ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Rockman X {x} Zero no Tsukaima : โลกใบใหม่

    ลำดับตอนที่ #47 : Chapter 38: เปลวเพลิงแห่งยี่สิบปีก่อน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 206
      6
      7 มี.ค. 60

    แสงยามเย็นตกกระทบหน้าต่างชั้นบนสุดของหอคอยใจกลางสถานศึกษาเวทมนตร์ทริสเทน ในห้องผู้อำนวยการ โอลด์ ออสมันนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน ตรงข้ามเป็นหญิงสาวผมบลอนด์ยืนอยู่ ตามปกติชายชราคงมีใบหน้าเปี่ยมปีติพร้อมทั้งสอดส่องสายตาไม่อยู่สุข แต่วันนี้คิ้วที่หงอกขาวขมวดเข้าหากัน

     

    หน่วยปืนคาบศิลาจะประจำการหอคอยกลางและหอคอยเก็บอุปกรณ์การฝึกแห่งละสองนาย

     

    อาเนียสรายงานการวางเวรยามให้กับผู้อำนวยการ ใบหน้าและน้ำเสียงไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ต่อชายชราที่นั่งหน้าเครียดอยู่ ทั้งสองต่างรู้ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ชอบหน้ากันด้วยเหตุผลที่ต่างรู้กัน แม้ทั้งคู่จะมีความเป็นมืออาชีพพอจะให้ความสำคัญกับเรื่องงานก่อน แต่บรรยากาศในห้องที่มีแต่เสียงทื่อและเย็นเหมือนเหล็กของอาเนียสก็อึดอัดจนถ้าคนนอกอยู่ในที่นี้ด้วยจะรู้สึกหายใจติดขัด

     

    หากเป็นดังที่ราชสำนักกล่าว ศัตรูเป็นถึงหน่วยพิเศษชั้นสูง วางยามป้องกันเพียงสองนาย ราชสำนักคงไม่ใส่ใจความปลอดภัยของนักเรียนสักเท่าไร ออสมันเอ่ยประชดประชันพลางจ้องตาหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์เขม็ง

     

    มาตรฐานการเฝ้ายามของทางกองทัพสำหรับหน่วยที่มีกำลังพลขนาดเราคือสองนาย เพราะเห็นว่าเป็นสถานการณ์สุ่มเสี่ยงจึงเพิ่มอีกสองนายแล้วเพิ่มเวลาเฝ้าแต่ละเวรเป็นสองกะ อะลุ่มอล่วยให้มากกว่านี้ไม่ได้ สายตาอาเนียสที่จ้องตอบแสดงความไม่ยอมอ่อนข้อให้

     

    ทั้งอาจารย์ชายและนักเรียนชายของเราอุทิศชีวิตเข้าร่วมสงคราม ทางราชสำนักตอบแทนด้วยการลอยแพพวกเราขณะมีอันตราย

     

    หมายถึงส่งพวกเราหน่วยปืนคาบศิลามาเป็นแพให้เกาะในยามเรือล่มอย่างนั้นสินะ

     

    ยิ่งบทสนทนาดำเนินไป ความตึงเครียดก็มีแต่สูงขึ้น ทว่าทั้งคู่ก็ยังรักษากิริยาอาการและน้ำเสียงไว้ได้มั่นคงราวกับมีความเยือกเย็นที่ไร้สิ้นสุด เพียงสีหน้าและแววตาเท่านั้นที่ฉายความไม่พอใจออกมาเป็นระยะ

     

    ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไม่ขอพึ่งพาแพไม่กี่ลำ คณะอาจารย์จะเป็นคนปกป้องโรงเรียนนี้เอง ออสมันขึงตาอย่างท้าทาย

     

    ไม่ขัดข้อง แต่พวกอาจารย์หญิงให้รับผิดชอบชีวิตของตัวเองด้วย จะอ้างเรื่องเพศกับพวกเราไม่ได้ อ้อ อาจารย์ชายตาขาวนั่นก็อยู่ด้วย เป็นความบังเอิญที่พอดีจริง มีผู้ชายเพิ่มขึ้นอีกคน ถึงจะดูพึ่งพาไม่ค่อยได้ก็เถอะ

     

    อาเนียสไม่ปิดบังความเกลียดชังที่มีมากเป็นพิเศษต่อโคลแบร์ที่เป็นผู้ใช้ไฟ ออสมันสังเกตเห็นแต่ไม่กล่าวถึง

     

    ถูกอย่างที่ท่านว่า เป็นโชคดีของเรา ดีกว่าที่ท่านซึ่งตัดสินคนจากภายนอกคิดไว้มาก

     

    โฮ? คนที่ถูกดาบจ่อคอแล้วเข่าอ่อนจนต้องพิงผนังนั่นน่ะเหรอ? อาเนียสเอ่ยโดยไม่แสดงสีหน้า แต่มีการเสียดสีแทรกอยู่ในน้ำเสียง

     

    เขาเป็นระดับสแควร์ที่หาได้ยากในโรงเรียนนี้ แม้แต่ในหมู่ระดับสแควร์เอง ความสามารถของเขาก็เป็นที่น่าทึ่ง ชื่อที่สองของเขา <อสรพิษเพลิง>ก็แสดงถึงสิ่งนั้น

     

    โอลด์ ออสมันไม่ผิดที่ไม่รู้ถึงความหนักหนาของข้อมูลที่เปิดเผยไป แต่เขาก็รับรู้ความเปลี่ยนแปลงที่ตามมาได้จากบรรยากาศภายในห้องที่นิ่งงันราวกับเวลาหยุดลง

     

    ...อสรพิษเพลิง...? อาเนียสทวนซ้ำด้วยเสียงที่ต่ำลง

     

    ออสมันคิดว่าจะยืนยันว่าใช่ แต่ก็เปลี่ยนความคิดในทันที ความเป็นศัตรูและแรงกดดันที่ส่งมาทางเขาหายไป แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์โดยฉับพลันของหญิงสาวตรงหน้า อาจเป็นเพราะสิ่งใดสิ่งหนึ่งในคำพูดของเขาก่อนหน้า

     

    ใบหน้าของอาเนียสกระตุกราวกับจะแสดงอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่ออสมันจะได้รู้ว่ามันคืออะไร มันก็ถูกสะกดลงใต้หน้ากากที่แข็งกระด้างอีกครั้ง ไม่สิ หน้ากากนั่นให้ความรู้สึกเย็นชายิ่งกว่าเดิม

     

    ...ก็ตามที่ว่าไป ข้าขอตัว

     

    อาเนียสกล่าวลาเพียงสั้นๆ ก่อนจะหันหลังและเดินออกจากห้องไปด้วยกิริยาสำรวมที่ให้ความรู้สึกว่าร้อนรน

     

    ออสมันมองประตูปิดลง เขาสังหรณ์ใจว่าทำสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ลงไป แม้จะไม่รู้ว่ามันคืออะไร

     

    ถึงเป็นกังวลกับเรื่องที่ไม่รู้และไม่แน่ใจไปก็เปล่าประโยชน์ สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือเรียกประชุมคณะอาจารย์อีกครั้งหนึ่งเพื่อเตรียมการสำหรับคืนนี้ และคืนถัดๆ ไป โดยเฉพาะมิสเตอร์โคลแบร์

     

