ลำดับตอนที่ #75
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #75 : สตูดิโอ Ufotable จากสตูดิโอไม่มีอนาคตสู่เทพแห่งวงการ
เวลาในเฟสบุ๊คหรือกระทู้พันทิปนั้นเวลามีใครถามว่าสตูดิโออนิเมะไหนทำภาพสวยที่สุดซึ่งส่วนใหญ่ก็จะยกให้ Kyoani เบอร์หนึ่งของวงการหรือไม่ก็ CoMix Wave Films ของมาโคโตะ ชิไค แต่ทว่าทุกๆครั้งจะมีคนค้านพร้อมกับยกให้สตูดิโอที่มักเป็นม้านอกสายตาว่านี้ต่างหากล่ะสตูดิโอเทพภาพสวยที่สุดที่หาสตูดิโอไหนเทียบเท่าได้ สตูดิโอผู้มีส่วนสำคัญให้ Fate Series กลายเป็นแฟนไชน์ที่โด่งดังที่สุดในวงการตูนญี่ปุ่น ซึ่งกว่าจะมาเทพขนาดนี้นั้นก่อนหน้านั้นสตูดิโอนี้ขึ้นชื่อเรื่องความเผาและแหวกแนวเกินเหตุจนหลายๆคนส่ายหน้ากันมาแล้วและอะไรทำให้จากสตูดิโอที่ไม่มีคนชอบกลายมาเป็นสตูดิโอที่เหล่าแฟนๆบูชากันในทุกวันนี้กับสตูดิโอที่มีชื่อว่า Ufotable
ตึกสตูดิโอ
สตูดิโอ Ufotable, Inc. ก่อตั้งในเดือน ตุลาคม ปี 2000 โดยอดีตพนักงานของสตูดิโอ TMS Entertainment ตั้งอยู่ที่เขตนางาโนะ กรุงโตเกียว นอกจากรับทำอนิเมะแล้ว Ufotable ยังเปิดร้านคาเฟ่ตรงชั้นล่างของสตูดิโอที่มักนำอนิเมะของตัวเองมาเป็นจุดขายของร้านหรือไม่ก็นำอนิเมะของค่ายอื่นมาโคร่วมกันร้าน (อินดี้สุดๆ)
Ufotable Cafe
ช่วงชีวิตรันทรทด 2000 - 2007
โดยเริ่มแรกสตูดิโอ Ufotable เป็นสตูดิโอขนาดเล็กที่รับจ้างงานนอกเป็นส่วนใหญ่จนมีโอกาสได้ทำอนิเมะของตัวเองเรื่องแรกคือ Weiß Kreuz Glühen ปี 2002 เป็นภาคสปิลออฟของซีรีย์ Weiß Kreuz กำกับโดย Matsui Hitoyuki ซึ่งไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรนักเป็นการเปิดตัวที่ไม่ที่เท่าไรนัก (เรื่องนี้คนเขียนเคยดูช่อง UBC ตอนเด็กด้วย)
Weiß Kreuz Glühen
ด้วยเป็นสตูดิโอเล็กเปิดตัวใหม่หลังจากเปิดตัวงานเรื่องแรกไม่ดีนักทำให้ตัวสตูดิโอต้องรับงานนอกหากินไปก่อนกว่าจะมีผลงานตัวเองเรื่องที่สองก็ใช่เวลากว่า 3 ปี กับเรื่อง Dokkoida?! ปี 2003 จากต้นฉบับไลน์โนเวลไม่ค่อยดังเท่าไร กำกับโดย Nonaka Takuya ซึ่งก็เจ๊งไม่เป็นท่าและปีต่อมา 2004 ก็ได้มาทำอนิเมะจากมังงะตลกกับเรื่อง Ninin ga Shinobuden กำกับโดย Matsui Hitoyuki ก็เจ๊งอีกตามเคย :ซึ่งในปีเดียว Ufotable ก็แอบทำอนิเมะจากวิชวลโนเวลเรื่อง Aoi Umi no Tristia เป็น OVA กำกับโดย Matsui Hitoyuki และนั้นเป็นผลงานสุดท้ายของเขา
Dokkoida?! และ Ninin ga Shinobuden
เรียกได้ว่า Ufotable ช่วงแรกนั้นล้มลุกคลุกคลานมากๆมีโอกาสได้ทำอนิเมะก็ไม่ประสบความสำเร็จเลยสักเรื่องเนื่องจากเป็นสตูดิโอเล็กๆที่มีทีมงานไม่ค่อยมีฝีมือเท่าไรงานออกมาไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าไรเหมือนอนิเมะเกรด B หลังจากผู้กำกับหลักอย่าง Matsui Hitoyuki ออกทำให้ทาง Ufotable ต้องหาผู้กำกับคนใหม่และอนิเตอร์ยอดฝีมือมาเพิ่มศักยภาพสตูดิโอโดยระบบของสตูดิโอ Ufotable จะเป็นลักษณะกึ่งเปิดกึ่งปิดคือจะมีอนิเมเตอร์ทีมประจำของสตูดิโอซึ่งมีอิสระสามารถไปรับงานนอกได้หรือทางสตูดิโอจะดึงอนิเมเตอร์มือปืนรับจ้างที่มีฝีมือมาช่วยงาน จนกระทั้งการมาของชายผู้ชื่อว่า Takayuki Hirao ที่มีส่วนสำคัญในการสร้างชื่อเสียงและชื่อเสีย?