ลำดับตอนที่ #7
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ดาบปราบลิขิตฟ้า สู้ กรงเล็บอสูร
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม
ตอนที่ ๗ ดาบปราบลิขิตฟ้า สู้ กรงเล็บอสูร
    ที่น้ำตกมีชาย ๔ หญิง ๔ กำลังนั่งเล่นน้ำกันอยู่ พวกเขาก็คือ เหล่าเทพทั้ง ๘ นั้นเอง  อัคคีนาคา มยุราเทวี นันทาเทพธิดา เปมิกา ต่างกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน หลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเข้าสู่ป่าโครงกระดูกตั้งแต่เมื่อ ๒ วันก่อน ฝ่าย อนันตวาโย พยัคฆ์วารี ตรัยสูร และ น้ำทิพย์ที่สาม ก็นั่งอาบน้ำอยู่ใกล้ ๆ กัน  ๔ สาวงามที่กำลังนั่งเล่นน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนานนั้น คนที่รู้สึกชอบมากที่สุดคงจะเป็น อัคคีนาคา ตามวิสัยของเผ่าพันธุ์นาคาที่มักคุ้นเคยอยู่กับน้ำมากกว่าใครอื่น ละอองน้ำที่กระทบกับตัวของพวกนางส่งให้พวกนางทั้ง ๔ ยิ่งดูยิ่งงดงาม หาก คนธรรพ์ หรือ วิทยาธร ตนใดมาเห็นเข้าในเวลานี้คงจะหยุดมองชื่นชมความงามของพวกนางจนกระทั่งลืมแม้เวลาและนาที ที่มีอยู่ แม้แต่ อนันตวาโย เองก็ยังอดมองพวกนางทั้ง ๔ ไม่ได้ หากเขาไม่ใช่เพื่อนของพวกนางแล้วไซร้ คงจะอดใจไม่ไหว เผลอตัวเข้าเกี้ยวพวกนางทั้ง ๔ อย่างแน่นอน  ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ที่กำลังอาบน้ำอยู่เงียบ ๆ นั้น กำลังสะบัดมือขึ้นลงอย่างช้า ๆ น้ำที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ตัว เริ่มก่อตัวเป็น สิงห์น้ำ ขึ้นมา
“ น้ำทิพย์ที่สาม เจ้ากำลังทำอะไรอยู่นะ ? “
ชายหนุ่มหันมามอง หน้าสาวงามเจ้าของเสียง และเอ่ยตอบคำถามอย่างช้า ๆ
“ ไม่มีอะไรหรอก นกยูง ข้าแค่ทบทวนพระเวทย์ของข้าอยู่เท่านั้นเอง “
มยุราเทวี ขมวดคิ้วใช้ความคิด วิชาบังคับน้ำของ น้ำทิพย์ที่สาม จัดว่าไม่ธรรมดา ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด คนที่เก่งกาจทางด้านนี้ที่สุดคงจะเป็น พยัคฆ์วารี ทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่า น้ำทิพย์ที่สาม ถนัดวิชาอะไรกันแน่ ?
“ น้ำทิพย์ที่สาม เจ้าถนัดวิชาอะไรมากที่สุด ? “
น้ำทิพย์ที่สาม ยังควบคุมน้ำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด พลางเฉลยคำตอบให้แก่ผู้อยากรู้
“ ข้าไม่มีวิชาที่ข้าถนัดเฉพาะด้านหรอก มีแต่พระเวทย์ที่เข้าถึงสำนึกแห่งธรรมชาติเท่านั้น “
เปมิกา ได้ยินคำตอบของ น้ำทิพย์ที่สาม สีหน้าของนางเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
“ พระเวทย์อะไรของเจ้ากัน สำนึกแห่งธรรมชาติ มีในโลกนี้ด้วยเหรอ ? “
เจ้าของวิชา ยิ้มน้อย ๆ กับคำถามนี้ บางสิ่งบางอย่างก็อาจอธิบายได้ยากเกินไปหากไม่ได้เจอกับตาของตนเอง
“ จะมีหรือเปล่านั้นข้าไม่รู้ ? แต่พระเวทย์ของข้าสามารถเข้าถึงสำนึกแห่งธรรมชาติได้ “
เจ้าของมือทั้งสองที่ยังหมุนวนบังคับน้ำอยู่นั้น พลันถอนมือออกมาข้างหนึ่ง บังคับพลังอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นพลังแห่งไฟ ก่อรูปเป็น สิงห์ไฟ ขึ้น ดูแล้วเหลือเชื่อแต่เป็นได้ ในตอนนี้ มี สิงห์ไฟ และ สิงห์น้ำ กำลังคลอเคลียหมุนตัวไปมาอยู่ด้วยกัน เหล่าเพื่อน ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ จ้องมองดูสิ่งที่ น้ำทิพย์ที่สาม ทำด้วยดวงตาที่ฉงนสนเท่ห์
“ อะไรกันนี้ ข้าตาฝาดไปหรือเปล่า ? “
ตรัยสูร ครางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ วิชาของ น้ำทิพย์ที่สาม ยิ่งดูยิ่งพิสดาร ถึงจะให้เขาเดาว่าเป็นวิชาแขนงไหน  คาดว่าต่อให้เดาจนตายก็คงดูไม่ออกว่าเป็นวิชาของเทพสายไหนกันแน่
“ เจ้าไม่ได้ตาฝาดหรอก ตรัยสูร พระเวทย์ที่ข้าใช้ คือ พระเวทย์จักรวาลผันแปรสิ่งอื่นใดล้วนเกี่ยวเนื่อง หลักสำคัญของ พระเวทย์นี้อยู่ที่ สำนึกแห่งธรรมชาติ “
อัคคีนาคา จ้องมองอย่างสนใจ เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ สำนึกแห่งธรรมชาติคืออะไร ? “
น้ำทิพย์ที่สาม คิดทบทวนพระเวทย์ของตนหน่อยหนึ่ง ก่อนจะบอกเคล็ดลับของตนให้บรรดาเหล่าเพื่อนฟัง
“ เมื่อพูดถึงสำนึกแห่งธรรมชาติ จะต้องพูดถึง สำนึกแห่งตัวตนเสียก่อน ในบรรดาสรรพวิชาต่าง ๆ ในโลกนี้มักจะมีลักษณะ เฉพาะ สำหรับตัวผู้ฝึกวิชานั้น อย่างเช่น ผู้ที่ถนัดที่ใช้วิชาแห่งลม ย่อมจะไม่สามารถบังคับพลังรูปแบบอื่นใดได้ดีกว่า พลังแห่งลม ถ้าเปลี่ยนให้เขา บังคับพลังแห่ง น้ำ ไฟ หรือ ดิน ย่อมต้องจะอ่อนด้อยกว่า วิชาหลักของตนอย่างแน่นอน “
ทั้ง ๗ ฟัง น้ำทิพย์ที่สาม เล่าถึงเคล็ดลับอย่างตั้งใจ ขณะที่เจ้าของวิชายังพูดต่อไป
“ ส่วนสำนึกแห่งธรรมชาติ นั้น ไม่อิงอยู่กับกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น หลักสำคัญก็คือ กลมกลืนไปกับพลัง ไม่ออกนอกกระแสจากสำนึกที่มีอยู่และสำนึกที่ต้องการใช้ “
ดวงตาของ พยัคฆ์วารี เปล่งประกาย เหมือนเขาเข้าใจอะไรในคำพูดของ น้ำทิพย์ที่สาม
“ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็หมายความว่า คนทั่วไปมักเข้าใจผิดคิดว่า ตนถนัดวิชาใดแล้ว ย่อมจะใช้วิชาอื่นได้ไม่ดีกว่าวิชาที่ตนถนัดใช่ไหม ? “
น้ำทิพย์ที่สาม พยักหน้ายอมรับ และพูดต่อว่า
“ ถูกต้องแล้ว พยัคฆ์วารี อย่างเจ้าถึงจะถนัดวิชาบังคับน้ำ มากกว่าวิชาอื่น แต่เจ้าก็สามารถบังคับพลังรูปแบบอื่นให้เทียบเท่าหรือดีกว่าวิชาที่เจ้าถนัดได้ อย่างเช่น ถ้าเจ้าอยากบังคับพลังแห่งลม เจ้าก็สามารถบังคับพลังแห่งลมได้ ไม่ด้อยกว่าวิชาหลักของเจ้าเลย “
ยิ่งฟังยิ่งสนุก อัคคีนาคา ถามต่ออย่างใคร่รู้ในสิ่งที่พบเจอ
“ แล้วต้องทำอย่างไร ? ถึงจะทำอย่างที่เจ้าว่าได้ล่ะ น้ำทิพย์ที่สาม “
น้ำทิพย์ที่สาม มองหน้าสาวงาม พลางเอ่ยตอบอย่างช้า ๆ
“ รวมจิตตั้งมั่นเป็นใจ ใจคือสำนึก สำนึกคือความต้องการ ความต้องการคือความคิด อยากใช้สิ่งไหนต้องเป็นสิ่งนั้นไม่ว่าจะเป็นมากกว่า ๑ หรือมากกว่า ๒ หรือมากกว่า ๓ “
คำตอบคล้ายทำให้งวยงงสงสัย มีอยู่ ๖ คนทำสีหน้าครุ่นคิด กลับกันกับ อัคคีนาคา เหมือนเข้าใจในสิ่งที่พูด กวาดวาดมืออย่างช้า ๆ น้ำที่อยู่ตรงหน้าเริ่มก่อรูปเป็นนาคน้ำตัวน้อย ๆ เลื้อยตัวไปมาอยู่รอบ ๆ ตัวของนาง
“ อย่างนี้นี้เอง ความคิดบังคับพลังต้องต่อเนื่อง ถ้าอยากใช้สิ่งไหนย่อมต้องใช้สิ่งนั้นได้  “
มยุราเทวี เอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจเมื่อเห็นสิ่งที่ อัคคีนาคา กระทำอยู่
“ จักรวาลย่อมผันแปร และ เกี่ยวเนื่อง ต่อกัน สมแล้วที่ว่า สำนึกแห่งธรรมชาติ “
นันทาเทพธิดา พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี เมื่อเข้าใจหลักวิชาของ น้ำทิพย์ที่สาม
“ ตั้งแต่ข้าโตมา เสด็จพ่อมักต่อว่าข้าเสมอว่า ข้ามีแต่วิชาที่บังคับไฟ ที่โดดเด่นกว่านาคตนอื่น ๆ แต่วิชาบังคับน้ำของข้ากลับไม่สามารถควบคุมได้ดังใจ ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าเวลาข้าใช้พลังมักทำตัวให้เป็นสำนึกแห่งไฟอยู่เสมอ ข้าถึงควบคุมพลังแห่งน้ำ ไม่ได้เหมือนกับคนอื่น ๆ ความจริงถ้าข้าอยากจะบังคับน้ำย่อมทำได้ เพียงแต่สำนึกของข้าต้องเป็นน้ำเสียก่อน “
อัคคีนาคา พูดอย่างดีใจ นี้เป็นครั้งแรกที่นางบังคับน้ำได้ตามใจต้องการ ตลอดเวลาที่ผ่านมาวิชาบังคับน้ำของนางไม่เคยได้ถึง ๒ ใน ๑๐ ของผู้เป็นพ่อด้วยซ้ำ
“ แต่ที่ยากที่สุดของพระเวทย์นี้ ก็คือ จะทำอย่างไร ? ในขณะเดียวกันให้มีสำนึกหลาย ๆ สำนึกรวมอยู่ด้วยกันและไม่ขัดแย้งกันเองต่างหาก “
น้ำทิพย์ที่สาม บอกสิ่งที่สำคัญยิ่งในหลักพระเวทย์นี้ให้ทุกคนฟัง
“ อย่างที่เจ้าทำเมื่อครู่นี้ใช่ไหม ? ที่มี สิงห์ไฟ และ สิงห์น้ำ อยู่ด้วยกันได้โดยพลังทั้งสองไม่กระทบกระแทกกันเอง “
อนันตวาโย เอ่ยถามในสิ่งที่เขาคิดอยู่
“ ถูกแล้ว นั้นแหละคือสิ่งที่ยากที่สุด “
“ แล้ว จะต้องทำอย่างไรถึงจะทำแบบที่เจ้าทำได้ล่ะ ? “
เปมิกา ถาม น้ำทิพย์ที่สาม ขึ้น ในความคิดของนาง พระเวทย์นี้ มีประโยชน์ต่อนางไม่น้อยทีเดียว
“ เรื่องนั้นข้าตอบไม่ได้ พวกเจ้าต้องลองหัดและฝึกใช้ดูเอง ถึงจะเข้าสู่เคล็ดลับนั้นได้ ผู้ไม่ปฏิบัติย่อมไม่พบหนทางที่จะเข้าถึง ต่อให้พวกเจ้าฟังข้าพูดจนผันแปรสำนึกแห่งธรรมชาติได้ แต่พวกเจ้าก็ไม่อาจเกี่ยวเนื่องพลังที่รวมเป็นหนึ่งแต่แยกนำออกมาใช้ได้อยู่ดี “
เหล่าบรรดาเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ฟังคำตอบจากเจ้าของวิชาแล้ว ต่างคนก็ต่างมีความคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ถึงวิธีการใช้พระเวทย์ที่ได้ฟัง ฝ่ายคนที่มีความนับถือ น้ำทิพย์ที่สาม มากที่สุด คงจะเป็น ตรัยสูร ยิ่งฟังคำอธิบาย ยิ่งมีความชื่นชมในตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม มากขึ้น
“ ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่า น้ำทิพย์ที่สาม เป็นใครกันแน่ ? วิชาก็พิสดารสุดแสนล้ำลึก โชคดีที่ว่าข้ากับเขาไม่ได้เป็นศัตรูกัน ถ้าเกิดข้ากับเขาเป็นศัตรูกันขึ้นมา ข้าคงจะกลั้นใจตายวันละหลายร้อยหนเห็นจะได้ “
หลังจากทั้ง ๘ ขึ้นมาจากน้ำตก และหาอาหารเท่าที่หาได้มากินกันแล้ว เปมิกา ก็เริ่มพูดถึงแผนการของนางที่อาจสืบหาร่องรอยของ กัลย์ปาอสูร ได้
“ จากการตายของอสูรแดง เมื่อคืนก่อนนี้ พวกอสูรตนอื่น ๆ คงยังไม่รู้ว่า อสูรสืบข่าวของพวกมันตายไปแล้ว เป็นโอกาสดีของพวกเราที่จะบุกเข้าไปสืบข่าวจากกองกำลังของพวกมันได้ “
มยุราเทวี เอ่ยถาม เปมิกา ขึ้นในสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่
“ เจ้าคงคิดให้พวกเราคนใดคนหนึ่ง ปลอมตัวเป็น อสูรแดง เข้าไปสืบข่าวจากกองกำลังของขุนมาร พลาสูร กระมัง “
เปมิกา พยักหน้ายอมรับ พลางพูดต่อไป
“ ใช่แล้ว นกยูง ข้าคิดว่าหน้าที่นี้คงไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับ ตรัยสูร อีกแล้ว “
ตรัยสูรได้ยิน ทำสีหน้าเลิกลัก จ้องมองอสูรสาว ที่ทำสีหน้าเฉยชา
“ เฮ เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมเจ้าต้องให้ข้าเข้าไปสืบหาข่าวด้วยล่ะ ดวงใจมาร เจ้ามีเหตุผลอะไร ? “
อสูรสาว ยังไม่ทันเอ่ยตอบ เสือน้ำแข็ง ชิงตอบไปเสียเอง
“ ก็เพราะว่า เจ้าเป็นอสูร ย่อมมีกลิ่นของพวกอสูร ติดตัวอยู่นะสิ ถ้าเจ้าปลอมตัวเข้าไปย่อมไม่มีใครสงสัย “
ตรัยสูร อ้าปากจนเห็นเขี้ยว กำลังจะถามต่อ มีเสียง อนันตวาโย เอ่ยดักขึ้นอีกคน
“ ถ้าจะถามว่า ถ้างั้นทำไมถึงไม่ให้ ดวงใจมาร เข้าไปสืบเอง ข้าก็จะตอบให้ เพราะว่า ดวงใจมาร เป็นผู้หญิงการปลอมตัวย่อมไม่แนบเนียน อาจถูกจับพิรุธได้ง่ายกว่า เพราะฉะนั้น เจ้านั้นแหละที่เหมาะสมจะเสียสละทำหน้าที่นี้มากที่สุด “
อสูรหนุ่มผู้ถือธนู สุดแสนจะเซ็งกลับคำตอบที่ได้รับ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแบบขุ่น ๆ
“ แหม ! พร้อมใจแย่งกันพูดเชียวนะ นี้แสดงว่าตกลงกันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วใช่ไหมเนี้ยะ ? “
ทั้ง ๗ ต่างส่ายหน้า ปฏิเสธ พร้อมกับกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“ เปล่าหรอก ก็แค่ใช้ความคิดดูว่า ใครควรเหมาะทำหน้าที่นี้มากที่สุดก็แค่นั้น “
ตรัยสูร อับจนคำพูด และเห็นว่าคงจะไม่มีทางเลี่ยง เอ่ยตกลงอย่างเสียมิได้
“ ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะทำหน้าที่นี้เอง แล้วต่อจากนั้นล่ะ พวกเจ้าให้ข้าทำอะไรอีก ? “
เปมิกา พูดถึงแผนการของนางต่อไป
“ พอเจ้าเข้าไปในนั้นได้แล้ว เจ้าก็พยายามหาข่าว จากพวกเหล่าอสูร ของขุนพลมาร พลาสูร ว่า พวกมันคิดทำอะไรกันอยู่ และที่สำคัญที่สุดที่พวกเราอยากจะรู้ก็คือ ภูผาอสูร ที่ กัลย์ปาอสูร แอบซ่อนตัวนั้นมันอยู่ที่ไหน ? “
“ เอาละ อันนั้นข้าเข้าใจแล้ว แต่ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าข้ารู้แล้วข้าจะติดต่อกับพวกเจ้าได้ไงล่ะ ? “
ตรัยสูร เอ่ยถาม เปมิกา ถึงวิธีการติดต่อกับพวกนาง เพราะเมื่อเขาเข้าไปได้แล้วโอกาสที่จะติดต่อกับพวกนางได้คงมีน้อย
“ ก็ใช้แมลงสื่อสารสิ ถามได้  เจ้านี้แกล้งโง่ หรือโง่จริงกันแน่ ? “
“ จริงสิ ข้าเองก็ลืมเสียสนิทเลย “
ตรัยสูร เองก็เพิ่งนึกออกได้ว่า มีวิธีนี้อยู่ด้วย
“ อะไรของเจ้านะ แมลงสื่อสาร ? “
นันทาเทพธิดา ถามด้วยความสงสัย เพราะนางไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของ แมลงสื่อสาร เลย
“ แมลงสื่อสาร ก็คือ แมลงที่ปลุกเสกจากพระเวทย์ มันมีลักษณะเหมือนแมลงธรรมดาทั่วไป แต่มีหน้าที่ในการส่งข่าวโดยเฉพาะ โดยจะต้องมี แมลงตัวหนึ่ง ออกไปหาข่าว และมี แมลงอีกตัวหนึ่งอยู่ที่ผู้ต้องการข่าว แมลงสื่อสาร จะส่งทั้งภาพและเสียงของข่าวสารที่ต้องการ มาให้กับผู้ที่ต้องการข่าว ได้เห็นและได้ยิน และยังสามารถส่งข่าวสารที่ต้องการกลับไปกลับมาให้แต่ละฝ่ายได้อีกด้วย “
เปมิกา อธิบายถึงเรื่อง แมลงสื่อสาร อย่างแจ่มแจ้ง
“ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรต้องกังวล ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเราก็สามารถ บุกเข้าไปช่วย ตรัยสูรได้ทันเวลา “
อัคคีนาคา พูดออกมาอย่างเห็นด้วยกับแผนการของ เปมิกา
“ ถ้าอย่างนั้น ก็ตกลงตามนี้ ว่าแต่ว่า ขอข้าดูหน่อยว่า วิชาแปลงร่าง ของเจ้าที่ฝึกมา จะเอาไปทิ้งขวางไว้ที่ไหนหรือเก็บเข้าหีบไว้แล้วหรือเปล่า ? ลองทดลองให้พวกข้าดูหน่อยสิ ตรัยสูร “
เปมิกา พูดรวบรัด พลางเร่งให้ ตรัยสูร แสดงฝีมือ
“ ถือโอกาสใช้ได้ ใช้ข้าใหญ่เลยนะ ก็ได้ “
ตรัยสูร บ่นให้ได้ยินหน่อย ๆ ก่อนลุกขึ้น เก็บอาวุธของตนเอง สำรวจพระเวทย์ ร่ายมนต์ จนร่างกาย เปลี่ยนเป็น อสูรแดง รวมไปถึง น้ำเสียงด้วย
“ เป็นไงบ้าง ? วิชาของข้ายังอยู่กับตัวข้า ไม่ได้เอาไปทิ้งขวางหรือเก็บเข้าหีบอย่างที่เจ้าเข้าใจหรอกนะ “
ตรัยสูร พูดประชด เปมิกา หน่อยหนึ่ง หากแต่นางไม่สนใจ พลางเดินรอบตัวของ ตรัยสูร ดูว่ามีที่ผิดพลาดต้องไหนบ้าง ?