    <อสรพิษเพลิง>เป็นคนเดียวที่เขายังไม่ได้บอกและกำชับไม่ให้อาจารย์คนใดบอก จากนิสัยของเขาแล้ว หากรู้เข้าคงต้องค้านหัวชนฝา ประกาศให้นักเรียนกลับบ้าน เป็นเรื่องราวใหญ่โต และทำให้ไม่สามารถฝึกนักเรียนหญิงตามคำสั่งของราชสำนักได้

     

    แม้ออสมันจะไม่พอใจการกระทำที่นำนักเรียนมาเสี่ยงอันตราย แต่เขาก็ไม่สามารถขัดขืนราชสำนักได้...ยังไม่ถึงขั้นต้องแตกหักตอนนี้

     

    เมื่อพินิจพิเคราะห์แล้วทางราชสำนักก็เสี่ยงมากเช่นเดียวกัน หากเด็กสาวชนชั้นสูงได้รับอันตรายอาจ...ไม่สิ ต้องเกิดการต่อต้านจากชนชั้นสูงอย่างแน่นอน อาจถึงขั้นกบฏแบบอัลเบี้ยนเลยก็เป็นไปได้ แม้จะรู้เช่นนั้นแต่ก็ยังเดินหน้าต่อ หมายความว่าทางราชสำนักและองค์ราชินีให้ความสำคัญกับการบุกอัลเบี้ยนมากกว่าความเสี่ยงนี้ แน่นอนว่าหากผ่านไปโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเกิดแต่รับมือได้ทันท่วงที เขาและเหล่าอาจารย์ก็จะไม่ไปโพนทะนาเรื่องนี้ให้ใครรู้ ไม่มีประโยชน์ที่จะทำอะไรอย่างนั้นหากเขาไม่ได้ต้องการจะก่อกบฏเสียเอง

     

    ออสมันไม่เคยนึกเสียใจที่ได้เป็นผู้อำนวยการ ได้เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจนี้ เพียงแต่บางครั้งมันก็ทำให้เขาสงสัย...หนทางใดคือทางที่ถูกต้อง นักเรียนหรืออาณาจักร จำเป็นต้องเลือกจริงๆ หรือ? หรือว่ามีทางที่สามอยู่? จะหนึ่งหรือสอง หรือเสี่ยงรอสามที่ไม่รู้ว่ามีอยู่หรือไม่ จะทางใดเขาก็จำเป็นต้องเลือก หากเขารีรอที่จะตัดสินใจ นั่นก็ถือว่าเขาได้เลือกที่จะปล่อยเหตุการณ์ไปโดยไม่ทำอะไรเช่นกัน อย่างไรเสียผู้ที่มีอำนาจรับผิดชอบก็ต้องเลือก และทุ่มเทความสามารถทั้งหมด แล้วหวังว่ามันจะเพียงพอ

     

    (...)

     

    ดวงจันทร์สีฟ้าและสีแดงลอยอยู่เคียงคู่กันบนท้องฟ้าที่ปกคลุมด้วยเมฆ

     

    บนหลังคาหอคอยกลางของสถานศึกษาเวทมนตร์ เส้นผมสีบรอนซ์เทาสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายจางๆ ในความมืด ดวงตาสีเขียวสอดส่องไปยังพื้นเบื้องล่างด้านในและนอกรั้วหิน สลับขึ้นไปมองบนท้องฟ้าบ้างเป็นระยะ

     

    ฝั่งนั้นเป็นยังไงบ้างคะ?

     

    เสียงถามดังมาจากอีกด้านหนึ่งของหลังคาหอคอย ผู้ถามคือเด็กสาวผมและดวงตาสีฟ้าที่ชวนให้นึกถึงมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

     

    ไม่มีอะไรผิดปกติ เขาตอบสั้นๆ โดยไม่ละสายตาจากเบื้องหน้า

     

    เลเวียธานสังเกตการณ์ฝั่งตัวเอง แต่ใจของเธออยู่กับงานเพียงครึ่ง อีกครึ่งอยู่กับผู้ที่นั่งคุกเข่าข้างหนึ่งอยู่อีกฝั่งของหลังคา เรื่องที่คิดก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ ที่ติดค้างในหัวเธอในช่วงหลายวันที่ผ่านมา คือพฤติกรรมที่แปลกไปของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา ทีแรกมันก็เพียงแค่ตงิดในใจเธอธรรมดา เหมือนจุดดำเล็กๆ เปื้อนเสื้อที่เราไม่ใส่ใจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป รอยเปื้อนนั้นก็ยังอยู่ ทำให้เธอก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ สังหรณ์ว่ามีเรื่องร้ายแรงกำลังเกิดขึ้นนอกสายตาเธอ

     

    สิ่งที่พวกเธอทำอยู่ตอนนี้ก็เช่นกัน ต้องมีเหตุอะไรบางอย่างที่ทำให้ท่านเอ็กซ์ตัดสินใจร่วมมือกับหน่วยปืนคาบศิลาทั้งที่ทีแรกตั้งท่าแต่จะไปอัลเบี้ยน เธอไม่รู้ว่ามันเกี่ยวข้องกับเรื่องที่รบกวนใจเธออยู่แค่ไหน แต่อย่างน้อยที่สุดเธอก็รู้ว่าท่านเอ็กซ์มีอะไรที่ไม่ยอมบอกเธอ

     

    ดวงตาที่ฉายแววครุ่นคิดมองลงไปเบื้องล่าง หน่วยปืนสองคนเฝ้าที่หน้าหอคอยเก็บอุปกรณ์การฝึกรวมทั้งเป็นที่พักชั่วคราวของหน่วยปืน อีกสองนายเฝ้าหอคอยกลางซึ่งก็คือหอคอยที่เธอเหยียบอยู่ในเวลานี้

     

    ก่อนที่ความคิดของเลเวียธานจะได้ล่องลอยไปมากกว่านั้น

     

    เลเวียธาน มาทางนี้

     

    เสียงเรียกจากนายของเธอ พรายสาวปฏิบัติตามอย่างไม่รีรอ

     

    ดูข้างล่างนั่น

     

    เธอมองตามนิ้วชี้ลงไปที่สนามหญ้าด้านล่าง เงาของสองร่างยืนเผชิญหน้ากัน

     

    นั่นมันอาเนียสกับ...อาจารย์ใส่แว่นเมื่อกลางวัน?

     

    ทั้งคู่มาทำอะไรกลางดึกกลางดื่น อาเนียสต้องหลับอยู่ไม่ใช่หรือ? ชายหญิงแอบออกมาพบกันกลางค่ำกลางคืน แต่พินิจดูแล้วไม่มีอะไรที่บ่งบอกว่าเป็นความหมายนั้นเลย

     

    (...)

     

    โคลแบร์สวมเสื้อคลุมยาวเครื่องแบบอาจารย์ยืนอยู่บนสนามหญ้าเล็กๆ อีกฝั่งของหอคอยกลางจากจุดที่มีการเฝ้ายาม รอบข้างเงียบสงัด นอกจากเขาแล้ว มีเพียงเงาคนหนึ่งคนที่อยู่ข้างหน้าเขา

     

    ท่านหัวหน้าหน่วยราชองครักษ์ มีธุระกับข้างั้นหรือ?

     

    โคลแบร์หยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่มีตัวหนังสือเขียนไว้ออกมาจากด้านในเสื้อคลุม ก่อนจะถามร่างที่ยืนหันหลังให้ห่างออกไปประมาณสามสิบเมล แค่ในระยะที่พอมองเห็นอีกฝ่ายได้ชัดเจน

     

    พวกเราจำเป็นต้องเฝ้าระวังภัยให้นักเรียน ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยรวบรัดมาเท่าที่จะทำได้

     

    ก่อนจะตอบคำถามนั้น ข้าขอถามสักสองคำถาม ชื่อที่สองของเจ้าคือ<อสรพิษเพลิง>ใช่รึเปล่า?

