คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : ตอนที่ 9 : หว่านเสน่ห์ {2}
คำตอบนี้ทำเอาอาทิตย์หัวเราะร่วน ในขณะที่นัทชาพยายามกลั้นยิ้ม
และไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นอกจากนั่งไปเงียบๆ
จนกระทั่งรถเลี้ยวเข้าไปจอดที่หน้าเรือนใหญ่
ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นมันแบบเต็มสายตา
“จริงสิ
ตกลงว่าลุยซ์จะให้หนูน่านมาดูแลพ่อแทนหนูแพรเลยไหม” ผู้เป็นบิดาหันมาถาม
“ผมว่ารออีกสักพักดีกว่านะครับ
เพราะช่วงนี้น่านยังเดินไม่ค่อยสะดวกนัก ยังดูแลพ่อไม่ได้เต็มที่เท่าแพรหรอกครับ”
เขาไม่ปฏิเสธ แต่ก็ยังต้องการให้นัทชาได้พักรักษาตัวให้หายดีก่อน ระหว่างนี้หน้าที่ดูแลบิดาจึงยังต้องตกเป็นของแพรสุดาต่อไป
อาทิตย์พยักหน้ารับรู้ตามนั้น
เอ่ยปากบอกลานัทชาอย่างเป็นกันเอง แล้วปล่อยให้ลูกชายช่วยพยุงลงจากรถ
เพื่อขึ้นไปส่งบนเรือนใหญ่ เมื่อได้เอนตัวลงบนเตียงนอนแล้ว
ผู้เป็นพ่อก็เอ่ยปากไล่ให้รีบออกไปทันที เพราะต้องการนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่
หนำซ้ำยังกำชับอีกด้วยว่าให้ลุยซ์อยู่ที่เรือนรับรองไปก่อน
เพื่อคอยดูแลผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนัทชา
ในฐานะที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอต้องได้รับบาดเจ็บ
น่าแปลกที่ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกหนักใจอะไร ตรงกันข้ามยังเห็นด้วยกับบิดาด้วยซ้ำ
นัทชามองไปรอบๆ ด้วยความสนใจ
พบว่าที่นี่ช่างน่าอยู่เสียเหลือเกิน เธอไม่ชอบความวุ่นวายในเมืองใหญ่
รำคาญมลพิษทางอากาศ และเบื่อรถติดยาวเหยียดในทุกๆ เช้า แต่เธอชอบบรรยากาศแบบนี้มาก
นอกจากจะมีธรรมชาติสวยงามให้ชมอย่างสบายตาแล้ว
เธอยังรู้สึกหายใจได้เต็มปอดขึ้นกว่าเดิมเยอะทีเดียว ลุยซ์ซอยเท้าลงบันไดมา
ตรงมาที่รถแล้วดึงประตูเปิดออก
“ลงมานั่งข้างหน้าสิ” เขาสั่ง
“ทำไมเหรอคะ?” นัทชาเลิกคิ้วประกอบคำถาม
“ก็ฉันไม่ใช่คนขับรถของเธอนี่ยัยคุณนาย ลงมา” เขาย้ำ แล้วถือวิสาสะช่วยประคองคนตัวเล็กลงมาจากเบาะหลัง
พาไปนั่งที่เบาะหน้าข้างคนขับแทน
ตั้งใจว่าจะพาผู้อาศัยคนใหม่ไปเที่ยวชมพื้นที่รอบๆ ฟาร์มเสียหน่อย แต่อย่าได้คิดว่าเขาชอบขี้หน้าเธอเชียวนะ
เขาแค่อารมณ์ดีจากการที่พ่อยอมเข้าผ่าตัดก็เท่านั้นเอง
“คุณจะพาฉันไปไหนคะ” นัทชาถามด้วยความแปลกใจ
เมื่อเห็นเขาขับรถเลยเรือนรับรอง
แล้วมุ่งหน้าเข้าไปสู่พื้นที่กว้างขวางของฟาร์มวราทิตย์
“พาเธอมาดูส่วนต่างๆ ของฟาร์มไง เผื่ออาจมีประโยชน์ในอนาคต
เพราะถึงเธอจะมาทำงานที่นี่ในฐานะสาวใช้หรืออาจจะได้เป็นพยาบาลคอยดูแลพ่อฉัน
แต่เธอก็ถือว่าเป็นคนของฟาร์มวราทิตย์