ให้กับ Ufotable ในเวลาต่อมา หลังจากที่ฟอมทีมได้แล้ว Ufotable สิ่งแรกที่ทำเลยคือรับงานออริจินอลโดยที่ไม่เจียมตัวเลยว่าเป็นสตูดิโอเล็กคุณภาพต่ำแต่ทาง Ufotable ก็ไม่ประมาทเกินไปจึงไปดึงสตูดิโอ feel. และ สตูดิโอ Flag มาร่วมงานด้วยโดยมาทำอนิเมะภาคต่อของอนิเมะฮาเร็มฝาแฝดอย่าง Futakoi ที่เป็นอนิเมะฮาเร็มแท้ๆแต่ลายเส้นอย่างกะอนิเมะเด็กโดยภาคต่อมีชื่อว่า Futakoi Alternative ปี 2005 กำกับโดย Hirao Takayuki สิ่งที่ผู้กำกับ Hirao และ Ufotable ทำก็คือยกเครื่องอนิเมะใหม่หมดเปลี่ยนลายเส้นที่เหมือนเด็กจากภาคก่อนให้มันดูสมอนิเมะฮาเร็มากขึ้นเปลี่ยนคู่นางเอกหลักใหม่ แต่ที่หนักว่าก็คือเปลี่ยนจากอนิเมะเลิฟคอมเมดี้ให้กลายมาเป็นอนิเมะบ้าระห่ำระเบิดภูเขาเผากะท่อมสู้ทั้งยากูซ่า สัตว์ประหลาดและทั้งเรื่องเต็มไปด้วยมุกตลกร้ายที่เล่นเอาซะคนดูเหวอจนพูดไม่ออกแถมยังแหวกแนวโดยการเพิ่มตอนพิเศษที่เป็นอนิเมชั่น stop motion จากดินเหนียวที่กลายมาเป็นเอกลักษณ์ประจำ Ufotable และสุดท้ายยังเผางานเหมือนเดิม อนิเมะ Futakoi Alternative กลายเป็นวีรกรรมแรกของ Ufotable ในความอินดี้แนวแหนวที่กล้าเปลี่ยนยกเครื่องอนิเมะใหม่ทั้งหมดซึ่งกระแสอาจจะไม่ดังหรือไม่ประสบความสำเร็จมากนักแต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นให้ Ufotable เริ่มเป็นที่รู้จักในวงการอนิเมะ (ถึงจะเป็นชื่อเสียล่ะนะ)
Futakoi และ Futakoi Alternative
stop motion
หลังจากสร้างวีรกรรมใน Futakoi Alternative สตูดิโอ Ufotable ก็หายไปรับงานนอก 1 ปีพร้อมเตรียมตัวทำอนิเมะออริจินอลของใหม่อีกครั้งที่มีชื่อว่า Coyote Ragtime Show ปี 2006 กำกับโดย Nonaka Takuya ซึ่งเรื่องนี้ทางสตูดิโอ Ufotable เริ่มทำงานภาพดีขึ้นแถมเรื่องนี้มีจุดขายตรงที่ 12 สาวพี่น้องสุดโมเอะแต่ทว่าภายในเรื่องจริงๆกับเน้นตาลุงแก่ๆที่เป็นตัวเอกซะงั้นและถึงภาพจะดีขึ้นแต่ก็ยังคงมีงานเผาบางทำให้ Coyote Ragtime Show แป๊กและเจ้งสนิทตามระเบียบแต่ก็ใช่ว่า Ufotable จะไม่ได้อะไรโดยเรื่องนี้ทางสตูดิโอได้อนิเตอร์หนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่า Aoki Ei ซึ่งชายคนนี่จะเป็นผู้กอบกู้ Ufotable ในเวลาต่อมา
Coyote Ragtime Show
ถึงจะเจ๊งสนิทกับอนิเมะออริจินอลมาต่อเนื่องก็ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์โดยที่เจียมสังขารหารเื่องทำอนิเมะออริจินอลต่อกับเรื่อง Gakuen Utopia Manabi Straight! ปี 2007 กำกับโดย Hirao Takayuki ที่เปลี่ยนแนวมาเป็นสคูลไลฟ์คอเมดี้ขายโลลิและงานนี้ Ufotable ก็ทุ่มสุดตัวจ้างนักพากย์ดังๆในยุคนั้นมาเต็มที่ทั้ง Hirano Aya, Horie Yui, Inoue Marina, Fujita Saki เป็นต้น แต่ถึงจะทุ่มสุดตัวแล้วก็ตามแต่เรื่อง Gakuen Utopia Manabi Straight! ก็ไม่ประสบความสำเร็จตามที่หวังไว้และก็แป๊กตามสนิท จนทำให้ Ufotable มีสถิตที่เป็นมลทินอย่างหนึ่งคือทำอนิเมะออริจินอลแป๊กสนิท 3 เรื่องปีต่อปี (สถิตที่ P.A. Works เห็นแล้วต้องเป็นลม) และ Gakuen Utopia Manabi Straight! เป็นอนิเมะซีรีย์ออริจินอลเรื่องสุดท้ายจนถึงปัจจุบันนี้
Gakuen Utopia Manabi Straight!
