ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ลำดับตอนที่ #7 : ดาบปราบลิขิตฟ้า สู้ กรงเล็บอสูร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 391
      2
      19 เม.ย. 47

    ศึกเทพอสูรมหาสงคราม

    ตอนที่ ๗ ดาบปราบลิขิตฟ้า สู้ กรงเล็บอสูร



        ที่น้ำตกมีชาย ๔ หญิง ๔ กำลังนั่งเล่นน้ำกันอยู่ พวกเขาก็คือ เหล่าเทพทั้ง ๘ นั้นเอง  อัคคีนาคา มยุราเทวี นันทาเทพธิดา เปมิกา ต่างกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน หลังเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางเข้าสู่ป่าโครงกระดูกตั้งแต่เมื่อ ๒ วันก่อน ฝ่าย อนันตวาโย พยัคฆ์วารี ตรัยสูร และ น้ำทิพย์ที่สาม ก็นั่งอาบน้ำอยู่ใกล้ ๆ กัน  ๔ สาวงามที่กำลังนั่งเล่นน้ำกันอยู่อย่างสนุกสนานนั้น คนที่รู้สึกชอบมากที่สุดคงจะเป็น อัคคีนาคา ตามวิสัยของเผ่าพันธุ์นาคาที่มักคุ้นเคยอยู่กับน้ำมากกว่าใครอื่น ละอองน้ำที่กระทบกับตัวของพวกนางส่งให้พวกนางทั้ง ๔ ยิ่งดูยิ่งงดงาม หาก คนธรรพ์ หรือ วิทยาธร ตนใดมาเห็นเข้าในเวลานี้คงจะหยุดมองชื่นชมความงามของพวกนางจนกระทั่งลืมแม้เวลาและนาที ที่มีอยู่ แม้แต่ อนันตวาโย เองก็ยังอดมองพวกนางทั้ง ๔ ไม่ได้ หากเขาไม่ใช่เพื่อนของพวกนางแล้วไซร้ คงจะอดใจไม่ไหว เผลอตัวเข้าเกี้ยวพวกนางทั้ง ๔ อย่างแน่นอน  ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ที่กำลังอาบน้ำอยู่เงียบ ๆ นั้น กำลังสะบัดมือขึ้นลงอย่างช้า ๆ น้ำที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ตัว เริ่มก่อตัวเป็น สิงห์น้ำ ขึ้นมา



    “ น้ำทิพย์ที่สาม เจ้ากำลังทำอะไรอยู่นะ ? “



    ชายหนุ่มหันมามอง หน้าสาวงามเจ้าของเสียง และเอ่ยตอบคำถามอย่างช้า ๆ



    “ ไม่มีอะไรหรอก นกยูง ข้าแค่ทบทวนพระเวทย์ของข้าอยู่เท่านั้นเอง “



    มยุราเทวี ขมวดคิ้วใช้ความคิด วิชาบังคับน้ำของ น้ำทิพย์ที่สาม จัดว่าไม่ธรรมดา ในบรรดาพวกเขาทั้งหมด คนที่เก่งกาจทางด้านนี้ที่สุดคงจะเป็น พยัคฆ์วารี ทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่า น้ำทิพย์ที่สาม ถนัดวิชาอะไรกันแน่ ?



    “ น้ำทิพย์ที่สาม เจ้าถนัดวิชาอะไรมากที่สุด ? “



    น้ำทิพย์ที่สาม ยังควบคุมน้ำต่อไปเรื่อย ๆ ไม่หยุด พลางเฉลยคำตอบให้แก่ผู้อยากรู้



    “ ข้าไม่มีวิชาที่ข้าถนัดเฉพาะด้านหรอก มีแต่พระเวทย์ที่เข้าถึงสำนึกแห่งธรรมชาติเท่านั้น “



    เปมิกา ได้ยินคำตอบของ น้ำทิพย์ที่สาม สีหน้าของนางเหมือนไม่ค่อยเชื่อเท่าไร



    “ พระเวทย์อะไรของเจ้ากัน สำนึกแห่งธรรมชาติ มีในโลกนี้ด้วยเหรอ ? “



    เจ้าของวิชา ยิ้มน้อย ๆ กับคำถามนี้ บางสิ่งบางอย่างก็อาจอธิบายได้ยากเกินไปหากไม่ได้เจอกับตาของตนเอง



    “ จะมีหรือเปล่านั้นข้าไม่รู้ ? แต่พระเวทย์ของข้าสามารถเข้าถึงสำนึกแห่งธรรมชาติได้ “



    เจ้าของมือทั้งสองที่ยังหมุนวนบังคับน้ำอยู่นั้น พลันถอนมือออกมาข้างหนึ่ง บังคับพลังอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นพลังแห่งไฟ ก่อรูปเป็น สิงห์ไฟ ขึ้น ดูแล้วเหลือเชื่อแต่เป็นได้ ในตอนนี้ มี สิงห์ไฟ และ สิงห์น้ำ กำลังคลอเคลียหมุนตัวไปมาอยู่ด้วยกัน เหล่าเพื่อน ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ จ้องมองดูสิ่งที่ น้ำทิพย์ที่สาม ทำด้วยดวงตาที่ฉงนสนเท่ห์



    “ อะไรกันนี้ ข้าตาฝาดไปหรือเปล่า ? “



    ตรัยสูร ครางออกมาอย่างไม่ตั้งใจ วิชาของ น้ำทิพย์ที่สาม ยิ่งดูยิ่งพิสดาร ถึงจะให้เขาเดาว่าเป็นวิชาแขนงไหน  คาดว่าต่อให้เดาจนตายก็คงดูไม่ออกว่าเป็นวิชาของเทพสายไหนกันแน่



    “ เจ้าไม่ได้ตาฝาดหรอก ตรัยสูร พระเวทย์ที่ข้าใช้ คือ พระเวทย์จักรวาลผันแปรสิ่งอื่นใดล้วนเกี่ยวเนื่อง หลักสำคัญของ พระเวทย์นี้อยู่ที่ สำนึกแห่งธรรมชาติ “



    อัคคีนาคา จ้องมองอย่างสนใจ เอ่ยถามด้วยความอยากรู้



    “ สำนึกแห่งธรรมชาติคืออะไร ? “



    น้ำทิพย์ที่สาม คิดทบทวนพระเวทย์ของตนหน่อยหนึ่ง ก่อนจะบอกเคล็ดลับของตนให้บรรดาเหล่าเพื่อนฟัง



    “ เมื่อพูดถึงสำนึกแห่งธรรมชาติ จะต้องพูดถึง สำนึกแห่งตัวตนเสียก่อน ในบรรดาสรรพวิชาต่าง ๆ ในโลกนี้มักจะมีลักษณะ เฉพาะ สำหรับตัวผู้ฝึกวิชานั้น อย่างเช่น ผู้ที่ถนัดที่ใช้วิชาแห่งลม ย่อมจะไม่สามารถบังคับพลังรูปแบบอื่นใดได้ดีกว่า พลังแห่งลม ถ้าเปลี่ยนให้เขา บังคับพลังแห่ง น้ำ ไฟ หรือ ดิน ย่อมต้องจะอ่อนด้อยกว่า วิชาหลักของตนอย่างแน่นอน “



    ทั้ง ๗ ฟัง น้ำทิพย์ที่สาม เล่าถึงเคล็ดลับอย่างตั้งใจ ขณะที่เจ้าของวิชายังพูดต่อไป



    “ ส่วนสำนึกแห่งธรรมชาติ นั้น ไม่อิงอยู่กับกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น หลักสำคัญก็คือ กลมกลืนไปกับพลัง ไม่ออกนอกกระแสจากสำนึกที่มีอยู่และสำนึกที่ต้องการใช้ “



    ดวงตาของ พยัคฆ์วารี เปล่งประกาย เหมือนเขาเข้าใจอะไรในคำพูดของ น้ำทิพย์ที่สาม



    “ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็หมายความว่า คนทั่วไปมักเข้าใจผิดคิดว่า ตนถนัดวิชาใดแล้ว ย่อมจะใช้วิชาอื่นได้ไม่ดีกว่าวิชาที่ตนถนัดใช่ไหม ? “



    น้ำทิพย์ที่สาม พยักหน้ายอมรับ และพูดต่อว่า



    “ ถูกต้องแล้ว พยัคฆ์วารี อย่างเจ้าถึงจะถนัดวิชาบังคับน้ำ มากกว่าวิชาอื่น แต่เจ้าก็สามารถบังคับพลังรูปแบบอื่นให้เทียบเท่าหรือดีกว่าวิชาที่เจ้าถนัดได้ อย่างเช่น ถ้าเจ้าอยากบังคับพลังแห่งลม เจ้าก็สามารถบังคับพลังแห่งลมได้ ไม่ด้อยกว่าวิชาหลักของเจ้าเลย “