ดังนั้นเธอควรรู้ว่าภายในฟาร์มมีอะไรที่สำคัญบ้าง
หรือว่าเธออยากกลับไปอุดอู้อยู่แต่ในห้องล่ะ”
“ไม่เอาค่ะ ไปเปิดหูเปิดตาดีกว่า” คำตอบนี้ทำเอาคนขับหนุ่มหล่อลอบยิ้ม ไม่มีผู้หญิงท่าทางซนๆ
คนไหนหรอกที่อยากติดแหงกอยู่แต่ในบ้าน ขนาดตัวเขาเอง
แม้จะเหนื่อยจากการทำงานแค่ไหน เมื่อตื่นมาแล้วก็ยังต้องเข้ามาในฟาร์มทุกวันอยู่ดี
ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกเหมือนชีวิตขาดความสุขไป
“ทำไมถึงชื่อน่าน” จู่ๆ ลุยซ์ก็ถามขึ้นมา
“คุณแม่ของฉันเป็นคนจังหวัดน่านค่ะ”
“เท่ดีแฮะ” เขาหันมามองแล้วยิ้มให้
เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หัวใจคนมองกระตุกวาบ
เพราะไม่คิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นมันปรากฏบนใบหน้าคมเข้มของเขา
อันที่จริงแล้วลุยซ์เป็นคนที่ยิ้มบ่อยมาก แต่มันเป็นยิ้มเยาะเย้ย ยิ้มล้อเลียนกวนประสาทเสียเป็นส่วนใหญ่
เรียกได้ว่านี่คือครั้งแรกเลยที่เธอเห็นเขายิ้มกว้าง
จนเห็นฟันขาวเรียบเรียงเป็นระเบียบ
“คุณเป็นลูกครึ่งอะไรเหรอคะ” คำถามของเธอเสียดแทงหัวใจเขาอย่างประหลาด
“สเปน...” แต่เขาก็เลือกที่จะตอบ
พร้อมภาวนาขอให้เธออย่าถามถึงผู้เป็นแม่ขึ้นมาเลย
“ถ้างั้นคุณก็ต้องพูดภาษาสเปนได้ใช่ไหมคะ” หญิงสาวทำหน้าตื่นเต้น นั่นทำให้เขาเบาใจอย่างประหลาด
“ได้สิ”
“คืนนั้นที่สนามบิน คุณเพิ่งกลับจากสเปนใช่ไหมคะ”
“ใช่ ฉันไปธุระมา แล้วก็คิดว่าชีวิตนี้คงไม่ต้องไปเหยียบที่นั่นอีก”
เขาเผลอพูดไปตามอารมณ์
และนัทชาฉลาดพอที่จะรู้ว่านั่นหมายถึงความไม่สบายใจของเขา
เธอจึงเลี่ยงที่จะสร้างคำถามเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของเขาอีก เพราะเวลานี้ลุยซ์กำลังดูผ่อนคลาย
ไม่มีท่าที่เคร่งเครียดเหมือนที่ผ่านมา
“น่าน เอ๊ย...ฉันได้ยินจากคุณเก่งว่า...”
“ถ้าแทนตัวเองด้วยชื่อแล้วมันถนัด เชิญตามใจเธอเถอะ”
เขาสวนขึ้น
“เอ่อ...ค่ะ”
เธอรับคำไปอย่างนั้นเอง
ยังจำได้ดีทีเดียว ถึงประโยคที่เขาเคยพูดไว้ในวันแรกที่เจอกัน ‘เลิกแทนตัวเองว่าน่านอะไรนั่นเสียที ฉันไม่ได้เป็นญาติฝ่ายไหนกับเธอ!’ … คิดขึ้นมาแล้วก็หน้าชาอีกครั้ง แต่เขาก็พูดไม่ผิดหรอก
เธอไม่ใช่ญาติพี่น้อง ไม่ใช่แม้แต่คนคุ้นเคยด้วยซ้ำ
ดังนั้นก็ถูกแล้วที่ไม่ควรล้ำเส้นทำตัวสนิทสนมกับเขา
“พูดต่อสิ ได้ยินอะไรจากเก่งมาล่ะ”
“อ๋อ เรื่องสวนดอกไม้น่ะค่ะ”
“ที่นั่นสวยมาก แต่ฉันไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปวุ่นวาย”
คำตอบนี้ดับฝันนัทชาเข้าเต็มเปา
“เสียดายจังนะคะ ของสวยๆ น่าจะมีไว้ชื่นชม” เธอพึมพำเบาๆ แล้วหันไปมองทิวทัศน์รอบๆ แทน
ลุยซ์กลอกตาอย่างเบื่อหน่าย
เพราะเธอไม่ใช่คนแรกที่พูดแบบนี้กับเขา แต่คนเราควรมีพื้นที่ส่วนตัวบ้าง