สถานการณ์ของ Ufotable เรียกได้ว่าเลวร้ายมากเพราะสตูดิโอยังไม่มีที่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันผลงานส่วนใหญ่ไม่เจ้งสนิทก็ทำได้แค่พอตัวจนกระทั้ง Ufotable ได้มีโอกาสพลิกสถานการณ์โดยการรับงานเกมซีรีย์ตระกูล Tales อันชื่อดังของค่าย Namco อย่าง Tales of Symphonia ในชื่อว่า Tales Of Symphonia The Animation: Sylvarant-Hen ปี 2007 ในรูปแบบ OVA และเปิดตัวผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง Sotozaki Haruo แต่ทว่าแทนที่จะช่วยพลิกสถานการณ์แต่กลายเป็นว่า Ufotable ได้สร้างวีรกรรมครั้งเลวร้ายจนเกือบตัวเองเพราะ Tales Of Symphonia The Animation งานออกมาค่อนข้างเผาและไม่ค่อยมีคุณภาพจนแฟนๆ ส่ายหน้าและกลายเป็นผลงานอีกหนึ่งเรื่องที่ล้มเหลวของ Ufotable ในช่วงเลา 7 ปีนรกของ Ufotable นั้นทางสตูดิโอไม่สามารถทำผลงานที่สร้างชื่อให้ตัวเองได้เลยสักเรื่องเดียวเห็นได้จากแทบไม่มีอนิเมะเรื่องไหนเลยของ Ufotable ในช่วงนี้ที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่จดจำทุกเรื่องล้วนเป็นอนิเมะที่ถูกลืมและแทบไม่คุ้นชื่อเลย แถมยังไปสร้างวีรกรรมทำอนิเมะซีรีย์เกมชื่อดังแป๊กสนิทอีก เรียกได้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของ Ufotable นั้นอาจจะต้องเจ้งแน่ๆ จนกระทั้ง Ufotable ได้สร้างปาฏิหาริย์โกงความตายตัวเอง
Tales Of Symphonia The Animation: Sylvarant-Hen
ช่วงโกงความตายพลิกชีวิต 2007 - 2012
ระหว่างที่ล้มเหลวกับ Tales Of Symphonia และทางสตูดิโอเตรียมตัวที่จะเจ้งก็ได้มีคนมาเสนองานโปเจคใหญ่ให้ Ufotable ทำโดยคนที่มาเสนอนั้นก็คือ Type Moon และ Aniplex โดยโปเจคใหญ่อนิเมะนั้นก็คือผลงานนิยายเน็ตชิ้นแรกของ Kinoko Nasu ผู้ก่อตั้ง Type Moon เรื่อง Kara no Kyoukai นำมาสร้างเป็นอนิเมะภาพยนตร์หลายภาค เรียกได้ว่า Type Moon และ Aniplex ในตอนนั้นถ้าไม่ได้เมากาวก็ต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ๆที่นำโปเจคใหญ่ชิ้นสำคัญมาให้สตูดิโอเล็กๆที่ขยันทำอนิเมะเจ้งปีต่อปีมารับงานหาเรื่องละลายเงินเล่นชัดๆ แต่ทว่าทาง Ufotable ก็รู้ว่าตัวเองในตอนนี้ไม่สามารถทำโปรเจคใหญ่ขนาดนี้ได้ทำให้ทางสตูดิโอตามหายอดฝีมืออีกครั้งและฟอมทีมโปเจค Kara no Kyoukai โดยได้ Aoki Ei กลับมาร่วมงานอีกครั้งซึ่งในทีมมีคนสำคัญอย่าง Hirao Takayuki และ Nonaka Takuya ผู้กำกับประจำสตูดิโอ Mitsuru Obunai และTakahiro Miura อนิเมเตอร์ของสตูดิโอได้มาทำหน้าที่กำกับ Tomonori Sudou ออกแบบลายเส้นตัวละคร Higashi Junichi ผู้ออกแบบฉากหลังที่ผ่านงานกับซีรีย์กันดั้มหลายภาค และ Kajiura Yuki มาประพันธ์เพลง ซึ่งทางตัว Kinoko Nasu ก็มาร่วมทีมในฐานะคนแต่งเรื่อง ส่วนทาง Aniplex ก็สนับสนุน Ufotable อย่างเต็มที่ทั้งเรื่องเงิน เวลา และปัจจัยอื่นๆ ทำให้โปเจค Kara no Kyoukai กลายเป็นตัวชี้ชะตากรรมของ Ufotable ในวงการอนิเมะหากมันฟลุ๊คสำเร็จขึ้นมามันอาจช่วยพลิกชีวิตของสตูดิโอแต่ทว่าถ้าทำเจ้งอีกครั้งมันอาจเป็นการฝั่งสตูดิโอโดยสมบูรณ์และแล้ว Kara no Kyoukai 1: Fukan Fuukei ก็ออกฉายในปลายปี 2007 ประเดิมผู้กำกับโดย Aoki Ei ซึ่ง Kara no Kyoukaiได้สร้างปรากฏการณ์ช็อควงการอนิเมะครั้งสำคัญ สตูดิโอ Ufotable ที่เป็นสตูดิโอเล็กๆไม่ค่อยมีฝีมือนั้นกับสามารถสร้างอนิเมะโรงฟอมยักษ์ที่คุณภาพสูงได้ขนาดนี้ราวกับคนล่ะสตูดิโอทำทั้งงานภาพที่สวยสุดอลังการ เนื้อเรื่องดูงงๆแต่ชวนน่าค้นหา และเพลงประกอบที่เข้ากับตัวอนิเมะสุดๆ และอีกมนเสน่ห์ของ Kara no Kyoukai ที่ Ufotable สร้างเอาไว้คือตัวผลงานภาพอนิเมะมันล้ำยุคสมัยมากสำหรับอนิเมะปี 2007 (สู่สีพอๆกับ Evangelion: 1.0 และ 5 Centimeters per Second ที่ออกปีเดียวกัน) แม้จะผ่านไปกว่า 10 ปีแต่ผลงาน Kara no Kyoukai ก็ยังดูไม่เก่าเลยและเทียบเท่าหรือเหนือกว่าอนิเมะสมัยใหม่หลายเรื่อง ความสำเร็จของ Kara no Kyoukai ทำให้ Ufotable ที่ควรจะต้องเจ้งลงไปได้โกงความตายกลับมายืนยันอีกครั้ง และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาวงการอนิเมะก็ต้องมามองสตูดิโอ Ufotable ใหม่จากสตูดิโอเล็กไร้ฝีมือมาเป็นสตูดิโอคุณภาพมากฝีมือ