     

    โคลแบร์แปลกใจกับคำถาม แต่ก็ตอบไปตามตรง

     

    ใช่แล้ว

     

    เมื่อได้รับคำตอบ อีกฝ่ายก็เงียบไป ก่อนจะหันหลังกลับมา

     

    โคลแบร์ถึงกับผงะ เท้าขวาถอยไปด้านหลังโดยไม่ตั้งใจ

     

    ใบหน้าของหญิงสาวผมบลอนด์ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ  แต่แรงอาฆาตที่สัมผัสได้จากดวงตาสีฟ้านั้นเข้มข้นจนทำให้โคลแบร์แทบจะหายใจไม่ออก อย่างกับว่าอีกฝ่ายใช้พลังสมาธิทั้งหมดสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่านเอาไว้อยู่

     

    คำถามสุดท้าย...

     

    โคลแบร์กลืนน้ำลาย

     

    ...รู้จักหมู่บ้านชื่อดังเกลอแตร์รึเปล่า?

     

    โคลแบร์สะดุ้ง เผลอหลุดปากออกไป

     

    ทำไมถึงรู้ชื่อนั้น—!!”

     

    เพียงเท่านั้น ระเบิดที่มองไม่เห็นก็ติดชนวน

     

    (...)

     

    ข้างล่างนั่นท่าทางแปลกๆ นะคะ เลเวียธานรำพึงออกเสียง

     

    ทั้งคู่เพียงแต่เฝ้าดูสถานการณ์ จนกระทั่งหญิงสาวผมบลอนด์ชักดาบแล้ววิ่งเข้าใส่ชายวัยกลางคนที่ผงะอยู่กับที่

     

    ยัยบ้านั่น...! จู่ๆ ทำอะไร!?” เลเวียธานเอ่ยพร้อมทั้งพุ่งตัวลงไปจากหอคอยโดยไม่เสียเวลาคิด

     

    เอ็กซ์โน้มตัวไปข้างหน้า ขณะที่เขาชั่งใจว่าจะกระโดดตามไปดีหรือไม่ หูเขาก็ได้ยินเสียงมาจากทางด้านหลัง

     

    เขาตัดสินใจเบือนหน้าจากเหตุการณ์ด้านล่างและลุกขึ้นเดินไปที่อีกฝั่งของหลังคา

     

    (...)

     

    โคลแบร์หันตัวไปครึ่งหนึ่ง ตั้งท่าจะวิ่งหนีได้ทันที แต่ยังตะโกนกลับไป

     

    เดี๋ยวก่อน! ท่านจะทำอะไร?!”

     

    หญิงสาวไม่ชะลอฝีเท้า ความเกลียดชังบนใบหน้าก็ไม่ลดน้อยถอยลง

     

    มีอะไรใช้ออกมา! ไม่อย่างนั้นก็ลงไปคิดคำตอบเองในนรกซะ!”

     

    โคลแบร์ไม่มีเวลาให้คิดก็เลือกทางแรก เขาชูไม้เท้าขึ้นบริกรรมคาถาสั้นๆ  พอดีกับที่ระยะห่างระหว่างทั้งคู่เหลือเพียงห้าเมตร

     

    เดี๋ยวก่อน!!~”

     

    เสียงร้องดังมาจากท้องฟ้าทางด้านหอคอยกลาง ทั้งคู่หยุดชะงักแล้วหันไปมอง เห็นร่างสีฟ้าลอยผ่านอากาศเข้ามา โคลแบร์ประหลาดใจเพราะลักษณะการเคลื่อนไหวและความเร็วนั้นไม่ใช่ที่สามัญชนจะทำได้

     

    เด็กสาวผมยาวในชุดกระโปรงสีน้ำเงินร่อนลงที่พื้นหญ้า ขวางระหว่างโคลแบร์กับอาเนียส เสียง ตุ้บ ตอนที่สัมผัสพื้นนั้นหากเป็นมนุษย์ธรรมดาคงร่างกายบิดเสียรูปไปแล้ว แต่เด็กสาวคนนี้เพียงแค่นั่งคุกเข่ากับพื้นข้างหนึ่ง

     

    เลเวีย...ถอยไป!” อาเนียสกัดฟันสั่งให้ผู้ที่เข้ามาขวางถอยไป ทว่าพรายสาวเพียงแต่นั่งคุกเข่าอยู่อย่างนั้นไม่ขยับตัวหรือส่งเสียงตอบ

     

    ไม่ได้ยินรึไง? บอกให้ถอยไป!”

     

    ได้ยิน...แต่รอเดี๋ยว... เสียงตอบฟังแปร่งๆ  ไม่เหมือนกับที่อาเนียสจำได้

     

    ขอเวลา...จัดร่างกายซักเดี๋ยว...

     

    เลเวียธานถีบตัวจากยอดหลังคาหอคอยที่สูงนับสิบเมตรลงมาด้วยความเร็วสูงสุด โดยไม่ได้คำนึงถึงตอนลงพื้น แม้ร่างกายเธอจะไม่เสียหาย แต่น้ำในร่างกายของเธอก็ได้รับแรงสะเทือนไม่ต่างจากวัตถุปกติ แค่ไม่แตกกระจายกลายเป็นแอ่งน้ำก็นับว่าบุญโขแล้ว เธอต้องใช้เวลาสักครู่ในการประคองและจัดน้ำที่เป็นร่างกายให้เข้าที่

     

    ผ่านไปประมาณห้าวินาที เลเวียธานจึงยืนขึ้น เมื่อประคองร่างกายได้ก็หันไปถามเพื่อนของตัวเองทันที

     

    เมื่อกี้นี้เธอจะทำอะไร?

     

    แก้มขวาของอาเนียสกระตุก เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจที่มีคนมายุ่มย่าม

     

    ฉันมีความแค้นกับไอ้ล้านนั่น เธอไม่เกี่ยวถอยไป อาเนียสพูดเสียงต่ำ แสดงออกชัดเจนว่าไม่สนใจแม้จะเป็นคนรู้จัก

     

    ความแค้นถึงกับต้องฆ่าแกงกันเลยเหรอ? เลเวียธานถามกลับด้วยใบหน้าขึงขัง ไม่แปลกใจกับเหตุผลที่ได้รับ

     

    ฉันไม่จำเป็นต้องบอก จะพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถอย-ไป

     

    เหตุผลก็ไม่รู้ ฉันจะปล่อยให้เพื่อนตัวเองฆ่าคนไปเฉยๆ ได้ยังไง ถ้าเธอยังดื้อด้าน ฉันก็จะต้องใช้กำลังล่ะนะ

     

    เลเวียธานแสดงความตั้งใจด้วยการสร้างฟรอสท์จาเวลินขึ้นในมือขวา ในเวลาเดียวกันเธอก็นึกอีกเรื่องหนึ่งในใจ

     

    แล้วท่านเอ็กซ์อยู่ไหน ทำไมยังไม่ตามมาอีก?!’

