ตอนที่ 4 : ตอนที่ 3
ถ้าทำอีก จะไม่ใช่แค่นี้...อินรินทร์
ฉันรู้สึกเหมือนจะได้ยินเสียงนี้ซ้ำ ๆ เป็นเซอร์ราวน์ลูกโซ่อยู่ในสมอง ภาพสีดำสนิทคล้ายห้วงอวกาศที่เห็นอยู่พักใหญ่ตรงหน้าค่อย ๆ ลางเลือนลง ฉันจึงกะพริบตาปริบถี่เพื่อปรับโฟกัสรับภาพของตัวเองให้เข้าที่
เมื่อกี้..เกิดอะไรขึ้น
แล้วเหตุการณ์เมื่อสักครู่ก็ไหลเข้ามาปานน้ำป่าทะลัก
-ตา-นั่น-จูบ-ฉัน!-
ฉันรู้สึกเหมือนเลือดทั้งหมดในตัวไปรวมกันอยู่ที่ใบหน้า ริมฝีปากยังร้อนวูบวาบ แล้วความโมโหก็วิ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเมื่อฉันนึกอีกอย่างได้ว่า
นี่มัน...จูบแรกของฉัน!
ฉันร้องกรี๊ดออกมาดังสนั่นอย่างไม่สนใจว่าใครจะได้ยินหรือไม่ จูบแรกอันเลิศเลอที่ฉันจินตนาการเอาไว้เสมอว่า มันจะต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งรัญจวนใจจากคนที่ฉันรัก แต่ทุกอย่างก็มาพังทลายลงเพราะตาปากจัดที่จูบฉันแล้วก็หนีไปนั่นคนเดียว!
ความโมโหทำให้ฉันลืมสถานะของตัวเองลุกพรวดขึ้นกะเอาไว้ว่าจะไปตามล่าล้างคนขโมยจูบมาซัดให้หนำใจให้ได้ ดังนั้นศีรษะของฉันก็เลยกระแทกเข้าเต็มเปากับโต๊ะทำงานหนาหนักจนได้ยินเสียงโป๊กดังลั่น
โอ้ย! ฉันร้องเสียงหลงหดตัวลงมานั่งจุ้มปุ้กใต้โต๊ะเช่นเก่า สองมือกุมศีรษะตัวเองกัดฟันกลั้นความเจ็บเอาไว้
ซวย...ซวยอะไรเช่นนี้!
เพราะคิดจะแกล้งเลยมุดเข้ามาใต้โต๊ะ แต่กลายเป็นว่าต้องเสียจูบแรกของชีวิต ทั้งยังต้องหัวโนเพราะความซุ่มซ่ามของตัวเองอีก แล้วยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อฉันเพิ่งจะเหลือบไปมองรองเท้าผ้าใบของตัวเองแล้วเห็นว่า
เชือกรองเท้าของฉันถูกตัด!
เคยได้ยินมาก็นานสำหรับคำนิยามว่าควันออกหู ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าอาการมันเป็นอย่างไร แต่วันนี้ฉันทั้งรู้ทั้งซึ้ง เพราะตอนนี้หูฉันอื้ออึงอลไม่ได้ยินเสียงใดอีกแล้ว รองเท้าผ้าใบคู่นี้อาปวินท์เป็นคนซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อปีก่อนที่ฉันทั้งรักทั้งหวง จะขัดจะล้างยังไม่ค่อยจะกล้าเพราะกลัวสีมันจะซีด
แล้วดูซิ...ดูสิ่งที่ตาบ้านี่ทำ
ฉันเผลอระบายอารมณ์ด้วยการยันเก้าอี้ของตาฆนาการอย่างแรงจนเก้าอี้ล้อเลื่อนตัวหรูแล่นไปกระแทกเข้ากับพนังด้านหนึ่งของห้องดังปึ่ง แม้จะเจ็บที่ศีรษะแต่ตอนนี้ความเจ็บที่ใจมันมีมากกว่า ฉันลุกขึ้นอย่างระมัดระวังก่อนยืนท้าวสะเอวมองดูรอบๆ ห้องทำงานสุดหรูขัดกับนิสัยอุบาทว์ (แน่ๆ) ของเจ้าตัวเป็นอย่างยิ่ง
ดู...ห้องก็ออกจะกว้าง แต่มีโต๊ะทำงานอยู่แค่ชุดเดียวกับโซฟารับแขกซึ่งก็วางของเอาไว้เสียเต็ม สงสัยจะไม่เคยมีแขกมาพบเป็นชาติ แต่ก็นั่นแหละ นิสัยอย่างนี้จะมีแขกที่ไหนมาหากันเล่า
ฉันเดินวนเวียนเป็นหนูติดจั่นอยู่หลายรอบ ดูจากเวลาแล้วสงสัยนายฆนากรจะต้องชิ่งหนีไปแล้วแน่ๆ แล้วก็จริงดังคาดเดา เมื่อฉันออกไปถามกับพี่สาวคนสวยที่เจอตอนแรก เธอก็บอกฉันด้วยหน้าตายิ้มแย้มชัดถ้อยชัดคำเลยว่า
คุณฆนากรกลับแล้วค่ะ
โอ้ย...ฉันอยากจะกรี๊ดค่ะ คุณโปรดิวเซอร์ขาใหญ่เลิกงานตั้งแต่ยังไม่สี่โมงเย็น!