Kara no Kyoukai
หลังจากแจ้งเกิดกับ Kara no Kyoukai ภาคแรกแล้วทาง Ufotable จึงตัดสินใจที่ได้ความสำเร็จกับโปเจค Kara no Kyoukai อย่างเต็มที่จนถึงขั้นไม่รับทำงานอนิเมะเรื่องอื่นจนกว่าจำทำ Kara no Kyoukai ให้จบ ระหว่างปี 2007 - 2009 ทาง Ufotable ได้ทำ Kara no Kyoukai ทั้งหมด 7 ภาคด้วยกันโดยหลังจากภาค 1 ก็มีดังนี้ Kara no Kyoukai 2: Satsujin Kousatsu (Zen) ปี 2007 กำกับโดย Nonaka Takuya , Kara no Kyoukai 3: Tsuukaku Zanryuu ปี 2008 กำกับโดย Obunai Mitsuru , Kara no Kyoukai 4: Garan no Dou ปี 2008 กำกับโดย Takiguchi Teiichi , Kara no Kyoukai 5: Mujun Rasen ปี 2008 กำกับโดย Hirao Takayuki , Kara no Kyoukai 6: Boukyaku Rokuon ปี 2008 กำกับโดย Miura Takahiro และ Kara no Kyoukai 7: Satsujin Kousatsu (Kou) ปี 2009 กำกับโดย Takizawa Shinsuke
Kara no Kyoukai 1-7
Kara no Kyoukai เรียกได้ว่าพลิกชีวิตของ Ufotable จากสตูดิโอเล็กๆระดับล่างกลายมาเป็นสตูดิโอระดับกลางที่เริ่มมีฐานะหน่อยๆ และหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจโปรเจค Kara no Kyoukai แล้วทาง Ufotable ก็เริ่มมารับงานอื่นซึ่งเน้นรับงาน OVA กับ อนิเมะสั้นเบาๆก่อนโดยประเดิมเรื่องแรกกับ Toriko OVA ปี 2009 กำกับโดย Obunai Mitsuru เพื่อมาโปรโมตตัวมังงะ Toriko จนมามีอนิเมะซีรีย์ที่ทำโดยสตูิโออื่นๆในเวลาต่อมา และ Yawarakame ปี 2009 เป็นอนิเมะสั้นลงอินเตอร์เน็ต
Toriko OVA และ Yawarakame
ในเวลาต่อมาทาง Ufotable ได้ร่วมงานกับค่ายเกม Bandai Namco ที่ Ufotable ไปสร้างวีรกรรมเอาไว้ตอน Tales of Symphonia กับโปรเจคเกมที่มีชื่อว่า God Eater โดยทาง Ufotable ได้ปล่อย OVA โปรโมตไปก่อนที่ชื่อว่า God Eater Prologue กำกับโดย Takayuki Hirao และทาง Ufotable ก็ได้มาทำอนิเมะ OP ร่วมถึงอนิเมะให้กับทางเกมด้วยซึ่งเกม God Eater ก็ประสบความสำเร็จอย่างมากแล้วทาง Bandai Namco ก็ถูกใจในฝีมือการทำอนิเมะของ Ufotable ด้วยทำให้ทาง Bandai Namco มักจากให้ทาง Ufotable มาทำอนิเมะให้โดยเฉพาะ God Eater ที่ออกมาภาคไหนจะขาด Ufotable ไปไม่ได้
God Eater
ถึงจะแจ้งเกิดสร้างอนิเมะคุณภาพได้แล้วก็ใช่ว่า Ufotable จะไม่ทำอนิเมะเผาคุณภาพต่ำเมื่อแต่ก่อนแล้วเห็นได้จากไปรับงานอนิเมะ OVA ทุนต่ำอย่างจากมังงะ Yuri Seijin Naoko-san ปี 2010 กำกับโดย Nonaka Takuya ซึ่งผลงานก็มาตามสภาพทุนต่ำที่ต่างกันอย่างสุดขั่วกับ Kara no Kyoukai และ God Eater แสดงให้เห็นว่าถ้าจะจ้าง Ufotable ทำอนิเมะให้ออกมาดีนั้นนายจ้างจะต้องทุนหนาหน่อยแต่ถ้าเงินน้อยก็จะได้อนิเมะคุณภาพต่ำแทน และในเวลาเดียวกันทาง Bandai Namco ให้โอกาส Ufotable ล้างบาปอีกครั้งในการทำอนิเมะ Tales Of Symphonia ใหม่ในภาคต่อ OVA ที่ชื่อว่า Tales of Symphonia: The Animation Tethe'alla Episode ปี 2010 ที่ยังได้ Sotozaki Haruo กับมากำกับซึ่งตัวงานดูดีขึ้นกว่าก่อนมาก และนอกจากนี้ทาง Ufotable ก็ได้มีโอกาสทำอนิเมะโฆษณาให้กับร้านอนิเมทที่มาโคลาโบกับเกม Touhou ในชื่อว่า Anime Tenchou x Touhou Project
Yuri Seijin Naoko-san และ Anime Tenchou x Touhou Project