     

    อาเนียสคำรามในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ สองมือที่จับดาบกำแน่นขึ้น

     

    เห็นการต่อสู้ทำท่าจะปะทุขึ้น โคลแบร์ที่มีเวลาได้ทบทวนความทรงจำของตัวเองก็เอ่ยขึ้น

     

    หยุดการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์นี่ซะ ความแค้นของท่านมีกับข้าไม่ใช่เหรอ

     

    โคลแบร์ก้าวออกไปในระยะสายตาของอัศวินสาว อาเนียสตวัดสายตามาที่เขา

     

    ดังเกลอแตร์ ข้าจำได้แล้ว หมู่บ้านเล็กๆ ริมฝั่งที่ถูกทำลายไปเมื่อยี่สิบปีก่อน

     

    ก็แกเป็นคนเผาเองไม่ใช่รึไง?!”

     

    เลเวียธานเหลียวกลับไปมองชายวัยกลางคน สีหน้าของเขาไม่สะทกสะท้านต่อคำกล่าวหา คิดได้เพียงอย่างเดียวว่าเป็นความจริง

     

    ถ้าอย่างนั้นความแค้นที่ว่า...

     

    โคลแบร์หายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ปล่อยออก เตรียมใจก่อนที่จะพูดออกมา

     

    ท่านไม่สิ เธอก็คือเด็กผู้หญิงที่รอดจากเหตุการณ์ครั้งนั้น

     

    ส่วนแกก็คือตัวการที่เผาหมู่บ้าน พ่อแม่ เพื่อน และทุกอย่างของฉัน!”

     

    โคลแบร์หลับตาลง ดูเหมือนว่าการเตรียมใจจะไม่ได้ช่วยอะไร

     

    ฉันยังจำได้จนถึงวันนี้ บางครั้งก็ฝันถึง หน่วยของฉันได้รับคำสั่งให้กวาดล้างโรคระบาดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง

     

    เฮอะ อย่ามาทำไขสือ แกก็รู้ว่านั่นมันแค่เรื่องบังหน้า อาเนียสเอ่ยลอดไรฟัน

     

    ถูกต้อง ในหมู่บ้านไม่มีร่องรอยของโรคระบาดเลย ไม่มีศพเน่าเปื่อยอยู่ตามถนน ไม่มีหลุมฝัง ไม่มีการไว้ทุกข์...มีแต่เปลวเพลิงที่เผาผลาญ โคลแบร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงเลื่อนลอยราวกับกำลังรำลึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น

     

    หมู่บ้านของฉันต้องตกเป็นเหยื่อการล่าศาสนาของพวกขุนนางจอมละโมบ ความไร้มนุษยธรรมนี้ถ้าไม่ได้เอาผิดกับตัวการฉันจะตายตาหลับได้ยังไง! ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉันพยายามตามหาคนผิดมาตลอด ใช้ชีวิตในบ้านเด็กกำพร้า เร่ร่อนเป็นทหารรับจ้าง จนกระทั่งคิดได้ว่าการเข้ามามีตำแหน่งในกองทัพเป็นทางเดียวที่จะได้ข้อมูลมา

     

    เลเวียธานเบิกตากว้างพร้อมกับที่ปมทั้งหมดลงล็อกกันในหัวเธอ ที่อาเนียสมุ่งมั่นจะเข้าหน่วยราชองครักษ์ ก็เพื่อสิ่งนี้

     

    ริชมงต์ที่เป็นตัวการตายไปแล้ว ถึงจะไม่ได้ฆ่ามันด้วยมือคู่นี้ ได้เห็นมันตายด้วยความโง่และอวดดีของตัวเองฉันก็พอใจ อาเนียสกระชากเสียงอย่างไม่ปิดบังความเกลียดชัง

     

    แต่คนลงมือยังอยู่ น่าเสียดายที่มีแต่ชื่อที่สองของหัวหน้าหน่วยเขียนไว้ ไปค้นในคลังข้อมูลของกองทัพ สมาชิกคนอื่นๆ ก็ตายไปเกือบหมดแล้ว หน้าประวัติของหัวหน้าก็ถูกฉีกไปอีก แต่อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าหัวหน้าหน่วยมีชื่อที่สองว่า<อสรพิษเพลิง> เบาะแสมีแค่ชื่อๆ เดียว ฉันคิดว่าจะต้องตามหาอีกนานหลายปี แต่แล้วโชคก็เข้าข้าง

     

    อาเนียสสูดหายใจเข้าหลังจากพูดมานาน เป็นสัญญาณว่าการสนทนาใกล้จบลงแล้ว

     

    ระหว่างที่แจ้งแผนปฏิบัติงานให้ผู้อำนวยการฟัง ตาแก่นั่นก็หลุดปากออกมา ว่าแกคือ<อสรพิษเพลิง>”

     

    อาเนียสปิดท้ายด้วยการยกปลายดาบขึ้นชี้หน้าโคลแบร์ อาจารย์วัยกลางคนยืนตัวตรงไม่แสดงอาการหวาดกลัวเหมือนหนแรก

     

    ความแค้นที่รอเวลามานานถึงยี่สิบปี จะถูกชำระในวันนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มาขวาง!”

     

    อาเนียสตั้งดาบแล้ววิ่งเข้าไปหาโคลแบร์ที่ยกไม้เท้าขึ้นบริกรรมคาถาอีกครั้งหนึ่ง เลเวียธานจิ๊ปากแล้วกระโดดเข้าแทรกกลาง เผชิญหน้ากับอัศวินสาวที่แววตาแดงก่ำ

     

    ช่วยฟังทางนี้เดี๋ยว

     

    อีกเสียงหนึ่งดังมาจากทางด้านหอคอยหลัก เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเดินเข้ามา

     

    แขกไม่ได้รับเชิญเพิ่มมาอีกหนึ่ง อาเนียสคำรามอย่างกลั้นอารมณ์ไม่อยู่พร้อมทั้งหันดาบไปทางเด็กหนุ่ม

     

    พวกนายชักจะน่ารำคาญเกินไปแล้วนะ!”

     

    เด็กหนุ่มที่หยุดยืนอยู่ห่างออกไปราวสามสิบเมตรไม่เปลี่ยนสีหน้าและไม่แสดงท่าทีสะทกสะท้านต่อคำขู่

     

    เรื่องความแค้นฉันได้ยินมาตั้งแต่ไกลแล้ว ฉันไม่ได้จะห้าม แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาอย่างนั้น

     

    แล้วทำไมฉันต้องฟังนายด้วย!?”

     

    เธอลืมไปแล้วเหรอว่าพวกฉันอยู่ที่นี่เพื่ออะไร?

     

    ฉันบอกให้อยู่เอง ก็แล้วมันยังไงเล่า?!”

     

    จะว่าลืมไปสนิทก็ได้ แต่อาเนียสตอนนี้ถูกโทสะบังตาจนไม่สามารถคิดอะไรได้

     

    สถานที่ที่เธอควรจะอยู่ไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นจุดที่จะถูกโจมตีต่างหาก

     

    การนึกขึ้นมาได้ว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรช่วยเบนความสนใจของอาเนียส แม้จะเพียงประเดี๋ยวเดียว แต่ก็เพียงพอสำหรับที่เด็กหนุ่มจะเอ่ยประโยคต่อมา

     

    เมื่อกี้มีกลุ่มคนในชุดคลุมลงมาจากท้องฟ้า หน่วยปืนกับพวกอาจารย์กำลังสู้อยู่ ทุกคนที่นี่ก็ควรจะไปช่วยด้วย

     

    เมื่อฟังที่เด็กหนุ่มพูดและเงี่ยหูฟังให้ดีๆ ทั้งสามก็เริ่มได้ยินเสียงตะโกนและเสียงปืนดังมาแว่วๆ

     

    คนที่ตอบสนองต่อข่าวนั้นเป็นคนแรกคือโคลแบร์

     

    ศัตรูบุกมาแล้วเหรอ?! ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรีบไปเดี๋ยวนี้!” พูดจบอาจารย์ผมบางก็หุนหันพลันแล่นออกไปทันที

     

    อาเนียสคาดเดาปฏิกิริยานั้นได้ก็วิ่งตามไปทันที แต่เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาเดินเข้ามาขวางด้านหน้า

     

    บอก—!”