“ ใช้ได้ อย่างนี้ไม่มีปัญหาแน่ เอา เจ้าเอาดาบนี้ไป จะได้เริ่มงานได้เสียที “
เปมิกา เสกแมลงสื่อสารขึ้นมา ๒ ตัว ตัวหนึ่งอยู่ที่นาง อีกตัวหนึ่ง อยู่กับ ตรัยสูร และบอกเขาว่า
“ ป่าโครงกระดูกอยู่ห่างจากนี้ไม่เท่าไร ใช้เวลาอีกประมาณ ๑ วันก็คงถึง เจ้ากับพวกข้าจะต้องแยกกันตรงนี้ พวกข้าจะตามเจ้าไปห่าง ๆ กันใครสงสัย ระวังตัวให้ดีด้วยนะ “
ตรัยสูร รับคำ หันหลังให้พวกเขา เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าไป เวลาผ่านไปครู่เดียว ที่เหลืออีกทั้ง ๗ คนก็เหาะตามไปห่าง ๆ ดูเหตุการณ์รอบข้าง ๆ ไปด้วย ขณะที่เหาะอยู่บนท้องฟ้า เปมิกา พูดคุยกับ น้ำทิพย์ที่สาม ขึ้น
“ น้ำทิพย์ที่สาม ถ้าเกิดการต่อสู้กันจริง เจ้าหลบไปจัดการกับพวกอสูร ที่อาจหลบนี้ออกมาจากการต่อสู้อย่างเดียวก็พอไม่ต้องบุกเข้าไปเข้าร่วมรบกับพวกข้าด้วย “
น้ำทิพย์ที่สาม ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำพูดของ เปมิกา
“ ทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้า อยู่แค่วงนอก อย่างนั้นล่ะ ดวงใจมาร ทำไมไม่ให้ข้าเข้าไปรวมรบกับพวกเจ้าด้วย “
“ ก็เพราะว่า พวกอสูรคงรู้ข่าวว่ามีเหล่าเทพที่ถูกคัดเลือกออกมาให้กำจัดพวกมันอยู่นะสิ และข้าคาดว่าตามข่าวที่พวกมันรู้ มันคงรู้เพียงแค่ว่ามี ๗ คน ถ้าเจ้าไม่เปิดเผยตัวออกมา อาจจะสืบเสาะหาข่าวของพวกมันได้อีกทางหนึ่ง จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรามากกว่า ที่เจ้าจะออกไปเปิดเผยตัวให้พวกมันรู้ “
เปมิกา ตอบให้ น้ำทิพย์ที่สาม ฟัง ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจในเหตุผล
    .......... ตรัยสูร เหาะมาตามทางเกือบจะ ๑ วันเต็มแล้ว ยังไม่พบสิ่งใดผิดปกติ พลางเหลียวซ้ายแลขวา มองดูป่าที่อยู่รอบ ๆ ข้าง เริ่มเห็นโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ที่อยู่บนพื้น เรียงรายไปทั่ว ถ้ามนุษย์คนไหนเดินมาถึงป่าแห่งนี้ คงอดหวาดกลัวไม่ได้ต่อโครงกระดูกที่ได้พบเจอ
“ เหาะมาตั้งนานแล้ว ยังไม่พบเห็นพวกอสูร สักตนเลย “
คิดได้ไม่เท่าไร กลับพบว่ามีใคร ๒ คน เหาะมาดักหน้าขวางทางเขาอยู่
“ อสูรแดง เจ้าหายหัวไปไหนมา ปล่อยให้พวกข้า ตามหาเสียแทบแย่ “
ตรัยสูร ไม่มีเวลาคิดมาก ตอบกลับไปไม่ให้พวกมันสงสัย
“ ข้าก็ออกหาข่าวอยู่นะสิ ไม่ได้เถรไถลไปไหนซักหน่อย “
อสูรอีกตนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเช่นนั้นอ้าปากพูดอย่างเบื่อหน่าย
“ พวกเจ้านี้ไงนะ เจอกันทีไร ก็ทะเลาะกันทุกที อสูรแดง อสูรดำ ข้าล่ะเบื่อ “
อสูรดำ ได้ยิน ดังนั้น ก็หันมาพูดกับอสูรอีกตนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ นี้มันวิธีการทักทายของข้าต่างหากล่ะ ยันต์อสูร เจ้าก็คิดมากไปได้ “
พูดจบแล้ว อสูรดำ ก็หันมาพูดคุยกับ ตรัยสูร ต่อ
“ เจ้าได้ข่าวของพวกเทพนั้นบ้างไหม ? “
ตรัยสูร สบช่องพอดี รีบพูดตอบกลับไป
“ ได้สิ ได้มาเยอะทีเดียว “
ยันต์อสูร ได้ยินดังนั้น พูดออกมาอย่างดีใจ
“ งั้นก็ดีเลย รีบกลับไปรายงานท่าน ขุนพลมาร พลาสูร ดีกว่า พวกเราจะได้รับความดีความชอบกัน ทั่วหน้า “
พูดจบแล้ว อสูรดำ และ ยันต์อสูร ก็เหาะพา ตรัยสูร ไปยังที่ตั้งของกองกำลังขุนพลมาร พลาสูร ในป่าโครงกระดูก ทันที เหาะมาได้ซักพักหนึ่ง ตรัยสูร ก็มาถึงค่ายอสูรแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในป่าโครงกระดูก อสูรดำ และ ยันต์อสูร ก็พา ตรัยสูร เดินเข้าไปใน ป้อมบัญชาการ ของค่ายอสูรโครงกระดูก เดินใกล้จะถึงประตูห้อง ห้องหนึ่งพบทหารอสูร ๒ ตน ยืนขวางทางอยู่
“ พวกเจ้าจะไปไหนกัน ? “
“ พวกข้าจะขอเข้าไปพบขุนพลมาร พลาสูร รายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องของเหล่าเทพที่พวกข้าสืบเสาะหาข่าวมาได้ “
อสูรดำ ตอบ ทหารอสูรทั้ง ๒ ทางทหารอสูรทำท่าจะเข้าไปรายงาน อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากภายในห้อง
“ ให้พวกมันเข้ามาได้ “
พอสิ้นเสียง ทหารอสูรทั้ง ๒ ก็ยอมให้พวกเขาเข้าไปแต่โดยดี ตรัยสูร ตาม อสูรดำ และ ยันต์อสูร เข้าไป พบกับ อสูรหน้าบาก ที่นั่งอยู่ด้านหน้าของห้อง ถัดมาเป็นเหล่านายกองอสูรที่ยืนอยู่ทั้งสองข้าง เรียงเป็นแถวยาว ทั้งสาม เดินตรงเข้าไปและคุกเข่าต่อหน้า อสูร หน้าบากตนนั้น
“ ข้าขอคาราวะ ท่านขุนมาร พลาสูร “
ยันต์อสูร ที่เป็นผู้นำ เอ่ย คาราวะอย่างนอบน้อม ต่อ ขุนพลมาร พลาสูร
“ เจ้าเองหรือ ยันต์อสูร มีข่าวอะไรจะรายงานข้าบ้าง ? “
“ ท่านขุนพลมาร พลาสูร พวกข้าได้ออกติดตามหาข่าว ของพวกเหล่าเทพที่ถูกคัดเลือก บัดนี้พวกข้าสืบข่าวมาได้บ้างแล้ว “
พลาสูร ยิ้มออกมาจนเขี้ยว แววตาส่อเค้ายินดีอย่างยิ่ง พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ งั้นเหรอ  แล้วเจ้า ๗ ตัวนั้น ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ? บอกข้ามาสิ “
ยันต์อสูร หันหน้ามามอง ตรัยสูร พลางพยักหน้าให้เขาพูด
“ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ตอนนี้ พวกเหล่าเทพทั้ง ๗ เดินทางใกล้เข้ามาจวนจะถึงป่าโครงกระดูกแห่งนี้แล้ว ซ้ำระหว่างทาง พวกมันได้ต่อสู้กับกองลาดตะเวนของเรา ๑๕๐ ตน ถึงแม้ว่าพวกมันจะได้ชัยแต่ก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ขอให้ท่านโปรดพิจารณาสั่งการด้วย “
พลาสูร ได้ยิน ดังนั้น แลบลิ้นเลียริมฝีปากของตน พลางหัวเราะอย่างยินดี
“ ฮะๆๆ ข้านึกว่า เหล่าเทพที่ถูกส่งมาจะเก่งกล้าซักแค่ไหน แค่ทหาร ๑๕๐ ตน ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้ามาเจอกับทหารค่ายโครงกระดูกแห่งนี้ที่มีตั้ง ๕,๐๐๐ ตน พวกมันจะมีน้ำยาอะไร “
ขณะที่ พลาสูร กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีนั้น มีนายกองอสูรตนที่ ๑ เอ่ยแย้งขึ้น
“ แต่ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ตามข่าวที่ข้าได้รับจากทาง ภูผาอสูร ท่านขุนพลมาร อังกลาตู บอกมาว่า ทหาร ๑๕๐ ตนนั้น ถูกฆ่าโดยฝีมือของคนแค่คนเดียวเท่านั้นนะท่าน “
พลาสูร หยุดหัวเราะ พลันมีสีหน้าสงสัยขึ้นมา
“ หมายความอย่างไร เจ้าอสูรแดง เหตุใด ข่าวที่มาจากทาง ภูผาอสูร กับข่าวที่เจ้ารายงานข้ามา ทำไมถึงไม่เหมือนกัน เจ้าโกหกข้าหรือเปล่า ? “
ตรัยสูร แกล้งทำหน้าสีหน้าตกใจ และคิดหาคำตอบในขณะเดียวกัน
“ ข้าไม่ได้โกหกท่านเลย ท่านขุนพลมาร พลาสูร ข้าเห็นมากับตาของข้าเอง เหตุที่ข่าวไม่ตรงกันอาจเป็นเพราะอสูรสืบข่าวจาก ภูผาอสูร ไปถึงที่เกิดเหตุช้ากว่าข้า ก็เลยเข้าใจผิดคิดว่า พวกเรา ๑๕๐ ตน ถูกฆ่าโดยฝีมือคน คนเดียว “
นายกองอสูรตนที่ ๒ ได้ยินที่ ตรัยสูร พูดขึ้น มีความเห็นคล้อยตาม
“ อาจเป็นอย่างที่ อสูรแดง บอกก็ได้ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ข่าวสารจาก ภูผาอสูร อาจผิดพลาดได้ ทางเราอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากกว่า ข่าวของเราย่อมจะถูกต้องมากกว่า “
ได้ยินดังนั้นสีหน้าของ พลาสูร ที่ขุ่นมัวเมื่อกี้ก็พลันคลายลง
“ อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า ทางพวก ภูผาอสูร อาจจะตื่นกลัวกันเกินไปจึงหาข่าวผิด ๆ ส่งมาให้ “
อสูรดำ ได้ที จึงพูดขึ้นบ้าง
“ ท่านขุนมาร พลาสูร เราจะจัดการกับเทพพวกนั้นอย่างไรดี ? “
พลาสูร ยิ้มอย่างมีเลศนัย ประกายตาแฝงความเจ้าเล่ห์
“ ไม่ต้องกังวล อสูรดำ ข้าเตรียมของขวัญไว้ให้พวกมันมากโขทีเดียว รับรองพวกมันจะต้องพกของขวัญของข้าลงไปในนรกทุกคน “
ขณะที่ พลาสูร ยังไม่เฉลยว่า ของขวัญ ที่ว่า หมายถึงอะไร ? นายกองอสูรตนที่ ๓ ก็เอ่ยพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ตอนนี้เรายังขาดเสบียงอาหารอีกมาก ข้าคิดว่าเราต้องหาเสบียงอาหารเพิ่มขึ้น “
พูดไม่ทันจบ นายกองอสูรตนที่ ๔ ก็เอ่ยพูดขึ้นแทน
“ เป้าหมายของเราตอนนี้ต้องตระเตรียมเสบียงอาหารไว้สำหรับทำศึกให้มาก เท่าที่พวกข้ามองในโลกมนุษย์ตอนนี้ พวกข้ากำลังเล็งนครไว้ ๔ นคร เป็นที่สร้างค่ายกองกำลังของพวกเรา และยังเป็นแหล่งเสบียงอาหารชั้นดีอีกด้วย “
พลาสูร นั่งฟังอย่างสนใจ พลางถามนายกองอสูร ถึงนคร ทั้ง ๔
“ นครที่พวกเจ้าว่ามี นคร อะไรบ้าง ? “
นายกองอสูรตนที่ ๔ รีบตอบเอาใจเจ้านาย
“ ๔ นครที่ว่าก็คือ นครเตมินทร์  นครอัญจารี นครศรีบุรีรมย์ และ นครตรีสุวรรณ “
“ ไม่เลว แค่ชื่อนครก็ไพเราะไม่เบา แต่ละนครมีความสำคัญอย่างไร ? “
นายกองอสูรตนที่ ๔ รีบอธิบายให้ พลาสูร ฟังต่อ
“ แต่ละนคร มีพลเมืองมากกว่า ๖,๐๐๐,๐๐๐ คน มี ๒ นครที่มีเส้นทางเชื่อมต่อทางทะเล ทำให้เราสามารถเดินทัพตีนครต่าง ๆ จากทางทะเลได้ อีก ๒ นคร มีการค้าติดต่อกับนครอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้เราสามารถเดินทัพบุกยึดนครเหล่านั้นโดยเส้นทางบก และเมืองขึ้นเล็ก ๆที่อยู่ตามรายทางนอกจากนั้นแล้ว ๔ นครดังกล่าวตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดี หากเราทำการยึดนครทั้ง ๔ ได้ ก็เท่ากับประสิทธิภาพกำลังการรบของกองทัพเราจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว “
พลาสูร ใช้มือลูบไปมาที่ใต้คางของตน
“ ได้ทั้งเสบียงอาหาร เส้นทางการศึก และ ชัยภูมิที่เหมาะสม หึ ๆๆ เห็นทีกองทัพประตูมนุษย์คงจะได้ชัยก่อน กองทัพประตูสวรรค์ และ กองทัพประตูนรกภูมิ ซะแล้ว ฮะๆๆ “
แต่นายกองอสูรตนที่ ๑ ยังแสดง สีหน้ากังวลถึงเรื่องเหล่าเทพที่สืบข่าวมาได้อยู่
“ แต่ทุกอย่างอาจจะพังหมด ถ้าพวกเทพเหล่านั้นยังอยู่ ยังไงพวกเราก็จะประมาท พวกเทพเหล่านั้นไม่ได้ “
พลาสูร  ได้ฟัง ก็แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว พลางพูดให้เหล่าบรรดาลูกน้องฟัง
“ นั้นของมันแน่อยู่แล้ว ข้าจะเตรียมแหฟ้าตะข่ายดิน ไว้รอพวกมัน พวกเจ้าหาทางปล่อยข่าวออกไป ให้พวกมันเขามาติดกับที่ค่ายโครงกระดูกแห่งนี้ พวกเราจะรุมสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ จนไม่เหลือแต่ซาก ฮะๆๆๆๆ “
ทุกคนต่างหัวเราะตาม พลาสูร ไปด้วยไม่เว้นแม้กระทั่ง ตรัยสูร เพราะเขาไม่อยากมีพิรุธ ให้ใครจับสงสัยได้ ในใจคิดเคียดแค้นเหล่าอสูรกลุ่มนี้โดยเฉพาะ พลาสูร ผู้เป็นต้นคิดแผนการ
“ อีกเดี๋ยวก็รู้ว่า ใครจะได้หัวเราะ “
ตรัยสูร พูดออกมาอยู่ในใจ ทาง อสูรดำ คิดอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม พลาสูร ขึ้น
“ แล้วนี้เราจะแจ้งข่าวไปยัง ภูผาอสูร หรือไม่ ? ท่านขุนมาร พลาสูร  “
“ ไม่ต้องแจ้งข่าวไปยัง ภูผาอสูร หรอก ท่านจ้าวอสูร สั่งห้ามไม่ให้ใครติดต่อไป นอกจากทาง ภูผาอสูร จะติดต่อมาเอง  หากต้องการจะติดต่อไปยังทาง  ภูผาอสูร จริง ๆ มีเพียงขุนพลมารอย่างพวกข้าเท่านั้นที่ทำได้ ขืนข้าส่งพวกเจ้า ทะเล่อทะล่า เข้าไปพวกเจ้าก็ตายฟรีเปล่า ๆ “