นอกจากนี้ Ufotable ก็ถือเป็นสตูดิโออนิเมะที่ชอบโปรโมตการท่องเที่ยวให้กับทางท้องถิ่น ซึ่งเมืองที่ Ufotable ช่วยโปรโมตนั้นก็เมือง Tokushima ที่งานเทศกาลอันโด่งอย่างเทศกาลระบำอาวะ ซึ่งทาง Ufotable ก็มักไปร่วมช่วยโปรโมตงานเป็นสีสันประจำทุกปี และเรื่องซวยประจำของ Ufotable นั้นก็คือถูกขโมยงานบ่อยมากซึ่ง Ufotable มักจะนำศตอรี่บอร์ดหรือภาพ Key Animations ต้นฉบับและอื่นๆอีกมากมาย มาโชว์ในคาเฟ่ของตัวเองจนมีมือดีมักขโมยไปหลายครั้ง เช่น ภาพ Key Animations ของ Kara no Kyoukai ภาคแรก หรือ ภาพวาดต้นฉบับแบบทางการของตัวลพครใน Kara no Kyoukai แต่ตรั้งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ภาพร่างของ Key Animations เรื่อง Bakemonogatari ของสตูดิโอ Shaft ที่นำมาโชว์ในคาเฟ่ Ufotable เพื่อฉลองโปรโมต Blu-ray แผ่นที่ 6 ที่ติดโรคเลื่อนมายาวนาน แต่กับถูกขโมยไปและภาพนั้นไม่มีตัวก็อปปี้ด้วยอาจส่งผลต่ออนิเมะ Bakemonogatari ทำให้ Ufotable เดือดร้อนเป็นอย่างมากต้องขอโทษทาง Shaft และ ตามหาคนร้าย หลังจากนั้น Ufotable ก็ไม่เอางานชิ้นสำคัญมาโชว์อีกเลย
ภาพงาน เทศกาลระบำอาวะ
หลังจากที่ไปโชว์ของกับ Bandai Namco ค่ายเกมอื่นๆก็อยากที่จะให้ Ufotable มาทำอนิเมะให้เกมของตัวเองหนึ่งในนั้นก็คือ Imageepoch ที่จ้าง Ufotable มาทำ OP ประกอบให้เกม Black Rock Shooter: The Game ในปี 2011 ซึ่งตัวการก็ออกมาดูดีพอควร และปีเดียวกันนายจ้างขาประจำอย่าง Bandai Namco ก็เรียกใช่งาน Ufotable อีกครั้งให้มาทำอนิเมะประกอบเกม Tales of Xillia ซึ่งตัวเกมประสบความสำเร็จพอสมควรจนมีภาคต่อออกมาซึ่งอนิเมะของ Ufotable นั้นมีส่วนช่วยอย่างมาก
Black Rock Shooter: The Game และ Tales of Xillia
นอกจากนี้ช่วงต้นปี 2011 ทาง Ufotable ได้เซอไพร์คนดูด้วยการทำตอนพิเศษของ Kara no Kyoukai ซึ่งมันคือภาคที่ 8 ในชื่อว่า Kara no Kyoukai 8: Shuushou ซึ่งเป็นการปิดโปเจค Kara no Kyoukai โดยสมบูรณ์ ตั้งแต่เริ่มโปรเจค Kara no Kyoukai สตูดิโอ Ufotable ทิ้งมือไปจากอนิเมะ ซีรีย์ยาวกว่า 4 ปีแม้จะทำโปรเจค Kara no Kyoukai จบแล้วทางสตูดิโอก็ยังที่จะไม่กล้าทำอนิเมะซีรีย์จนกระทั้ง Type Moon และ Aniplex ได้กลับมาหา Ufotable อีกครั้งโดยให้รับงานจากไลน์โนเวลที่เป็นเรื่องราวเหตุการณ์ก่อน Fate Stay Night แต่งโดยจอมมารบ่อเลือด Urobuchi Gen มาสร้างเป็นอนิเมะซีรีย์กลายเป็นจุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ Ufotable
Kara no Kyoukai 8: Shuushou
ช่วงก้าวถึงจุดสูงสุด 2011 - ปัจจุบัน
หลังที่ห่างหายในการทำอนิเมะซีรีย์กว่า 4 ปีในที่สุด Ufotable ก็พร้อมที่จะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่กับโปรเจคอนิเมะที่มีชื่อว่า Fate Zero ปี 2011 โดยได้ Aoki Ei กับมากำกับอีกครั้งพร้อมทีมงานจาก Kara no Kyoukai ทำให้ผลงาน Fate Zero เป็นอนิเมะสุดอลังการที่เหล่าคนดูต่างก็ชื่นชอบในความสวยงามของตัวภาพอนิเมะที่ล้ำยุคเขากับเนื้อเรื่องที่เข้มข้นมากกว่า Fate Stay Night พร้อมทั้งเพลงประกอบที่ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศภายในเรื่องทำให้ Fate Zero ประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านคำวิจารณ์และรายได้ที่สามารถขายแผ่น 52,133 ชุด และปีต่อมาทาง Ufotable ก็ออก Fate/Zero 2nd Season เป็นภาคปิดของซีรีย์ซึ่งสามารถจบมหาสงครามจอกศักสิทธ์ได้อย่างยิ่งใหญ่สมการรอคอยแถมยังขายแผ่นได้ 45,804 ชุด นอกจากนี้ Fate Zero ยังสามารถคว้ารางวัลอนิเมะซีรีญ์ยอดเยี่ยมของ Newtype Anime Awards ครั้งที่ 2 ปี 2012 และ Ufotable คว้ารางวัลสตูดิโอยอดเยี่ยมด้วย ทำให้ Fate Zero ยังคงถูกยกย่องว่าเป็นอนิเมะ Fate Series ที่ดีที่สุดและตัวอนิเมะเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จของจักรวาล Type Moon และ Fate Series ในเวลาต่อมาส่วน Ufotable กลายเป็นสตูโอระดับกลางที่ก้าวขึ้นมาเป็นสตูดิโออนิเมะแถวหน้าของวงการเทียบเท่าสตูดิโอระดับใหญ่ๆ ได้ เป็นจุดเริ่มต้นสู่จุดสูงสุดของ Ufotable
Fate Zero