เขาเป็นผู้ชายที่ชอบทุ่งดอกไม้ เวลามีเรื่องไม่สบายใจ หรือเหนื่อยกับปัญหาต่างๆ
การไปใช้เวลาที่นั่นตามลำพังจะทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่ง
แต่ที่ไม่เคยบอกเหตุผลกับคนอื่น เพราะคิดว่าดอกไม้กับผู้ชาย
มันดูไม่ค่อยเข้ากันนัก ดีไม่ดีอาจมีคนเอาไปพูดได้ว่าเขาเป็นพวกแอ๊บแมน
ลุยซ์ไม่ได้จอดรถลงตรงจุดไหนเป็นพิเศษ
เพราะเห็นว่าสภาพของพานัทชาในตอนนี้คงยังไม่พร้อมที่จะลงไปเดินนัก
เขาขับรถพาเที่ยวชมไปรอบๆ และอธิบายให้ฟังถึงรายละเอียดการทำงานตามสถานที่ต่างๆ
เธอดูสนอกสนใจ ตั้งใจฟังข้อมูลที่เขาบอก ก่อนจะอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ในตอนที่เขาพาขับรถผ่านสวนดอกไม้ ซึ่งแม้ว่าจะมองเห็นอยู่ไกลๆ
แต่มันก็สวยงามอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“คงดีนะคะถ้าได้ไปนั่งจิบชาอยู่ตรงศาลาสีขาวนั่น”
น้ำเสียงหวานใสเต็มไปด้วยความเพ้อฝัน ลุยซ์ไม่ได้ตอบอะไร
แต่ยกข้อมือขึ้นมองดูนาฬิกาแทน
“นี่ก็บ่ายแล้ว กลับไปกินข้าวดีกว่า”
“ดีเหมือนกันค่ะ ฉันเองก็หิวแล้ว” นัทชาหันมายิ้มให้ แล้วนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เอ่อ...เรื่องอาหารวันนั้น
ความจริงฉันไม่ได้แกล้งคุณนะคะ แต่ฉันยังไม่คุ้นกับข้าวของเครื่องใช้ในครัว
คิดว่าจะหยิบน้ำตาล แต่กลายเป็นหยิบเกลือเอาซะงั้น ฉัน...ขอโทษค่ะ”
“ช่างเถอะ ต่อไปจะทำอะไรก็ระวังหน่อยแล้วกัน” ชายหนุ่มหันมามองคนข้างตัวแวบหนึ่ง แล้วตอบส่งๆ
ไปโดยไม่ได้คิดจะถือสาหาความอีก
ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงเรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ได้
แต่ก็ยังเลือกแสดงความจริงใจด้วยการขอโทษ ทั้งที่วันนั้นเขาทำตัวเลวร้ายกับเธอสารพัด
นอกจากเธอจะให้อภัยง่ายๆ แล้ว ยังทำเหมือนไม่เคยโกรธเคืองเขาเลยแม้แต่น้อย
นี่ถ้าเขามองโลกในแง่ดีและอภัยเก่งอย่างที่เธอเป็น
ความเคียดแค้นเรื่องของมารดาคงจะไม่กรุ่นอยู่ในอกตลอดเวลาอย่างนี้
เมื่อรถจอดลงที่หน้าเรือนรับรอง นมถวิลก็มีคำสั่งให้ป้าบัวกับป่านช่วยกันตั้งโต๊ะอาหารทันที ปกติแล้ว ลุยซ์ไม่เคยรับประทานอาหารผิดเวลา ดังนั้นเขาจึงเติมข้าวรอบที่สองเพราะหิวมากกว่าทุกวัน นัทชารับประทานมื้อเที่ยงไปแค่ไม่กี่คำ ทั้งที่ก่อนหน้านี้บ่นว่าหิวแท้ๆ
“อะไรกัน กินน้อยแบบนี้จะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนเดิน”
ชายหนุ่มทักท้วง เมื่ออีกฝ่ายรวบช้อนแล้วดื่มน้ำ
“ก็ฉันอิ่มแล้วจริงๆ นี่คะ ปกติฉันทานข้าวแค่ทัพพีเดียว
แต่นี่พี่ป่านตักให้ตั้งสองทัพพีแน่ะ”
“สองทัพพีเรียบๆ ฉันยังคิดว่ามันน้อยเกินไปเลย
รู้ตัวไหมเธอน่ะผอมจนลมจะพัดปลิวได้อยู่แล้ว”
“ฉัน...”
