกใจไม่น้อยที่มีหญิงสาวที่ไหนก็ไม่รู้ มายืนอยู่ข้างหลังโดยไม่รู้ตัว รีบชักดาบออกมาในทันที
“ แม่สาวน้อย เจ้าเป็นใครกัน ? แล้วมายืนอยู่ข้างหลังข้าตั้งแต่เมื่อไร ? “
อสูรสาวยืนจ้องหน้าอสูรตนนั้นด้วยสายตาเย็นเฉียบ เอ่ยตอบขึ้นอย่างช้า ๆ
“ ก็ตั้งแต่เจ้าแอบตามพวกข้านั้นแหละ ส่วนข้าเป็นใครไม่จำเป็นต้องบอกให้เจ้ารู้ เพราะอีกเดี๋ยวเจ้าก็คงไม่มีโอกาสได้ไปบอกใครอยู่แล้ว “
อสูรตนนั้น เริ่มโกรธจนหน้าเขียว แอบชำเลืองมองดูด้านหลังพบว่า ทั้ง ๘ ยังคงอยู่ที่เดิม แล้วอสูรสาวตนนี้เป็นใครกันแน่ ?
“ เฮอะ คิดจะฆ่าข้าเหรอ ? จะให้เจ้ารู้ความร้ายกาจของข้า อสูรแดง บ้าง  “
อสูรแดง ตรงดิ่งเข้าเล่นงานอสูรสาว ฟันดาบอย่างแรงหมายจบชีวิตของอีกฝ่ายให้ได้ ความเร็วของอสูรแดงมีไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับอสูรสาวแล้วยังเหมือนฟ้ากับเหว อสูรสาวเอี้ยวตัวหลบคมดาบเพียงนิดเดียว คมดาบไม่ได้สัมผัสเส้นขนแม้แต่เพียงเส้นเดียว เพียงเสี้ยวเวลาอสูรสาวชักดาบออกมาเพียงแค่เห็นแสงจากคมดาบเพียงแวบเดียวเท่านั้น อสูรแดงก็ถึงกลับเปล่งเสียงร้องอย่างโหยหวน นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ตรงนั้น
“ อ๊ากกกกก “
เสียงร้องของอสูรแดงปลุกให้คนที่ยังหลับอยู่ตื่นขึ้น อนันตวาโย และ น้ำทิพย์ที่สาม รีบพุ่งตัวไปยังทางเสียงที่ได้ยิน ฝ่ายคนอื่น ๆ ก็รีบติดตามไปอย่างรวดเร็ว มีเพียง เปมิกา เท่านั้นที่เดินอย่างช้า ๆ ไม่อาทรร้อนใจใด ๆ ทั้งสิ้น  พอพวกเขามาถึงต่างพบอสูรแดง นอนดิ้นทุรนทรายกองอยู่ที่พื้น พร้อมค่อย ๆ ขาดใจตายในที่สุด มองไปข้างหน้าเห็นอสูรสาวยืนอยู่ถัดลงมาที่มือของนางกำลังที่ดาบที่ทุกคนคุ้นตา
“ ดวงใจมาร นี้มันอะไรกัน ? แล้วอสูรตนนี้เป็นใครกัน “
เปมิกา เก็บดาบปราบลิขิตฟ้า คืนสู้ฝักก่อนเอ่ยตอบอย่างช้า ๆ
“ อสูรตนนี้ มันชื่อ อสูรแดง เป็นอสูรสืบข่าว สงสัยจะสังกัดอยู่กับขุนพลมารตนใดตนหนึ่งของ กัลย์ปาอสูร ถ้าให้ข้าเดาคงเป็นของ ขุนมาร พลาสูร เพราะป่าแถบอยู่ห่างจากป่าโครงกระดูกไม่มากเท่าไร “
ทุกคนยืนฟัง เปมิกา ที่พูดอยู่ข้างหน้ากลับได้ยินเสียง เปมิกา เอ่ยตอบมาทางด้านหลังอีก
“ มันแอบติดตามพวกเรามาตั้งแต่ช่วงกลางวันแล้ว คงจะมาสืบข่าวเกี่ยวกับเรื่องของเหล่าเทพที่จะออกมาปราบพวกอสูร  ข้าก็เลยจัดการมันซะ “
ทุกคนต่างหันรีหันขวางมอง หน้าที หลังที ในตอนนี้มี เปมิกา ถึง ๒ คน ยืนพูดคุยกับพวกเขาอยู่
“ วิชาแยกร่างเหรอ ? ร้ายกาจไม่เบา แยกไปตั้งแต่ตอนไหนกัน ทำไมพวกเราถึงไม่รู้เลยล่ะ ? “
น้ำทิพย์ที่สาม คิดไม่ถึงว่า เปมิกา จะมีวิชาแยกร่างที่ร้ายกาจมากขนาดนี้ แม้แต่เขาเองก็ยังจับสัมผัสไม่ได้
“ ก็ตั้งแต่ ตอนเริ่มนั่งฟังเจ้าเล่าเรื่องนั้นแหละ ข้ารู้สึกว่ามีใครจับตาดูอยู่ จึงแยกร่างออกมาตั้งแต่ตอนนั้น “
อสูรสาว เฉลยคำตอบให้ฟัง ทาง ตรัยสูร เอ่ยพูดขึ้นอย่างเสียดาย
“ ความจริง เจ้าไม่น่าจะฆ่ามันเลยนะ จะได้รู้พวกมันคิดทำอะไรกันอยู่ ? “
เปมิกา ยิ้มออกมาน้อย ๆ ตอบ ตรัยสูร ว่า
“ ถึงจับมันไว้มันก็ไม่บอกหรอก มันตายสิถึงจะดีจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรามากกว่า “
มยุราเทวี ได้ฟังเริ่มคิดอะไรออกขึ้นมา 
“ หรือว่าเจ้าจะ............ “
เปมิกาทั้ง ๒ คน เดินเข้ามารวมร่างกัน ก่อนจะเอนตัวยังต้นไม้ แววตาเป็นประกายแฝงความนัยและความคิด
“ ใช่แล้ว นกยูง งานนี้เราต้องให้ ตรัยสูร เป็นตัวชูโรงซะแล้ว “
ตรัยสูร ทำหน้าสี งง ๆ ไม่รู้ว่า สองสาวงามหมายถึงอะไร หากแต่ความคิดของ เปมิกา นั้นปรากฏออกมาทางสีหน้าและแววตา หากสิ่งที่นางคิดไม่ผิด การไล่ล่าติดตาม กัลย์ปาอสูร อาจจะไม่ได้ยากอย่างที่ใคร ๆ คิดก็เป็นได้
จบตอนที่ ๖ ครับ  ว่าแต่ ตอนต่อไป จะเอาไงดีหว่า ???? ยังคิดไม่ออก ^_^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น