ในช่วงปี 2011 นั้นระหว่างที่กำลังทำ Fate Zero ทาง Ufotable ได้แอบทำอนิเมะภาพยนตร์ออริจินอลของตัวเองเพื่อลบมลทินที่ตัวเองที่ไม่เคยประสบความสำเร็จกับอนิเมะออริจินอลของตัวเองเลยแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะทำเป็นอนิเมะซีรีย์เลยมาลองกับอนิเมะภาพยนตร์ก่อนที่มีชื่อว่า Sakura no Ondo กำกับโดย Takayuki Hirao แต่ทว่ากระแสอนิเมะเรื่องนี้กับเงียบเอามากๆ จนแทบไม่มีใครรู้เลยว่ามันมีอนิเมะเรื่องนี้อยู่และตัวอนิเมะก็แป๊กสนิทตามระเบียบทำให้ Ufotable ยังคงรักษาสถิตทำอนิเมะออริจินอไม่ประสบความสำเร็จต่อไป
Sakura no Ondo
หลังจะประสบความสำเร็จกับ Fate Zero ท้ายๆปี 2012 ทาง Ufotable ได้ทำอนิเมะ OVA ออกมา 2 เรื่องได้แก่ Minori Scramble! ต้นฉบับจากมังงะกำกับโดย Nonaka Takuya แต่เรื่องที่ 2 เรียกได้ว่า Ufotable สร้างความสยองขวัญให้กับคนดูโดยการนำผลงานมังงะของราชาการ์ตูนสยองขวัญอ. Ito Junji มาทำอนิเมะกับเรื่อง Gyo ปลามรณะ กำกับโดย Takayuki Hirao ซึ่งเสียงตอบรับค่อนข้างแตกเป็นสองฝั่งหลายคนชอบด้วยภาพที่ชวนแหวะ สยองขวัญ ที่สมจริงจนกลายอมิเมะที่ควรดูตอนกินข้าว แต่ฝั่งแฟนต้นฉบับมังงะของอ. Ito จะไม่ค่อยปลื้มเท่าไรเพราะมีการตัดเนื้อหาและเปลี่ยนเนื้อหาเยอะมากจนไม่เหมือนในมังงะ
Minori Scramble! และ Gyo
นอกจากงานงานอนิเมะ OVA แล้ว Ufotable ก็ยังคงรับงานทำอนิเมะประกอบเกมเช่นเคยในปี 2012 โดยเจ้าเก่าเจ้าเดิมอย่าง Bandai Namco ให้ Ufotable ทำอนิเมะในเกม Tales of Xillia 2 ต่อจากภาคแรกและทาง Type Moon มีแผนจะรีบูทเกม Fate Stay Night ลงเครื่อง PS Vita ในชื่อว่า Fate Stay Night Realta Nua ซึ่งทาง Type Moon ที่เป็นนายจ้าง Ufotable เจ้าประจำอยู่แล้วให้สตูดิโอทำ OP อนิเมะให้เกมซึ่งสร้างตื้นเต้นให้กับแฟนๆอย่างมากที่ได้เห็น Fate Stay Night ในลายเส้น Ufotable พร้อมกับตั้งความหวังไว้ว่า Type Moon จะให้ Ufotable กลับมารีบูทอนิเมะ Fate Stay Night อีกครั้ง
Tales of Xillia 2 และ Fate Stay Night Realta Nua
ในปี 2013 เป็นปีที่ Ufotable พักการทำอนิเมะซีรีย์เพราะต้องเตรียมทำโปเจคการกลับมาของอนิเมะ Kara no Kyoukai ในภาคพิเศษที่ชื่อว่า Kara no Kyoukai: Mirai Fukuin กำกับโดย Sudou Tomonori ซึ่งตัวงานก็พัฒนาขึ้นมากจากภาคก่อนๆ นอกจากนี้มีภาคเสริมอย่าง Kara no Kyoukai: Mirai Fukuin - Extra Chorus ด้วย
Kara no Kyoukai: Mirai Fukuin
นอกจาก Kara no Kyoukai แล้วทาง Ufotable ก็ได้มีอนิเมะภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่มีต้นฉบับจากมังงะเด็กที่ชื่อว่า Noroi-ya Shimai กับอนิเมะที่มีชื่อว่า Majokko Shimai no Yoyo to Nene กำกับโดย Takayuki Hirao ซึ่งกระแสค่อนข้างเงียบ เรียกได้ว่าปี 2013 เป็นปีที่ค่อนข้างเงียบเหงาของ Ufotable
Majokko Shimai no Yoyo to Nene
และด้านงานเกมปี 2013 ทาง Bandai Namco ก็ให้งานใหม่แก่ Ufotable นั้นก็คือทำอนิเมะประกอบเกม Summon Night 5 และ กลับมารับงานเกม God Eater ในภาคที่ 2
Summon Night 5 และ God Eater 2
หลังจากเงียบเหงาไป 1 ปีในปี 2014 ทาง Ufotable ก็เตรียมที่จะทำอนิเมะซีรีย์อีกครั้งเนื่องจาก Type Moon ต้องการชุบชีวิตให้ Fate Stay Night ภาค Unlimited Blade Works ซึ่งถือเป็นรูทสำคัญของซีรีย์ Fate Stay Night หลังจากที่ปี 2009 ภาคนี้ภูกสตูดิโอ Deen เอาไปทำเป็นอนิเมะภาพยนตร์แล้วล้มเหลวไม่ท่ามาแล้ว และไม่มีใครที่จะเหมาะสมในการชุบชีวิต Unlimited Blade Works ให้กลับมาจนกลายอนิเมะ Fate Stay Night : Unlimited Blade Works กำกับโดย Miura Takahiro ซึ่งเหล่าแฟนๆ Fate Stay Night ต่างก็เฮกันยกใหญ่เพราะนี้คือความฝันมาตลอดหลายปีที่ต้องการเห็น Fate Stay Night ของ Ufotable และทางสตูดิโอก็ไม่ทำให้ผิดหวัง Unlimited Blade Works ภาคนี้ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จอย่างมากโดนขายแผ่นไปได้ 39,283 ชุด และ Fate/stay night: Unlimited Blade Works 2nd Season ที่ออกมาปี 2015 ขายแผ่นไปได้ 36,004 ชุด พร้อมทั้งได้รางวัลอนิเมะซีรีญ์ยอดเยี่ยมและรางวัลอื่นๆของ Newtype Anime Awards ครั้งที่ 5 ปี 2015 ไปครอง และในปี 2014 นั้น Type Moon ยังได้รีบูทเกม Fate Hollow Ataraxia มาลง PS Vita ซึ่ง Ufotable ได้มาทำ OP อนิเมะเกมให้ซึ่งแฟนๆก็คาดหวังว่าจะได้เห็นมันเป็นอนิเมะในอนาคต