แล้วจู่ ๆ ไอเดียอย่างหนึ่งในซอกความคิดอันบรรเจิดของฉันก็สว่างวูบ
ไม่อยู่อย่างนี้ก็สวยซิ....คุณฆนากร!
ฉันกลับบ้านมานอนลัลล้าอยู่บนเตียงนอนของตัวเองอย่างมีความสุข แม้จะต้องหงุดหงิดกับการที่ต้องทั้งขัดทั้งถูและบ้วนตามด้วยน้ำยาล้างปากล้างซวยอยู่หลายรอบ แต่พอคิดถึงสิ่งที่ตัวเอง ฝาก นายฆนาการเอาไว้แล้วก็ต้องหัวเราะคิกขึ้นมาอีกหน
ดี...อยากมาขโมยจูบฉันดีนัก
คิดถึงเรื่องจูบแล้วก็ขยะแขยง หมอนั่นเอาลิ้นเข้ามา...อี๊ ๆ ทำอะไรในปากของฉัน แถมยังทำให้ปากของฉันตอนนี้บวมเจ่อไปหมด โชคดีที่ตอนกลับถึงบ้านป๊ากับแม่ไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นอาจจะโดนสอบสวนจนน่วมก็ได้
แต่จะว่าไปฉันก็รู้สึกหวิว ๆ หัวใจยังไงก็ไม่รู้นะ แถมได้กลิ่นกาแฟจากปากของตานั่นด้วย
ฉันรีบยกนิ้วดีดหน้าผากตัวเองทันทีเมื่อเริ่มจะฟุ้งซ่านออกนอกเรื่อง ตาบ้านั่นเป็นศัตรูอันดับหนึ่งที่ฉันจะต้องกำจัด อารมณ์วาบหวามแบบนั้นฉันไม่ควรที่จะนึกถึงมันอีกแล้วตลอดชีวิตนี้!
สรุปได้อย่างนั้นฉันจึงได้นั่งคิดหาวิธีการเอาคืนสารพัดรูปแบบไว้ล่วงหน้า และเพื่อกันลืมฉันก็เตรียมสมุดเอาไว้สำหรับจดทุกวิธีการที่นึกได้ ข้อมูลเกี่ยวกับตานั่นบางส่วนฉันก็ใช้เวลาที่เหลือเมื่อช่วงเย็นจัดการรวบรวมเอาไว้เรียบร้อยแล้วด้วยความสามารถพิเศษเฉพาะตัว ก็หาถาม ๆ เอาจากพี่สาวคนสวย แล้วก็พี่สาวฝ่ายบุคคลนั่นแหล่ะ (แต่ตอนถามฉันก็ต้องเม้มปากตัวเองเกือบแย่ เพราะตอนนั้นมันก็เริ่มบวม ๆ แล้ว อี๊ ๆ อีตาบ้า)
ฉันเลยเขียนรวบรวมข้อมูลส่วนตัวของหมอนั่นออกมาก่อน แล้วก็ได้เป็นแบบนี้
ข้อที่ 1. หมอนั่น ทำงานอยู่ที่ Heart Rhythm มาตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ มีผลงานดีเป็นที่ยอมรับ ปัจจุบันเป็นโปรดิวเซอร์มือทองคนหนึ่งรองจากอาของฉัน (อันนี้ไม่น่าเชื่อมาก ๆ ว่าจะใช่)
ข้อที่ 2. หมอนั่นให้ความเคารพและเชื่อฟังอาของฉันมาก ๆ
ข้อนี้ฉันยิ้มกริ่ม เพราะถ้าเกิดหมอนี่มารังแกฉัน ฉันก็ฟ้องอาได้เลย หึหึ..
ข้อที่ 3. เวลาทำงานหมอนั่นมักจะจริงจังเสมอ แล้วก็ชอบทำหน้าเข้ม ๆ ดุ ๆ (อันนี้เห็นด้วย) แต่ก็ใจดีกับลูกน้อง และให้ความเป็นกันเองกับเพื่อนร่วมงานทุกคน (ทำไมมีแต่ข้อดีฟร่ะ แต่ไม่เป็นไร ค่อยหาโอกาสใช้ความใจดีของหมอนั่นเอาคืนทีหลัง ทีนี้แหละ เจ็บแสบ!)
ข้อที่ 4. หมอนั่นฮอตฮิตมากในกลุ่มสาว ๆ ที่สำคัญ ยังไม่มีแฟน!