อสูรดำ ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรอีก เพียงแต่นิ่งรอคำสั่งจาก พลาสูร เท่านั้น
“ พวกเจ้าไปเตรียมตัวกันได้แล้ว หาทางปล่อยข่าวออกไป ล่อให้พวกมันมาติดกับ ข้าอยากจะเห็นสีหน้าที่ใกล้ตายของพวกมันเต็มที่แล้ว ฮะๆๆๆ “
พวกเหล่าอสูรต่างแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งของ พลาสูร นายกองอสูร จำนวนหนึ่ง นำกำลังคน ๔,๐๐๐ ตน ออกจากค่ายโครงกระดูก นอกนั้นเหลือนายกองอสูรอีกจำนวนหนึ่งกับทหารอสูรเพียง ๑,๐๐๐ ตน เท่านั้นที่ยังอยู่ในค่าย ทหาร ๔,๐๐๐ ตนที่ออกมาจากค่ายต่างซุ่มอยู่ใกล้ ๆ กับค่ายรอจังหวะให้เหล่าเทพบุกเข้าไปใน ค่ายโครงกระดูก แล้วค่อยนำกำลังล้อมเข้าจัดการ หนึ่งในบรรดาอสูรที่ซุ่มอยู่ มี ตรัยสูร ร่วมอยู่ด้วย
    ......แผนการของ พลาสูร ถูกส่งมาถึงยังพวก เปมิกา ที่เฝ้าดูอยู่ด้านนอก โดยผ่านแมลงสื่อสาร ที่ติดตัว ตรัยสูร ไป สีหน้าของ เปมิกา ตอนนี้ทั้งโกรธ ทั้งแค้นไม่น้อย
“ คิดจะรุมสับพวกเราเป็นชิ้น ๆ งั้นเหรอ ? เข้าใจคิดแผนดีนี้ “
พยัคฆ์วารี เอง ในขณะนี้ก็มีสีหน้าที่เหี้ยมเกรี้ยม
“ คราวนี้พวกมันเอาจริงชนิดที่ว่ากะจะไม่ให้พวกเราเหลือซากเลย “
เหล่าเทพทั้ง ๗ ต่างขบคิดแผนการเข้าเล่นงานเหล่าอสูรอยู่
“ หรือว่าเราจะไม่เข้าไปในค่ายโครงกระดูกนั้น “
นันทาเทพธิดา เอ่ยถาม ความเห็นของทุกคน
“ ไม่ ข้าว่า ทำเป็นว่าพวกเรา หลงเข้าไปติดกับแผนการของพวกมันนั้นแหละดีแล้ว “
มยุราเทวี เอ่ยตอบ อัคคีนาคา พูดเสริม
“ เราจะเปลี่ยนแผนของพวกมัน กลับเป็นรุมสับพวกมันแทน “
ดวงตาของ เปมิกา เป็นประกาย กุนซืออสูรสาว เริ่มคิดแผนการได้
“ อนันตวาโย ตอนบุกเข้าไปในค่ายโครงกระดูก พวกเจ้าแยกกันจัดการพวกทหารอสูรและนายกองอสูรก็แล้วกัน ส่วน พลาสูร ปล่อยให้ข้าจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนเจ้า ...... น้ำทิพย์ที่สาม “
เปมิกา หันหน้ามามอง น้ำทิพย์ที่สาม
“ จัดการกับพวกทหารอสูรที่ซุ่มจัดการพวกเราอยู่ คงไม่หนักหนาสาหัสมากใช่ไหม ? “
น้ำทิพย์ที่สาม ยิ้มตอบ พลังเริ่มแผ่ออกมาจนปรากฏแสงสีเขียว อยู่รอบ ๆ ตัว
“ ง่ายกว่าให้ข้านอนหลับเสียอีก เรื่องกวาดล้างกองทัพอสูร ข้าถนัดอยู่แล้ว “
เปมิกา เชิดหน้าขึ้น เหมือนแม่ทัพหญิง ที่กำลังสั่งการและต่อสู้อยู่ในสมรภูมิรบ
“ แหฟ้าตะข่ายดิน อย่างงั้นเหรอ ? ข้าจะเป็นคนทำให้มันขาดเอง “
เปมิกา ฟันออกหนึ่งฝ่ามือ ต้นไม้ใกล้เคียง หักโค่นไป ๓ ๔ ต้น อสูรสาวมั่นใจหรือเกินว่าศึกนี้พวกนางจะเป็นฝ่ายได้ชัย
กลางดึกของคืนนั้น ตรัยสูร ที่ปลอมตัวเป็นอสูรแดง ที่เฝ้าซุ่มดูเหตุการณ์อยู่นอกค่าย กำลังหาวิธีการกำจัดเหล่าอสูร ๔,๐๐๐ ตนที่ ได้รับคำสั่งจาก พลาสูร ให้เข้าเล่นงานพวก เปมิกา อยู่ กำลังอสูร ถูกแบ่งซุ่มล้อมเป็นวงกลม กระจายตัวกันอยู่ในมุมมืด ยากที่จะใช้สายตามองเห็นในเวลาค่ำคืนได้ พลันมีร่างของใครคนหนึ่งกำลังเคลื่อนอย่างเร็วและเงียบเข้าหาเหล่ากองทัพอสูรที่กระจายตัวกันอยู่ในมุมมืด
“ อือ “
ทหารอสูรตนหนึ่งถูกมือปิดปาก เจ้าของมือสะบัดข้อมือเพียงนิดเดียว ทหารอสูรตนนั้นก็จบชีวิตลง เงาร่างลึกลับเริ่มส่งกระแสจิตไปถึงใครคนหนึ่ง
“ ตรัยสูร เจ้าอยู่แถวนี้หรือเปล่า ? “
ตรัยสูร ได้ยินเสียง เรียกหา ก็จำได้ ส่งกระแสจิตตอบ กลับไป
“ ข้าอยู่ นี้ เจ้ามาทำไมกัน ? น้ำทิพย์ที่สาม “
“ ดวงใจมาร ให้ข้ามาจัดการกับทหารอสูรเหล่านี้ อีกเดี๋ยวพวกเขาจะบุกเข้าไปในค่ายโครงกระดูกแล้ว เจ้ากับข้ารีบช่วยกันจัดการเหล่าทหารอสูรพวกนี้ดีกว่า “
ตรัยสูร รู้อย่างนั้นแล้วดีใจอย่างยิ่ง รีบตอบกลับไป
“ ได้ งั้นเจ้ากับข้ารีบลงมือเลยก็แล้วกัน “
“ ตกลง เริ่มพร้อมกันเลยนะ “
น้ำทิพย์ที่สาม บอกให้ ตรัยสูร รู้ตัว ทั้งสองต่างเริ่มนับพร้อมกัน
“ หนึ่ง .... สอง ..... สาม “
ฉับพลัน ตรัยสูร ก็ชักดาบออกมาเข้าเข่นฆ่าเหล่าทหารอสูร ที่อยู่ใกล้ ในทันที ฝ่าย น้ำทิพย์ที่สาม อาศัย ความมืดพลางตัวเข้าเข่นฆ่าทหารอสูรและนายกองอสูรอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารอสูรและนายกองอสูร ตั้งตัวไม่ติด ถูกฆ่าตายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบหมด เงียบเฉียบมิดชิด อย่างไม่น่าเชื่อ สุดท้ายเหลือเพียง อสูรดำ ยันต์อสูร และเหล่าทหารอสูรอีกไม่ถึง ๑๐ ตน เท่านั้น
“ อะไรกัน อสูรแดง ทำไม เจ้าถึง ได้ทำอย่างนี้ ? “
ตรัยสูร ไม่เอ่ยตอบคำถามของ ยันต์อสูร ค่อย ๆ กลับคืนร่างเป็น ตรัยสูร ตามเดิม ท่ามกลาง ความตกตะลึงของเหล่าอสูรที่เหลือ
“ เจ้า.... เจ้าไม่ใช่ อสูรแดง  อ๊ากกกกก  “
ได้เห็นโฉมศัตรูอย่างเต็มตา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปบอกใครอีก อสูรดำ ยันต์อสูร และทหารอสูรที่เหลือ ถูก น้ำทิพย์ที่สาม และ ตรัยสูร ฆ่าตายจนหมดสิ้น ทหารอสูร ๔,๐๐๐ ตน ที่เคยมีชีวิต ตอนนี้เหลือเพียงแค่ซากศพที่ไร้วิญญาณ
“ แค่นี้ แหฟ้า ก็ไม่มีให้ใช้ ส่วน ตาข่ายดิน อีกไม่นานคงเหลือแต่ชื่อ “
น้ำทิพย์ที่สาม พูดบอกตรัยสูร ฝ่าย ตรัยสูร เริ่มคิดเข้าไปในค่ายโครงกระดูก
“ รีบเข้าไปช่วยพวก ดวงใจมาร กันดีกว่า “
น้ำทิพย์ที่สาม บอกปัดปฏิเสธ
“ เจ้าไปเถอะ ดวงใจมาร ต้องการให้ข้ารออยู่ที่นี้ คอยจัดการเหล่าอสูรที่อาจเล็ดลอดออกมาได้ เจ้ารีบเข้าไปช่วยพวกนางจะดีกว่า “
ตรัยสูร พยักหน้ารับ รีบเหาะกลับเข้าไปในค่ายโครงกระดูกในทันที
    .......ในขณะที่ น้ำทิพย์ที่สาม และ ตรัยสูร กำลังจัดการทหารอสูรอยู่ ทางฝ่ายพวก เปมิกา ได้บุกเข้าไปในค่ายโครงกระดูกแล้ว พวกนางบุกเข้าไปถึงใจกลางค่าย พบแต่เจอความว่างเปล่า
“ มุดหัวกันอยู่ที่ไหนล่ะ ? เจ้าพวกอสูรชั่ว ไหนบอกว่าจะเตรียม แหฟ้าตาข่ายดิน มารอพวกข้าไม่ใช่หรือ ? “
สิ้นเสียงของ เปมิกา เหล่าอสูรที่เหลือต่างรุมล้อมเข้ามาในทันที
“ เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี้ “
เสียงของอสูรหน้าบาก พูดออกมา ด้วยความสงสัย พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็ยืนประจันหน้ากับอสูรสาว
“ รู้ได้อย่างไร ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า แหฟ้าของเจ้าถูกพวกข้าตัดขาดหมดแล้ว “
เปมิกา ชักดาบปราบลิขิตฟ้า ออกมาอย่างช้า ๆ พลังเข่นฆ่าที่ออกจากดาบรุนแรงจนเหล่าอสูรหลายตนยังต้องหวั่นเกรง
“ ส่วนตาข่ายดิน อีกเดี๋ยวก็จะถูกเผาจนไม่เหลือซาก “
พูดจบ อสูรสาว เริ่มบุกเข้าหา พลาสูร ในทันที ฝ่าย อนันตวาโย มยุราเทวี อัคคีนาคา นันทาเทพธิดา พยัคฆ์วารี ต่างแยกกันเป็นสองกลุ่ม เข้าเล่นงานเหล่าทหารอสูร และนายกองอสูรของ พลาสูร เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเหล่าอสูรเข้าไปทำร้าย เปมิกา ในขณะต่อสู้กับ พลาสูร ได้
“ นังหนู บังอาจมากเกินไปแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้รับรู้ ความร้ายกาจของข้าเสียบ้าง “
พลาสูร พุ่งตัวเข้าจู่โจม เปมิกา เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างงัดวิชาของตนเอง ออกมาใช้ พลาสูร ใช้กรงเล็บของตนบุกสกัดทางดาบของ เปมิกา ฝ่าย เปมิกา เร่งกระบวนดาบให้เร็วขึ้น ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นมากเท่าไร กระบวนดาบก็ทั้งรุนแรงและดุดันตามไปด้วย
“ ยัยเด็กบ้า นี้ฝีมือไม่เลว ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด “
“ กรงเล็บของมันร้ายกาจมาก ทั้งแกร่งและก็คมกริบอีกด้วย “
ต่างฝ่ายต่างคิด ต่างหาวิธีจับจ้องเล่นงานอีกฝ่ายอยู่ ถึงนาที นี้ พลาสูร ส่งสัญญาณ ให้ กองกำลังเหล่าอสูร ที่ซ่อนตัวอยู่ โผล่ออกมา แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของกองกำลังอสูรให้ได้เห็น
“ อะไรกัน ทำไม กองทหารข้าถึงไม่ปรากฏล่ะ ? พวกมันหายหัวไปไหนกันหมด หรือว่า . “
เปมิกา เห็นท่าทางของ พลาสูร ยิ้มอย่างเยาะเย้ย พลางพูดให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ ข้าบอกเจ้าแล้ว แหฟ้าของเจ้าถูกพวกข้าตัดขาดจนหมดแล้ว อีกเดี๋ยวตะข่ายดินอย่างเจ้าก็จะไม่เหลือแม้แต่ซาก “
พลาสูร ทั้งโกรธทั้งแค้นแน่นจุกอก ระบายความโกรธออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ นังเด็กบ้า ตายซะ “
พลาสูร เร่งพลังกรงเล็บของตนขึ้นอย่างเร็วและแรง กรงเล็บ เปล่งอานุภาพอย่างเต็มที่ จน เปมิกา ต้องหลบถอย พระเวทย์ที่ พลาสูร ฝึกก็คือ กรงเล็บอสูร ฝึกสำเร็จแล้วจะมีอานุภาพร้ายแรง ใช้แทนอาวุธได้ พลังของ กรงเล็บอสูร เน้นหนักทางดูดโลหิต และสลายวิญญาณของคู่ต่อสู้ หากโดนกรงเล็บเข้าไปคนที่โดนจะเจ็บปวดทรมานจนตาย และวิญญาณก็จะแตกสลายตามไปด้วย  กรงเล็บอสูร นั้น มีด้วยกัน ๕ ขั้นคือ
ขั้นที่ ๑ กรงเล็บสลายร่าง            พลังสลายร่างศัตรู
ขั้นที่ ๒ กรงเล็บสลายวิญญาณ        พลังสลายวิญญาณศัตรู
ขั้นที่ ๓ กรงเล็บดูดโลหิต            พลังดูดโลหิตศัตรูจนหมดตัว
ขั้นที่ ๔ กรงเล็บดูดวิญญาณ        ดูดวิญญาณศัตรูมาเสริมสร้างพลังให้กับตน
ขั้นที่ ๕ กรงเล็บชีวิตแลกชีวิต        ใช้ชีวิตของตนเองเข้าแลกกับศัตรูทำลายล้างทุกสิ่ง
ฝ่าย เปมิกา เจอกรงเล็บอสูร บุกเข้าหาตัวได้แต่ปัดป้อง สถานการณ์ตกเป็นรอง พลาสูร ส่วน พลาสูร เห็นอีกฝ่ายตอบโต้ไม่ได้ยิ่งได้ใจ เพิ่มความเร็วของกรงเล็บมากขึ้น หมายจะจบชีวิตอสูรสาวในทันที
“ ความโอหังของเจ้าหายไหนหมดนังหนู ? ข้าจะให้เจ้าทรมานจนตายภายใต้กรงเล็บของข้า “
พลาสูร เปล่งพลังออกจากกรงเล็บของตน พลังจาก กรงเล็บอสูร เหมือนรุมล้อมไม่ให้ เปมิกา หลุดรอดออกไปไหนได้
“ พระเวทย์กรงเล็บอสูรขั้นที่ ๔ กรงเล็บดูดวิญญาณ “
พลังจากกรงเล็บกางตะครุบ เปมิกา เหมือนไม่ให้ตัวนางหนีหายจากไปไหนได้ เปมิกา สู้สุดชีวิต ตวัดดาบปราบลิขิตฟ้า เหมือนเป็นโล่ ปกป้องชีวิตไว้ได้ แต่ท่าทางดูเหมือนจะต้านไว้ได้ไม่นาน ร่างกายทั้งเจ็ดปวดและอ่อนแรง ส่วนวิญญาณในร่างคล้ายจะถูกดูดออกไป
“ ฝันไปเถอะ “
ฉับพลันร่างของ เปมิกา เปล่งแสงออกมา รวมเป็นหนึ่งเดียวกับ ดาบปราบลิขิตฟ้า สลายพลังกรงเล็บอสูร ของ พลาสูร จนหมดสิ้น พร้อมกันนั้น ร่างของ เปมิกา ก็เปลี่ยนไปด้วย
“ นี้มันวิชาบ้าอะไรกัน ? “
พลาสูร ตกใจเมื่อเห็นร่างของ เปมิกา เปลี่ยนเป็น สีทอง ไปทั้งตัว อสูรสาวแผ่พุ่งพลังออกมากดดัน พลาสูร อย่างแรง เปมิกา นั้นเป็นลูกศิษย์ของ อารยะดาบส ๑ ใน ๕ เบญจมหาโยคี วิชาที่นางได้รับการถ่ายทอดจาก อารยะดาบส ก็คือ พระเวทย์อวตาล ๕ ธาตุ สามารถเปลี่ยนร่างได้ ๕ ร่าง คือ
ร่างที่ ๑ ร่างเทวะปฐพี
ร่างที่ ๒ ร่างเทวะวารี