“กินให้หมด แล้วต่อจากนี้ไปก็กินข้าวให้ได้มื้อล่ะสองทัพพีด้วย
คนที่จะมาทำงานกับฉัน ต้องเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ
ขืนกินน้อยแบบนี้ได้เป็นลมตายก่อนพอดี ถ้าภายในหนึ่งเดือนน้ำหนักเธอไม่เพิ่มขึ้น
ฉันจะไล่เธอออก” คำสั่งเด็ดขาดนี้ทำเอานัทชาอ้าปากค้าง
จ้องมองคนที่ตักข้าวใส่ปากแล้วเคี้ยวตุ้ยๆ อย่างเอร็ดอร่อยด้วยความเบื่อหน่าย
แต่เมื่อเขาพยักพเยิดไปที่จานข้าว
เธอก็ถอนหายใจแล้วก็ต้องรับประทานต่อไปอย่างขัดข้องไม่ได้
“จริงสิคะ
ฉันว่าจะถามหน่อยว่าถ้าอยากไปหาซื้อของใช้ส่วนตัว ฉันต้องขึ้นรถที่ไหนยังไงคะ”
หญิงสาวถาม
“พวกคนงานจะเข้าไปในเมืองกันทุกวันศุกร์ แต่ถ้าเธอจะไป
คอยติดรถไปกับฉันก็ได้”
“จะดีเหรอคะ ฉันเกรงใจจัง”
“ตอนหนีขึ้นมาบนรถฉัน
ไม่เห็นถามแบบนี้บ้างเลยนะยัยตัวแสบ”
“แหะๆ” เมื่อโดนท้วงอย่างนั้น
นัทชาก็ถึงกับหน้าเจื่อนไปทันที
“ไปกับฉันนี่แหละดีแล้ว พรุ่งนี้หลังเลิกงาน
ฉันว่าจะไปซื้อของอยู่เหมือนกัน” เขาบอกแล้วรวบช้อน
ยกน้ำขึ้นดื่มอึกใหญ่ “ถ้ามียาหลังอาหารก็กินให้มันตรงเวลาด้วยล่ะ
อย่าทำตัวเองให้เป็นปัญหา เข้าใจนะ” ร่างสูงผุดลุกขึ้นยืน
ยกมือขึ้นลูบท้องเบาๆ และคิดในใจว่าวันนี้คงต้องออกกำลังกายรีดไขมันเสียหน่อยแล้ว
ไม่อย่างนั้นจะทำให้กล้ามหน้าท้องสวยๆ หดหายเอาได้
“เข้าใจค่ะ” เธอพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย
“ดี” เขาพูดสั้นๆ
แล้วหมุนตัวเดินออกไปทันที ทิ้งให้นัทชามองตามแผ่นหลังกว้างไปจนสุดสายตา
แล้วยิ้มออกมาด้วยความดีใจที่เห็นเขาเลิกแสดงท่าทีรังเกียจ
แล้วยังมีน้ำใจเป็นห่วงเป็นใยเธออีก โดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มงดงามนั้น
กำลังทำให้แพรสุดาที่แอบมองอยู่ห่างๆ เจ็บปวดรวดร้าวจนแทบน้ำตาไหล
พบกันตอนหน้าค่ะ ขอบคุณสำหรับทุกคอมเม้นต์นะคะ
รับประกันเลยค่ะว่าคนอย่างพี่ลุยซ์ ไม่พลาดท่าตกหลุมตัวเองแน่นอน
แต่ถ้าเป็นตกหลุมรักยัยกวางน้อยล่ะก็ อันนี้มีลุ้นให้เห็นเร็วๆ นี้ค่ะ 5555555555+
สุดท้ายนี้ต้องขออภัยอย่างสูงที่ทำให้หลายท่านรอไม่ได้นะคะ
ไม่สบายค่ะ มีปัญหาสุขภาพยาวๆ เลย ขออภัยจริงๆ ค่ะ
ต่อไปจะพยายามไม่ผิดนัดแล้วนะคะ กำหนดอัปนิยายอยู่ที่สัปดาห์ละ 3 ครั้ง
แต่ที่ผ่านมาถ้าว่าง ถ้ารีไรท์ทัน อินจะมาอัปให้ทุกวัน หรือวันเว้นวันเลยทีเดียว
ท่านใดเพิ่งเข้ามาอ่าน เพื่อความต่อเนื่องกดแอด Fav. ที่แบนเนอร์เลยจ้า
ความคิดเห็น