เอ๊ะ! ข้อนี้เกี่ยวอะไรด้วย
ฉันถามตัวเองก่อนจะต้องมองดูข้อสี่ที่ฉันเขียนเน้นคำว่า ยังไม่มีแฟน เป็นพิเศษ สงสัยจะโดนพี่สาวสองคนนั้นปั่นหูเอาไว้มาก เพราะเท่าที่ถาม ๆ ดูก็รู้สึกได้เลยว่า ทั้งสองคนดูจะปลื้มคุณฆนากรเข้าอย่างแรง
คราวหน้า...เปลี่ยนเป้าหมายถามเป็นผู้ชายบ้างก็ดี...
หลังจากลิสต์รายละเอียดคร่าว ๆ เกี่ยวกับตัวหมอนั่นเอาไว้ ฉันก็หันกลับมาคิดหาวิธีการเอาคืนสารพัดวิธีที่พอจะคิดได้ในเวลานี้บ้าง
เอ๋...เอาแบบไหนดีหว่า
ฉันนึกไปถึงละครทีวี ที่พระเอกนางเอกไม่ถูกกัน แล้วก็ชอบแกล้งกันไปแกล้งกันมาให้คนดูปวดหัวเล่น แต่เท่าที่นึก ๆ ได้ก็มีแค่ชิงไหวชิงพริบทางฝีปาก (ซึ่งอันนี้ฉันถนัดอยู่แล้วไม่ต้องพึ่งตัวอย่าง) ดูแล้วก็ไม่มีอะไรหนักข้อเป็นพิเศษที่พอให้หอมปากหอมคอกับความผิดของหมอนั่น เอาเป็นว่า ฉันคิดของฉันเองสด ๆ ดีกว่า
วิธีที่ 1. อืม ๆ ทากาวดักหนูไว้ที่เก้าอี้ตัวงามนั่น แล้วก็ให้เจ้าตัวนั่งหมุนเล่น ๆ สักสองสามรอบ จากนั้นก็ หุหุ....ติดกับเก้าอี้ไปซ้า...
วิธีที่ 2. หรือว่า...จะเจาะลมยางรถหมอนั่นดี (แต่คันไหนว่า ไม่เคยเห็น จดเอาไว้ว่าต้องไปหาถาม)
วิธีที่ 3. ใส่สรอทในน้ำหรือกาแฟให้วิ่งจู๊ด ๆ แล้วก็ล๊อคห้องน้ำ (อุ้ย อันนี้มุกในละคร จำได้ๆ)
วิธีที่ 4. ส่งกล่องของขวัญที่ใส่นาฬิกาปลุกดังติ๊ก ๆ ไว้ข้างในไปให้ แล้วให้หมอนั่นเปิดท่ามกลางใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ
ไม่เอา ๆ อันหลังนี่อึกทึกเกินไป เดี๋ยวเป็นเรื่องใหญ่ตกใจกันทั้งตึก
ฉันส่ายหัวพร้อมกับขีดฆ่าตรงวิธีที่สี่ คิดตั้งนานเพิ่งจะหาวิธีใช้ได้แค่สามข้อ...ก็ฉันเป็นคนดีนี่นะ เคยแกล้งใครเป็นเสียที่ไหนกัน
แล้วเสียงเคาะประตูห้องนอนก็ดังขึ้นขัดจังหวะการคิดหาวิธีแกล้งนายโปรดิวเซอร์ขาใหญ่ ฉันกระเด้งตัวอย่างอัตโนมัติขึ้นจากเตียง เก็บสมุดจดวิธีการไว้ใต้หมอนแล้วรีบวิ่งไปส่องดูริมฝีปากตัวเองที่หน้ากระจก ก่อนจะโล่งใจเมื่อเห็นมันเข้าสู่สภาวะปกติจึงเดินไปเปิดประตู
ทำอะไรอยู่ อาปวินท์โทรหาตั้งหลายรอบทำไมไม่รับโทรศัพท์ แม่จ้องหน้าฉันอย่างสงสัยตอนที่ถาม ทำเอาฉันร้อน ๆ วูบ ๆ เพราะกลัวคนตาดีอย่างแม่ฉันจะสังเกตเห็น
โทรศัพท์หนูไม่ได้เปิดเสียงเอาไว้ค่ะ สงสัยจะลืมตั้งแต่ตอนเข้าไปสัมภาษณ์ ฉันตอบตามความจริงเพราะฉันไม่ได้เปิดเสียงโทรศัพท์เอาไว้จริง ๆ นั่นแหละ...ว่าแต่ มือถืออยู่ไหนหว่า...