ร่างที่ ๓ ร่างเทวะวายุ
ร่างที่ ๔ ร่างเทวะอัคคี
ร่างที่ ๕ ร่างทองเทวะ
เมื่อเปลี่ยนร่างแล้วสามารถใช้คุณสมบัติของธาตุนั้น ๆ ตามร่างที่เปลี่ยนไป นอกจากนั้น อารยะดาบส ยังสอนให้ เปมิกา ใช้ดาบปราบลิขิตฟ้า ประสานกับพระเวทย์ อวตาล ๕ ธาตุ ด้วย ดาบปราบลิขิตฟ้า จึงมีสีเปลี่ยนไปตามร่างของ เปมิกา ที่เปลี่ยนร่างเป็นธาตุต่าง ๆ ตามนั้น
“ ที่นี้ถึงทีข้าบ้างล่ะ “
เปมิกา พุ่งตัวเข้าหา พลาสูร ปรากฎแสงสีทองเรืองรองรอบตัว พลาสูร ก็พุ่งตัวเข้าหา เปมิกา เช่นกันใช้ กรงเล็บอสูร หมายจิกเข้าเนื้อของ เปมิกา อสูรสาวฟาดฟันดาบปราบลิขิตฟ้า อย่างเร็วประกายของดาบปราบลิขิตฟ้าเป็นสีทองสุกสว่าง สกัดกรงเล็บของ พลาสูร ไว้ พลางรุกฟาดฟัน พลาสูร ไปในตัว
“ เคร้งๆๆ “
พลังสะท้อนจาก ดาบปราบลิขิตฟ้า และ กรงเล็บอสูร ที่เกิดจากการปะทะกันอย่างรุนแรง ทำให้บริเวณรอบข้างได้รับผลกระทบ ป้อมค่ายโครงกระดูกบางส่วนพังทลายลง พลังบางส่วนที่เกิดจากการกระทบกันกระเด็นถูกเหล่าทหารอสูรของ พลาสูร ทำให้เหล่าทหารอสูรล้มตายลงไม่น้อย
“ อ๊าก ๆๆๆ “
พลาสูร เอียวตัวหลบ คมดาบที่พุ่งเข้า ในจังหวะเดียวกันก็สบโอกาสใช้กรงเล็บจิกเข้าไปที่แขนข้างหนึ่งของ เปมิกา อย่างแรง หมายจะสลายร่างของ เปมิกา ให้สิ้น
“ พระเวทย์กรงเล็บอสูร ขั้นที่ ๑ กรงเล็บสลายร่าง “
พลังจากกรงเล็บ พยายามสลาย ร่างทองเทวะ ของ เปมิกา อยู่ หากแต่ไม่เป็นผล
“ บ้าจริง “
พลาสูร คำรามออกมาด้วยความโกรธ พลังจากกรงเล็บอสูรเหมือนไม่สามารถทำอะไร เปมิกา ได้ ฝ่าย เปมิกา ได้โอกาส ตวัดดาบปราบลิขิตฟ้าที่อยู่ในมือ ฟันใส่ พลาสูร อย่างแรง  พลาสูร หลบได้อย่างเฉียดฉิวแต่ที่ใบหน้า กลับได้รับไปหนึ่งแผล
“ ปัดโธ่ !!! “
เลือดอาบใบหน้า พลาสูร โกรธขึ้นเป็นทวีคูณ บุกเข้าหา เปมิกา อีกหมายฆ่านางให้ได้ พลาสูร ง้างสองมือตะปบเข้าหากันอย่างเร็ว กรงเล็บอสูร เหมือนขยายใหญ่ขึ้นจับกุมตัวนางเอาไว้ ตัวของ เปมิกา ในขณะนี้ตกอยู่ในอุ้งมือของ พลาสูร
“ พระเวทย์กรงเล็บอสูร ขั้นที่ ๒ กรงเล็บสลายวิญญาณ “
พลาสูร ตั้งใจทำให้วิญญาณของ เปมิกา แตกสลายจนหมดสิ้น พลังของ กรงเล็บอสูร เริ่มแผ่พลัง สลายวิญญาณของอสูรสาว ฝ่าย เปมิกา เห็นท่าไม่ดี หมุนดาบปราบลิขิตฟ้า เหมือนกงจักร พยายามทะลวงตัวออกมา พร้อมกับเปลี่ยนร่างเป็นอีกร่างหนึ่ง
“ พระเวทย์อวตาล ๕ ธาตุ ร่างที่ ๓ ร่างเทวะวายุ “
ร่างของ เปมิกา เหมือนสายลม หลุดพ้นออกจากการกังขังของ กรงเล็บอสูร ร่างของนางเปลี่ยนเป็นสีเขียวทั่วทั้งร่าง พร้อมกันนั้นร่างของนางก็หมุนตัวเหมือนพายุ ตรงเข้าหา พลาสูร ดาบปราบลิขิตฟ้าเปล่งแสงสีเขียวสะท้อนไปทั่ว ร่างของนางเหมือนพายุดาบที่บ้าคลั่ง คล้ายจะหั่น พลาสูร ให้ขาดเป็นชิ้น ๆ ฝ่าย พลาสูร ทั้งโกรธและกลัว สะบัดกงเล็บทั้งสองอย่างเร็วและแรงเหมือนมีกรงเล็บนับร้อย ปะทะ กับพายุดาบที่บุกเข้ามา เสียงกระทบของ ดาบปราบลิขิตฟ้า และ กรงเล็บอสูร ดังสนั่นต่อเนื่องไม่ขาดสาย ผลกระทบของพลังที่เกิดขึ้นรุนแรงก็เมื่อครู่นี้เสียอีก ป้อมค่ายโครงกระดูกพังทลายลงมากขึ้นกว่าเดิม
“ เคร้ง ๆๆๆๆๆๆๆ “
“ ยังต้านได้อีกเหรอ ? เจ้าอสูรชั่วนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ “
เปมิกา คิดพลางหาวิธีบุกเข้าเล่นงาน พลาสูร อยู่ ขณะนั้น ตรัยสูร ที่เพิ่งกลับเข้ามายังในค่ายโครงกระดูก เห็นฉากการต่อสู้ระหว่าง เปมิกา และ พลาสูร อยู่ จึงคิดเข้าไปช่วย
“ ดวงใจมาร เอาจริงแล้วหรือนี้ แต่ยังไงข้าก็ต้องรีบเข้าไปช่วยนางก่อน “
ตรัยสูร พุ่งตัวพร้อม คันธนูสวรรค์ เรียกลูกธนูออกมา พาดไว้กับคันธนู พร้อมน้าวสายธนูอย่างแรง ตะโกนบอก เปมิกา ให้ถอยออกมา
“ ดวงใจมาร ถอยออกมา “
เปมิกา ได้ยินเสียงของ ตรัยสูร หลบตัวออกมาจากการต่อสู้ ขณะเดียวกัน ตรัยสูร ก็ปล่อยลูกธนูออกมา ลูกธนูพุ่งตรงดิ่งมายัง พลาสูร ฝ่ายอสูรหน้าบาก หลบไม่ทัน ฝืนใจใช้ กรงเล็บอสูรเข้าต้าน
“ ตูมมมมมมม “
ผลการปะทะระหว่าง ลูกธนู และ กรงเล็บอสูร เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ร่างของ พลาสูร ปลิวกระเด็นถอยไปอย่างแรง ได้รับบาดแผลทั่วตัว ค่ายโครงกระดูกพังไปลงไปเป็นแถบ ๆ พลาสูร พยายามลุกขึ้นจากกองเศษซากไม้และอิฐที่แตกหักแต่ก็ทรุดตัวลงอยู่กับที่กระอักเลือดออกมา
“ อ๊อคคคค “
พลาสูร เห็นว่าพวกตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สถานการณ์เริ่มย่ำแย่ เหล่าทหารอสูรและนายกองอสูรที่มีอยู่ถูกเหล่าเทพฆ่าตายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งโกรธทั้งแค้น เริ่มคิดสู้ตายขึ้นมา
“ อย่างมากข้าจะลากพวกเจ้าไปนรกกับข้าด้วย “
พลาสูร เร่งพลังถึงขีดสุดร่างทั้งร่างเปล่งรังสีเข่นฆ่าอย่างรุนแรง กรงเล็บอสูร เปล่งแสงสีแดงจ้าดังโลหิต เขากะคิดแลกชีวิตกับทุกคน
“ พวกเจ้าไปนรกพร้อมกับข้าเถอะ “
พลาสูร พุ่งตัวสุดแรง ปรากฏร่างอสูรมหึมา ขึ้นมา กรงเล็บอสูร ทั้งสองแผ่พลังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนหมายฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าไม่ว่าเป็นพวกเดียวกันหรือศัตรู พลาสูร ใช้พลังพระเวทย์ของตนอย่างสุดความสามารถ
“ พระเวทย์กรงเล็บอสูรขั้นที่ ๕ กรงเล็บชีวิตแลกชีวิต “
พลาสูร ทุ่มสุดตัวพร้อมใช้ชีวิตของตนแลกกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจว่าพวกตนเองจะเป็นอย่างไร เหล่าอสูรหลายตนถูกพลังของ พลาสูร จนร่างกายสลายทรมานจนตาย แม้วิญญาณก็ไม่เหลือ ฝ่ายเหล่าเทพทั้ง ๗ ต่างหลบถอยเป็นพัลวัน ไม่ให้ตนเองถูกพลังกรงเล็บอสูรที่พุ่งเข้ามา ส่วน เปมิกา เห็นการกระทำของ พลาสูร แล้วไม่มีเวลาคิดมาก รวมจิตระลึกถึงคุณอาจารย์ ตั้งสามาธิ ผนึกพลังพระเวทย์ของตน รีบท่องมนต์ออกมาในทันที
“ โอม พี รี ยุ คี ทา เจ มัน อา ตา รี เทพเทวะประสิทธิ์ “
ร่างของ เปมิกา เปลี่ยนเป็นธาตุต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ประสานพลังพระเวทย์อย่างแน่วแน่ ดาบปราบลิขิตฟ้าเปล่งแสงสว่างจ้า แสบตา เปมิกา รีบยกดาบปราบลิขิตฟ้า ขึ้นมาพร้อมพุ่งตัวฟาดฟันดาบสุดแรง
“ เจ้าอสูรชั่ว จงหายไปซะ “
พลังที่ออกจากดาบปราบลิขิต พลังอำนาจทำลายสุดรุนแรง พลังสะเทือนไปจนถึงสวรรค์ พลังจากดาบปราบลิขิตฟ้ากลบพลังจากกรงเล็บอสูรจนหมดสิ้น ร่างอสูรใหญ่หายไปในพริบตา พลาสูร ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดและโหยหวน
“ อ๊ากกกกกก “
หลังสิ้นแสงจากพลังของดาบปราบลิขิตฟ้า ร่างของ พลาสูร หายไป เหล่าอสูรที่เหลืออยู่ต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกจากค่ายโครงกระดูก มีจำนวนไม่น้อยถูกพวก เปมิกา ฆ่าตาย บางกลุ่มหนีรอดออกมาได้แต่ก็ถูก น้ำทิพย์ที่สาม ฆ่าตายจนหมดสิ้น ค่ายโครงกระดูกทั้งค่ายถูกเหล่าเทพทั้ง ๘ ทำลายล้างในคืนเดียว แต่
“ พลาสูร มันยังไม่ตาย “
เปมิกา เอ่ยขึ้นมาอย่างสุดแสนเสียดาย เมื่อไม่เห็นซากศพของ พลาสูร
“ ไม่เป็นไรหรอก ดวงใจมาร ถึงครั้งนี้มันรอดไปได้แต่ครั้งหน้ามันไม่โชคดีอย่างนี้แน่ “
อนันตวาโย บอกต่อ เปมิกา
“ มันไม่ตายนะดีแล้ว ไม่งั้นสิ่งที่ข้าทำไว้มันจะสูญเปล่าเสียหมด “
ตรัยสูร พูดออกมาอย่างพอใจที่ พลาสูร ยังไม่ตาย ประกายตาแฝงความยินดี
“ เจ้าหมายความอย่างไร ? ตรัยสูร บอกข้ามาสิ “
อสูรสาว จ้องมองหน้า ตรัยสูร คล้ายกำลังค้นหาสิ่งที่ ตรัยสูร พูด หากแต่ ตรัยสูร ยังไม่ตอบให้นางได้รู้
“ รอให้พวกเรามาพร้อมหน้ากันเสียก่อนเถอะแล้วข้าถึงจะบอกพวกเจ้า “
“ ถ้างั้นเรารีบกลับไปหา น้ำทิพย์ที่สาม กันเถอะ ป่านนี้เขาคงจัดการพวกอสูรที่หลุดรอดออกมาจนหมดแล้ว  “
มยุราเทวี บอกเหล่าเพื่อน ๆ ของตน ทางฝ่ายเพื่อนที่เหลือ ต่างพยักหน้ารับเดินออกจากค่ายโครงกระดูก ซึ่งบัดนี้เหลือแต่ซากศพอสูร และป้อมค่ายที่พังเสียหาย ค่ายโครงกระดูกของทัพประตูมนุษย์ในเวลานี้เหลือเพียงแต่ชื่อเท่านั้น
..ที่กลางป่าลึก มีร่าง ร่างหนึ่ง นอนอาบไปด้วยเลือด มีบาดแผลอยู่ทั่วตัว แต่แผลที่เห็นชัดที่สุดก็คือแผลที่หน้าอก บาดแผลที่เกิดจากคมดาบลึกเป็นทางยาว ส่วนที่ใบหน้าก็มีบาดแผลอีกหนึ่งแผล เพิ่มขึ้นจากแผลเก่าที่มีอยู่ ร่างนั้นยังไม่สิ้นลมหายใจ นอนหายใจรวยละริน อย่างอ่อนแรงแต่แววตาแฝงประกายความโกรธแค้น ขบเขี้ยวฟันพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ ข้าขอสาบาน .. ข้าจะตามฆ่าล้างพวกมัน ข้าจะสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ เอาเลือดพวกมันมาล้างความอัปยศครั้งนี้ให้ได้ “
พูดได้แค่นั้น เจ้าของเสียงก็นอนสลบไป ท่ามกลางความมืดของป่าลึก
จบตอนที่ ๗ ครับ ตอนต่อไปต้องแยกทางจากกันแล้ว T_T
ตอนที่ ๗ ดาบปราบลิขิตฟ้า สู้ กรงเล็บอสูร
    ที่น้ำตกมีชาย ๔ หญิง ๔ กำลังนั่งเล่นน้ำกันอยู่ พวกเขาก็คือ เหล่าเทพทั้ง ๘ นั้นเอง  อัคคีนาคา มยุราเทวี นันทาเทพธิดา เปมิกา ต่างกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน หลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเข้าสู่ป่าโครงกระดูกตั้งแต่เมื่อ ๒ วันก่อน ฝ่าย อนันตวาโย พยัคฆ์วารี ตรัยสูร และ น้ำทิพย์ที่สาม ก็นั่งอาบน้ำอยู่ใกล้ ๆ กัน  ๔ สาวงามที่กำลังนั่งเล่นน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนานนั้น คนที่รู้สึกชอบมากที่สุดคงจะเป็น อัคคีนาคา ตามวิสัยของเผ่าพันธุ์นาคาที่มักคุ้นเคยอยู่กับน้ำมากกว่าใครอื่น ละอองน้ำที่กระทบกับตัวของพวกนางส่งให้พวกนางทั้ง ๔ ยิ่งดูยิ่งงดงาม หาก คนธรรพ์ หรือ วิทยาธร ตนใดมาเห็นเข้าในเวลานี้คงจะหยุดมองชื่นชมความงามของพวกนางจนกระทั่งลืมแม้เวลาและนาที ที่มีอยู่ แม้แต่ อนันตวาโย เองก็ยังอดมองพวกนางทั้ง ๔ ไม่ได้ หากเขาไม่ใช่เพื่อนของพวกนางแล้วไซร้ คงจะอดใจไม่ไหว เผลอตัวเข้าเกี้ยวพวกนางทั้ง ๔ อย่างแน่นอน  ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ที่กำลังอาบน้ำอยู่เงียบ ๆ นั้น กำลังสะบัดมือขึ้นลงอย่างช้า ๆ น้ำที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ตัว เริ่มก่อตัวเป็น สิงห์น้ำ ขึ้นมา
“ น้ำทิพย์ที่สาม เจ้ากำลังทำอะไรอยู่นะ ? “
ชายหนุ่มหันมามอง หน้าสาวงามเจ้าของเสียง และเอ่ยตอบคำถามอย่างช้า ๆ
“ ไม่มีอะไรหรอก นกยูง ข้าแค่ทบทวนพระเวทย์ของข้าอยู่เท่านั้นเอง “
มยุราเทวี ขมวดคิ้วใช้ความคิด วิชาบังคับน้ำของ น้ำทิพย์ที่สาม จัดว่าไม่ธรรมดา ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด คนที่เก่งกาจทางด้านนี้ที่สุดคงจะเป็น พยัคฆ์วารี ทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่า น้ำทิพย์ที่สาม ถนัดวิชาอะไรกันแน่ ?