    ยิ่งฟังยิ่งสนุก อัคคีนาคา ถามต่ออย่างใคร่รู้ในสิ่งที่พบเจอ



    “ แล้วต้องทำอย่างไร ? ถึงจะทำอย่างที่เจ้าว่าได้ล่ะ น้ำทิพย์ที่สาม “



    น้ำทิพย์ที่สาม มองหน้าสาวงาม พลางเอ่ยตอบอย่างช้า ๆ



    “ รวมจิตตั้งมั่นเป็นใจ ใจคือสำนึก สำนึกคือความต้องการ ความต้องการคือความคิด อยากใช้สิ่งไหนต้องเป็นสิ่งนั้นไม่ว่าจะเป็นมากกว่า ๑ หรือมากกว่า ๒ หรือมากกว่า ๓ “



    คำตอบคล้ายทำให้งวยงงสงสัย มีอยู่ ๖ คนทำสีหน้าครุ่นคิด กลับกันกับ อัคคีนาคา เหมือนเข้าใจในสิ่งที่พูด กวาดวาดมืออย่างช้า ๆ น้ำที่อยู่ตรงหน้าเริ่มก่อรูปเป็นนาคน้ำตัวน้อย ๆ เลื้อยตัวไปมาอยู่รอบ ๆ ตัวของนาง



    “ อย่างนี้นี้เอง ความคิดบังคับพลังต้องต่อเนื่อง ถ้าอยากใช้สิ่งไหนย่อมต้องใช้สิ่งนั้นได้  “



    มยุราเทวี เอ่ยขึ้นอย่างเข้าใจเมื่อเห็นสิ่งที่ อัคคีนาคา กระทำอยู่



    “ จักรวาลย่อมผันแปร และ เกี่ยวเนื่อง ต่อกัน สมแล้วที่ว่า สำนึกแห่งธรรมชาติ “



    นันทาเทพธิดา พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี เมื่อเข้าใจหลักวิชาของ น้ำทิพย์ที่สาม



    “ ตั้งแต่ข้าโตมา เสด็จพ่อมักต่อว่าข้าเสมอว่า ข้ามีแต่วิชาที่บังคับไฟ ที่โดดเด่นกว่านาคตนอื่น ๆ แต่วิชาบังคับน้ำของข้ากลับไม่สามารถควบคุมได้ดังใจ ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่าเวลาข้าใช้พลังมักทำตัวให้เป็นสำนึกแห่งไฟอยู่เสมอ ข้าถึงควบคุมพลังแห่งน้ำ ไม่ได้เหมือนกับคนอื่น ๆ ความจริงถ้าข้าอยากจะบังคับน้ำย่อมทำได้ เพียงแต่สำนึกของข้าต้องเป็นน้ำเสียก่อน “



    อัคคีนาคา พูดอย่างดีใจ นี้เป็นครั้งแรกที่นางบังคับน้ำได้ตามใจต้องการ ตลอดเวลาที่ผ่านมาวิชาบังคับน้ำของนางไม่เคยได้ถึง ๒ ใน ๑๐ ของผู้เป็นพ่อด้วยซ้ำ



    “ แต่ที่ยากที่สุดของพระเวทย์นี้ ก็คือ จะทำอย่างไร ? ในขณะเดียวกันให้มีสำนึกหลาย ๆ สำนึกรวมอยู่ด้วยกันและไม่ขัดแย้งกันเองต่างหาก “



    น้ำทิพย์ที่สาม บอกสิ่งที่สำคัญยิ่งในหลักพระเวทย์นี้ให้ทุกคนฟัง



    “ อย่างที่เจ้าทำเมื่อครู่นี้ใช่ไหม ? ที่มี สิงห์ไฟ และ สิงห์น้ำ อยู่ด้วยกันได้โดยพลังทั้งสองไม่กระทบกระแทกกันเอง “



    อนันตวาโย เอ่ยถามในสิ่งที่เขาคิดอยู่



    “ ถูกแล้ว นั้นแหละคือสิ่งที่ยากที่สุด “



    “ แล้ว จะต้องทำอย่างไรถึงจะทำแบบที่เจ้าทำได้ล่ะ ? “



    เปมิกา ถาม น้ำทิพย์ที่สาม ขึ้น ในความคิดของนาง พระเวทย์นี้ มีประโยชน์ต่อนางไม่น้อยทีเดียว



    “ เรื่องนั้นข้าตอบไม่ได้ พวกเจ้าต้องลองหัดและฝึกใช้ดูเอง ถึงจะเข้าสู่เคล็ดลับนั้นได้ ผู้ไม่ปฏิบัติย่อมไม่พบหนทางที่จะเข้าถึง ต่อให้พวกเจ้าฟังข้าพูดจนผันแปรสำนึกแห่งธรรมชาติได้ แต่พวกเจ้าก็ไม่อาจเกี่ยวเนื่องพลังที่รวมเป็นหนึ่งแต่แยกนำออกมาใช้ได้อยู่ดี “



    เหล่าบรรดาเทพผู้ปราบ กัลย์ปาอสูร ฟังคำตอบจากเจ้าของวิชาแล้ว ต่างคนก็ต่างมีความคิดไปต่าง ๆ นา ๆ ถึงวิธีการใช้พระเวทย์ที่ได้ฟัง ฝ่ายคนที่มีความนับถือ น้ำทิพย์ที่สาม มากที่สุด คงจะเป็น ตรัยสูร ยิ่งฟังคำอธิบาย ยิ่งมีความชื่นชมในตัวของ น้ำทิพย์ที่สาม มากขึ้น



    “ ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่า น้ำทิพย์ที่สาม เป็นใครกันแน่ ? วิชาก็พิสดารสุดแสนล้ำลึก โชคดีที่ว่าข้ากับเขาไม่ได้เป็นศัตรูกัน ถ้าเกิดข้ากับเขาเป็นศัตรูกันขึ้นมา ข้าคงจะกลั้นใจตายวันละหลายร้อยหนเห็นจะได้ “



    หลังจากทั้ง ๘ ขึ้นมาจากน้ำตก และหาอาหารเท่าที่หาได้มากินกันแล้ว เปมิกา ก็เริ่มพูดถึงแผนการของนางที่อาจสืบหาร่องรอยของ กัลย์ปาอสูร ได้



    “ จากการตายของอสูรแดง เมื่อคืนก่อนนี้ พวกอสูรตนอื่น ๆ คงยังไม่รู้ว่า อสูรสืบข่าวของพวกมันตายไปแล้ว เป็นโอกาสดีของพวกเราที่จะบุกเข้าไปสืบข่าวจากกองกำลังของพวกมันได้ “



    มยุราเทวี เอ่ยถาม เปมิกา ขึ้นในสิ่งที่นางกำลังคิดอยู่



    “ เจ้าคงคิดให้พวกเราคนใดคนหนึ่ง ปลอมตัวเป็น อสูรแดง เข้าไปสืบข่าวจากกองกำลังของขุนมาร พลาสูร กระมัง “



    เปมิกา พยักหน้ายอมรับ พลางพูดต่อไป



    “ ใช่แล้ว นกยูง ข้าคิดว่าหน้าที่นี้คงไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับ ตรัยสูร อีกแล้ว “



    ตรัยสูรได้ยิน ทำสีหน้าเลิกลัก จ้องมองอสูรสาว ที่ทำสีหน้าเฉยชา



    “ เฮ เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวก่อนสิ ทำไมเจ้าต้องให้ข้าเข้าไปสืบหาข่าวด้วยล่ะ ดวงใจมาร เจ้ามีเหตุผลอะไร ? “



    อสูรสาว ยังไม่ทันเอ่ยตอบ เสือน้ำแข็ง ชิงตอบไปเสียเอง



    “ ก็เพราะว่า เจ้าเป็นอสูร ย่อมมีกลิ่นของพวกอสูร ติดตัวอยู่นะสิ ถ้าเจ้าปลอมตัวเข้าไปย่อมไม่มีใครสงสัย “



    ตรัยสูร อ้าปากจนเห็นเขี้ยว กำลังจะถามต่อ มีเสียง อนันตวาโย เอ่ยดักขึ้นอีกคน



    “ ถ้าจะถามว่า ถ้างั้นทำไมถึงไม่ให้ ดวงใจมาร เข้าไปสืบเอง ข้าก็จะตอบให้ เพราะว่า ดวงใจมาร เป็นผู้หญิงการปลอมตัวย่อมไม่แนบเนียน อาจถูกจับพิรุธได้ง่ายกว่า เพราะฉะนั้น เจ้านั้นแหละที่เหมาะสมจะเสียสละทำหน้าที่นี้มากที่สุด “



    อสูรหนุ่มผู้ถือธนู สุดแสนจะเซ็งกลับคำตอบที่ได้รับ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแบบขุ่น ๆ



    “ แหม ! พร้อมใจแย่งกันพูดเชียวนะ นี้แสดงว่าตกลงกันมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วใช่ไหมเนี้ยะ ? “