อ้าว ไปมาวันนี้เหรอ นึกว่าจะรออาปวินท์กลับจากต่างหวัดเสียอีก แม่ชวนคุยพร้อมกับเดินแทรกตัวเข้ามาในห้อง ทำเอาฉันใจเต้นเพราะลองอีหรอบนี้แม่คุยยาวแน่ แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อแม่ลากสตูหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมานั่งเรียบร้อย ฉันเลยไปนั่งลงบนเตียงของตัวเองบ้างก่อนตอบ
คุยกับอาปวินท์ว่าไปวันนี้ค่ะ
แล้วเป็นไง? แม่ถามท่าทางลุ้น ๆ ทำให้ฉันเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้บอกใครเรื่องนี้เลย
เรียบร้อยแล้วค่ะ พรุ่งนี้เริ่มงาน
เหรอ... แม่ทำเสียงคล้ายเสียดาย ก่อนจะรีบยิ้มให้ฉันเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าควรจะดีใจที่ลูกได้งานทำ
ยินดีด้วยนะลูก แล้วก็ตั้งใจทำงาน อย่าไปป่วนอาปวินท์เขาล่ะ
โธ่ แม่...หนูไม่ใช่เด็กเล็ก ๆ แล้วนะคะ ฉันเอ่ยด้วยน้ำเสียงงอน ๆ ทำหน้าย่น แม่เลยลุกขึ้นยืนเดินมาเอามือวางลงบนศีรษะของฉันแล้วโยกเบา ๆ
ไม่ใช่เด็กนี่ล่ะตัวดี ยิ่งโตยิ่งวุ่น
สัญญาเลยค่ะว่าจะไม่ป่วนให้อาปวินท์ปวดหัว ฉันฉีกยิ้มชูสามนิ้วปฏิญาณประกอบเลยทีเดียว แต่ฉันสัญญาว่าจะไม่ป่วนอาปวินท์นะ ไม่ใช่ไม่ป่วนโปรดิวเซอร์คนอื่น!
ก็ดีจ้ะ งั้นรีบนอนล่ะ พรุ่งนี้จะได้ตื่นแต่เช้า
ค่ะแม่
เสียงประตูที่ปิดสนิทลงทำให้ฉันถอนหายใจเฮือกล้มตัวลงนอนแผ่หลา โชคดีที่แม่ไม่ได้ถามลงรายละเอียดมากเหมือนทุกครั้ง ไม่อย่างนั้นหากเล่าถึงตอนสัมภาษณ์ ฉันจะต้องเผลอหลุดอะไรเป็นพิรุธให้ถูกซักไซ้ไล่เลียงเป็นแน่
ฉันหยิบเอาสมุดจดวิธีการแกล้งนายโปรดิวเซอร์ขาใหญ่คนนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่นี้แม่บอกว่าอาปวินท์โทรมานี่นา
ฉันจึงกระโดดลงจากเตียงอีกหน หันซ้ายหันขวาอยู่สองสามรอบก่อนมองหาโทรศัพท์ของตัวเอง
อยู่ไหนหว่า
ฉันรีบวิ่งไปที่กางเกงยีนส์ตัวโปรดก่อนล้วงไปที่กระเป๋าหลัง ปกติฉันชอบลืมเอาโทรศัพท์กับบรรดาของในกระเป๋าออกมาเป็นประจำ
เฮือกกก ไม่มี
ใจหายวาบ หน้าฉันซีดเหลือสองนิ้ว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตอนกลับมาถึงห้อง เพื่อนฉันที่อยู่อเมริกาโทรมาคุยด้วยนี่นา แล้วฉันก็เข้าห้องน้ำไปอาบน้ำเลย
พอคิดถึงตอนนี้ฉันจึงรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ แล้วก็พบมันนอนแอ้งแม้งอยู่ตรงข้างอ่างล้างหน้า
เฮ้อ...ตกใจ นึกว่าหล่นใต้โต๊ะตอนนั้นเสียอีก
เปิดโทรศัพท์ดูก็พบมีสคอลอยู่สามสายจริง ๆ เป็นของอาปวินท์คนเดียวเสียด้วย ฉันจึงรีบกดต่อสายกลับ ไม่นานอาปวินท์ก็รับสายด้วยเสียงทุ้มรื่นหูที่คุ้นเคย
[ไงคะคนเก่ง ได้งานทำแล้วไม่บอกอาคนนี้เลยนะ]
ขอโทษค่ะอาปวินท์ พอดีหนูอินคิดอะไรเพลินไปหน่อยเลยไม่ได้โทรหา
[คิดเรื่องเตรียมตัวไปทำงานพรุ่งนี้อยู่เหรอหนูอิน]
ฉันขมวดคิ้วอย่างสงสัยทันทีพออาปวินท์พูดประโยคนี้จบ