“ น้ำทิพย์ที่สาม เจ้าถนัดวิชาอะไรมากที่สุด ? “
น้ำทิพย์ที่สาม ยังควบคุมน้ำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด พลางเฉลยคำตอบให้แก่ผู้อยากรู้
“ ข้าไม่มีวิชาที่ข้าถนัดเฉพาะด้านหรอก มีแต่พระเวทย์ที่เข้าถึงสำนึกแห่งธรรมชาติเท่านั้น “
เปมิกา ได้ยินคำตอบของ น้ำทิพย์ที่สาม สีหน้าของนางเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
“ พระเวทย์อะไรของเจ้ากัน สำนึกแห่งธรรมชาติ มีในโลกนี้ด้วยเหรอ ? “
เจ้าของวิชา ยิ้มน้อย ๆ กับคำถามนี้ บางสิ่งบางอย่างก็อาจอธิบายได้ยากเกินไปหากไม่ได้เจอกับตาของตนเอง
“ จะมีหรือเปล่านั้นข้าไม่รู้ ? แต่พระเวทย์ของข้าสามารถเข้าถึงสำนึกแห่งธรรมชาติได้ “
เจ้าของมือทั้งสองที่ยังหมุนวนบังคับน้ำอยู่นั้น พลันถอนมือออกมาข้างหนึ่ง บังคับพลังอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นพลังแห่งไฟ ก่อรูปเป็น สิงห์ไฟ ขึ้น ดูแล้วเหลือเชื่อแต่เป็นได้ ในตอนนี้ มี สิงห์ไฟ และ สิงห์น้ำ กำลังคลอเคลียหมุนตัวไปมาอยู่ด้วยกัน เหล่าเพื่อน ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ จ้องมองดูสิ่งที่ น้ำทิพย์ที่สาม ทำด้วยดวงตาที่ฉงนสนเท่ห์
“ อะไรกันนี้ ข้าตาฝาดไปหรือเปล่า ? “
ตรัยสูร ครางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ วิชาของ น้ำทิพย์ที่สาม ยิ่งดูยิ่งพิสดาร ถึงจะให้เขาเดาว่าเป็นวิชาแขนงไหน  คาดว่าต่อให้เดาจนตายก็คงดูไม่ออกว่าเป็นวิชาของเทพสายไหนกันแน่
“ เจ้าไม่ได้ตาฝาดหรอก ตรัยสูร พระเวทย์ที่ข้าใช้ คือ พระเวทย์จักรวาลผันแปรสิ่งอื่นใดล้วนเกี่ยวเนื่อง หลักสำคัญของ พระเวทย์นี้อยู่ที่ สำนึกแห่งธรรมชาติ “
อัคคีนาคา จ้องมองอย่างสนใจ เอ่ยถามด้วยความอยากรู้
“ สำนึกแห่งธรรมชาติคืออะไร ? “
น้ำทิพย์ที่สาม คิดทบทวนพระเวทย์ของตนหน่อยหนึ่ง ก่อนจะบอกเคล็ดลับของตนให้บรรดาเหล่าเพื่อนฟัง
“ เมื่อพูดถึงสำนึกแห่งธรรมชาติ จะต้องพูดถึง สำนึกแห่งตัวตนเสียก่อน ในบรรดาสรรพวิชาต่าง ๆ ในโลกนี้มักจะมีลักษณะ เฉพาะ สำหรับตัวผู้ฝึกวิชานั้น อย่างเช่น ผู้ที่ถนัดที่ใช้วิชาแห่งลม ย่อมจะไม่สามารถบังคับพลังรูปแบบอื่นใดได้ดีกว่า พลังแห่งลม ถ้าเปลี่ยนให้เขา บังคับพลังแห่ง น้ำ ไฟ หรือ ดิน ย่อมต้องจะอ่อนด้อยกว่า วิชาหลักของตนอย่างแน่นอน “
ทั้ง ๗ ฟัง น้ำทิพย์ที่สาม เล่าถึงเคล็ดลับอย่างตั้งใจ ขณะที่เจ้าของวิชายังพูดต่อไป
“ ส่วนสำนึกแห่งธรรมชาติ นั้น ไม่อิงอยู่กับกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น หลักสำคัญก็คือ กลมกลืนไปกับพลัง ไม่ออกนอกกระแสจากสำนึกที่มีอยู่และสำนึกที่ต้องการใช้ “
ดวงตาของ พยัคฆ์วารี เปล่งประกาย เหมือนเขาเข้าใจอะไรในคำพูดของ น้ำทิพย์ที่สาม
“ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็หมายความว่า คนทั่วไปมักเข้าใจผิดคิดว่า ตนถนัดวิชาใดแล้ว ย่อมจะใช้วิชาอื่นได้ไม่ดีกว่าวิชาที่ตนถนัดใช่ไหม ? “
น้ำทิพย์ที่สาม พยักหน้ายอมรับ และพูดต่อว่า
“ ถูกต้องแล้ว พยัคฆ์วารี อย่างเจ้าถึงจะถนัดวิชาบังคับน้ำ มากกว่าวิชาอื่น แต่เจ้าก็สามารถบังคับพลังรูปแบบอื่นให้เทียบเท่าหรือดีกว่าวิชาที่เจ้าถนัดได้ อย่างเช่น ถ้าเจ้าอยากบังคับพลังแห่งลม เจ้าก็สามารถบังคับพลังแห่งลมได้ ไม่ด้อยกว่าวิชาหลักของเจ้าเลย “
ยิ่งฟังยิ่งสนุก อัคคีนาคา ถามต่ออย่างใคร่รู้ในสิ่งที่พบเจอ
“ แล้วต้องทำอย่างไร ? ถึงจะทำอย่างที่เจ้าว่าได้ล่ะ น้ำทิพย์ที่สาม “
น้ำทิพย์ที่สาม มองหน้าสาวงาม พลางเอ่ยตอบอย่างช้า ๆ
“ รวมจิตตั้งมั่นเป็นใจ ใจคือสำนึก สำนึกคือความต้องการ ความต้องการคือความคิด อยากใช้สิ่งไหนต้องเป็นสิ่งนั้นไม่ว่าจะเป็นมากกว่า ๑ หรือมากกว่า ๒ หรือมากกว่า ๓ “
คำตอบคล้ายทำให้งวยงงสงสัย มีอยู่ ๖ คนทำสีหน้าครุ่นคิด กลับกันกับ อัคคีนาคา เหมือนเข้าใจในสิ่งที่พูด กวาดวาดมืออย่างช้า ๆ น้ำที่อยู่ตรงหน้าเริ่มก่อรูปเป็นนาคน้ำตัวน้อย ๆ เลื้อยตัวไปมาอยู่รอบ ๆ ตัวของนาง
“ อย่างนี้นี้เอง ความคิดบังคับพลังต้องต่อเนื่อง ถ้าอยากใช้สิ่งไหนย่อมต้องใช้สิ่งนั้นได้  “
มยุราเทวี เอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจเมื่อเห็นสิ่งที่ อัคคีนาคา กระทำอยู่
“ จักรวาลย่อมผันแปร และ เกี่ยวเนื่อง ต่อกัน สมแล้วที่ว่า สำนึกแห่งธรรมชาติ “
นันทาเทพธิดา พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี เมื่อเข้าใจหลักวิชาของ น้ำทิพย์ที่สาม
“ ตั้งแต่ข้าโตมา เสด็จพ่อมักต่อว่าข้าเสมอว่า ข้ามีแต่วิชาที่บังคับไฟ ที่โดดเด่นกว่านาคตนอื่น ๆ แต่วิชาบังคับน้ำของข้ากลับไม่สามารถควบคุมได้ดังใจ ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าเวลาข้าใช้พลังมักทำตัวให้เป็นสำนึกแห่งไฟอยู่เสมอ ข้าถึงควบคุมพลังแห่งน้ำ ไม่ได้เหมือนกับคนอื่น ๆ ความจริงถ้าข้าอยากจะบังคับน้ำย่อมทำได้ เพียงแต่สำนึกของข้าต้องเป็นน้ำเสียก่อน “
อัคคีนาคา พูดอย่างดีใจ นี้เป็นครั้งแรกที่นางบังคับน้ำได้ตามใจต้องการ ตลอดเวลาที่ผ่านมาวิชาบังคับน้ำของนางไม่เคยได้ถึง ๒ ใน ๑๐ ของผู้เป็นพ่อด้วยซ้ำ
“ แต่ที่ยากที่สุดของพระเวทย์นี้ ก็คือ จะทำอย่างไร ? ในขณะเดียวกันให้มีสำนึกหลาย ๆ สำนึกรวมอยู่ด้วยกันและไม่ขัดแย้งกันเองต่างหาก “
น้ำทิพย์ที่สาม บอกสิ่งที่สำคัญยิ่งในหลักพระเวทย์นี้ให้ทุกคนฟัง
“ อย่างที่เจ้าทำเมื่อครู่นี้ใช่ไหม ? ที่มี สิงห์ไฟ และ สิงห์น้ำ อยู่ด้วยกันได้โดยพลังทั้งสองไม่กระทบกระแทกกันเอง “
อนันตวาโย เอ่ยถามในสิ่งที่เขาคิดอยู่
“ ถูกแล้ว นั้นแหละคือสิ่งที่ยากที่สุด “
“ แล้ว จะต้องทำอย่างไรถึงจะทำแบบที่เจ้าทำได้ล่ะ ? “
เปมิกา ถาม น้ำทิพย์ที่สาม ขึ้น ในความคิดของนาง พระเวทย์นี้ มีประโยชน์ต่อนางไม่น้อยทีเดียว
“ เรื่องนั้นข้าตอบไม่ได้ พวกเจ้าต้องลองหัดและฝึกใช้ดูเอง ถึงจะเข้าสู่เคล็ดลับนั้นได้ ผู้ไม่ปฏิบัติย่อมไม่พบหนทางที่จะเข้าถึง ต่อให้พวกเจ้าฟังข้าพูดจนผันแปรสำนึกแห่งธรรมชาติได้ แต่พวกเจ้าก็ไม่อาจเกี่ยวเนื่องพลังที่รวมเป็นหนึ่งแต่แยกนำออกมาใช้ได้อยู่ดี “
เหล่าบรรดาเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ฟังคำตอบจากเจ้าของวิชาแล้ว ต่างคนก็ต่างมีความคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ถึงวิธีการใช้พระเวทย์ที่ได้ฟัง ฝ่ายคนที่มีความนับถือ น้ำทิพย์ที่สาม มากที่สุด คงจะเป็น ตรัยสูร ยิ่งฟังคำอธิบาย ยิ่งมีความชื่นชมในตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม มากขึ้น
“ ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่า น้ำทิพย์ที่สาม เป็นใครกันแน่ ? วิชาก็พิสดารสุดแสนล้ำลึก โชคดีที่ว่าข้ากับเขาไม่ได้เป็นศัตรูกัน ถ้าเกิดข้ากับเขาเป็นศัตรูกันขึ้นมา ข้าคงจะกลั้นใจตายวันละหลายร้อยหนเห็นจะได้ “
หลังจากทั้ง ๘ ขึ้นมาจากน้ำตก และหาอาหารเท่าที่หาได้มากินกันแล้ว เปมิกา ก็เริ่มพูดถึงแผนการของนางที่อาจสืบหาร่องรอยของ กัลย์ปาอสูร ได้
“ จากการตายของอสูรแดง เมื่อคืนก่อนนี้ พวกอสูรตนอื่น ๆ คงยังไม่รู้ว่า อสูรสืบข่าวของพวกมันตายไปแล้ว เป็นโอกาสดีของพวกเราที่จะบุกเข้าไปสืบข่าวจากกองกำลังของพวกมันได้ “
มยุราเทวี เอ่ยถาม เปมิกา ขึ้นในสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่
“ เจ้าคงคิดให้พวกเราคนใดคนหนึ่ง ปลอมตัวเป็น อสูรแดง เข้าไปสืบข่าวจากกองกำลังของขุนมาร พลาสูร กระมัง “
เปมิกา พยักหน้ายอมรับ พลางพูดต่อไป
“ ใช่แล้ว นกยูง ข้าคิดว่าหน้าที่นี้คงไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับ ตรัยสูร อีกแล้ว “
ตรัยสูรได้ยิน ทำสีหน้าเลิกลัก จ้องมองอสูรสาว ที่ทำสีหน้าเฉยชา
“ เฮ เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมเจ้าต้องให้ข้าเข้าไปสืบหาข่าวด้วยล่ะ ดวงใจมาร เจ้ามีเหตุผลอะไร ? “
อสูรสาว ยังไม่ทันเอ่ยตอบ เสือน้ำแข็ง ชิงตอบไปเสียเอง
“ ก็เพราะว่า เจ้าเป็นอสูร ย่อมมีกลิ่นของพวกอสูร ติดตัวอยู่นะสิ ถ้าเจ้าปลอมตัวเข้าไปย่อมไม่มีใครสงสัย “
ตรัยสูร อ้าปากจนเห็นเขี้ยว กำลังจะถามต่อ มีเสียง อนันตวาโย เอ่ยดักขึ้นอีกคน
“ ถ้าจะถามว่า ถ้างั้นทำไมถึงไม่ให้ ดวงใจมาร เข้าไปสืบเอง ข้าก็จะตอบให้ เพราะว่า ดวงใจมาร เป็นผู้หญิงการปลอมตัวย่อมไม่แนบเนียน อาจถูกจับพิรุธได้ง่ายกว่า เพราะฉะนั้น เจ้านั้นแหละที่เหมาะสมจะเสียสละทำหน้าที่นี้มากที่สุด “
อสูรหนุ่มผู้ถือธนู สุดแสนจะเซ็งกลับคำตอบที่ได้รับ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแบบขุ่น ๆ
“ แหม ! พร้อมใจแย่งกันพูดเชียวนะ นี้แสดงว่าตกลงกันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วใช่ไหมเนี้ยะ ? “
ทั้ง ๗ ต่างส่ายหน้า ปฏิเสธ พร้อมกับกล่าวขึ้นพร้อมกัน
“ เปล่าหรอก ก็แค่ใช้ความคิดดูว่า ใครควรเหมาะทำหน้าที่นี้มากที่สุดก็แค่นั้น “
ตรัยสูร อับจนคำพูด และเห็นว่าคงจะไม่มีทางเลี่ยง เอ่ยตกลงอย่างเสียมิได้
“ ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะทำหน้าที่นี้เอง แล้วต่อจากนั้นล่ะ พวกเจ้าให้ข้าทำอะไรอีก ? “
เปมิกา พูดถึงแผนการของนางต่อไป
“ พอเจ้าเข้าไปในนั้นได้แล้ว เจ้าก็พยายามหาข่าว จากพวกเหล่าอสูร ของขุนพลมาร พลาสูร ว่า พวกมันคิดทำอะไรกันอยู่ และที่สำคัญที่สุดที่พวกเราอยากจะรู้ก็คือ ภูผาอสูร ที่ กัลย์ปาอสูร แอบซ่อนตัวนั้นมันอยู่ที่ไหน ? “
“ เอาละ อันนั้นข้าเข้าใจแล้ว แต่ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าข้ารู้แล้วข้าจะติดต่อกับพวกเจ้าได้ไงล่ะ ? “
ตรัยสูร เอ่ยถาม เปมิกา ถึงวิธีการติดต่อกับพวกนาง เพราะเมื่อเขาเข้าไปได้แล้วโอกาสที่จะติดต่อกับพวกนางได้คงมีน้อย
“ ก็ใช้แมลงสื่อสารสิ ถามได้  เจ้านี้แกล้งโง่ หรือโง่จริงกันแน่ ? “
“ จริงสิ ข้าเองก็ลืมเสียสนิทเลย “
ตรัยสูร เองก็เพิ่งนึกออกได้ว่า มีวิธีนี้อยู่ด้วย
“ อะไรของเจ้านะ แมลงสื่อสาร ? “
นันทาเทพธิดา ถามด้วยความสงสัย เพราะนางไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของ แมลงสื่อสาร เลย
“ แมลงสื่อสาร ก็คือ แมลงที่ปลุกเสกจากพระเวทย์ มันมีลักษณะเหมือนแมลงธรรมดาทั่วไป แต่มีหน้าที่ในการส่งข่าวโดยเฉพาะ โดยจะต้องมี แมลงตัวหนึ่ง ออกไปหาข่าว และมี แมลงอีกตัวหนึ่งอยู่ที่ผู้ต้องการข่าว แมลงสื่อสาร จะส่งทั้งภาพและเสียงของข่าวสารที่ต้องการ มาให้กับผู้ที่ต้องการข่าว ได้เห็นและได้ยิน และยังสามารถส่งข่าวสารที่ต้องการกลับไปกลับมาให้แต่ละฝ่ายได้อีกด้วย “
เปมิกา อธิบายถึงเรื่อง แมลงสื่อสาร อย่างแจ่มแจ้ง
“ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรต้องกังวล ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเราก็สามารถ บุกเข้าไปช่วย ตรัยสูรได้ทันเวลา “
อัคคีนาคา พูดออกมาอย่างเห็นด้วยกับแผนการของ เปมิกา
“ ถ้าอย่างนั้น ก็ตกลงตามนี้ ว่าแต่ว่า ขอข้าดูหน่อยว่า วิชาแปลงร่าง ของเจ้าที่ฝึกมา จะเอาไปทิ้งขวางไว้ที่ไหนหรือเก็บเข้าหีบไว้แล้วหรือเปล่า ? ลองทดลองให้พวกข้าดูหน่อยสิ ตรัยสูร “
เปมิกา พูดรวบรัด พลางเร่งให้ ตรัยสูร แสดงฝีมือ
“ ถือโอกาสใช้ได้ ใช้ข้าใหญ่เลยนะ ก็ได้ “
ตรัยสูร บ่นให้ได้ยินหน่อย ๆ ก่อนลุกขึ้น เก็บอาวุธของตนเอง สำรวจพระเวทย์ ร่ายมนต์ จนร่างกาย เปลี่ยนเป็น อสูรแดง รวมไปถึง น้ำเสียงด้วย
“ เป็นไงบ้าง ? วิชาของข้ายังอยู่กับตัวข้า ไม่ได้เอาไปทิ้งขวางหรือเก็บเข้าหีบอย่างที่เจ้าเข้าใจหรอกนะ “
ตรัยสูร พูดประชด เปมิกา หน่อยหนึ่ง หากแต่นางไม่สนใจ พลางเดินรอบตัวของ ตรัยสูร ดูว่ามีที่ผิดพลาดต้องไหนบ้าง ?