Fate Stay Night : Unlimited Blade Works และ Fate Hollow Ataraxia
หลังจากจบโปเจค Fate Stay Night : Unlimited Blade Works ทาง Ufotable ก็รีบทำอนิเมะซีรีย์เรื่องต่อไปนั้นก็คือ God Eater ในปี 2015 งานเกมที่สตูดิโอรับจ้างทำอนิเมะประกอบมาเนินนานกำกับโดย Hirao Takayuki ซึ่งเรื่องนี้ Ufotable ปรับลายเส้นของตัวเองเยอะพอสมควรที่ดูคมขึ้นและดูเป็นกึ่ง 3 D แต่ทว่า God Eater กระแสเพียงแค่ปานกลางเท่านั้นเพราะเนื้อเรื่องที่เล่าไม่ค่อยดีเท่าไรและการปรับลายเส้นที่มันเปลี่ยนอารมณ์จนดูแตกต่างจาก God Eater ในเกมซึ่งตอนนี้โปรเจคเหมือนจะถูกพับเก็บไม่มีกำหดและไม่รู้ว่าจะมีภาคต่อหรือไม่
God Eater
ในช่วงปี 2015 ทาง Bandai Namco ได้ออกเกมซีรีย์ Tales ใหม่ในชื่อว่า Tales of Zestiria ซึ่งทาง Ufotable มารับทำอนิเมะชั่นประกอบแต่ทว่าตัวเกมกับกระแสไม่ดีมากๆทาง Bandai Namco จึงวางแผ่นใหญ่เพื่อแก้สถานการณ์ให้ดีขึ้นก็นั้นก็คือการให้ Ufotable ทำอนิเมะซีรีย์ฟอมยักษ์ให้ Tales of Zestiria ในชื่อว่า Tales Of Zestiria The X กำกับโดย Miura Takahiro ซึ่ง Tales Of Zestiria The X เป็นอนิเมะฟอมยักษ์สุดอลังการงานสร้างมาก แต่ทว่ากระแสเรื่องนี้กับเงียบกริบมากแถมยอดขายได้แค่ 2000 กว่าเองกลายเป็นอนิเมะแป๊กแห่งปี 2016 ของ Ufotable เนื่องจากผลของตัวเกมที่ทำออกมาไม่ดีทำให้แฟนๆไม่ค่อยติดตามเท่าไร Tales Of Zestiria The X ถูกมองว่าเป็นอนิเมะแก้กรรมเท่านั้น ต่อมาเลยเนื้อเรื่องไม่ดีเท่าไรแม้จะมีภาพสุดอลังการแต่เนื้อเรื่องของอนิเมะเรื่องนี้ไม่ค่อยจะสนุกเท่าไรแถม Tales Of Zestiria The X ยังยันความ Y เกินจนดูเลียนเอามากๆ ซึ่งความ Y จนเกินเหตุนั้นเป็นผลมาจาก Takahashi Takuro ผู้กำกับตอนของอนิเมะออกมาทวิตว่า จงใจทำเรื่องนี้ให้ Y เกินเพื่อล่อสาวฟุโจชิ แต่ผลปรากฏว่า สาว Y หนีกันหมดแถมกว่าทำให้ Y เกินก็ไปไล่คนดูชายด้วยนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ว่า Tales Of Zestiria The X มันถึงได้แป๊กขนาดนี้ แม้จะออกภาค Tales of Zestiria the X 2nd Season ในปี 2017 ที่ดีขึ้นมาหน่อยก็ตามที จนช่วงนี้ Ufotable เริ่มโดนมองว่าหากินได้แค่ Type Moon หากไม่มีเนื้อเรื่องดีๆของนาสุก็คงไม่รอดไปนานแล้ว
Tales of Zestiria the X
ในปี 2016 ทาง Ufotable ได้แอบไปรับงานกับ Type Moon ในการทำอนิเมะโปรโมตเกม Fate Grand oOrder ในอีเว้น Kara No Kyoukai และ Fate Zero
Fate Grand oOrder
หลังจากที่แห้วกับ Tales of Zestiria the X เหมือน Ufotable ยังไม่เข็ดกับการทำอนิเมะตีตลาด Y ถึงได้ไปรับงานซีรีย์เกม DDM สุดดังอย่าง Touken Ranbu ซึ่งผู้สร้างอย่าง Nitroplus ได้ให้สองสตูดิโมาทำ Touken Ranbu ได้แก่สตูดิโอ Doga Kobo ที่ทำ Touken Ranbu: Hanamaru ที่เป็นแนวคอมเมดี้กับ Ufotable ที่ทำ Katsugeki/Touken Ranbu ปี 2017 กำกับโดย Miura Takahiro ซึ่งแฟนสาวป่วยดาบต่างก็ตั้งตารอที่เกมโปรดของตัวเองกลายเป็นอนิเมะจากยอดฝีมืออย่าง Ufotable ซึ่งผลออกมากระแสตอบรับนั้นถือดีมากๆเลยถือเดียวถึงจะมีเสียงวิจารณ์แง่ลบด้านเนื้อเรื่องและความกล้าของ Ufotable ที่สร้างตัวละครซานิวะ (ตัวผู้เล่น) ของตัวเอง แต่ทว่าก็เกิดประเด็นดราม่าเขึ้นใน Katsugeki/Touken Ranbu เมื่อ Takahashi Takuro เจ้าเก่าเจ้าเดิมได้เป็นผู้กำกับภาพตอนที่ 8 ได้ออกมาทวิตว่า ตนตั้งใจทำฉากตัวละครยะเก็นถูกม้าเลียให้ดูลามกและตั้งใจทำหัวม้าให้เหมือนอวัยวะเพศชายทำให้เหล่าแฟนๆป่วยดาบไม่พอใจกันจนสาปส่งผู้กำกับภาพรายนี้แต่ทว่าเจ้าเดิมก็ไม่สำนึกแถมยังทวิตกวนประสาทแฟนๆป่วยดาบและยังยกยอตัวเองว่าเป็นทำอนิเมะ Katsugeki/Touken Ranbu โด่งดังไม่มีใครทำได้แบบเขา (แต่เจ้าตัวเขียนชื่อคันจิเรื่องผิดซะงั้น) ดราม่ายิ่งหนักเรื่อยๆจนทาง Ufotable ออกมาแถลงการขอโทษพร้อมให้วาเหตุว่าเจ้าตัวเมาจนไม่มีสติจำสิ่งที่ทำลงไม่ได้(แต่ลบทวิตได้) เล่นแฟนๆถึงกับกุมขมับกับเหตุผลที่ดูไม่ขึ้นของทาง Ufotable แม้ทว่าดราม่าครั้งนี้จะไม่ได้ส่งผลกระผลต่อกระแส Katsugeki/Touken Ranbu มากเท่าไรนักยังสมารถขายแผ่นกว่าหมื่นชุด แต่มันก็ทำให้ Ufotable เสียงชื่อพอสมควรในการจัดการกับพฤติกรรมบุคลากร
Katsugeki/Touken Ranbu
ฉากที่เป็นปัญหา
หลังจากที่ Ufotable ไปบุกตลาดสาว Y แล้วดูท่าจะไม่รุ่งและไม่ใช่แนวทางสตูดิโอเท่าไรทางสตูดิโอถึงหันกลับไปทำสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุดนั้นก็คือ Fate Series (สุดท้ายก็ไม่พ้น Fate) ซึ่งคราวนี้เป็นโปรเจคใหญ่ที่จะนำรูทที่สามเกม Fate/stay night ของอีกหนึ่งนางเอกอย่างซากุระที่ไม่เคยทำอนิเมะมาก่อนและขึ้นชื่อว่าเป็นรูทที่โหดที่สุดในเกม Fate/stay night ในก็คือรูท Heaven's feel โดยอนิเมะจะทำเป็นแบบภาพยนตร์ไตรภาคโดยภาคแรกมีชื่อว่า Fate/stay night Movie: Heaven's Feel - I. Presage Flower ปี 2017 กำกับโดย Miura Takahiro ซึ่งแฟนต่างๆรอคอยการมาของอนิเมะ Heaven's Feel อย่างมากเพราะนี้คือฝันที่รอคอยมายาวกว่าเกือบ 10 ปี ผลปรากฏว่าภาคแรกสามารถทำรายได้กว่า 400 ล้านเยนขึ้นเป็นที่ 1 ของ Box Office และหลังจากโรงก็สามารถขายแผ่นไปกว่า 53,000 ชุด เรียกได้ว่าปฐมบทแรกของ Heaven's Feel ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
Fate/stay night Movie: Heaven's Feel - I. Presage Flower
นอกจากโปรเจค Heaven's Feel แล้วทาง Ufotable ยังมีโปรเจค Fate/stay night อีกหนึ่งอย่างก็คือผลงานมังงะสปิลออฟเรื่อง Emiya-san Chi no Kyou no Gohan ที่เป็นอีกจักรวาลหนึ่งเป็นแนวทำอหารใสๆอบอุ่นหัวใจโดยฉายในปี 2018 ออกฉายเป็นรายเดือน กำกับโดย Miura Takahiro และ Satou Tetsuto ซึ่งแฟนๆต่างก็ชื่นชอบกันอย่างมากกับความน่ารักของเหล่าตัวละครโดยเฉพาะเซเบอร์ และเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า Ufotable ก็สมารถทำอนิเมะแนวฟิวกู๊ดคุณภาพได้เหมือนกัน
Emiya-san Chi no Kyou no Gohan
เพราะต้องทำ Emiya-san Chi no Kyou no Gohan เป็อนิเมะรายเดือนกับติดโปรเจค Heaven's Feel ทำให้ปี 2018 จึงงดอนิเมะซีรีย์ แผนโปรเจคอนิเมะที่ Ufotable จะทำในอนาคต เช่น ภาคสองของ Heaven's Feel ในชื่อว่า Fate/stay night Movie: Heaven's Feel - II. Lost Butterfly ที่จะฉายในเดือนมรกราคม ปี 2019 ต่อมาเป็นอนิเมะซีรีย์จากต้นฉบับมังงะเรื่อง Kimetsu no Yaiba ฉายในซีซั่นฤดูร้อนปี 2019 และ ล่าสุดกับโปรเจคของ Type Moon เรื่องใหม่ที่มีชื่อว่า Girls' Work โดยยังไม่ประกาศรายละเอียด
Fate/stay night Movie: Heaven's Feel - II. Lost Butterfly
Kimetsu no Yaiba และ Girls' Work
สตูดิโอ Ufotable ที่มีประวัติอันโชกโชนกว่าจะมาเป็นสตูดิโอเบอร์ต้นๆของวงการและขวัญใจแฟนๆนั้นได้ เป็นเพียงแค่สตูดิโอเล็กๆทำอนิเมะเกรดบีแถมชอบทำอะไรเกินตัวจนสร้างสถิตทำอนิเมะออริจินอลแป๊กสามเรื่องติดที่ชะตากรรมน่าจะเจ้งแน่ๆ จนกระทั้งมาสร้างปาฏิหาริย์โกงความตายกับ Kara no Kyoukai พลิกโฉมตัวเองใหม่จนมาสร้างความยิ่งใหญ่กับ Fate Series เป็นที่จับตามองว่าในอนาคตข้างหน้า Ufotable จะสร้างผลงานคุณภาพออกมาอย่างไรจะสามารถสร้างปรากฏการณ์แบบครั้ง Kara no Kyoukai กับ Fate Zero ไหม และทางสตูดิโอจะสมารถประสบความสำเร็จกับอนิเมะเรื่องอื่นนอกจาก Fate Series และ Type Moon ได้หรือไม่ คงต้องลอลุ้นกันต่อไป
อ้างอิง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น