เอ๋...อาปวินท์รู้ได้ไงคะ
[คนสัมภาษณ์เราเค้าโทรมาบอกน่ะ เห็นว่าเราฟิตอยากเริ่มงานพรุ่งนี้เลย]
หู้ยยย อีตาขี้ฟ้อง ต้องไปจดเพิ่มอีกเรื่องซะแล้ว
แหม อาปวินท์ก็...หนูอินไม่ฟิตขนาดนั้นหรอกคะ
[เห็นชมหนูอินด้วยนะว่าท่าทางครีเอทดี ไปทำอะไรหรือเปล่าเนี่ยเรา]
ไม่มีอะไรนี่คะ ฉันรีบกัดฟันตอบทันทีก่อนคิดในใจ
ไม่ได้ทำอะไรเลย แค่มุดเข้าไปใต้โต๊ะ ผูกเชือกรองเท้าไว้ด้วยกัน แล้วก็โดนจูบ...แค่นั้นเอ๊งงงง
[ก็ดีแล้ว อาฝากเขาให้ดูแลสอนงานเอาไว้แล้วนะ ยังไงก็เรียนรู้จากเขาเอาไว้ เพราะนั่นก็มือทองคนหนึ่งเหมือนกัน]
ค่ะ อาปวินท์ หนูอินจะตั้งใจเรียนรู้อย่างเต็มที่เลยค่ะ
แล้วก็ตั้งใจเอาคืนอย่างเต็มที่ด้วย
[ดีแล้ว เอาไว้อากลับไปจะแบ่งงานให้ชัดเจนอีกที แค่นี้นะหนูอิน เจ้าตัวเล็กเรียกให้ไปเล่านิทานแล้ว]
ค่ะ...ฝากความคิดถึงอาสาวกับเจ้าหนูด้วยนะคะ สวัสดีค่ะ
ฉันกดวางสายก่อนจะยิ้มให้กับความน่ารักของครอบครัวอาปวินท์ อาสาวเป็นคนน่ารักมาก ๆ เป็นผู้หญิงสวย หวาน แต่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว (ผิดกับฉันลิบลับเลยแฮะ) ฉันคิดว่าหากใครได้เป็นภรรยาคงจะโชคดีเอามาก ๆ (ก็อาฉันยังไงล่ะที่โชคดี) แถมยังมีเจ้าหนูตัวเล็กที่น่ารักนิสัยดีไม่แพ้พ่อกับแม่อีกด้วย
คิดแล้วก็เลยเถิดมาถึงเรื่องของตัวเอง โตมาจนป่านนี้ฉันยังไม่เคยรู้สึกรักใครจริง ๆ จัง ๆ เลยสักหน ไอ้ที่ชอบพอกันอยู่ก็มีบ้าง แต่ไป ๆ มา ๆ ก็หายเกลี้ยง ไม่มีใครทนนิสัยฉันได้เลยสักคน ก็ยอมรับนะว่าตัวฉันเองเอาแต่ใจ แต่จะให้แก้ตอนนี้มันก็คงจะสายเกินไปเสียแล้ว
ชาตินี้ จะมีใครไหมนะที่รับฉันได้
ภาพของนายฆนากรอยู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาทำเอาฉันร้อนวูบวาบ หัวใจเต้นตูมตามตึกตักขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ แถมสมองยังย้อนฉายเหตุการณ์เมื่อตอนบ่ายซ้ำอีกครั้ง
จูบวาบหวาม...รสกาแฟ
อ๊างงงงงงงงงงงงงงงงงง!
ฉันตื่นแต่เช้าเพราะเมื่อคืนเล่นเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ หลังฟุ้งซ่านแปดตลบจนต้องตบเรียกสติตัวเองไปหลายหน หมุนซ้ายหมุนขวาดูผู้หญิงสวยในกระจก (ชมตัวเองก็เป็น) ก่อนวิ่งลงบันไดไปชั้นล่างตรงไปยังโต๊ะอาหารที่ป๊ากับแม่นั่งประจำที่กันเรียบร้อย
อรุณสวัสดิ์ค่ะป๊า ค่ะแม่
ตื่นเช้าเชียวนะหนูอิน ดีใจที่ได้งานทำจนนอนไม่หลับหรือไง ป๊ามองดูฉันแล้วยิ้ม ๆ ตอนถาม
ก็นิดหน่อยค่ะป๊า เลยรีบตื่นหน่อยเพราะไม่อยากไปสายตั้งแต่วันแรก
แล้วก็ต้องรีบไปเตรียมการแกล้งคนเอาไว้ด้วย
ดีแล้วล่ะ ทำงานที่ไหนก็อย่าสาย ยิ่งเป็นหลานอาปวินท์ด้วยแล้ว ก็ยิ่งต้องทำให้ดีมากกว่าคนอื่นหลายเท่า คนเขาจะได้ไม่ว่าเอาว่าได้ทำงานเพราะเส้น
ป๊าพูดแทงใจดำมิด ทำเอาฉันเอ่ยตอบรับคำหนัก ๆ โดยไม่รู้ตัว
ค่ะป๊า...รับรองว่าหนูอินไม่มีทางทำให้อาปวินท์เสียชื่อแน่นอน!