    ทั้ง ๗ ต่างส่ายหน้า ปฏิเสธ พร้อมกับกล่าวขึ้นพร้อมกัน



    “ เปล่าหรอก ก็แค่ใช้ความคิดดูว่า ใครควรเหมาะทำหน้าที่นี้มากที่สุดก็แค่นั้น “



    ตรัยสูร อับจนคำพูด และเห็นว่าคงจะไม่มีทางเลี่ยง เอ่ยตกลงอย่างเสียมิได้



    “ ก็ได้ ก็ได้ ข้าจะทำหน้าที่นี้เอง แล้วต่อจากนั้นล่ะ พวกเจ้าให้ข้าทำอะไรอีก ? “



    เปมิกา พูดถึงแผนการของนางต่อไป



    “ พอเจ้าเข้าไปในนั้นได้แล้ว เจ้าก็พยายามหาข่าว จากพวกเหล่าอสูร ของขุนพลมาร พลาสูร ว่า พวกมันคิดทำอะไรกันอยู่ และที่สำคัญที่สุดที่พวกเราอยากจะรู้ก็คือ ภูผาอสูร ที่ กัลย์ปาอสูร แอบซ่อนตัวนั้นมันอยู่ที่ไหน ? “



    “ เอาละ อันนั้นข้าเข้าใจแล้ว แต่ปัญหามีอยู่ว่า ถ้าข้ารู้แล้วข้าจะติดต่อกับพวกเจ้าได้ไงล่ะ ? “



    ตรัยสูร เอ่ยถาม เปมิกา ถึงวิธีการติดต่อกับพวกนาง เพราะเมื่อเขาเข้าไปได้แล้วโอกาสที่จะติดต่อกับพวกนางได้คงมีน้อย



    “ ก็ใช้แมลงสื่อสารสิ ถามได้  เจ้านี้แกล้งโง่ หรือโง่จริงกันแน่ ? “



    “ จริงสิ ข้าเองก็ลืมเสียสนิทเลย “



    ตรัยสูร เองก็เพิ่งนึกออกได้ว่า มีวิธีนี้อยู่ด้วย



    “ อะไรของเจ้านะ แมลงสื่อสาร ? “



    นันทาเทพธิดา ถามด้วยความสงสัย เพราะนางไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของ แมลงสื่อสาร เลย



    “ แมลงสื่อสาร ก็คือ แมลงที่ปลุกเสกจากพระเวทย์ มันมีลักษณะเหมือนแมลงธรรมดาทั่วไป แต่มีหน้าที่ในการส่งข่าวโดยเฉพาะ โดยจะต้องมี แมลงตัวหนึ่ง ออกไปหาข่าว และมี แมลงอีกตัวหนึ่งอยู่ที่ผู้ต้องการข่าว แมลงสื่อสาร จะส่งทั้งภาพและเสียงของข่าวสารที่ต้องการ มาให้กับผู้ที่ต้องการข่าว ได้เห็นและได้ยิน และยังสามารถส่งข่าวสารที่ต้องการกลับไปกลับมาให้แต่ละฝ่ายได้อีกด้วย “



    เปมิกา อธิบายถึงเรื่อง แมลงสื่อสาร อย่างแจ่มแจ้ง



    “ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรต้องกังวล ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาเราก็สามารถ บุกเข้าไปช่วย ตรัยสูรได้ทันเวลา “



    อัคคีนาคา พูดออกมาอย่างเห็นด้วยกับแผนการของ เปมิกา



    “ ถ้าอย่างนั้น ก็ตกลงตามนี้ ว่าแต่ว่า ขอข้าดูหน่อยว่า วิชาแปลงร่าง ของเจ้าที่ฝึกมา จะเอาไปทิ้งขวางไว้ที่ไหนหรือเก็บเข้าหีบไว้แล้วหรือเปล่า ? ลองทดลองให้พวกข้าดูหน่อยสิ ตรัยสูร “



    เปมิกา พูดรวบรัด พลางเร่งให้ ตรัยสูร แสดงฝีมือ



    “ ถือโอกาสใช้ได้ ใช้ข้าใหญ่เลยนะ ก็ได้ “



    ตรัยสูร บ่นให้ได้ยินหน่อย ๆ ก่อนลุกขึ้น เก็บอาวุธของตนเอง สำรวจพระเวทย์ ร่ายมนต์ จนร่างกาย เปลี่ยนเป็น อสูรแดง รวมไปถึง น้ำเสียงด้วย



    “ เป็นไงบ้าง ? วิชาของข้ายังอยู่กับตัวข้า ไม่ได้เอาไปทิ้งขวางหรือเก็บเข้าหีบอย่างที่เจ้าเข้าใจหรอกนะ “



    ตรัยสูร พูดประชด เปมิกา หน่อยหนึ่ง หากแต่นางไม่สนใจ พลางเดินรอบตัวของ ตรัยสูร ดูว่ามีที่ผิดพลาดต้องไหนบ้าง ?



    “ ใช้ได้ อย่างนี้ไม่มีปัญหาแน่ เอา เจ้าเอาดาบนี้ไป จะได้เริ่มงานได้เสียที “



    เปมิกา เสกแมลงสื่อสารขึ้นมา ๒ ตัว ตัวหนึ่งอยู่ที่นาง อีกตัวหนึ่ง อยู่กับ ตรัยสูร และบอกเขาว่า



    “ ป่าโครงกระดูกอยู่ห่างจากนี้ไม่เท่าไร ใช้เวลาอีกประมาณ ๑ วันก็คงถึง เจ้ากับพวกข้าจะต้องแยกกันตรงนี้ พวกข้าจะตามเจ้าไปห่าง ๆ กันใครสงสัย ระวังตัวให้ดีด้วยนะ “



    ตรัยสูร รับคำ หันหลังให้พวกเขา เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าไป เวลาผ่านไปครู่เดียว ที่เหลืออีกทั้ง ๗ คนก็เหาะตามไปห่าง ๆ ดูเหตุการณ์รอบข้าง ๆ ไปด้วย ขณะที่เหาะอยู่บนท้องฟ้า เปมิกา พูดคุยกับ น้ำทิพย์ที่สาม ขึ้น



    “ น้ำทิพย์ที่สาม ถ้าเกิดการต่อสู้กันจริง เจ้าหลบไปจัดการกับพวกอสูร ที่อาจหลบนี้ออกมาจากการต่อสู้อย่างเดียวก็พอไม่ต้องบุกเข้าไปเข้าร่วมรบกับพวกข้าด้วย “



    น้ำทิพย์ที่สาม ขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจคำพูดของ เปมิกา



    “ ทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้า อยู่แค่วงนอก อย่างนั้นล่ะ ดวงใจมาร ทำไมไม่ให้ข้าเข้าไปรวมรบกับพวกเจ้าด้วย “



    “ ก็เพราะว่า พวกอสูรคงรู้ข่าวว่ามีเหล่าเทพที่ถูกคัดเลือกออกมาให้กำจัดพวกมันอยู่นะสิ และข้าคาดว่าตามข่าวที่พวกมันรู้ มันคงรู้เพียงแค่ว่ามี ๗ คน ถ้าเจ้าไม่เปิดเผยตัวออกมา อาจจะสืบเสาะหาข่าวของพวกมันได้อีกทางหนึ่ง จะเป็นประโยชน์ต่อพวกเรามากกว่า ที่เจ้าจะออกไปเปิดเผยตัวให้พวกมันรู้ “



    เปมิกา ตอบให้ น้ำทิพย์ที่สาม ฟัง ส่วน น้ำทิพย์ที่สาม ก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจในเหตุผล



        .......... ตรัยสูร เหาะมาตามทางเกือบจะ ๑ วันเต็มแล้ว ยังไม่พบสิ่งใดผิดปกติ พลางเหลียวซ้ายแลขวา มองดูป่าที่อยู่รอบ ๆ ข้าง เริ่มเห็นโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ที่อยู่บนพื้น เรียงรายไปทั่ว ถ้ามนุษย์คนไหนเดินมาถึงป่าแห่งนี้ คงอดหวาดกลัวไม่ได้ต่อโครงกระดูกที่ได้พบเจอ



    “ เหาะมาตั้งนานแล้ว ยังไม่พบเห็นพวกอสูร สักตนเลย “



    คิดได้ไม่เท่าไร กลับพบว่ามีใคร ๒ คน เหาะมาดักหน้าขวางทางเขาอยู่



    “ อสูรแดง เจ้าหายหัวไปไหนมา ปล่อยให้พวกข้า ตามหาเสียแทบแย่ “



    ตรัยสูร ไม่มีเวลาคิดมาก ตอบกลับไปไม่ให้พวกมันสงสัย



    “ ข้าก็ออกหาข่าวอยู่นะสิ ไม่ได้เถรไถลไปไหนซักหน่อย “



    อสูรอีกตนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินเช่นนั้นอ้าปากพูดอย่างเบื่อหน่าย



    “ พวกเจ้านี้ไงนะ เจอกันทีไร ก็ทะเลาะกันทุกที อสูรแดง อสูรดำ ข้าล่ะเบื่อ “



    อสูรดำ ได้ยิน ดังนั้น ก็หันมาพูดกับอสูรอีกตนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ



    “ นี้มันวิธีการทักทายของข้าต่างหากล่ะ ยันต์อสูร เจ้าก็คิดมากไปได้ “



    พูดจบแล้ว อสูรดำ ก็หันมาพูดคุยกับ ตรัยสูร ต่อ



    “ เจ้าได้ข่าวของพวกเทพนั้นบ้างไหม ? “



    ตรัยสูร สบช่องพอดี รีบพูดตอบกลับไป



    “ ได้สิ ได้มาเยอะทีเดียว “



    ยันต์อสูร ได้ยินดังนั้น พูดออกมาอย่างดีใจ



    “ งั้นก็ดีเลย รีบกลับไปรายงานท่าน ขุนพลมาร พลาสูร ดีกว่า พวกเราจะได้รับความดีความชอบกัน ทั่วหน้า “



    พูดจบแล้ว อสูรดำ และ ยันต์อสูร ก็เหาะพา ตรัยสูร ไปยังที่ตั้งของกองกำลังขุนพลมาร พลาสูร ในป่าโครงกระดูก ทันที เหาะมาได้ซักพักหนึ่ง ตรัยสูร ก็มาถึงค่ายอสูรแห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่ในป่าโครงกระดูก อสูรดำ และ ยันต์อสูร ก็พา ตรัยสูร เดินเข้าไปใน ป้อมบัญชาการ ของค่ายอสูรโครงกระดูก เดินใกล้จะถึงประตูห้อง ห้องหนึ่งพบทหารอสูร ๒ ตน ยืนขวางทางอยู่



    “ พวกเจ้าจะไปไหนกัน ? “



    “ พวกข้าจะขอเข้าไปพบขุนพลมาร พลาสูร รายงานข่าวเกี่ยวกับเรื่องของเหล่าเทพที่พวกข้าสืบเสาะหาข่าวมาได้ “



    อสูรดำ ตอบ ทหารอสูรทั้ง ๒ ทางทหารอสูรทำท่าจะเข้าไปรายงาน อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากภายในห้อง



    “ ให้พวกมันเข้ามาได้ “



    พอสิ้นเสียง ทหารอสูรทั้ง ๒ ก็ยอมให้พวกเขาเข้าไปแต่โดยดี ตรัยสูร ตาม อสูรดำ และ ยันต์อสูร เข้าไป พบกับ อสูรหน้าบาก ที่นั่งอยู่ด้านหน้าของห้อง ถัดมาเป็นเหล่านายกองอสูรที่ยืนอยู่ทั้งสองข้าง เรียงเป็นแถวยาว ทั้งสาม เดินตรงเข้าไปและคุกเข่าต่อหน้า อสูร หน้าบากตนนั้น



    “ ข้าขอคาราวะ ท่านขุนมาร พลาสูร “



    ยันต์อสูร ที่เป็นผู้นำ เอ่ย คาราวะอย่างนอบน้อม ต่อ ขุนพลมาร พลาสูร



    “ เจ้าเองหรือ ยันต์อสูร มีข่าวอะไรจะรายงานข้าบ้าง ? “



    “ ท่านขุนพลมาร พลาสูร พวกข้าได้ออกติดตามหาข่าว ของพวกเหล่าเทพที่ถูกคัดเลือก บัดนี้พวกข้าสืบข่าวมาได้บ้างแล้ว “



    พลาสูร ยิ้มออกมาจนเขี้ยว แววตาส่อเค้ายินดีอย่างยิ่ง พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี



    “ งั้นเหรอ  แล้วเจ้า ๗ ตัวนั้น ตอนนี้มันอยู่ที่ไหน ? บอกข้ามาสิ “



    ยันต์อสูร หันหน้ามามอง ตรัยสูร พลางพยักหน้าให้เขาพูด



    “ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ตอนนี้ พวกเหล่าเทพทั้ง ๗ เดินทางใกล้เข้ามาจวนจะถึงป่าโครงกระดูกแห่งนี้แล้ว ซ้ำระหว่างทาง พวกมันได้ต่อสู้กับกองลาดตะเวนของเรา ๑๕๐ ตน ถึงแม้ว่าพวกมันจะได้ชัยแต่ก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ขอให้ท่านโปรดพิจารณาสั่งการด้วย “



    พลาสูร ได้ยิน ดังนั้น แลบลิ้นเลียริมฝีปากของตน พลางหัวเราะอย่างยินดี



    “ ฮะๆๆ ข้านึกว่า เหล่าเทพที่ถูกส่งมาจะเก่งกล้าซักแค่ไหน แค่ทหาร ๑๕๐ ตน ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ถ้ามาเจอกับทหารค่ายโครงกระดูกแห่งนี้ที่มีตั้ง ๕,๐๐๐ ตน พวกมันจะมีน้ำยาอะไร “



    ขณะที่ พลาสูร กำลังหัวเราะอย่างอารมณ์ดีนั้น มีนายกองอสูรตนที่ ๑ เอ่ยแย้งขึ้น



    “ แต่ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ตามข่าวที่ข้าได้รับจากทาง ภูผาอสูร ท่านขุนพลมาร อังกลาตู บอกมาว่า ทหาร ๑๕๐ ตนนั้น ถูกฆ่าโดยฝีมือของคนแค่คนเดียวเท่านั้นนะท่าน “



    พลาสูร หยุดหัวเราะ พลันมีสีหน้าสงสัยขึ้นมา



    “ หมายความอย่างไร เจ้าอสูรแดง เหตุใด ข่าวที่มาจากทาง ภูผาอสูร กับข่าวที่เจ้ารายงานข้ามา ทำไมถึงไม่เหมือนกัน เจ้าโกหกข้าหรือเปล่า ? “



    ตรัยสูร แกล้งทำหน้าสีหน้าตกใจ และคิดหาคำตอบในขณะเดียวกัน



    “ ข้าไม่ได้โกหกท่านเลย ท่านขุนพลมาร พลาสูร ข้าเห็นมากับตาของข้าเอง เหตุที่ข่าวไม่ตรงกันอาจเป็นเพราะอสูรสืบข่าวจาก ภูผาอสูร ไปถึงที่เกิดเหตุช้ากว่าข้า ก็เลยเข้าใจผิดคิดว่า พวกเรา ๑๕๐ ตน ถูกฆ่าโดยฝีมือคน คนเดียว “



    นายกองอสูรตนที่ ๒ ได้ยินที่ ตรัยสูร พูดขึ้น มีความเห็นคล้อยตาม



    “ อาจเป็นอย่างที่ อสูรแดง บอกก็ได้ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ข่าวสารจาก ภูผาอสูร อาจผิดพลาดได้ ทางเราอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมากกว่า ข่าวของเราย่อมจะถูกต้องมากกว่า “



    ได้ยินดังนั้นสีหน้าของ พลาสูร ที่ขุ่นมัวเมื่อกี้ก็พลันคลายลง



    “ อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่า ทางพวก ภูผาอสูร อาจจะตื่นกลัวกันเกินไปจึงหาข่าวผิด ๆ ส่งมาให้ “



    อสูรดำ ได้ที จึงพูดขึ้นบ้าง



    “ ท่านขุนมาร พลาสูร เราจะจัดการกับเทพพวกนั้นอย่างไรดี ? “



    พลาสูร ยิ้มอย่างมีเลศนัย ประกายตาแฝงความเจ้าเล่ห์



    “ ไม่ต้องกังวล อสูรดำ ข้าเตรียมของขวัญไว้ให้พวกมันมากโขทีเดียว รับรองพวกมันจะต้องพกของขวัญของข้าลงไปในนรกทุกคน “



    ขณะที่ พลาสูร ยังไม่เฉลยว่า ของขวัญ ที่ว่า หมายถึงอะไร ? นายกองอสูรตนที่ ๓ ก็เอ่ยพูดอะไรบางอย่างออกมา



    “ ท่านขุนพลมาร พลาสูร ตอนนี้เรายังขาดเสบียงอาหารอีกมาก ข้าคิดว่าเราต้องหาเสบียงอาหารเพิ่มขึ้น “



    พูดไม่ทันจบ นายกองอสูรตนที่ ๔ ก็เอ่ยพูดขึ้นแทน



    “ เป้าหมายของเราตอนนี้ต้องตระเตรียมเสบียงอาหารไว้สำหรับทำศึกให้มาก เท่าที่พวกข้ามองในโลกมนุษย์ตอนนี้ พวกข้ากำลังเล็งนครไว้ ๔ นคร เป็นที่สร้างค่ายกองกำลังของพวกเรา และยังเป็นแหล่งเสบียงอาหารชั้นดีอีกด้วย “



    พลาสูร นั่งฟังอย่างสนใจ พลางถามนายกองอสูร ถึงนคร ทั้ง ๔



    “ นครที่พวกเจ้าว่ามี นคร อะไรบ้าง ? “



    นายกองอสูรตนที่ ๔ รีบตอบเอาใจเจ้านาย



    “ ๔ นครที่ว่าก็คือ นครเตมินทร์  นครอัญจารี นครศรีบุรีรมย์ และ นครตรีสุวรรณ “



    “ ไม่เลว แค่ชื่อนครก็ไพเราะไม่เบา แต่ละนครมีความสำคัญอย่างไร ? “



    นายกองอสูรตนที่ ๔ รีบอธิบายให้ พลาสูร ฟังต่อ



    “ แต่ละนคร มีพลเมืองมากกว่า ๖,๐๐๐,๐๐๐ คน มี ๒ นครที่มีเส้นทางเชื่อมต่อทางทะเล ทำให้เราสามารถเดินทัพตีนครต่าง ๆ จากทางทะเลได้ อีก ๒ นคร มีการค้าติดต่อกับนครอื่น ๆ อีกมากมาย ทำให้เราสามารถเดินทัพบุกยึดนครเหล่านั้นโดยเส้นทางบก และเมืองขึ้นเล็ก ๆที่อยู่ตามรายทางนอกจากนั้นแล้ว ๔ นครดังกล่าวตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ดี หากเราทำการยึดนครทั้ง ๔ ได้ ก็เท่ากับประสิทธิภาพกำลังการรบของกองทัพเราจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว “



    พลาสูร ใช้มือลูบไปมาที่ใต้คางของตน



    “ ได้ทั้งเสบียงอาหาร เส้นทางการศึก และ ชัยภูมิที่เหมาะสม หึ ๆๆ เห็นทีกองทัพประตูมนุษย์คงจะได้ชัยก่อน กองทัพประตูสวรรค์ และ กองทัพประตูนรกภูมิ ซะแล้ว ฮะๆๆ “



    แต่นายกองอสูรตนที่ ๑ ยังแสดง สีหน้ากังวลถึงเรื่องเหล่าเทพที่สืบข่าวมาได้อยู่



    “ แต่ทุกอย่างอาจจะพังหมด ถ้าพวกเทพเหล่านั้นยังอยู่ ยังไงพวกเราก็จะประมาท พวกเทพเหล่านั้นไม่ได้ “



    พลาสูร  ได้ฟัง ก็แสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว พลางพูดให้เหล่าบรรดาลูกน้องฟัง



    “ นั้นของมันแน่อยู่แล้ว ข้าจะเตรียมแหฟ้าตะข่ายดิน ไว้รอพวกมัน พวกเจ้าหาทางปล่อยข่าวออกไป ให้พวกมันเขามาติดกับที่ค่ายโครงกระดูกแห่งนี้ พวกเราจะรุมสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ จนไม่เหลือแต่ซาก ฮะๆๆๆๆ “



    ทุกคนต่างหัวเราะตาม พลาสูร ไปด้วยไม่เว้นแม้กระทั่ง ตรัยสูร เพราะเขาไม่อยากมีพิรุธ ให้ใครจับสงสัยได้ ในใจคิดเคียดแค้นเหล่าอสูรกลุ่มนี้โดยเฉพาะ พลาสูร ผู้เป็นต้นคิดแผนการ



    “ อีกเดี๋ยวก็รู้ว่า ใครจะได้หัวเราะ “



    ตรัยสูร พูดออกมาอยู่ในใจ ทาง อสูรดำ คิดอะไรขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม พลาสูร ขึ้น



    “ แล้วนี้เราจะแจ้งข่าวไปยัง ภูผาอสูร หรือไม่ ? ท่านขุนมาร พลาสูร  “



    “ ไม่ต้องแจ้งข่าวไปยัง ภูผาอสูร หรอก ท่านจ้าวอสูร สั่งห้ามไม่ให้ใครติดต่อไป นอกจากทาง ภูผาอสูร จะติดต่อมาเอง  หากต้องการจะติดต่อไปยังทาง  ภูผาอสูร จริง ๆ มีเพียงขุนพลมารอย่างพวกข้าเท่านั้นที่ทำได้ ขืนข้าส่งพวกเจ้า ทะเล่อทะล่า เข้าไปพวกเจ้าก็ตายฟรีเปล่า ๆ “



    อสูรดำ ไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรอีก เพียงแต่นิ่งรอคำสั่งจาก พลาสูร เท่านั้น



    “ พวกเจ้าไปเตรียมตัวกันได้แล้ว หาทางปล่อยข่าวออกไป ล่อให้พวกมันมาติดกับ ข้าอยากจะเห็นสีหน้าที่ใกล้ตายของพวกมันเต็มที่แล้ว ฮะๆๆๆ “



    พวกเหล่าอสูรต่างแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งของ พลาสูร นายกองอสูร จำนวนหนึ่ง นำกำลังคน ๔,๐๐๐ ตน ออกจากค่ายโครงกระดูก นอกนั้นเหลือนายกองอสูรอีกจำนวนหนึ่งกับทหารอสูรเพียง ๑,๐๐๐ ตน เท่านั้นที่ยังอยู่ในค่าย ทหาร ๔,๐๐๐ ตนที่ออกมาจากค่ายต่างซุ่มอยู่ใกล้ ๆ กับค่ายรอจังหวะให้เหล่าเทพบุกเข้าไปใน ค่ายโครงกระดูก แล้วค่อยนำกำลังล้อมเข้าจัดการ หนึ่งในบรรดาอสูรที่ซุ่มอยู่ มี ตรัยสูร ร่วมอยู่ด้วย



        ......แผนการของ พลาสูร ถูกส่งมาถึงยังพวก เปมิกา ที่เฝ้าดูอยู่ด้านนอก โดยผ่านแมลงสื่อสาร ที่ติดตัว ตรัยสูร ไป สีหน้าของ เปมิกา ตอนนี้ทั้งโกรธ ทั้งแค้นไม่น้อย



    “ คิดจะรุมสับพวกเราเป็นชิ้น ๆ งั้นเหรอ ? เข้าใจคิดแผนดีนี้ “



    พยัคฆ์วารี เอง ในขณะนี้ก็มีสีหน้าที่เหี้ยมเกรี้ยม



    “ คราวนี้พวกมันเอาจริงชนิดที่ว่ากะจะไม่ให้พวกเราเหลือซากเลย “



    เหล่าเทพทั้ง ๗ ต่างขบคิดแผนการเข้าเล่นงานเหล่าอสูรอยู่



    “ หรือว่าเราจะไม่เข้าไปในค่ายโครงกระดูกนั้น “



    นันทาเทพธิดา เอ่ยถาม ความเห็นของทุกคน



    “ ไม่ ข้าว่า ทำเป็นว่าพวกเรา หลงเข้าไปติดกับแผนการของพวกมันนั้นแหละดีแล้ว “



    มยุราเทวี เอ่ยตอบ อัคคีนาคา พูดเสริม



    “ เราจะเปลี่ยนแผนของพวกมัน กลับเป็นรุมสับพวกมันแทน “



    ดวงตาของ เปมิกา เป็นประกาย กุนซืออสูรสาว เริ่มคิดแผนการได้



    “ อนันตวาโย ตอนบุกเข้าไปในค่ายโครงกระดูก พวกเจ้าแยกกันจัดการพวกทหารอสูรและนายกองอสูรก็แล้วกัน ส่วน พลาสูร ปล่อยให้ข้าจะเป็นคนจัดการเอง ส่วนเจ้า ...... น้ำทิพย์ที่สาม “



    เปมิกา หันหน้ามามอง น้ำทิพย์ที่สาม



    “ จัดการกับพวกทหารอสูรที่ซุ่มจัดการพวกเราอยู่ คงไม่หนักหนาสาหัสมากใช่ไหม ? “



    น้ำทิพย์ที่สาม ยิ้มตอบ พลังเริ่มแผ่ออกมาจนปรากฏแสงสีเขียว อยู่รอบ ๆ ตัว



    “ ง่ายกว่าให้ข้านอนหลับเสียอีก เรื่องกวาดล้างกองทัพอสูร ข้าถนัดอยู่แล้ว “



    เปมิกา เชิดหน้าขึ้น เหมือนแม่ทัพหญิง ที่กำลังสั่งการและต่อสู้อยู่ในสมรภูมิรบ



    “ แหฟ้าตะข่ายดิน อย่างงั้นเหรอ ? ข้าจะเป็นคนทำให้มันขาดเอง “



    เปมิกา ฟันออกหนึ่งฝ่ามือ ต้นไม้ใกล้เคียง หักโค่นไป ๓ – ๔ ต้น อสูรสาวมั่นใจหรือเกินว่าศึกนี้พวกนางจะเป็นฝ่ายได้ชัย



    กลางดึกของคืนนั้น ตรัยสูร ที่ปลอมตัวเป็นอสูรแดง ที่เฝ้าซุ่มดูเหตุการณ์อยู่นอกค่าย กำลังหาวิธีการกำจัดเหล่าอสูร ๔,๐๐๐ ตนที่ ได้รับคำสั่งจาก พลาสูร ให้เข้าเล่นงานพวก เปมิกา อยู่ กำลังอสูร ถูกแบ่งซุ่มล้อมเป็นวงกลม กระจายตัวกันอยู่ในมุมมืด ยากที่จะใช้สายตามองเห็นในเวลาค่ำคืนได้ พลันมีร่างของใครคนหนึ่งกำลังเคลื่อนอย่างเร็วและเงียบเข้าหาเหล่ากองทัพอสูรที่กระจายตัวกันอยู่ในมุมมืด



    “ อือ “



    ทหารอสูรตนหนึ่งถูกมือปิดปาก เจ้าของมือสะบัดข้อมือเพียงนิดเดียว ทหารอสูรตนนั้นก็จบชีวิตลง เงาร่างลึกลับเริ่มส่งกระแสจิตไปถึงใครคนหนึ่ง