     

    ตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องทำ จะล้างแค้นก็รอให้เรื่องจบซะก่อน ถ้ายังดึงดันจะทำให้มันวุ่นวายมากขึ้นอีกล่ะก็ ฉันจะใช้กำลัง

     

    เด็กหนุ่มหรี่ตาจ้องมองมาที่เธออย่างน่ากลัว อาเนียสกัดฟันกรอด ความโกรธที่พลุ่งพล่านทำให้เธอไม่สามารถรู้สึกถึงความกลัวได้ ...แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเธอก็ไม่ก้าวขาต่อไปและไม่แกว่งดาบใส่คนตรงหน้า สัญชาตญาณเบื้องลึกบอกเธอแบบนั้น

     

    เมื่อเวลาผ่านไปแล้วหญิงสาวไม่ขยับตัว เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาก็ละสายตาและหันหน้ากลับไปทางที่เสียงเอะอะแว่วมา

     

    ไปกันได้แล้ว เลเวีย

     

    ค่ะ!” เลเวียธานได้ยินชื่อตัวเองก็รู้สึกตัว แล้วออกวิ่งตามนายที่วิ่งนำไปก่อน

     

    อาเนียสยังยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน ปลายดาบตกลง สีหน้าแสดงความโกรธแค้นและเจ็บใจปนกัน เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้อารมณ์ที่เดือดพล่านลดลงส่วนหนึ่ง และความลังเลต่อสิ่งที่ต้องทำต่อไปก็เข้ามา

     

    อัศวินสาวกัดฟันกรอด เธอหยุดเมื่อถูกสายตาของเด็กหนุ่มจ้อง และไม่แสดงอาการต่อต้านจนกระทั่งอีกฝ่ายจากไป เมื่อยอมไปแล้วครั้งหนึ่ง การจะกลับการตัดสินใจตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้

     

    ...โธ่เว้ย!!”

     

    (...)

     

    ทาบาสะตื่นขึ้น

     

    มีเสียงเอะอะดังมาจากสนาม มองออกไปนอกหน้าต่าง ทหารหน่วยปืนคาบศิลากำลังต่อสู้กับกลุ่มคนในผ้าคลุม ทั้งใช้ดาบและปืน แต่เมื่อถูกประชิดตัวได้ก็ล้มลงกับพื้นอย่างง่ายดาย ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

     

    ชั่วครู่ต่อมาก็มีเสียงอาจารย์ดังมาจากทางเดิน

     

    นักเรียนทุกคนตื่น! หยิบคทาแล้วตามครูมา เร็วเข้า!”

     

    แม้จะยังอยู่ในชุดนอนแต่ก็เป็นผ้าธรรมดาไม่ได้บางจนแทบไม่ปิดอะไรอย่างเพื่อนผมแดงของเธอ ทาบาสะหยิบไม้เท้าที่พิงอยู่หัวเตียงแล้วเดินออกไปที่ทางเดิน

     

    (...)

     

    เลเวีย! สามคนทางขวา!”

     

    พรายสาวตอบสนองต่อคำสั่งของเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทา วิ่งเข้าไปหาร่างในผ้าคลุมสามร่าง เธอเงื้อหอกขึ้นแล้วฟันใส่สามร่างในคราวเดียวอย่างไม่ลังเล

     

    เป็นไปดังที่คาด ทั้งสามร่างระเบิดกลายเป็นควัน เหลือเพียงตุ๊กตาที่ลำตัวขาดกลางตกอยู่กับกองผ้าคลุม เช่นเดียวกับเจ็ดแปดตัวก่อนหน้า

     

    เหมือนกับที่พิธีแต่งตั้งหน่วยปืนเลย แต่เป็นแค่ร่างกายเปล่าๆ ไม่มีไซเบอร์เอลฟ์

     

    ทางด้านเด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาที่อาวุธเป็นดาบสั้นโลหะ หลบมือและเท้าของศัตรูพลางใช้มือตัวเองผลักอีกฝ่ายให้ล้มลงกับพื้น ผ้าคลุมเปิดออก เผยให้เห็นร่างที่เป็นผิวสังเคราะห์สีฟ้าปิดทั้งตัวกับดวงตาที่เป็นกระจกสีแดงดวงเดียวกลางใบหน้า

     

    ตัวเขาเองทิ้งตัวลงตามแรงส่ง ปักดาบเปล่าๆ ที่ไม่ได้เสริมด้วยพลังพิเศษใดๆ ลงกับกระจกสีแดง หลังเสียงดังกับแรงต้านระดับหนึ่ง ปลายดาบเหล็กก็ทะลวงกระจกลงไปได้ พริบตาต่อมาก็เหลือเพียงตุ๊กตาที่ส่วนใบหน้าถูกเจาะเป็นรู

     

    แถวนี้รู้สึกจะหมดแค่นี้นะคะ เลเวียธานเดินเข้ามาหาเขาพลางสอดส่ายสายตาหาศัตรูที่อาจยังหลงเหลือ

     

    เอ็กซ์ยืนขึ้น เขากวาดตานับจำนวนผ้าคลุมเปล่าๆ ที่ตกอยู่ ได้ราวสิบผืน หมายความว่าศัตรูถูกกำจัดไปสิบ และเหลืออีกไม่ทราบจำนวน

     

    เลเวียธานคุกเข่าลงข้างสมาชิกหน่วยปืนที่นอนฟุบหน้าอยู่กับพื้น แล้วสัมผัสที่ลำคอ

     

    ...แค่หมดสติไปเท่านั้นค่ะ

     

    อืม ดีแล้ว แต่ว่า...เจ้าพวกนี้...

     

    เอ็กซ์ก้มลงเก็บตุ๊กตาที่ใบหน้าเป็นรูขึ้นมา แม้จะทำด้วยโลหะผสมหยาบๆ  แต่ก็เป็นโลหะประกอบที่คุ้นตาพวกเขาดี มันคือโลหะที่ได้ในขั้นกลางก่อนจะกลายมาเป็นโลหะผลิตเรปลิลอยด์คุณภาพต่ำแบบผลิตจำนวนมากในขั้นสุดท้าย แม้ความทนทานจะยังด้อยกว่าเหล็ก แต่เทคโนโลยีหรืออย่างน้อยความรู้ที่ใช้ผลิตมันต้องมากพอสมควร อย่างน้อยก็มากกว่าระดับเทคโนโลยีของโลกใบนี้

     

    แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือรูปลักษณ์ภายนอกของตุ๊กตา รวมถึงรูปร่างตอนที่มัน<ทำงาน> ไม่ว่ามองมุมใดมันก็คือ<แพนเธออน>

     

    ดูเหมือนว่าจะเป็นเรปลิลอยด์ด้อยคุณภาพอีกแล้วนะคะ ยิ่งกว่าแพนเธออนปกติ เลเวียธานรำพึงโดยไม่คิดว่ามีอะไรเป็นพิเศษ แต่เอ็กซ์คิดต่างออกไป

     

    คุณภาพด้อยกว่าตอนเคอร์เนลนิดหน่อย แต่ปัญหาคือจำนวน แล้วก็การที่ไม่ต้องใช้ไซเบอร์เอลฟ์...