“ ใช้ได้ อย่างนี้ไม่มีปัญหาแน่ เอา เจ้าเอาดาบนี้ไป จะได้เริ่มงานได้เสียที “
เปมิกา เสกแมลงสื่อสารขึ้นมา ๒ ตัว ตัวหนึ่งอยู่ที่นาง อีกตัวหนึ่ง อยู่กับ ตรัยสูร และบอกเขาว่า
“ ป่าโครงกระดูกอยู่ห่างจากนี้ไม่เท่าไร ใช้เวลาอีกประมาณ ๑ วันก็คงถึง เจ้ากับพวกข้าจะต้องแยกกันตรงนี้ พวกข้าจะตามเจ้าไปห่าง ๆ กันใครสงสัย ระวังตัวให้ดีด้วยนะ “
ตรัยสูร รับคำ หันหลังให้พวกเขา เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าไป เวลาผ่านไปครู่เดียว ที่เหลืออีกทั้ง ๗ คนก็เหาะตามไปห่าง ๆ ดูเหตุการณ์รอบข้าง ๆ ไปด้วย ขณะที่เหาะอยู่บนท้องฟ้า เปมิกา พูดคุยกับ น้ำทิพย์ที่สาม ขึ้น
“ น้ำทิพย์ที่สาม ถ้าเกิดการต่อสู้กันจริง เจ้าหลบไปจัดการกับพวกอสูร ที่อาจหลบนี้ออกมาจากการต่อสู้อย่างเดียวก็พอไม่ต้องบุกเข้าไปเข้าร่วมรบกับพวกข้าด้วย “
น้ำทิพย์ที่สาม ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำพูดของ เปมิกา
“ ทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้า อยู่แค่วงนอก อย่างนั้นล่ะ ดวงใจมาร ทำไมไม่ให้ข้าเข้าไปรวมรบกับพวกเจ้าด้วย “
“ ก็เพราะว่า พวกอสูรคงรู้ข่าวว่ามีเหล่าเทพที่ถูกคัดเลือกออกมาให้กำจัดพวกมันอยู่นะสิ และข้าคาดว่าตามข่าวที่พวกมันรู้ มันคงรู้เพียงแค่ว่ามี ๗ คน ถ้าเจ้าไม่เปิดเผยตัวออกมา อาจจะสืบเสาะหาข่าวของพวกมันได้อีกทางหนึ่ง จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรามากกว่า ที่เจ้าจะออกไปเปิดเผยตัวให้พวกมันรู้ “
เปมิกา ตอบให้ น้ำทิพย์ที่สาม ฟัง ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจในเหตุผล
    .......... ตรัยสูร เหาะมาตามทางเกือบจะ ๑ วันเต็มแล้ว ยังไม่พบสิ่งใดผิดปกติ พลางเหลียวซ้ายแลขวา มองดูป่าที่อยู่รอบ ๆ ข้าง เริ่มเห็นโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ที่อยู่บนพื้น เรียงรายไปทั่ว ถ้ามนุษย์คนไหนเดินมาถึงป่าแห่งนี้ คงอดหวาดกลัวไม่ได้ต่อโครงกระดูกที่ได้พบเจอ
“ เหาะมาตั้งนานแล้ว ยังไม่พบเห็นพวกอสูร สักตนเลย “
คิดได้ไม่เท่าไร กลับพบว่ามีใคร ๒ คน เหาะมาดักหน้าขวางทางเขาอยู่
“ อสูรแดง เจ้าหายหัวไปไหนมา ปล่อยให้พวกข้า ตามหาเสียแทบแย่ “
ตรัยสูร ไม่มีเวลาคิดมาก ตอบกลับไปไม่ให้พวกมันสงสัย
“ ข้าก็ออกหาข่าวอยู่นะสิ ไม่ได้เถรไถลไปไหนซักหน่อย “
อสูรอีกตนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเช่นนั้นอ้าปากพูดอย่างเบื่อหน่าย
“ พวกเจ้านี้ไงนะ เจอกันทีไร ก็ทะเลาะกันทุกที อสูรแดง อสูรดำ ข้าล่ะเบื่อ “
อสูรดำ ได้ยิน ดังนั้น ก็หันมาพูดกับอสูรอีกตนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ นี้มันวิธีการทักทายของข้าต่างหากล่ะ ยันต์อสูร เจ้าก็คิดมากไปได้ “
พูดจบแล้ว อสูรดำ ก็หันมาพูดคุยกับ ตรัยสูร ต่อ
“ เจ้าได้ข่าวของพวกเทพนั้นบ้างไหม ? “
ตรัยสูร สบช่องพอดี รีบพูดตอบกลับไป
“ ได้สิ ได้มาเยอะทีเดียว “
ยันต์อสูร ได้ยินดังนั้น พูดออกมาอย่างดีใจ
“ งั้นก็ดีเลย รีบกลับไปรายงานท่าน ขุนพลมาร พลาสูร ดีกว่า พวกเราจะได้รับความดีความชอบกัน ทั่วหน้า “
พูดจบแล้ว อสูรดำ และ ยันต์อสูร ก็เหาะพา ตรัยสูร ไปยังที่ตั้งของกองกำลังขุนพลมาร พลาสูร ในป่าโครงกระดูก ทันที เหาะมาได้ซักพักหนึ่ง ตรัยสูร ก็มาถึงค่ายอสูรแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในป่าโครงกระดูก อสูรดำ และ ยันต์อสูร ก็พา ตรัยสูร เดินเข้าไปใน ป้อมบัญชาการ ของค่ายอสูรโครงกระดูก เดินใกล้จะถึงประตูห้อง ห้องหนึ่งพบทหารอสูร ๒ ตน ยืนขวางทางอยู่
“ พวกเจ้าจะไปไหนกัน ? “
“ พวกข้าจะขอเข้าไปพบขุนพลมาร พลาสูร รายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องของเหล่าเทพที่พวกข้าสืบเสาะหาข่าวมาได้ “
อสูรดำ ตอบ ทหารอสูรทั้ง ๒ ทางทหารอสูรทำท่าจะเข้าไปรายงาน อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากภายในห้อง
“ ให้พวกมันเข้ามาได้ “
พอสิ้นเสียง ทหารอสูรทั้ง ๒ ก็ยอมให้พวกเขาเข้าไปแต่โดยดี ตรัยสูร ตาม อสูรดำ และ ยันต์อสูร เข้าไป พบกับ อสูรหน้าบาก ที่นั่งอยู่ด้านหน้าของห้อง ถัดมาเป็นเหล่านายกองอสูรที่ยืนอยู่ทั้งสองข้าง เรียงเป็นแถวยาว ทั้งสาม เดินตรงเข้าไปและคุกเข่าต่อหน้า อสูร หน้าบากตนนั้น
“ ข้าขอคาราวะ ท่านขุนมาร พลาสูร “
ยันต์อสูร ที่เป็นผู้นำ เอ่ย คาราวะอย่างนอบน้อม ต่อ ขุนพลมาร พลาสูร
“ เจ้าเองหรือ ยันต์อสูร มีข่าวอะไรจะรายงานข้าบ้าง ? “
“ ท่านขุนพลมาร พลาสูร พวกข้าได้ออกติดตามหาข่าว ของพวกเหล่าเทพที่ถูกคัดเลือก บัดนี้พวกข้าสืบข่าวมาได้บ้างแล้ว “
พลาสูร ยิ้มออกมาจนเขี้ยว แววตาส่อเค้ายินดีอย่างยิ่ง พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ งั้นเหรอ  แล้วเจ้า ๗ ตัวนั้น ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ? บอกข้ามาสิ “
ยันต์อสูร หันหน้ามามอง ตรัยสูร พลางพยักหน้าให้เขาพูด
“ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ตอนนี้ พวกเหล่าเทพทั้ง ๗ เดินทางใกล้เข้ามาจวนจะถึงป่าโครงกระดูกแห่งนี้แล้ว ซ้ำระหว่างทาง พวกมันได้ต่อสู้กับกองลาดตะเวนของเรา ๑๕๐ ตน ถึงแม้ว่าพวกมันจะได้ชัยแต่ก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ขอให้ท่านโปรดพิจารณาสั่งการด้วย “
พลาสูร ได้ยิน ดังนั้น แลบลิ้นเลียริมฝีปากของตน พลางหัวเราะอย่างยินดี
“ ฮะๆๆ ข้านึกว่า เหล่าเทพที่ถูกส่งมาจะเก่งกล้าซักแค่ไหน แค่ทหาร ๑๕๐ ตน ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้ามาเจอกับทหารค่ายโครงกระดูกแห่งนี้ที่มีตั้ง ๕,๐๐๐ ตน พวกมันจะมีน้ำยาอะไร “
ขณะที่ พลาสูร กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีนั้น มีนายกองอสูรตนที่ ๑ เอ่ยแย้งขึ้น
“ แต่ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ตามข่าวที่ข้าได้รับจากทาง ภูผาอสูร ท่านขุนพลมาร อังกลาตู บอกมาว่า ทหาร ๑๕๐ ตนนั้น ถูกฆ่าโดยฝีมือของคนแค่คนเดียวเท่านั้นนะท่าน “
พลาสูร หยุดหัวเราะ พลันมีสีหน้าสงสัยขึ้นมา
“ หมายความอย่างไร เจ้าอสูรแดง เหตุใด ข่าวที่มาจากทาง ภูผาอสูร กับข่าวที่เจ้ารายงานข้ามา ทำไมถึงไม่เหมือนกัน เจ้าโกหกข้าหรือเปล่า ? “
ตรัยสูร แกล้งทำหน้าสีหน้าตกใจ และคิดหาคำตอบในขณะเดียวกัน
“ ข้าไม่ได้โกหกท่านเลย ท่านขุนพลมาร พลาสูร ข้าเห็นมากับตาของข้าเอง เหตุที่ข่าวไม่ตรงกันอาจเป็นเพราะอสูรสืบข่าวจาก ภูผาอสูร ไปถึงที่เกิดเหตุช้ากว่าข้า ก็เลยเข้าใจผิดคิดว่า พวกเรา ๑๕๐ ตน ถูกฆ่าโดยฝีมือคน คนเดียว “
นายกองอสูรตนที่ ๒ ได้ยินที่ ตรัยสูร พูดขึ้น มีความเห็นคล้อยตาม
“ อาจเป็นอย่างที่ อสูรแดง บอกก็ได้ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ข่าวสารจาก ภูผาอสูร อาจผิดพลาดได้ ทางเราอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากกว่า ข่าวของเราย่อมจะถูกต้องมากกว่า “
ได้ยินดังนั้นสีหน้าของ พลาสูร ที่ขุ่นมัวเมื่อกี้ก็พลันคลายลง
“ อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า ทางพวก ภูผาอสูร อาจจะตื่นกลัวกันเกินไปจึงหาข่าวผิด ๆ ส่งมาให้ “
อสูรดำ ได้ที จึงพูดขึ้นบ้าง
“ ท่านขุนมาร พลาสูร เราจะจัดการกับเทพพวกนั้นอย่างไรดี ? “
พลาสูร ยิ้มอย่างมีเลศนัย ประกายตาแฝงความเจ้าเล่ห์
“ ไม่ต้องกังวล อสูรดำ ข้าเตรียมของขวัญไว้ให้พวกมันมากโขทีเดียว รับรองพวกมันจะต้องพกของขวัญของข้าลงไปในนรกทุกคน “
ขณะที่ พลาสูร ยังไม่เฉลยว่า ของขวัญ ที่ว่า หมายถึงอะไร ? นายกองอสูรตนที่ ๓ ก็เอ่ยพูดอะไรบางอย่างออกมา
“ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ตอนนี้เรายังขาดเสบียงอาหารอีกมาก ข้าคิดว่าเราต้องหาเสบียงอาหารเพิ่มขึ้น “
พูดไม่ทันจบ นายกองอสูรตนที่ ๔ ก็เอ่ยพูดขึ้นแทน
“ เป้าหมายของเราตอนนี้ต้องตระเตรียมเสบียงอาหารไว้สำหรับทำศึกให้มาก เท่าที่พวกข้ามองในโลกมนุษย์ตอนนี้ พวกข้ากำลังเล็งนครไว้ ๔ นคร เป็นที่สร้างค่ายกองกำลังของพวกเรา และยังเป็นแหล่งเสบียงอาหารชั้นดีอีกด้วย “
พลาสูร นั่งฟังอย่างสนใจ พลางถามนายกองอสูร ถึงนคร ทั้ง ๔
“ นครที่พวกเจ้าว่ามี นคร อะไรบ้าง ? “
นายกองอสูรตนที่ ๔ รีบตอบเอาใจเจ้านาย
“ ๔ นครที่ว่าก็คือ นครเตมินทร์  นครอัญจารี นครศรีบุรีรมย์ และ นครตรีสุวรรณ “
“ ไม่เลว แค่ชื่อนครก็ไพเราะไม่เบา แต่ละนครมีความสำคัญอย่างไร ? “
นายกองอสูรตนที่ ๔ รีบอธิบายให้ พลาสูร ฟังต่อ
“ แต่ละนคร มีพลเมืองมากกว่า ๖,๐๐๐,๐๐๐ คน มี ๒ นครที่มีเส้นทางเชื่อมต่อทางทะเล ทำให้เราสามารถเดินทัพตีนครต่าง ๆ จากทางทะเลได้ อีก ๒ นคร มีการค้าติดต่อกับนครอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้เราสามารถเดินทัพบุกยึดนครเหล่านั้นโดยเส้นทางบก และเมืองขึ้นเล็ก ๆที่อยู่ตามรายทางนอกจากนั้นแล้ว ๔ นครดังกล่าวตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดี หากเราทำการยึดนครทั้ง ๔ ได้ ก็เท่ากับประสิทธิภาพกำลังการรบของกองทัพเราจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว “
พลาสูร ใช้มือลูบไปมาที่ใต้คางของตน
“ ได้ทั้งเสบียงอาหาร เส้นทางการศึก และ ชัยภูมิที่เหมาะสม หึ ๆๆ เห็นทีกองทัพประตูมนุษย์คงจะได้ชัยก่อน กองทัพประตูสวรรค์ และ กองทัพประตูนรกภูมิ ซะแล้ว ฮะๆๆ “
แต่นายกองอสูรตนที่ ๑ ยังแสดง สีหน้ากังวลถึงเรื่องเหล่าเทพที่สืบข่าวมาได้อยู่
“ แต่ทุกอย่างอาจจะพังหมด ถ้าพวกเทพเหล่านั้นยังอยู่ ยังไงพวกเราก็จะประมาท พวกเทพเหล่านั้นไม่ได้ “
พลาสูร  ได้ฟัง ก็แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว พลางพูดให้เหล่าบรรดาลูกน้องฟัง
“ นั้นของมันแน่อยู่แล้ว ข้าจะเตรียมแหฟ้าตะข่ายดิน ไว้รอพวกมัน พวกเจ้าหาทางปล่อยข่าวออกไป ให้พวกมันเขามาติดกับที่ค่ายโครงกระดูกแห่งนี้ พวกเราจะรุมสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ จนไม่เหลือแต่ซาก ฮะๆๆๆๆ “
ทุกคนต่างหัวเราะตาม พลาสูร ไปด้วยไม่เว้นแม้กระทั่ง ตรัยสูร เพราะเขาไม่อยากมีพิรุธ ให้ใครจับสงสัยได้ ในใจคิดเคียดแค้นเหล่าอสูรกลุ่มนี้โดยเฉพาะ พลาสูร ผู้เป็นต้นคิดแผนการ
“ อีกเดี๋ยวก็รู้ว่า ใครจะได้หัวเราะ “
ตรัยสูร พูดออกมาอยู่ในใจ ทาง อสูรดำ คิดอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม พลาสูร ขึ้น
“ แล้วนี้เราจะแจ้งข่าวไปยัง ภูผาอสูร หรือไม่ ? ท่านขุนมาร พลาสูร  “
“ ไม่ต้องแจ้งข่าวไปยัง ภูผาอสูร หรอก ท่านจ้าวอสูร สั่งห้ามไม่ให้ใครติดต่อไป นอกจากทาง ภูผาอสูร จะติดต่อมาเอง  หากต้องการจะติดต่อไปยังทาง  ภูผาอสูร จริง ๆ มีเพียงขุนพลมารอย่างพวกข้าเท่านั้นที่ทำได้ ขืนข้าส่งพวกเจ้า ทะเล่อทะล่า เข้าไปพวกเจ้าก็ตายฟรีเปล่า ๆ “
อสูรดำ ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรอีก เพียงแต่นิ่งรอคำสั่งจาก พลาสูร เท่านั้น
“ พวกเจ้าไปเตรียมตัวกันได้แล้ว หาทางปล่อยข่าวออกไป ล่อให้พวกมันมาติดกับ ข้าอยากจะเห็นสีหน้าที่ใกล้ตายของพวกมันเต็มที่แล้ว ฮะๆๆๆ “
พวกเหล่าอสูรต่างแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งของ พลาสูร นายกองอสูร จำนวนหนึ่ง นำกำลังคน ๔,๐๐๐ ตน ออกจากค่ายโครงกระดูก นอกนั้นเหลือนายกองอสูรอีกจำนวนหนึ่งกับทหารอสูรเพียง ๑,๐๐๐ ตน เท่านั้นที่ยังอยู่ในค่าย ทหาร ๔,๐๐๐ ตนที่ออกมาจากค่ายต่างซุ่มอยู่ใกล้ ๆ กับค่ายรอจังหวะให้เหล่าเทพบุกเข้าไปใน ค่ายโครงกระดูก แล้วค่อยนำกำลังล้อมเข้าจัดการ หนึ่งในบรรดาอสูรที่ซุ่มอยู่ มี ตรัยสูร ร่วมอยู่ด้วย
    ......แผนการของ พลาสูร ถูกส่งมาถึงยังพวก เปมิกา ที่เฝ้าดูอยู่ด้านนอก โดยผ่านแมลงสื่อสาร ที่ติดตัว ตรัยสูร ไป สีหน้าของ เปมิกา ตอนนี้ทั้งโกรธ ทั้งแค้นไม่น้อย
“ คิดจะรุมสับพวกเราเป็นชิ้น ๆ งั้นเหรอ ? เข้าใจคิดแผนดีนี้ “
พยัคฆ์วารี เอง ในขณะนี้ก็มีสีหน้าที่เหี้ยมเกรี้ยม
“ คราวนี้พวกมันเอาจริงชนิดที่ว่ากะจะไม่ให้พวกเราเหลือซากเลย “
เหล่าเทพทั้ง ๗ ต่างขบคิดแผนการเข้าเล่นงานเหล่าอสูรอยู่
“ หรือว่าเราจะไม่เข้าไปในค่ายโครงกระดูกนั้น “
นันทาเทพธิดา เอ่ยถาม ความเห็นของทุกคน
“ ไม่ ข้าว่า ทำเป็นว่าพวกเรา หลงเข้าไปติดกับแผนการของพวกมันนั้นแหละดีแล้ว “
มยุราเทวี เอ่ยตอบ อัคคีนาคา พูดเสริม
“ เราจะเปลี่ยนแผนของพวกมัน กลับเป็นรุมสับพวกมันแทน “
ดวงตาของ เปมิกา เป็นประกาย กุนซืออสูรสาว เริ่มคิดแผนการได้
“ อนันตวาโย ตอนบุกเข้าไปในค่ายโครงกระดูก พวกเจ้าแยกกันจัดการพวกทหารอสูรและนายกองอสูรก็แล้วกัน ส่วน พลาสูร ปล่อยให้ข้าจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนเจ้า ...... น้ำทิพย์ที่สาม “
เปมิกา หันหน้ามามอง น้ำทิพย์ที่สาม
“ จัดการกับพวกทหารอสูรที่ซุ่มจัดการพวกเราอยู่ คงไม่หนักหนาสาหัสมากใช่ไหม ? “
น้ำทิพย์ที่สาม ยิ้มตอบ พลังเริ่มแผ่ออกมาจนปรากฏแสงสีเขียว อยู่รอบ ๆ ตัว
“ ง่ายกว่าให้ข้านอนหลับเสียอีก เรื่องกวาดล้างกองทัพอสูร ข้าถนัดอยู่แล้ว “
เปมิกา เชิดหน้าขึ้น เหมือนแม่ทัพหญิง ที่กำลังสั่งการและต่อสู้อยู่ในสมรภูมิรบ
“ แหฟ้าตะข่ายดิน อย่างงั้นเหรอ ? ข้าจะเป็นคนทำให้มันขาดเอง “
เปมิกา ฟันออกหนึ่งฝ่ามือ ต้นไม้ใกล้เคียง หักโค่นไป ๓ ๔ ต้น อสูรสาวมั่นใจหรือเกินว่าศึกนี้พวกนางจะเป็นฝ่ายได้ชัย
กลางดึกของคืนนั้น ตรัยสูร ที่ปลอมตัวเป็นอสูรแดง ที่เฝ้าซุ่มดูเหตุการณ์อยู่นอกค่าย กำลังหาวิธีการกำจัดเหล่าอสูร ๔,๐๐๐ ตนที่ ได้รับคำสั่งจาก พลาสูร ให้เข้าเล่นงานพวก เปมิกา อยู่ กำลังอสูร ถูกแบ่งซุ่มล้อมเป็นวงกลม กระจายตัวกันอยู่ในมุมมืด ยากที่จะใช้สายตามองเห็นในเวลาค่ำคืนได้ พลันมีร่างของใครคนหนึ่งกำลังเคลื่อนอย่างเร็วและเงียบเข้าหาเหล่ากองทัพอสูรที่กระจายตัวกันอยู่ในมุมมืด
“ อือ “
ทหารอสูรตนหนึ่งถูกมือปิดปาก เจ้าของมือสะบัดข้อมือเพียงนิดเดียว ทหารอสูรตนนั้นก็จบชีวิตลง เงาร่างลึกลับเริ่มส่งกระแสจิตไปถึงใครคนหนึ่ง
“ ตรัยสูร เจ้าอยู่แถวนี้หรือเปล่า ? “
ตรัยสูร ได้ยินเสียง เรียกหา ก็จำได้ ส่งกระแสจิตตอบ กลับไป
“ ข้าอยู่ นี้ เจ้ามาทำไมกัน ? น้ำทิพย์ที่สาม “
“ ดวงใจมาร ให้ข้ามาจัดการกับทหารอสูรเหล่านี้ อีกเดี๋ยวพวกเขาจะบุกเข้าไปในค่ายโครงกระดูกแล้ว เจ้ากับข้ารีบช่วยกันจัดการเหล่าทหารอสูรพวกนี้ดีกว่า “
ตรัยสูร รู้อย่างนั้นแล้วดีใจอย่างยิ่ง รีบตอบกลับไป
“ ได้ งั้นเจ้ากับข้ารีบลงมือเลยก็แล้วกัน “
“ ตกลง เริ่มพร้อมกันเลยนะ “
น้ำทิพย์ที่สาม บอกให้ ตรัยสูร รู้ตัว ทั้งสองต่างเริ่มนับพร้อมกัน
“ หนึ่ง .... สอง ..... สาม “
ฉับพลัน ตรัยสูร ก็ชักดาบออกมาเข้าเข่นฆ่าเหล่าทหารอสูร ที่อยู่ใกล้ ในทันที ฝ่าย น้ำทิพย์ที่สาม อาศัย ความมืดพลางตัวเข้าเข่นฆ่าทหารอสูรและนายกองอสูรอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารอสูรและนายกองอสูร ตั้งตัวไม่ติด ถูกฆ่าตายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบหมด เงียบเฉียบมิดชิด อย่างไม่น่าเชื่อ สุดท้ายเหลือเพียง อสูรดำ ยันต์อสูร และเหล่าทหารอสูรอีกไม่ถึง ๑๐ ตน เท่านั้น
“ อะไรกัน อสูรแดง ทำไม เจ้าถึง ได้ทำอย่างนี้ ? “
ตรัยสูร ไม่เอ่ยตอบคำถามของ ยันต์อสูร ค่อย ๆ กลับคืนร่างเป็น ตรัยสูร ตามเดิม ท่ามกลาง ความตกตะลึงของเหล่าอสูรที่เหลือ
“ เจ้า.... เจ้าไม่ใช่ อสูรแดง  อ๊ากกกกก  “
ได้เห็นโฉมศัตรูอย่างเต็มตา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปบอกใครอีก อสูรดำ ยันต์อสูร และทหารอสูรที่เหลือ ถูก น้ำทิพย์ที่สาม และ ตรัยสูร ฆ่าตายจนหมดสิ้น ทหารอสูร ๔,๐๐๐ ตน ที่เคยมีชีวิต ตอนนี้เหลือเพียงแค่ซากศพที่ไร้วิญญาณ
“ แค่นี้ แหฟ้า ก็ไม่มีให้ใช้ ส่วน ตาข่ายดิน อีกไม่นานคงเหลือแต่ชื่อ “
น้ำทิพย์ที่สาม พูดบอกตรัยสูร ฝ่าย ตรัยสูร เริ่มคิดเข้าไปในค่ายโครงกระดูก
“ รีบเข้าไปช่วยพวก ดวงใจมาร กันดีกว่า “
น้ำทิพย์ที่สาม บอกปัดปฏิเสธ
“ เจ้าไปเถอะ ดวงใจมาร ต้องการให้ข้ารออยู่ที่นี้ คอยจัดการเหล่าอสูรที่อาจเล็ดลอดออกมาได้ เจ้ารีบเข้าไปช่วยพวกนางจะดีกว่า “
ตรัยสูร พยักหน้ารับ รีบเหาะกลับเข้าไปในค่ายโครงกระดูกในทันที
    .......ในขณะที่ น้ำทิพย์ที่สาม และ ตรัยสูร กำลังจัดการทหารอสูรอยู่ ทางฝ่ายพวก เปมิกา ได้บุกเข้าไปในค่ายโครงกระดูกแล้ว พวกนางบุกเข้าไปถึงใจกลางค่าย พบแต่เจอความว่างเปล่า
“ มุดหัวกันอยู่ที่ไหนล่ะ ? เจ้าพวกอสูรชั่ว ไหนบอกว่าจะเตรียม แหฟ้าตาข่ายดิน มารอพวกข้าไม่ใช่หรือ ? “
สิ้นเสียงของ เปมิกา เหล่าอสูรที่เหลือต่างรุมล้อมเข้ามาในทันที
“ เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี้ “
เสียงของอสูรหน้าบาก พูดออกมา ด้วยความสงสัย พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็ยืนประจันหน้ากับอสูรสาว
“ รู้ได้อย่างไร ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า แหฟ้าของเจ้าถูกพวกข้าตัดขาดหมดแล้ว “
เปมิกา ชักดาบปราบลิขิตฟ้า ออกมาอย่างช้า ๆ พลังเข่นฆ่าที่ออกจากดาบรุนแรงจนเหล่าอสูรหลายตนยังต้องหวั่นเกรง
“ ส่วนตาข่ายดิน อีกเดี๋ยวก็จะถูกเผาจนไม่เหลือซาก “
พูดจบ อสูรสาว เริ่มบุกเข้าหา พลาสูร ในทันที ฝ่าย อนันตวาโย มยุราเทวี อัคคีนาคา นันทาเทพธิดา พยัคฆ์วารี ต่างแยกกันเป็นสองกลุ่ม เข้าเล่นงานเหล่าทหารอสูร และนายกองอสูรของ พลาสูร เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเหล่าอสูรเข้าไปทำร้าย เปมิกา ในขณะต่อสู้กับ พลาสูร ได้
“ นังหนู บังอาจมากเกินไปแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้รับรู้ ความร้ายกาจของข้าเสียบ้าง “
พลาสูร พุ่งตัวเข้าจู่โจม เปมิกา เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างงัดวิชาของตนเอง ออกมาใช้ พลาสูร ใช้กรงเล็บของตนบุกสกัดทางดาบของ เปมิกา ฝ่าย เปมิกา เร่งกระบวนดาบให้เร็วขึ้น ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นมากเท่าไร กระบวนดาบก็ทั้งรุนแรงและดุดันตามไปด้วย
“ ยัยเด็กบ้า นี้ฝีมือไม่เลว ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด “
“ กรงเล็บของมันร้ายกาจมาก ทั้งแกร่งและก็คมกริบอีกด้วย “
ต่างฝ่ายต่างคิด ต่างหาวิธีจับจ้องเล่นงานอีกฝ่ายอยู่ ถึงนาที นี้ พลาสูร ส่งสัญญาณ ให้ กองกำลังเหล่าอสูร ที่ซ่อนตัวอยู่ โผล่ออกมา แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของกองกำลังอสูรให้ได้เห็น
“ อะไรกัน ทำไม กองทหารข้าถึงไม่ปรากฏล่ะ ? พวกมันหายหัวไปไหนกันหมด หรือว่า . “
เปมิกา เห็นท่าทางของ พลาสูร ยิ้มอย่างเยาะเย้ย พลางพูดให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ ข้าบอกเจ้าแล้ว แหฟ้าของเจ้าถูกพวกข้าตัดขาดจนหมดแล้ว อีกเดี๋ยวตะข่ายดินอย่างเจ้าก็จะไม่เหลือแม้แต่ซาก “
พลาสูร ทั้งโกรธทั้งแค้นแน่นจุกอก ระบายความโกรธออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ นังเด็กบ้า ตายซะ “
พลาสูร เร่งพลังกรงเล็บของตนขึ้นอย่างเร็วและแรง กรงเล็บ เปล่งอานุภาพอย่างเต็มที่ จน เปมิกา ต้องหลบถอย พระเวทย์ที่ พลาสูร ฝึกก็คือ กรงเล็บอสูร ฝึกสำเร็จแล้วจะมีอานุภาพร้ายแรง ใช้แทนอาวุธได้ พลังของ กรงเล็บอสูร เน้นหนักทางดูดโลหิต และสลายวิญญาณของคู่ต่อสู้ หากโดนกรงเล็บเข้าไปคนที่โดนจะเจ็บปวดทรมานจนตาย และวิญญาณก็จะแตกสลายตามไปด้วย  กรงเล็บอสูร นั้น มีด้วยกัน ๕ ขั้นคือ
ขั้นที่ ๑ กรงเล็บสลายร่าง            พลังสลายร่างศัตรู
ขั้นที่ ๒ กรงเล็บสลายวิญญาณ        พลังสลายวิญญาณศัตรู
ขั้นที่ ๓ กรงเล็บดูดโลหิต            พลังดูดโลหิตศัตรูจนหมดตัว
ขั้นที่ ๔ กรงเล็บดูดวิญญาณ        ดูดวิญญาณศัตรูมาเสริมสร้างพลังให้กับตน
ขั้นที่ ๕ กรงเล็บชีวิตแลกชีวิต        ใช้ชีวิตของตนเองเข้าแลกกับศัตรูทำลายล้างทุกสิ่ง
ฝ่าย เปมิกา เจอกรงเล็บอสูร บุกเข้าหาตัวได้แต่ปัดป้อง สถานการณ์ตกเป็นรอง พลาสูร ส่วน พลาสูร เห็นอีกฝ่ายตอบโต้ไม่ได้ยิ่งได้ใจ เพิ่มความเร็วของกรงเล็บมากขึ้น หมายจะจบชีวิตอสูรสาวในทันที