    “ ตรัยสูร เจ้าอยู่แถวนี้หรือเปล่า ? “



    ตรัยสูร ได้ยินเสียง เรียกหา ก็จำได้ ส่งกระแสจิตตอบ กลับไป



    “ ข้าอยู่ นี้ เจ้ามาทำไมกัน ? น้ำทิพย์ที่สาม “



    “ ดวงใจมาร ให้ข้ามาจัดการกับทหารอสูรเหล่านี้ อีกเดี๋ยวพวกเขาจะบุกเข้าไปในค่ายโครงกระดูกแล้ว เจ้ากับข้ารีบช่วยกันจัดการเหล่าทหารอสูรพวกนี้ดีกว่า “



    ตรัยสูร รู้อย่างนั้นแล้วดีใจอย่างยิ่ง รีบตอบกลับไป



    “ ได้ งั้นเจ้ากับข้ารีบลงมือเลยก็แล้วกัน “



    “ ตกลง เริ่มพร้อมกันเลยนะ “



    น้ำทิพย์ที่สาม บอกให้ ตรัยสูร รู้ตัว ทั้งสองต่างเริ่มนับพร้อมกัน



    “ หนึ่ง .... สอง ..... สาม “



    ฉับพลัน ตรัยสูร ก็ชักดาบออกมาเข้าเข่นฆ่าเหล่าทหารอสูร ที่อยู่ใกล้ ในทันที ฝ่าย น้ำทิพย์ที่สาม อาศัย ความมืดพลางตัวเข้าเข่นฆ่าทหารอสูรและนายกองอสูรอย่างรวดเร็ว เหล่าทหารอสูรและนายกองอสูร ตั้งตัวไม่ติด ถูกฆ่าตายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนเกือบหมด เงียบเฉียบมิดชิด อย่างไม่น่าเชื่อ สุดท้ายเหลือเพียง อสูรดำ ยันต์อสูร และเหล่าทหารอสูรอีกไม่ถึง ๑๐ ตน เท่านั้น



    “ อะไรกัน อสูรแดง ทำไม เจ้าถึง ได้ทำอย่างนี้ ? “



    ตรัยสูร ไม่เอ่ยตอบคำถามของ ยันต์อสูร ค่อย ๆ กลับคืนร่างเป็น ตรัยสูร ตามเดิม ท่ามกลาง ความตกตะลึงของเหล่าอสูรที่เหลือ



    “ เจ้า.... เจ้าไม่ใช่ อสูรแดง  อ๊ากกกกก  “



    ได้เห็นโฉมศัตรูอย่างเต็มตา แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ไปบอกใครอีก อสูรดำ ยันต์อสูร และทหารอสูรที่เหลือ ถูก น้ำทิพย์ที่สาม และ ตรัยสูร ฆ่าตายจนหมดสิ้น ทหารอสูร ๔,๐๐๐ ตน ที่เคยมีชีวิต ตอนนี้เหลือเพียงแค่ซากศพที่ไร้วิญญาณ



    “ แค่นี้ แหฟ้า ก็ไม่มีให้ใช้ ส่วน ตาข่ายดิน อีกไม่นานคงเหลือแต่ชื่อ “



    น้ำทิพย์ที่สาม พูดบอกตรัยสูร ฝ่าย ตรัยสูร เริ่มคิดเข้าไปในค่ายโครงกระดูก



    “ รีบเข้าไปช่วยพวก ดวงใจมาร กันดีกว่า “



    น้ำทิพย์ที่สาม บอกปัดปฏิเสธ



    “ เจ้าไปเถอะ ดวงใจมาร ต้องการให้ข้ารออยู่ที่นี้ คอยจัดการเหล่าอสูรที่อาจเล็ดลอดออกมาได้ เจ้ารีบเข้าไปช่วยพวกนางจะดีกว่า “



    ตรัยสูร พยักหน้ารับ รีบเหาะกลับเข้าไปในค่ายโครงกระดูกในทันที



        .......ในขณะที่ น้ำทิพย์ที่สาม และ ตรัยสูร กำลังจัดการทหารอสูรอยู่ ทางฝ่ายพวก เปมิกา ได้บุกเข้าไปในค่ายโครงกระดูกแล้ว พวกนางบุกเข้าไปถึงใจกลางค่าย พบแต่เจอความว่างเปล่า



    “ มุดหัวกันอยู่ที่ไหนล่ะ ? เจ้าพวกอสูรชั่ว ไหนบอกว่าจะเตรียม แหฟ้าตาข่ายดิน มารอพวกข้าไม่ใช่หรือ ? “



    สิ้นเสียงของ เปมิกา เหล่าอสูรที่เหลือต่างรุมล้อมเข้ามาในทันที



    “ เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี้ “



    เสียงของอสูรหน้าบาก พูดออกมา ด้วยความสงสัย พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็ยืนประจันหน้ากับอสูรสาว



    “ รู้ได้อย่างไร ไม่สำคัญ สำคัญที่ว่า แหฟ้าของเจ้าถูกพวกข้าตัดขาดหมดแล้ว “



    เปมิกา ชักดาบปราบลิขิตฟ้า ออกมาอย่างช้า ๆ พลังเข่นฆ่าที่ออกจากดาบรุนแรงจนเหล่าอสูรหลายตนยังต้องหวั่นเกรง



    “ ส่วนตาข่ายดิน อีกเดี๋ยวก็จะถูกเผาจนไม่เหลือซาก “



    พูดจบ อสูรสาว เริ่มบุกเข้าหา พลาสูร ในทันที ฝ่าย อนันตวาโย มยุราเทวี อัคคีนาคา นันทาเทพธิดา พยัคฆ์วารี ต่างแยกกันเป็นสองกลุ่ม เข้าเล่นงานเหล่าทหารอสูร และนายกองอสูรของ พลาสูร เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเหล่าอสูรเข้าไปทำร้าย เปมิกา ในขณะต่อสู้กับ พลาสูร ได้



    “ นังหนู บังอาจมากเกินไปแล้ว ข้าจะให้เจ้าได้รับรู้ ความร้ายกาจของข้าเสียบ้าง “



    พลาสูร พุ่งตัวเข้าจู่โจม เปมิกา เช่นกัน ต่างฝ่ายต่างงัดวิชาของตนเอง ออกมาใช้ พลาสูร ใช้กรงเล็บของตนบุกสกัดทางดาบของ เปมิกา ฝ่าย เปมิกา เร่งกระบวนดาบให้เร็วขึ้น ยิ่งเร่งความเร็วขึ้นมากเท่าไร กระบวนดาบก็ทั้งรุนแรงและดุดันตามไปด้วย



    “ ยัยเด็กบ้า นี้ฝีมือไม่เลว ประมาทไม่ได้เป็นอันขาด “



    “ กรงเล็บของมันร้ายกาจมาก ทั้งแกร่งและก็คมกริบอีกด้วย “



    ต่างฝ่ายต่างคิด ต่างหาวิธีจับจ้องเล่นงานอีกฝ่ายอยู่ ถึงนาที นี้ พลาสูร ส่งสัญญาณ ให้ กองกำลังเหล่าอสูร ที่ซ่อนตัวอยู่ โผล่ออกมา แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงาของกองกำลังอสูรให้ได้เห็น



    “ อะไรกัน ทำไม กองทหารข้าถึงไม่ปรากฏล่ะ ? พวกมันหายหัวไปไหนกันหมด หรือว่า …. “



    เปมิกา เห็นท่าทางของ พลาสูร ยิ้มอย่างเยาะเย้ย พลางพูดให้อีกฝ่ายได้ยิน



    “ ข้าบอกเจ้าแล้ว แหฟ้าของเจ้าถูกพวกข้าตัดขาดจนหมดแล้ว อีกเดี๋ยวตะข่ายดินอย่างเจ้าก็จะไม่เหลือแม้แต่ซาก “



    พลาสูร ทั้งโกรธทั้งแค้นแน่นจุกอก ระบายความโกรธออกมาอย่างบ้าคลั่ง



    “ นังเด็กบ้า ตายซะ “



    พลาสูร เร่งพลังกรงเล็บของตนขึ้นอย่างเร็วและแรง กรงเล็บ เปล่งอานุภาพอย่างเต็มที่ จน เปมิกา ต้องหลบถอย พระเวทย์ที่ พลาสูร ฝึกก็คือ กรงเล็บอสูร ฝึกสำเร็จแล้วจะมีอานุภาพร้ายแรง ใช้แทนอาวุธได้ พลังของ กรงเล็บอสูร เน้นหนักทางดูดโลหิต และสลายวิญญาณของคู่ต่อสู้ หากโดนกรงเล็บเข้าไปคนที่โดนจะเจ็บปวดทรมานจนตาย และวิญญาณก็จะแตกสลายตามไปด้วย  กรงเล็บอสูร นั้น มีด้วยกัน ๕ ขั้นคือ