     

    ...จริงด้วยสินะคะ เลเวียธานคิดครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า ฝ่ายศัตรูเองก็ไม่ได้นั่งนอนเฉยๆ สินะคะ

     

    ถ้าไม่จัดการกับศัตรูปริศนานี้โดยเร็ว วันใดวันหนึ่งอาจมีเรปลิลอยด์ที่คุณภาพเต็มร้อยมาปรากฏตัวต่อหน้าก็ได้เป็นความคิดที่ตรงกันโดยไม่ต้องบอกกล่าวของทั้งคู่

     

    เอ็กซ์วางตุ๊กตาลงกับพื้นแล้วยืนขึ้น

     

    เรื่องนี้เอาไว้ก่อน มีเสียงเวทมนตร์ดังมาจากทางด้านหน้าหอคอยหลัก คงเป็นอาจารย์โคลแบร์ที่ล่วงหน้าไปก่อน เราก็ไปกันเถอะ

     

    ทั้งคู่รุดไปทางต้นเสียง ในขณะเดียวกันก็อดที่จะรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ได้ว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น

     

    แพนเธออนพวกนี้ร่างกายเปราะบางกว่าเหล็ก อาวุธก็ไม่มี หากทำได้เพียงแค่นี้อย่าว่าแต่โรงเรียนเวทมนตร์เลย แค่ทหารราบธรรมดาสักหนึ่งกองร้อยหรือผู้ใช้เวทมนตร์ทั่วไปราวสิบคนก็เอาชนะไม่ได้ เรื่องแค่นี้ศัตรูน่าจะรู้ ถึงอย่างนั้นก็ยังส่งมาทำภารกิจที่สำคัญระดับนี้ มันหมายความว่าอย่างไรกัน?

     

    แม้เลเวียธานจะมีเพียงคำถาม แต่เอ็กซ์นั้นมีคำตอบอยู่ในใจ หากแต่เขาหวังจากใจให้การคาดเดาของตัวเองผิด

     

    (...)

     

    ภายในห้องรับประทานอาหารบนหอคอยกลาง นักเรียนหญิงเข้าแถวรวมกันโดยมีอาจารย์หญิงคอยควบคุมดูแล ดูแล้วไม่ต่างจากการเข้าแถวในพิธีการเท่าใดนัก ทว่าสิ่งที่แยกออกจากช่วงเวลาปกติอย่างชัดเจนก็คือความกังวลที่อยู่บนใบหน้าของนักเรียนและอาจารย์ นักเรียนหญิงบางคนกอดเพื่อนบางคนหลั่งน้ำตาด้วยความกลัว

     

    ผู้อำนวยการคุยกับอาจารย์หญิงที่หน้าแถว

     

    มิสเตอร์โคลแบร์ไม่อยู่งั้นเหรอ?

     

    ค่ะ อาจารย์ที่เปลี่ยนกะเข้ายามต่อจากเขาบอกว่าหลังจากนั้นก็ไม่เห็นอีกเลยน่ะค่ะ ท่านผู้อำนวยการคิดว่าเขาอาจจะ...

     

    ไม่น่าเป็นไปได้ ถึงจะเห็นอย่างนั้น แต่เขาไม่ใช่คนที่จะทอดทิ้งคนอื่นแล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว บางทีตอนนี้อาจจะสู้กับผู้บุกรุกอยู่ที่ด้านล่างก็ได้ ยังไงก็ตาม ลงไปสังเกตสถานการณ์แล้วกลับมารายงานฉัน

     

    ดิฉันหรือคะ?

     

    ถ้าไม่นับฉัน ที่นี่ก็ไม่มีอาจารย์ผู้ชายเหลือแล้ว คนที่มีหน้าที่ต้องทำไม่ได้มีแค่คุณหรอกนะ

     

    ค่ะ ทราบแล้วค่ะ

     

    อาจารย์หญิงรีบเดินไปที่ประตู ผ่านอาจารย์หญิงอีกสองคนที่เฝ้าทางเข้าและออกจากห้องไป

     

    คีร์เก้กับทาบาสะยืนอยู่ข้างกันในแถว ทั้งคู่ยังอยู่ในชุดนอน ของคีร์เก้เป็นผ้าบางเฉียบจนแทบจะมองทะลุได้ ขณะที่ของทาบาสะเป็น...อธิบายได้ง่ายๆ ว่าเป็นชุดนอนเด็ก

     

    และในมือซ้ายของทาบาสะมีหนังสือกางอยู่

     

    เธอเนี่ยน้า~ เวลาอย่างนี้ยังมีอารมณ์อ่านหนังสือสบายใจเฉิบได้อีก

     

    คีร์เก้พูดปนเสียงถอนใจ แต่บนใบหน้ามีรอยยิ้มบางๆ อย่างเอ็นดู

     

    แล้วทำไมเธอเองถึงทำเสียงเหมือนเห็นดีเห็นงามด้วยล่ะยะ? มอนท์โมรันซี่ที่ยืนอยู่อีกข้างของคีร์เก้พูดเสียงหงุดหงิด

     

    ก็ไม่รู้สินะ~”

     

    หากไปพูดให้คนที่ไม่เข้าใจฟังคงจะถูกสงสัยว่าสติดีหรือเปล่า แต่การได้เห็นเด็กสาวร่างเล็กอ่านหนังสืออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวทำให้ผ่อนคลายความกลัวได้อย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีอะไรต้องห่วง

     

    เสียงตบมือดังขึ้นสองครั้ง ผู้อำนวยการมีสิ่งที่ต้องการจะแจ้งให้ทราบ

     

    นักเรียนทุกคนฟังทางนี้ ตอนนี้โรงเรียนของเราถูกกองกำลังที่คาดว่าเป็นฝ่ายอัลเบี้ยนโจมตี

     

    คำว่า อัลเบี้ยน กระจายความหวาดกลัวไปบนใบหน้าของนักเรียนหญิง เกิดเสียงจอแจขึ้นในแถว แต่หยุดไปเมื่อผู้อำนวยการตบมืออีกสองครั้ง

     

    เป้าหมายของอีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นการจับตัวทุกคนที่อยู่ที่นี่เป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับกองทัพพันธมิตร ตอนนี้หน่วยปืนคาบศิลากับอาจารย์บางส่วนกำลังต่อสู้อยู่ ศัตรูมีจำนวนไม่มากนัก ขอให้ทุกคนสบายใจได้ ไม่ต้องเป็นห่วง

     

    ก็แค่พยายามพูดปลอบใจไปอย่างนั้นเอง จะเป็นความจริงสักแค่ไหนกัน คีร์เก้นึกในใจ

     

    เอาเถอะ ถ้ามีหลุดเข้ามาในนี้ก็เดี๋ยวค่อยแจกลูกไฟกันไป

     

    ที่นี่มีทั้งเธอ ทาบาสะ แล้วก็พวกอาจารย์ และถ้าจะว่ากันจริงๆ ทั้งเก้าสิบคนต่างก็เป็นผู้ใช้เวทมนตร์กันทั้งนั้น ไม่ว่าศัตรูจะมาไม้ไหนก็ไม่มีทางที่ฝ่ายเธอจะแพ้ได้ รู้แบบนี้แล้วยังจะกลัวกันอีก พวกผู้หญิงทริสเทนนี่น้า~