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ฉันก็ลังเลระหว่างการนั่งรถเมล์ไปทำงานกับขับรถไปเองอยู่ชั่วครู่ ในที่สุดฉันก็ตัดสินใจที่จะขับรถไปเอง เพราะจำเป็นต้องรีบไปดูผลงานที่ทำเอาไว้ก่อนที่คนถูกแกล้งจะมาเห็น
โชคดีที่รถไม่ได้ติดมากมายเท่าไหร่ ครู่ใหญ่ ๆ ฉันก็ขับรถมาถึงที่ทำงานใหม่วันแรก ฉันสูดหายใจลึก ๆ ลงไปในปอดก่อนก้าวลงจากรถด้วยความมาดมั่น บริกรรมคาถาป้องกันภัยเอาชนะศัตรูที่แม่เคยสอนเอาไว้หนึ่งรอบแล้วต้องรีบฉีกยิ้มทักทายเมื่อเจอพี่สาวฝ่ายบุคคลตั้งแต่ยังไม่ได้ทันขึ้นลิฟท์
มาแต่เช้าเลยนะคะน้องอินรินทร์
สวัสดีค่ะพี่แบม ฉันยกมือกระพุ่มไหว้ก่อนจัดการตีสนิท เรียกอินเฉย ๆ ก็ได้ค่ะพี่แบม
จ้ะ...น้องอิน
จากนั้นฉันก็เดินคุยกับพี่แบมไปเรื่อย ๆ จนพี่แบมแยกไปที่แผนกของตัวเองเมื่อเข้ามาถึงออฟฟิศ ส่วนฉันก็เดินตรงไปยังห้องทำงานของตัวเอง
ไม่ต้องงง ห้องทำงานใหม่ของฉันจริง ๆ
ห้องทำงานใหม่ที่ฉันว่า ก็คือห้องที่เมื่อวานมีคนใจดีบอกให้นั่งด้วยนั่นแหละ แต่เวลานี้จากห้องทำงานที่มีเพียงโต๊ะทำงานหนึ่งตัว กับโซฟารับแขกแค่ชุดเดียว กลับมีโต๊ะทำงานเพิ่มขึ้นมาอีกตัวซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งตรงข้าม เงยหน้าจากกองเอกสารขึ้นมาก็จ้ะเอ๋กันพอดิบพอดี
ชิ! นึกว่าฉันจะไม่กล้าเรอะ
เมื่อวานหลังจากรู้ว่าตานั่นเผ่นไป ฉันก็จัดแจงหาตัวช่วยด้วยการขยับคำพูดอนุญาตให้นั่งของตานั่นเล็กน้อยเอาไปโม้กับพี่สาวแผนกบุคคล จากนั้นโต๊ะทำงานของฉันก็โผล่เข้ามาตั่งเด่อยู่ในห้องนี้ตามความประสงค์และสะใจของฉัน
เก้าอี้นุ่ม ๆ ที่ฉันเพิ่งหย่อนก้นลงนั่งกับทำเลทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อย คุณฆนากรคงจะอกแตกตายแน่ที่เห็นฉันนั่งสบายอารมณ์อยู่ในห้องทำงานของเขา
แต่สาบานได้! ฉันไม่ได้คิดหาเรื่องให้โดนจูบอีกรอบนะ
แม้จะกลัวกับคำขู่ที่ตานั่นพูดเอาไว้ก่อนหนีไปเมื่อวานอยู่เล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เจตนารมณ์ในการแกล้งของฉันเปลี่ยนไป แล้วเมื่อคืนหลังฟุ้งซ่านเสร็จ ฉันยังหาวิธีการป้องกันการโดน..เอ่อ...จูบ แบบเมื่อวานแล้วด้วย
พอคิดถึงตรงนี้แล้วฉันก็ยิ้ม เพราะการเอาคืนเรื่องจูบแรกของฉัน มันไม่ได้มีแค่นี้!
ฉันฮัมเพลงอย่างสบายอกสบายใจก่อนเดินไปดูสิ่งที่ทำไว้เป็นที่ระลึกให้นายฆนากร มันยังคงอยู่ดีเรียบร้อยเหมือนเมื่อวานเปี๊ยบ พอเหลือบดูโดยรอบ ฉันก็เห็นร่องรอยการทำความสะอาดห้อง ทำให้ต้องยิ้มกริ่มขึ้นอย่างถูกอกถูกใจ
แม่บ้านที่นี่ทำความสะอาดห้องทุกห้องทุกวันค่ะน้องอินรินทร์ เสียงพี่สาวฝ่ายบุคคลบอกหลังจากที่ฉันถามถึงเรื่องการทำความสะอาดออฟฟิศ ตามมาด้วยเสียงขำ ๆ ของพี่สาวคนสวยตรงโต๊ะประชาสัมพันธ์