    ขั้นที่ ๑ กรงเล็บสลายร่าง            พลังสลายร่างศัตรู

    ขั้นที่ ๒ กรงเล็บสลายวิญญาณ        พลังสลายวิญญาณศัตรู

    ขั้นที่ ๓ กรงเล็บดูดโลหิต            พลังดูดโลหิตศัตรูจนหมดตัว

    ขั้นที่ ๔ กรงเล็บดูดวิญญาณ        ดูดวิญญาณศัตรูมาเสริมสร้างพลังให้กับตน

    ขั้นที่ ๕ กรงเล็บชีวิตแลกชีวิต        ใช้ชีวิตของตนเองเข้าแลกกับศัตรูทำลายล้างทุกสิ่ง



    ฝ่าย เปมิกา เจอกรงเล็บอสูร บุกเข้าหาตัวได้แต่ปัดป้อง สถานการณ์ตกเป็นรอง พลาสูร ส่วน พลาสูร เห็นอีกฝ่ายตอบโต้ไม่ได้ยิ่งได้ใจ เพิ่มความเร็วของกรงเล็บมากขึ้น หมายจะจบชีวิตอสูรสาวในทันที



    “ ความโอหังของเจ้าหายไหนหมดนังหนู ? ข้าจะให้เจ้าทรมานจนตายภายใต้กรงเล็บของข้า “



    พลาสูร เปล่งพลังออกจากกรงเล็บของตน พลังจาก กรงเล็บอสูร เหมือนรุมล้อมไม่ให้ เปมิกา หลุดรอดออกไปไหนได้



    “ พระเวทย์กรงเล็บอสูรขั้นที่ ๔ กรงเล็บดูดวิญญาณ “



    พลังจากกรงเล็บกางตะครุบ เปมิกา เหมือนไม่ให้ตัวนางหนีหายจากไปไหนได้ เปมิกา สู้สุดชีวิต ตวัดดาบปราบลิขิตฟ้า เหมือนเป็นโล่ ปกป้องชีวิตไว้ได้ แต่ท่าทางดูเหมือนจะต้านไว้ได้ไม่นาน ร่างกายทั้งเจ็ดปวดและอ่อนแรง ส่วนวิญญาณในร่างคล้ายจะถูกดูดออกไป



    “ ฝันไปเถอะ “



    ฉับพลันร่างของ เปมิกา เปล่งแสงออกมา รวมเป็นหนึ่งเดียวกับ ดาบปราบลิขิตฟ้า สลายพลังกรงเล็บอสูร ของ พลาสูร จนหมดสิ้น พร้อมกันนั้น ร่างของ เปมิกา ก็เปลี่ยนไปด้วย



    “ นี้มันวิชาบ้าอะไรกัน ? “



    พลาสูร ตกใจเมื่อเห็นร่างของ เปมิกา เปลี่ยนเป็น สีทอง ไปทั้งตัว อสูรสาวแผ่พุ่งพลังออกมากดดัน พลาสูร อย่างแรง เปมิกา นั้นเป็นลูกศิษย์ของ อารยะดาบส ๑ ใน ๕ เบญจมหาโยคี วิชาที่นางได้รับการถ่ายทอดจาก อารยะดาบส ก็คือ พระเวทย์อวตาล ๕ ธาตุ สามารถเปลี่ยนร่างได้ ๕ ร่าง คือ

    ร่างที่ ๑ ร่างเทวะปฐพี

    ร่างที่ ๒ ร่างเทวะวารี

    ร่างที่ ๓ ร่างเทวะวายุ

    ร่างที่ ๔ ร่างเทวะอัคคี

    ร่างที่ ๕ ร่างทองเทวะ

    เมื่อเปลี่ยนร่างแล้วสามารถใช้คุณสมบัติของธาตุนั้น ๆ ตามร่างที่เปลี่ยนไป นอกจากนั้น อารยะดาบส ยังสอนให้ เปมิกา ใช้ดาบปราบลิขิตฟ้า ประสานกับพระเวทย์ อวตาล ๕ ธาตุ ด้วย ดาบปราบลิขิตฟ้า จึงมีสีเปลี่ยนไปตามร่างของ เปมิกา ที่เปลี่ยนร่างเป็นธาตุต่าง ๆ ตามนั้น



    “ ที่นี้ถึงทีข้าบ้างล่ะ “



    เปมิกา พุ่งตัวเข้าหา พลาสูร ปรากฎแสงสีทองเรืองรองรอบตัว พลาสูร ก็พุ่งตัวเข้าหา เปมิกา เช่นกันใช้ กรงเล็บอสูร หมายจิกเข้าเนื้อของ เปมิกา อสูรสาวฟาดฟันดาบปราบลิขิตฟ้า อย่างเร็วประกายของดาบปราบลิขิตฟ้าเป็นสีทองสุกสว่าง สกัดกรงเล็บของ พลาสูร ไว้ พลางรุกฟาดฟัน พลาสูร ไปในตัว



    “ เคร้งๆๆ “



    พลังสะท้อนจาก ดาบปราบลิขิตฟ้า และ กรงเล็บอสูร ที่เกิดจากการปะทะกันอย่างรุนแรง ทำให้บริเวณรอบข้างได้รับผลกระทบ ป้อมค่ายโครงกระดูกบางส่วนพังทลายลง พลังบางส่วนที่เกิดจากการกระทบกันกระเด็นถูกเหล่าทหารอสูรของ พลาสูร ทำให้เหล่าทหารอสูรล้มตายลงไม่น้อย



    “ อ๊าก ๆๆๆ “



    พลาสูร เอียวตัวหลบ คมดาบที่พุ่งเข้า ในจังหวะเดียวกันก็สบโอกาสใช้กรงเล็บจิกเข้าไปที่แขนข้างหนึ่งของ เปมิกา อย่างแรง หมายจะสลายร่างของ เปมิกา ให้สิ้น



    “ พระเวทย์กรงเล็บอสูร ขั้นที่ ๑ กรงเล็บสลายร่าง “



    พลังจากกรงเล็บ พยายามสลาย ร่างทองเทวะ ของ เปมิกา อยู่ หากแต่ไม่เป็นผล



    “ บ้าจริง “



    พลาสูร คำรามออกมาด้วยความโกรธ พลังจากกรงเล็บอสูรเหมือนไม่สามารถทำอะไร เปมิกา ได้ ฝ่าย เปมิกา ได้โอกาส ตวัดดาบปราบลิขิตฟ้าที่อยู่ในมือ ฟันใส่ พลาสูร อย่างแรง  พลาสูร หลบได้อย่างเฉียดฉิวแต่ที่ใบหน้า กลับได้รับไปหนึ่งแผล



    “ ปัดโธ่ !!! “



    เลือดอาบใบหน้า พลาสูร โกรธขึ้นเป็นทวีคูณ บุกเข้าหา เปมิกา อีกหมายฆ่านางให้ได้ พลาสูร ง้างสองมือตะปบเข้าหากันอย่างเร็ว กรงเล็บอสูร เหมือนขยายใหญ่ขึ้นจับกุมตัวนางเอาไว้ ตัวของ เปมิกา ในขณะนี้ตกอยู่ในอุ้งมือของ พลาสูร



    “ พระเวทย์กรงเล็บอสูร ขั้นที่ ๒ กรงเล็บสลายวิญญาณ “



    พลาสูร ตั้งใจทำให้วิญญาณของ เปมิกา แตกสลายจนหมดสิ้น พลังของ กรงเล็บอสูร เริ่มแผ่พลัง สลายวิญญาณของอสูรสาว ฝ่าย เปมิกา เห็นท่าไม่ดี หมุนดาบปราบลิขิตฟ้า เหมือนกงจักร พยายามทะลวงตัวออกมา พร้อมกับเปลี่ยนร่างเป็นอีกร่างหนึ่ง



    “ พระเวทย์อวตาล ๕ ธาตุ ร่างที่ ๓ ร่างเทวะวายุ “



    ร่างของ เปมิกา เหมือนสายลม หลุดพ้นออกจากการกังขังของ กรงเล็บอสูร ร่างของนางเปลี่ยนเป็นสีเขียวทั่วทั้งร่าง พร้อมกันนั้นร่างของนางก็หมุนตัวเหมือนพายุ ตรงเข้าหา พลาสูร ดาบปราบลิขิตฟ้าเปล่งแสงสีเขียวสะท้อนไปทั่ว ร่างของนางเหมือนพายุดาบที่บ้าคลั่ง คล้ายจะหั่น พลาสูร ให้ขาดเป็นชิ้น ๆ ฝ่าย พลาสูร ทั้งโกรธและกลัว สะบัดกงเล็บทั้งสองอย่างเร็วและแรงเหมือนมีกรงเล็บนับร้อย ปะทะ กับพายุดาบที่บุกเข้ามา เสียงกระทบของ ดาบปราบลิขิตฟ้า และ กรงเล็บอสูร ดังสนั่นต่อเนื่องไม่ขาดสาย ผลกระทบของพลังที่เกิดขึ้นรุนแรงก็เมื่อครู่นี้เสียอีก ป้อมค่ายโครงกระดูกพังทลายลงมากขึ้นกว่าเดิม