“ ความโอหังของเจ้าหายไหนหมดนังหนู ? ข้าจะให้เจ้าทรมานจนตายภายใต้กรงเล็บของข้า “
พลาสูร เปล่งพลังออกจากกรงเล็บของตน พลังจาก กรงเล็บอสูร เหมือนรุมล้อมไม่ให้ เปมิกา หลุดรอดออกไปไหนได้
“ พระเวทย์กรงเล็บอสูรขั้นที่ ๔ กรงเล็บดูดวิญญาณ “
พลังจากกรงเล็บกางตะครุบ เปมิกา เหมือนไม่ให้ตัวนางหนีหายจากไปไหนได้ เปมิกา สู้สุดชีวิต ตวัดดาบปราบลิขิตฟ้า เหมือนเป็นโล่ ปกป้องชีวิตไว้ได้ แต่ท่าทางดูเหมือนจะต้านไว้ได้ไม่นาน ร่างกายทั้งเจ็ดปวดและอ่อนแรง ส่วนวิญญาณในร่างคล้ายจะถูกดูดออกไป
“ ฝันไปเถอะ “
ฉับพลันร่างของ เปมิกา เปล่งแสงออกมา รวมเป็นหนึ่งเดียวกับ ดาบปราบลิขิตฟ้า สลายพลังกรงเล็บอสูร ของ พลาสูร จนหมดสิ้น พร้อมกันนั้น ร่างของ เปมิกา ก็เปลี่ยนไปด้วย
“ นี้มันวิชาบ้าอะไรกัน ? “
พลาสูร ตกใจเมื่อเห็นร่างของ เปมิกา เปลี่ยนเป็น สีทอง ไปทั้งตัว อสูรสาวแผ่พุ่งพลังออกมากดดัน พลาสูร อย่างแรง เปมิกา นั้นเป็นลูกศิษย์ของ อารยะดาบส ๑ ใน ๕ เบญจมหาโยคี วิชาที่นางได้รับการถ่ายทอดจาก อารยะดาบส ก็คือ พระเวทย์อวตาล ๕ ธาตุ สามารถเปลี่ยนร่างได้ ๕ ร่าง คือ
ร่างที่ ๑ ร่างเทวะปฐพี
ร่างที่ ๒ ร่างเทวะวารี
ร่างที่ ๓ ร่างเทวะวายุ
ร่างที่ ๔ ร่างเทวะอัคคี
ร่างที่ ๕ ร่างทองเทวะ
เมื่อเปลี่ยนร่างแล้วสามารถใช้คุณสมบัติของธาตุนั้น ๆ ตามร่างที่เปลี่ยนไป นอกจากนั้น อารยะดาบส ยังสอนให้ เปมิกา ใช้ดาบปราบลิขิตฟ้า ประสานกับพระเวทย์ อวตาล ๕ ธาตุ ด้วย ดาบปราบลิขิตฟ้า จึงมีสีเปลี่ยนไปตามร่างของ เปมิกา ที่เปลี่ยนร่างเป็นธาตุต่าง ๆ ตามนั้น
“ ที่นี้ถึงทีข้าบ้างล่ะ “
เปมิกา พุ่งตัวเข้าหา พลาสูร ปรากฎแสงสีทองเรืองรองรอบตัว พลาสูร ก็พุ่งตัวเข้าหา เปมิกา เช่นกันใช้ กรงเล็บอสูร หมายจิกเข้าเนื้อของ เปมิกา อสูรสาวฟาดฟันดาบปราบลิขิตฟ้า อย่างเร็วประกายของดาบปราบลิขิตฟ้าเป็นสีทองสุกสว่าง สกัดกรงเล็บของ พลาสูร ไว้ พลางรุกฟาดฟัน พลาสูร ไปในตัว
“ เคร้งๆๆ “
พลังสะท้อนจาก ดาบปราบลิขิตฟ้า และ กรงเล็บอสูร ที่เกิดจากการปะทะกันอย่างรุนแรง ทำให้บริเวณรอบข้างได้รับผลกระทบ ป้อมค่ายโครงกระดูกบางส่วนพังทลายลง พลังบางส่วนที่เกิดจากการกระทบกันกระเด็นถูกเหล่าทหารอสูรของ พลาสูร ทำให้เหล่าทหารอสูรล้มตายลงไม่น้อย
“ อ๊าก ๆๆๆ “
พลาสูร เอียวตัวหลบ คมดาบที่พุ่งเข้า ในจังหวะเดียวกันก็สบโอกาสใช้กรงเล็บจิกเข้าไปที่แขนข้างหนึ่งของ เปมิกา อย่างแรง หมายจะสลายร่างของ เปมิกา ให้สิ้น
“ พระเวทย์กรงเล็บอสูร ขั้นที่ ๑ กรงเล็บสลายร่าง “
พลังจากกรงเล็บ พยายามสลาย ร่างทองเทวะ ของ เปมิกา อยู่ หากแต่ไม่เป็นผล
“ บ้าจริง “
พลาสูร คำรามออกมาด้วยความโกรธ พลังจากกรงเล็บอสูรเหมือนไม่สามารถทำอะไร เปมิกา ได้ ฝ่าย เปมิกา ได้โอกาส ตวัดดาบปราบลิขิตฟ้าที่อยู่ในมือ ฟันใส่ พลาสูร อย่างแรง  พลาสูร หลบได้อย่างเฉียดฉิวแต่ที่ใบหน้า กลับได้รับไปหนึ่งแผล
“ ปัดโธ่ !!! “
เลือดอาบใบหน้า พลาสูร โกรธขึ้นเป็นทวีคูณ บุกเข้าหา เปมิกา อีกหมายฆ่านางให้ได้ พลาสูร ง้างสองมือตะปบเข้าหากันอย่างเร็ว กรงเล็บอสูร เหมือนขยายใหญ่ขึ้นจับกุมตัวนางเอาไว้ ตัวของ เปมิกา ในขณะนี้ตกอยู่ในอุ้งมือของ พลาสูร
“ พระเวทย์กรงเล็บอสูร ขั้นที่ ๒ กรงเล็บสลายวิญญาณ “
พลาสูร ตั้งใจทำให้วิญญาณของ เปมิกา แตกสลายจนหมดสิ้น พลังของ กรงเล็บอสูร เริ่มแผ่พลัง สลายวิญญาณของอสูรสาว ฝ่าย เปมิกา เห็นท่าไม่ดี หมุนดาบปราบลิขิตฟ้า เหมือนกงจักร พยายามทะลวงตัวออกมา พร้อมกับเปลี่ยนร่างเป็นอีกร่างหนึ่ง
“ พระเวทย์อวตาล ๕ ธาตุ ร่างที่ ๓ ร่างเทวะวายุ “
ร่างของ เปมิกา เหมือนสายลม หลุดพ้นออกจากการกังขังของ กรงเล็บอสูร ร่างของนางเปลี่ยนเป็นสีเขียวทั่วทั้งร่าง พร้อมกันนั้นร่างของนางก็หมุนตัวเหมือนพายุ ตรงเข้าหา พลาสูร ดาบปราบลิขิตฟ้าเปล่งแสงสีเขียวสะท้อนไปทั่ว ร่างของนางเหมือนพายุดาบที่บ้าคลั่ง คล้ายจะหั่น พลาสูร ให้ขาดเป็นชิ้น ๆ ฝ่าย พลาสูร ทั้งโกรธและกลัว สะบัดกงเล็บทั้งสองอย่างเร็วและแรงเหมือนมีกรงเล็บนับร้อย ปะทะ กับพายุดาบที่บุกเข้ามา เสียงกระทบของ ดาบปราบลิขิตฟ้า และ กรงเล็บอสูร ดังสนั่นต่อเนื่องไม่ขาดสาย ผลกระทบของพลังที่เกิดขึ้นรุนแรงก็เมื่อครู่นี้เสียอีก ป้อมค่ายโครงกระดูกพังทลายลงมากขึ้นกว่าเดิม
“ เคร้ง ๆๆๆๆๆๆๆ “
“ ยังต้านได้อีกเหรอ ? เจ้าอสูรชั่วนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ “
เปมิกา คิดพลางหาวิธีบุกเข้าเล่นงาน พลาสูร อยู่ ขณะนั้น ตรัยสูร ที่เพิ่งกลับเข้ามายังในค่ายโครงกระดูก เห็นฉากการต่อสู้ระหว่าง เปมิกา และ พลาสูร อยู่ จึงคิดเข้าไปช่วย
“ ดวงใจมาร เอาจริงแล้วหรือนี้ แต่ยังไงข้าก็ต้องรีบเข้าไปช่วยนางก่อน “
ตรัยสูร พุ่งตัวพร้อม คันธนูสวรรค์ เรียกลูกธนูออกมา พาดไว้กับคันธนู พร้อมน้าวสายธนูอย่างแรง ตะโกนบอก เปมิกา ให้ถอยออกมา
“ ดวงใจมาร ถอยออกมา “
เปมิกา ได้ยินเสียงของ ตรัยสูร หลบตัวออกมาจากการต่อสู้ ขณะเดียวกัน ตรัยสูร ก็ปล่อยลูกธนูออกมา ลูกธนูพุ่งตรงดิ่งมายัง พลาสูร ฝ่ายอสูรหน้าบาก หลบไม่ทัน ฝืนใจใช้ กรงเล็บอสูรเข้าต้าน
“ ตูมมมมมมม “
ผลการปะทะระหว่าง ลูกธนู และ กรงเล็บอสูร เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ร่างของ พลาสูร ปลิวกระเด็นถอยไปอย่างแรง ได้รับบาดแผลทั่วตัว ค่ายโครงกระดูกพังไปลงไปเป็นแถบ ๆ พลาสูร พยายามลุกขึ้นจากกองเศษซากไม้และอิฐที่แตกหักแต่ก็ทรุดตัวลงอยู่กับที่กระอักเลือดออกมา
“ อ๊อคคคค “
พลาสูร เห็นว่าพวกตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สถานการณ์เริ่มย่ำแย่ เหล่าทหารอสูรและนายกองอสูรที่มีอยู่ถูกเหล่าเทพฆ่าตายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งโกรธทั้งแค้น เริ่มคิดสู้ตายขึ้นมา
“ อย่างมากข้าจะลากพวกเจ้าไปนรกกับข้าด้วย “
พลาสูร เร่งพลังถึงขีดสุดร่างทั้งร่างเปล่งรังสีเข่นฆ่าอย่างรุนแรง กรงเล็บอสูร เปล่งแสงสีแดงจ้าดังโลหิต เขากะคิดแลกชีวิตกับทุกคน
“ พวกเจ้าไปนรกพร้อมกับข้าเถอะ “
พลาสูร พุ่งตัวสุดแรง ปรากฏร่างอสูรมหึมา ขึ้นมา กรงเล็บอสูร ทั้งสองแผ่พลังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนหมายฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าไม่ว่าเป็นพวกเดียวกันหรือศัตรู พลาสูร ใช้พลังพระเวทย์ของตนอย่างสุดความสามารถ
“ พระเวทย์กรงเล็บอสูรขั้นที่ ๕ กรงเล็บชีวิตแลกชีวิต “
พลาสูร ทุ่มสุดตัวพร้อมใช้ชีวิตของตนแลกกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจว่าพวกตนเองจะเป็นอย่างไร เหล่าอสูรหลายตนถูกพลังของ พลาสูร จนร่างกายสลายทรมานจนตาย แม้วิญญาณก็ไม่เหลือ ฝ่ายเหล่าเทพทั้ง ๗ ต่างหลบถอยเป็นพัลวัน ไม่ให้ตนเองถูกพลังกรงเล็บอสูรที่พุ่งเข้ามา ส่วน เปมิกา เห็นการกระทำของ พลาสูร แล้วไม่มีเวลาคิดมาก รวมจิตระลึกถึงคุณอาจารย์ ตั้งสามาธิ ผนึกพลังพระเวทย์ของตน รีบท่องมนต์ออกมาในทันที
“ โอม พี รี ยุ คี ทา เจ มัน อา ตา รี เทพเทวะประสิทธิ์ “
ร่างของ เปมิกา เปลี่ยนเป็นธาตุต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ประสานพลังพระเวทย์อย่างแน่วแน่ ดาบปราบลิขิตฟ้าเปล่งแสงสว่างจ้า แสบตา เปมิกา รีบยกดาบปราบลิขิตฟ้า ขึ้นมาพร้อมพุ่งตัวฟาดฟันดาบสุดแรง
“ เจ้าอสูรชั่ว จงหายไปซะ “
พลังที่ออกจากดาบปราบลิขิต พลังอำนาจทำลายสุดรุนแรง พลังสะเทือนไปจนถึงสวรรค์ พลังจากดาบปราบลิขิตฟ้ากลบพลังจากกรงเล็บอสูรจนหมดสิ้น ร่างอสูรใหญ่หายไปในพริบตา พลาสูร ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดและโหยหวน
“ อ๊ากกกกกก “
หลังสิ้นแสงจากพลังของดาบปราบลิขิตฟ้า ร่างของ พลาสูร หายไป เหล่าอสูรที่เหลืออยู่ต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกจากค่ายโครงกระดูก มีจำนวนไม่น้อยถูกพวก เปมิกา ฆ่าตาย บางกลุ่มหนีรอดออกมาได้แต่ก็ถูก น้ำทิพย์ที่สาม ฆ่าตายจนหมดสิ้น ค่ายโครงกระดูกทั้งค่ายถูกเหล่าเทพทั้ง ๘ ทำลายล้างในคืนเดียว แต่
“ พลาสูร มันยังไม่ตาย “
เปมิกา เอ่ยขึ้นมาอย่างสุดแสนเสียดาย เมื่อไม่เห็นซากศพของ พลาสูร
“ ไม่เป็นไรหรอก ดวงใจมาร ถึงครั้งนี้มันรอดไปได้แต่ครั้งหน้ามันไม่โชคดีอย่างนี้แน่ “
อนันตวาโย บอกต่อ เปมิกา
“ มันไม่ตายนะดีแล้ว ไม่งั้นสิ่งที่ข้าทำไว้มันจะสูญเปล่าเสียหมด “
ตรัยสูร พูดออกมาอย่างพอใจที่ พลาสูร ยังไม่ตาย ประกายตาแฝงความยินดี
“ เจ้าหมายความอย่างไร ? ตรัยสูร บอกข้ามาสิ “
อสูรสาว จ้องมองหน้า ตรัยสูร คล้ายกำลังค้นหาสิ่งที่ ตรัยสูร พูด หากแต่ ตรัยสูร ยังไม่ตอบให้นางได้รู้
“ รอให้พวกเรามาพร้อมหน้ากันเสียก่อนเถอะแล้วข้าถึงจะบอกพวกเจ้า “
“ ถ้างั้นเรารีบกลับไปหา น้ำทิพย์ที่สาม กันเถอะ ป่านนี้เขาคงจัดการพวกอสูรที่หลุดรอดออกมาจนหมดแล้ว  “
มยุราเทวี บอกเหล่าเพื่อน ๆ ของตน ทางฝ่ายเพื่อนที่เหลือ ต่างพยักหน้ารับเดินออกจากค่ายโครงกระดูก ซึ่งบัดนี้เหลือแต่ซากศพอสูร และป้อมค่ายที่พังเสียหาย ค่ายโครงกระดูกของทัพประตูมนุษย์ในเวลานี้เหลือเพียงแต่ชื่อเท่านั้น
..ที่กลางป่าลึก มีร่าง ร่างหนึ่ง นอนอาบไปด้วยเลือด มีบาดแผลอยู่ทั่วตัว แต่แผลที่เห็นชัดที่สุดก็คือแผลที่หน้าอก บาดแผลที่เกิดจากคมดาบลึกเป็นทางยาว ส่วนที่ใบหน้าก็มีบาดแผลอีกหนึ่งแผล เพิ่มขึ้นจากแผลเก่าที่มีอยู่ ร่างนั้นยังไม่สิ้นลมหายใจ นอนหายใจรวยละริน อย่างอ่อนแรงแต่แววตาแฝงประกายความโกรธแค้น ขบเขี้ยวฟันพูดอย่างตะกุกตะกัก
“ ข้าขอสาบาน .. ข้าจะตามฆ่าล้างพวกมัน ข้าจะสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ เอาเลือดพวกมันมาล้างความอัปยศครั้งนี้ให้ได้ “
พูดได้แค่นั้น เจ้าของเสียงก็นอนสลบไป ท่ามกลางความมืดของป่าลึก
จบตอนที่ ๗ ครับ ตอนต่อไปต้องแยกทางจากกันแล้ว T_T
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น