อ๋อ...ถ้าน้องอินรินทร์อยากรู้เรื่องอะไรที่นอกเหนือจากเรื่องงานที่พี่เล่าให้ฟังนะคะ ลองไปหาข้อมูลแถว ๆ ห้องกาแฟที่ติดกับห้องพักแม่บ้านประจำออฟฟิศตอนเช้า ตรงนั้นล่ะค่ะ แหล่งข่าวอย่างดี
ไม่น่าเชื่อว่าฉันจะจับเอาสองเรื่องที่ได้ฟังต่างเวลากันมาผสมเป็นสูตรสำเร็จในการแกล้งคนได้อย่างลงตัว แต่เดี๋ยวฉันจะต้องไปเช็คสักหน่อยว่าได้ผลหรือไม่แล้วก็น่าพอใจอยู่ในระดับไหน
ฉันเดินมาถึงแล้ว ห้องกาแฟของที่นี่ไม่ใหญ่แล้วก็ไม่เล็กมาก อยู่ในระดับกลาง ๆ แต่ก็จัดเอาไว้ได้อย่างเก๋ไก๋ไม่แพ้ห้องอื่น มีมุมชงกาแฟ แล้วก็มีชุดเก้าอี้หลากสีสันสดใสสำหรับนั่งพักอยู่สามชุด พนักงานที่มาถึงแต่เช้าเริ่มจับกลุ่มคุยกันฆ่าเวลาก่อนทำงาน และหนึ่งในจำนวนนั้นก็มีแม่บ้านประจำออฟฟิศที่ฉันแอบดูหน้ามาแล้วเมื่อวานรวมอยู่ด้วย
ฉันยิ้มทักทายเมื่อมีหลายคนยิ้มให้เพราะจำได้ว่าฉันคือใครและเป็นหลานใคร ก่อนที่ฉันจะหันไปชงกาแฟแกล้งทำเป็นไม่สนใจฟังเรื่องที่เค้ากำลังนั่งเม้าท์กันอย่างเมามันอยู่
จริงเหรอป้า...ไม่น่าเชื่อเลยนะว่าคุณฆนากรสุดหล่อจะเป็นแบบนั้น
ป้าเห็นมากับตาเลยนะ เสียดายจัง
นั่นซิป้า...มิน่า ถึงไม่ยอมมีแฟนสักที
ฉันแทบจะหัวเราะก๊ากออกมาทันทีเมื่อได้ยินแบบนั้น แต่ก็พยายามกลั้นเอาไว้ทำหน้าเฉย ๆ แล้วเดินถือกาแฟหอมกรุ่นถ้วยพอเหมาะออกมาเงียบ ๆ
แต่พอออกมานอกห้องได้ ฉันก็ต้องเอามือข้างหนึ่งกุมท้องหัวเราะคิก
สมน้ำหน้า นายฆนาการ!
ฉันนั่งจิบกาแฟรอเจ้าของห้องตัวจริงมาอย่างสบายอกสบายใจ ตอนแรกที่คิดวิธีการนี้ได้ฉันก็รู้สึกเสี่ยงอยู่ไม่น้อย เพราะพี่สาวฝ่ายบุคคลนั้นบอกว่าส่วนใหญ่แล้วนายฆนาการจะไม่ค่อยเข้ามานั่งทำงานในห้อง แล้วถ้าหากเป็นอย่างนั้นแผนการของฉันก็คงจะไม่สำเร็จ ดังนั้นฉันเลยจัดการขอความร่วมมือจากพี่สาวฝ่ายประชาสัมพันธ์คนนั้นให้ช่วยอีกแรง ด้วยการให้ช่วยบอกตานั่นด้วยว่า เช้านี้ฉันจะเข้ามารอเขาที่ห้อง ซึ่งรับรองได้เลยว่าเขาจะต้องรีบมาทันทีอย่างไม่ต้องสงสัยแน่ ๆ
เห็นไหม ฉันออกจะนิสัยดี มาทำงานวันแรกก็ได้ตีสนิทได้ถึงสองคนแล้ว
ฉันเหลือบมองดูนาฬิกาบนข้อมือตัวเองก่อนจะยิ้มกริ่ม ข้อมูลที่เพิ่งจะได้มาอีกอย่างก็คือ นายฆนากรเป็นคนมาทำงานตรงเวลาทุกวัน แล้วเวลานี้ก็... แปดโมงห้าสิบเก้านาที...
อีกหนึ่งนาที
แล้วก็...เก้าโมงตรง!
ประตูห้องเปิดพร้อมกับร่างสูงที่เดินลิ่ว ๆ เข้ามาปานพายุหมุน ก่อนจะมาหยุดตรงยืนหน้าเข้มที่โต๊ะทำงานของฉัน
ใครให้คุณยกโต๊ะเข้ามาในห้องผม เสียงถามเข้มมาก จนฉันต้องวางกาแฟในมือที่คิดว่าเข้มแล้วลง
ก็คุณไง
ผมบอกเมื่อไหร่
เมื่อวานไง ตอนที่คุณบอกว่า นั่งในห้องผมก่อนแล้วกัน ไง ฉันทวนคำพูดเหมือนเป๊ะที่เมื่อวานเขาพูดเอาไว้ตอนกวนประสาทฉัน วันนี้ฉันเอาคืนบ้างล่ะ!
ดวงตาคมดุบนใบหน้าเข้ม ๆ นั้นจ้องฉันปานจะกลืนเข้าไปทั้งตัวได้
เล่นแบบนี้เหรอ อินรินทร์
ไม่ได้เล่น มาทำงานค่ะ ฉันตอบ แบบไม่ได้กวนด้วยนะ ก็ฉันมาทำงานจริงจริ๊ง ไม่ได้โม้...