    “ เคร้ง ๆๆๆๆๆๆๆ “



    “ ยังต้านได้อีกเหรอ ? เจ้าอสูรชั่วนี้ไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ “



    เปมิกา คิดพลางหาวิธีบุกเข้าเล่นงาน พลาสูร อยู่ ขณะนั้น ตรัยสูร ที่เพิ่งกลับเข้ามายังในค่ายโครงกระดูก เห็นฉากการต่อสู้ระหว่าง เปมิกา และ พลาสูร อยู่ จึงคิดเข้าไปช่วย



    “ ดวงใจมาร เอาจริงแล้วหรือนี้ แต่ยังไงข้าก็ต้องรีบเข้าไปช่วยนางก่อน “



    ตรัยสูร พุ่งตัวพร้อม คันธนูสวรรค์ เรียกลูกธนูออกมา พาดไว้กับคันธนู พร้อมน้าวสายธนูอย่างแรง ตะโกนบอก เปมิกา ให้ถอยออกมา



    “ ดวงใจมาร ถอยออกมา “



    เปมิกา ได้ยินเสียงของ ตรัยสูร หลบตัวออกมาจากการต่อสู้ ขณะเดียวกัน ตรัยสูร ก็ปล่อยลูกธนูออกมา ลูกธนูพุ่งตรงดิ่งมายัง พลาสูร ฝ่ายอสูรหน้าบาก หลบไม่ทัน ฝืนใจใช้ กรงเล็บอสูรเข้าต้าน



    “ ตูมมมมมมม “



    ผลการปะทะระหว่าง ลูกธนู และ กรงเล็บอสูร เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ร่างของ พลาสูร ปลิวกระเด็นถอยไปอย่างแรง ได้รับบาดแผลทั่วตัว ค่ายโครงกระดูกพังไปลงไปเป็นแถบ ๆ พลาสูร พยายามลุกขึ้นจากกองเศษซากไม้และอิฐที่แตกหักแต่ก็ทรุดตัวลงอยู่กับที่กระอักเลือดออกมา



    “ อ๊อคคคค “



    พลาสูร เห็นว่าพวกตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สถานการณ์เริ่มย่ำแย่ เหล่าทหารอสูรและนายกองอสูรที่มีอยู่ถูกเหล่าเทพฆ่าตายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งโกรธทั้งแค้น เริ่มคิดสู้ตายขึ้นมา



    “ อย่างมากข้าจะลากพวกเจ้าไปนรกกับข้าด้วย “



    พลาสูร เร่งพลังถึงขีดสุดร่างทั้งร่างเปล่งรังสีเข่นฆ่าอย่างรุนแรง กรงเล็บอสูร เปล่งแสงสีแดงจ้าดังโลหิต เขากะคิดแลกชีวิตกับทุกคน



    “ พวกเจ้าไปนรกพร้อมกับข้าเถอะ “



    พลาสูร พุ่งตัวสุดแรง ปรากฏร่างอสูรมหึมา ขึ้นมา กรงเล็บอสูร ทั้งสองแผ่พลังที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนหมายฆ่าทุกคนที่ขวางหน้าไม่ว่าเป็นพวกเดียวกันหรือศัตรู พลาสูร ใช้พลังพระเวทย์ของตนอย่างสุดความสามารถ



    “ พระเวทย์กรงเล็บอสูรขั้นที่ ๕ กรงเล็บชีวิตแลกชีวิต “



    พลาสูร ทุ่มสุดตัวพร้อมใช้ชีวิตของตนแลกกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจว่าพวกตนเองจะเป็นอย่างไร เหล่าอสูรหลายตนถูกพลังของ พลาสูร จนร่างกายสลายทรมานจนตาย แม้วิญญาณก็ไม่เหลือ ฝ่ายเหล่าเทพทั้ง ๗ ต่างหลบถอยเป็นพัลวัน ไม่ให้ตนเองถูกพลังกรงเล็บอสูรที่พุ่งเข้ามา ส่วน เปมิกา เห็นการกระทำของ พลาสูร แล้วไม่มีเวลาคิดมาก รวมจิตระลึกถึงคุณอาจารย์ ตั้งสามาธิ ผนึกพลังพระเวทย์ของตน รีบท่องมนต์ออกมาในทันที



    “ โอม พี รี ยุ คี ทา เจ มัน อา ตา รี เทพเทวะประสิทธิ์ “



    ร่างของ เปมิกา เปลี่ยนเป็นธาตุต่าง ๆ ไปเรื่อย ๆ ประสานพลังพระเวทย์อย่างแน่วแน่ ดาบปราบลิขิตฟ้าเปล่งแสงสว่างจ้า แสบตา เปมิกา รีบยกดาบปราบลิขิตฟ้า ขึ้นมาพร้อมพุ่งตัวฟาดฟันดาบสุดแรง



    “ เจ้าอสูรชั่ว จงหายไปซะ “



    พลังที่ออกจากดาบปราบลิขิต พลังอำนาจทำลายสุดรุนแรง พลังสะเทือนไปจนถึงสวรรค์ พลังจากดาบปราบลิขิตฟ้ากลบพลังจากกรงเล็บอสูรจนหมดสิ้น ร่างอสูรใหญ่หายไปในพริบตา พลาสูร ร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดและโหยหวน



    “ อ๊ากกกกกก “



    หลังสิ้นแสงจากพลังของดาบปราบลิขิตฟ้า ร่างของ พลาสูร หายไป เหล่าอสูรที่เหลืออยู่ต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอดออกจากค่ายโครงกระดูก มีจำนวนไม่น้อยถูกพวก เปมิกา ฆ่าตาย บางกลุ่มหนีรอดออกมาได้แต่ก็ถูก น้ำทิพย์ที่สาม ฆ่าตายจนหมดสิ้น ค่ายโครงกระดูกทั้งค่ายถูกเหล่าเทพทั้ง ๘ ทำลายล้างในคืนเดียว แต่…



    “ พลาสูร มันยังไม่ตาย “



    เปมิกา เอ่ยขึ้นมาอย่างสุดแสนเสียดาย เมื่อไม่เห็นซากศพของ พลาสูร



    “ ไม่เป็นไรหรอก ดวงใจมาร ถึงครั้งนี้มันรอดไปได้แต่ครั้งหน้ามันไม่โชคดีอย่างนี้แน่ “



    อนันตวาโย บอกต่อ เปมิกา



    “ มันไม่ตายนะดีแล้ว ไม่งั้นสิ่งที่ข้าทำไว้มันจะสูญเปล่าเสียหมด “



    ตรัยสูร พูดออกมาอย่างพอใจที่ พลาสูร ยังไม่ตาย ประกายตาแฝงความยินดี



    “ เจ้าหมายความอย่างไร ? ตรัยสูร บอกข้ามาสิ “



    อสูรสาว จ้องมองหน้า ตรัยสูร คล้ายกำลังค้นหาสิ่งที่ ตรัยสูร พูด หากแต่ ตรัยสูร ยังไม่ตอบให้นางได้รู้



    “ รอให้พวกเรามาพร้อมหน้ากันเสียก่อนเถอะแล้วข้าถึงจะบอกพวกเจ้า “



    “ ถ้างั้นเรารีบกลับไปหา น้ำทิพย์ที่สาม กันเถอะ ป่านนี้เขาคงจัดการพวกอสูรที่หลุดรอดออกมาจนหมดแล้ว  “



    มยุราเทวี บอกเหล่าเพื่อน ๆ ของตน ทางฝ่ายเพื่อนที่เหลือ ต่างพยักหน้ารับเดินออกจากค่ายโครงกระดูก ซึ่งบัดนี้เหลือแต่ซากศพอสูร และป้อมค่ายที่พังเสียหาย ค่ายโครงกระดูกของทัพประตูมนุษย์ในเวลานี้เหลือเพียงแต่ชื่อเท่านั้น



    …..ที่กลางป่าลึก มีร่าง ร่างหนึ่ง นอนอาบไปด้วยเลือด มีบาดแผลอยู่ทั่วตัว แต่แผลที่เห็นชัดที่สุดก็คือแผลที่หน้าอก บาดแผลที่เกิดจากคมดาบลึกเป็นทางยาว ส่วนที่ใบหน้าก็มีบาดแผลอีกหนึ่งแผล เพิ่มขึ้นจากแผลเก่าที่มีอยู่ ร่างนั้นยังไม่สิ้นลมหายใจ นอนหายใจรวยละริน อย่างอ่อนแรงแต่แววตาแฝงประกายความโกรธแค้น ขบเขี้ยวฟันพูดอย่างตะกุกตะกัก



    “ ข้าขอสาบาน….. ข้าจะตามฆ่าล้างพวกมัน ข้าจะสับพวกมันเป็นชิ้น ๆ เอาเลือดพวกมันมาล้างความอัปยศครั้งนี้ให้ได้…… “



    พูดได้แค่นั้น เจ้าของเสียงก็นอนสลบไป ท่ามกลางความมืดของป่าลึก



    จบตอนที่ ๗ ครับ ตอนต่อไปต้องแยกทางจากกันแล้ว T_T



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×