     

    อ๊ะ! ถ้าตอนนี้ดาร์ลิ้งอยู่ล่ะก็คงได้ซบไหล่ แล้วดาร์ลิ้งก็จะปลอบเรา ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันอยู่ทั้งคน อึ๊ย~ น่าเสียดายจริงๆ เลย!~’

     

    สักพักหนึ่งอาจารย์หญิงที่ลงไปดูสถานการณ์ก็กลับเข้ามาในห้องและตรงเข้าไปหาผู้อำนวยการ

     

    หืม?...อืม...จริงเหรอ? ขอบใจมาก

     

    ผู้อำนวยการกระแอมไอ ก่อนจะประกาศด้วยน้ำเสียงที่สดใสขึ้นกว่าครั้งก่อน

     

    เหตุการณ์ข้างล่างเริ่มสงบลงแล้ว ด้วยความร่วมมือจากหน่วยปืนคาบศิลาและคณะอาจารย์ ตอนนี้ศัตรูเหลือจำนวนไม่ถึงครึ่งแล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะควบคุมสถานการณ์ได้ ขอให้ทุกคนสบายใจได้

     

    เสียงถอนหายใจด้วยความโล่งอกดังยาวติดกัน คีร์เก้เลิกคิ้วขึ้น สีหน้าประหลาดใจนิดๆ

     

    อะไรกัน? แค่นี้เองเหรอ? เธออ้าปากหาว ถ้าอย่างนี้ล่ะก็อย่ามาปลุกกันแต่แรกสิ นอนไม่พอทำลายสุขภาพผิวของหญิงสาวนะ

     

    บรรยากาศในห้องรับประทานอาหารเริ่มจะผ่อนคลายลง ความกังวลและความกลัวค่อยๆ สลายหายไป เริ่มมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักเรียน

     

    ขณะเดียวกันก็หมายความว่าทุกคนลดการระวังตัวลง หรือเรียกอีกอย่างว่า<ประมาท>

     

    จนกระทั่งเสียงกระจกแตกดังขึ้น จึงได้มีคนสังเกตเห็นร่างที่หน้าต่างฝั่งตะวันตก

     

    ร่างปริศนาในผ้าคลุมยืนอยู่บนขอบหน้าต่างที่แตก ดวงตาสีน้ำเงินกวาดไปรอบห้องอย่างใจเย็น ขนาดของร่างกายไม่ใหญ่โตมาก และมีเพียงคนเดียว

     

    ศัตรูเหรอ?!” อาจารย์ที่อยู่ใกล้ชักคทาขึ้นชี้ใส่ผู้บุกรุก

     

    แต่ร่างนั้นหายไป

     

    เอ๋? หายไ—!!”

     

    เสียงร้อง อึ้ก หนึ่งครั้ง แล้วอาจารย์คนนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้น ร่างที่อยู่บนขอบหน้าต่างเมื่อเสี้ยววินาทีก่อนยืนอยู่ที่ปลายเท้าของอาจารย์ที่หมดสติ

     

    เพียงเท่านั้นบรรยากาศแห่งความตื่นตระหนกก็กลับคืนมาเต็มกำลัง เสียงกรีดร้องดังระงม นักเรียนหญิงต่างพากันถอยกรูดไปทิศตรงข้ามกับผู้บุกรุก

     

    แต่ผู้บุกรุกก็หายไปอีก

     

    —!!”

     

    อาจารย์สองคนที่หน้าประตูล้มคว่ำหน้าลงกับพื้น และเช่นเคย ร่างในผ้าคลุมยืนอยู่ระหว่างกลาง

     

    อาจารย์ที่เหลือหลุดจากอาการตระหนกก็รีบบริกรรมคาถาทันที

     

    แอร์แฮมเมอร์!”

     

    ค้อนอากาศพุ่งไปที่หน้าทางเข้าและกระทบเข้ากับ...อากาศ

     

    พริบตาต่อมาอาจารย์ผู้ร่ายคาถานั้นก็ลงไปนอนกับพื้น แต่คราวนี้ไม่มีร่างในผ้าคลุมอยู่ข้างๆ

     

    เพราะในเวลาเดียวกันนั้น อีกฟากของห้อง เสียง ตุบ เพิ่งจะดังขึ้น

     

    ก่อนที่ใครจะทันได้ตั้งสติ อาจารย์ในห้องก็เหลือแค่ผู้อำนวยการออสมันเพียงคนเดียว

     

    นี่มัน—!!”

     

    ร่างในผ้าคลุมยืนอยู่ชิดหลังเขา

     

    เข้าไปนั่งรวมกันตรงกลาง

     

    เสียงที่สั่งเรียบสนิทราวกับน้ำในทะเลสาบที่สงบนิ่ง ปราศจากซึ่งความรู้สึกใดๆ เจือปน ไม่ใช่เสียงที่ดัง แต่ก็ทำให้เสียงจอแจทั้งหมดเงียบกริบลงได้ในทันที

     

    ผู้อำนวยการและนักเรียนทุกคนเข้าไปนั่งรวมกันที่กลางห้องตามคำสั่งของร่างในผ้าคลุมอย่างว่าง่าย ทุกคนกลัวจนไม่กล้าคิดแม้แต่จะขัดขืน ขณะเดียวกันผู้ออกคำสั่งก็เคลื่อนไหวไปรอบห้อง แบกร่างอาจารย์ที่หมดสติแต่ละคนเข้าไปปล่อยไว้รอบวงนักเรียนแต่ละจุด

     

    คีร์เก้เฝ้าดูเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

     

    นี่มัน...อะไรกัน...?

     

    เธอไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรมาบรรยาย ในเวลาไม่ถึงนาที แนวรับที่น่าจะแข็งแกร่งระดับต้นๆ ในฮาลเคกิเนียก็ถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย ด้วยคนเพียงคนเดียว หรืออาจไม่ใช่คน

     

    หรือว่า...จะเป็นเอลฟ์เหรอ?

     

    ก็ไม่แน่ เธอไม่เคยเห็นเอลฟ์ตัวจริง แต่ว่ากันว่าเอลฟ์ตนเดียวสามารถเอาชนะผู้ใช้เวทมนตร์ระดับสแควร์ได้สบาย

     

    นี่ ทาบาสะ เธอคิดว่าเอาชนะเจ้านั่นได้มั้ย?

     

    เพื่อนร่างเล็กของเธอตอนนี้ไม่ได้อ่านหนังสือแล้ว สบตากับเด็กสาวผมแดงแล้วส่ายหน้า ซึ่งก็ไม่ผิดจากที่คีร์เก้คาดไว้ ว่ากันตามตรง เธอไม่คิดว่าจะมีใครที่เธอรู้จักสามารถเอาชนะ<นั่น>ได้

     

    ...เดี๋ยวสิ นี่มันแย่สุดๆ ไปเลยไม่ใช่เหรอ?

     

    เพราะเรื่องมันเกิดขึ้นรวดเร็วจนสมองเธอประมวลผลไม่ทัน แต่เมื่อตั้งใจคิดให้ดีๆ  ตอนนี้พวกเธออยู่ในความควบคุมของบางคนหรือบางอย่างที่ไม่มีทางเอาชนะหรือแม้แต่หนีได้เลย

     

    ...หรือยังมีวิธีเอาชนะได้อยู่?