ดี! ดูซิว่าเธอจะทนได้ซักกี่น้ำ อินรินทร์!
หมอนั่นเรียกชื่อฉันเต็ม ๆ เป็นหนที่สองตั้งแต่เจอหน้า ก่อนเดินกระแทกเท้าหนัก ๆ ไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
ตอนนี้แหล่ะ ที่ฉันรอคอย!
ฉันจ้องมองใบหน้าเข้มที่เริ่มขึ้นสีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมันแดงก่ำไปหมดไม่เว้นกระทั่งใบหู แล้วเสียงกำปั้นทุบโต๊ะก็ดังขึ้นปั่ง! ก่อนเสียงเข้มยิ่งกว่ากาแฟยังไม่ได้สกัดจะดังสนั่นตามมาติด ๆ
นี่มันอะไรกัน อินรินทร์!
อะไรเหรอคะ คุณฆนากร ฉันถามกลับทำหน้าใสซื่อ ขณะที่นายฆนากรนั่นลุงพรวดขึ้นจากเก้าอี้ชี้นิ้วไปยังหน้าจอคอมพิวเตอร์สลับกับกรอบรูปที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานของตัวเอง
อะไรงั้นเหรอ ฝีมือเธอใช่ไหมไอ้ข้อความกับรูปอุบาทว์ ๆ เนี่ย!
ไหนคะ แล้วอะไรที่อุบาทว์ ๆ ฉันถามขณะทำหน้าใสสื่อเช่นเก่า ทำให้เขาที่กำลังจ้องหน้าฉันอย่างเอาเป็นเอาตายตะโกนลั่นขึ้นอย่างเหลืออด
ก็มาดูซิ! มาดูฝีมือเธอ อินรินทร์!
ฉันจึงได้ลุกจากโต๊ะทำงานตัวเอง ก่อนค่อย ๆ เยื้องย่างไปยังโต๊ะทำงานของเขา ยังไม่ทันจะเดินถึงดี กรอบรูปบานขนาดเท่าหนังสือเล็ก ๆ ก็ถูกโยนมาให้รับก่อนทั้งบาน
ไม่ต้องพลิกขึ้นมาฉันก็รู้ว่ามันเป็นรูปอะไร แต่เพื่อความสมจริงและสะใจ ฉันจึงได้กรีดกรายใช้นิ้วสวย ๆของตัวเองหยิบมันชูขึ้นมาดู
ในกรอบรูปที่เคยมีภาพของนายฆนากรแอ๊คท่าหล่ออยู่คนเดียว บัดนี้มีภาพชายหนุ่มอีกคนที่ดูยังไงก็รู้ว่าสังกัดเพศที่สามมายืนอยู่ใกล้ ๆ ส่งยิ้มให้ฆนากรในภาพด้วยสายตายั่วยวน ใต้ภาพมีคำบรรยายที่สุดแสนจะน่ารักว่า
Love you
my darling
ฉันเกือบจะหัวเราะพรวดแต่ก็ยังสะกดกลั้นเอาไว้ได้ เพราะนายฆนากรยังยืนหน้าแดงหน้าเขียวจ้องฉันอยู่ตาไม่กะพริบ
คิดได้ยังไง ใครนะ เก่งจริง ๆ
ยังมีนี่อีก...ผลงานของคุณ อินรินทร์!
เสียงตะคอกที่ดังขึ้นทำให้ฉันต้องหันไปมองตามสิ่งที่นายฆนากรกำลังชี้นิ้วให้ดู
...ไม่เห็นมีอะไรเลย ก็แค่หน้าจอคอมพิวเตอร์บนโต๊ะของเขา มีข้อความตัวโต ๆ ว่า
รักเกย์นะ แต่ไม่แสดงออก
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โห อย่างนี้ใครโดน ลมไม่ออกหูก็แปลก
ทำไปได้ อิ อิ
แต่คราวนี้จะถูกแก้คืนอย่างไรน้า
อยากรู้ อยากรู้
เอ่อ... มีโหวดความหื่นของพระเอกเกิน 100 % ไหมคะ จะให้ไปเลย 100 % +++
555 ความอ่านกินผู้หญิงของท่าน สุดยอดดดดด
ดูความคิดพี่แก
มาต่ออีกนะจ๊ะ
555+
ฟังพระเอกบรรยายแล้วแอบขำปนๆ ไปหน่อย
ช่างละเอียดลออและเก็บรายละเอียดได้ดีสุดๆ ไปเลย
นี่ถ้าหนูอินรินทร์มารู้ความคิดของหมอนี่มีหวังหน้าแดงด้วยความโกรธปนอายแน่ๆ
ที่ตอนแรกบอกไม่หื่นนี่โกหกชัดๆ
รอตอนต่อไปนะคะพี่อัค
งานนี้แหละ ... สนุกแน่นอนพี่น้องคร๊าบ
อัพต่อไวๆนะคะ
อัพต่อไวๆนะค้าาา
ฮาดีอ่ะ ดวงตาสระอิ ฮิๆๆๆ