     

    ต่อไปส่งคทาออกมาข้างหน้า

     

    ร่างในผ้าคลุมออกคำสั่ง ดูเหมือนจะเก็บคทาจากอาจารย์ที่หมดสติและผู้อำนวยการไปแล้ว ซึ่งทั้งหมดวางเรี่ยราดรวมกันอยู่บนพื้นด้านหลัง

     

    ใช้เวลาครู่หนึ่งในการส่งคทาของทุกคนออกมาด้านหน้า ออสมันเป็นคนส่งให้ร่างในผ้าคลุมกับมือ ไม้เท้ายาวของตัวเองก่อนแล้วตามด้วยคทาของนักเรียน ดวงตาที่สูงวัยประสานกับดวงตาที่เปล่งแสงน่าขนลุกใต้ฮู้ด

     

    ความรู้สึกนี้...เคยรู้สึกที่ไหนกัน...

     

    เมื่อไม่นานมานี้ ความทรงจำที่ทับถมกันนับแรมปีจนจำอายุตัวเองแทบไม่ได้ของเขารู้เพียงแค่นั้น

     

    ร่างในผ้าคลุมรับคทามาก็นำไปวางรวมกับกองเดิม ก่อนจะหันหลังกลับมา

     

    ขาดไปสองด้าม

     

    นักเรียนหญิงสะดุ้งหน้าตาตื่นมองกันเลิ่กลั่ก

     

    นี่ คิดไปเองรึเปล่า~ อาจจะนับผิดก็ได้ พวกเรามีกันตั้งเยอะนะ

     

    เสียงคีร์เก้นั่นเอง

     

    คนที่สวมเครื่องแบบนักเรียนอยู่ที่นี่มีเก้าสิบคน คทาที่เก็บมาได้มีแค่แปดสิบแปดด้าม

     

    ร่างในผ้าคลุมชี้ไม้เท้าอันเบ้อเริ่มของทาบาสะที่วางอยู่กับพื้น

     

    นับรวมด้ามนั้นเป็นเก้าสิบเก้า ยังเหลืออีกด้ามหนึ่ง

     

    ทาบาสะหยิบไม้เท้าของตัวเองขึ้น ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะส่งมันออกไปข้างหน้า

     

    แต่คีร์เก้ห้ามเธอไว้ เด็กสาวผมแดงหยิบของตัวเองขึ้นมา

     

    อ้อ อยู่นี่เอง ขอโทษด้วยนะ พวกเรากลัวจนลืมไปน่ะ เข้ามาเอาไปสิ เร้ว

     

    ร่างในผ้าคลุมนิ่งไปหนึ่งวินาที ก่อนจะก้าวขาเดินตรงเข้าไป กลุ่มนักเรียนก็แยกวงเปิดทางเข้าไปหาคีร์เก้กับทาบาสะ

     

    วินาทีเดียวกับที่ร่างในผ้าคลุมยื่นมือไปรับคทา คีร์เก้ก็จับแขนของอีกฝ่ายไว้

     

    แหม~ ใจเย็นๆ สิ นั่งคุยกันก่อนก็ได้ คีร์เก้เริ่มหว่านเสน่ห์ตามที่ตัวเองถนัด แม้อีกฝ่ายจะไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ  เธอก็ทำเป็นไม่สนใจ

     

    มีเด็กสาววัยเอ๊าะตั้งเก้าสิบคน สวรรค์ของผู้ชายชัดๆ เลยนะ ไม่สนใจซักหน่อยเหรอ~” คีร์เก้คลี่ริมฝีปากอย่างยั่วยวน

     

    ...ก่อนจะฉีกกว้างขึ้นจนกลายเป็นแสยะ

     

    โดยเฉพาะฉันกับเพื่อน พวกเรา<เด็ด>อย่าบอกใครเลยล่ะ

     

    ตั้งแต่ก่อนที่คีร์เก้จะพูดจบประโยค ทาบาสะก็ปล่อยคาถาที่แอบร่ายเตรียมไว้ออกไป ใบมีดลมนับสิบเข้าเฉือนฟันร่างในผ้าคลุมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า การควบคุมขั้นสูงทำให้คีร์เก้ไม่ได้รับอันตราย แต่ร่างในผ้าคลุมถูกคีร์เก้ยึดแขนไว้ทำให้ขยับหนีไม่ทัน

     

    เศษผ้าคลุมปลิวกระจาย คีร์เก้ยิ้มกว้างพลางนึก สำเร็จ!’ ในใจ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่หงายหลังล้มไปตามที่คาด รอยยิ้มของเธอก็หายไป ก่อนที่ความประหลาดใจและตื่นตระหนกจะเข้ามาแทนที่

     

    ทาบาสะซึ่งเป็นผู้ร่ายคาถาและรู้ว่าตัวเองไม่ได้ออมแรงหรี่ตาลงและมีเหงื่อผุดขึ้นที่ขมับ

     

    ผ้าที่คลุมร่างปริศนาไว้ขาดวิ่นไม่เป็นชิ้นดี ทว่าร่างที่อยู่ข้างใต้กลับไม่มีรอยขีดข่วนและไม่แสดงแม้แต่อาการตกใจ

     

    ที่สำคัญคือ...รูปร่างนั้นมันอะไรกัน? ไม่มีใครในที่นั้นเคยเห็นรูปร่างแบบนั้นมาก่อน

     

    ส่งคทามาได้แล้ว

     

    (...)

     

    เอ็กซ์กวาดตามองรอบสนามรบหน้าหอคอยหลัก แสงจางๆ จากขอบฟ้าตกกระทบผ้าคลุมเปล่าๆ ทั้งหมดยี่สิบผืนบนพื้นหญ้า ปนอยู่กับร่างของหน่วยปืนที่หมดสติอีกราวสี่คน

     

    ท่าทางจะหมดแล้วล่ะค่ะ

     

    เลเวียธานยืนอยู่ด้านหลังเขาก็กำลังทำอย่างเดียวกัน

     

    ห่างจากทั้งคู่ไปราวสิบห้าเมตร อาเนียสยืนคุยอยู่กับรองหัวหน้าหน่วยเอมิลี ดูเหมือนว่าจะสงบสติอารมณ์ลงพอจะคุยงานคุยการได้ในขณะนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะได้ระบายอารมณ์ส่วนเกินกับศัตรูไปบ้าง

     

    โคลแบร์ใช้ไม้เท้าค้ำตัวพลางคุกเข่าลงหยิบตุ๊กตาที่เผาไหม้จนเสียรูปขึ้นมาดู

     

    นี่มัน... อัลวี...การ์กอยล์?

     

    <อัลวี>คือตุ๊กตาตัวเล็กๆ ที่ขยับได้ด้วยเวทมนตร์ ในห้องรับประทานอาหารก็มีอยู่ชุดหนึ่งเป็นชุดละครเวที ดูเหมือนว่าศัตรูใช้ตุ๊กตาเหล่านี้เป็นสื่อกลางสร้าง<การ์กอยล์> ตุ๊กตาที่เคลื่อนไหวตามความนึกคิดของผู้ใช้ ซึ่งก็คือร่างใต้ผ้าคลุมทั้งสามสิบร่างนั้น

     

    ถ้าอย่างนั้นผู้ที่ควบคุมการ์กอยล์พวกนี้ก็ต้องอยู่ไม่ไกล หรืออย่างน้อยก็อยู่ไม่ไกลในระหว่างที่การ์กอยล์ยังขยับตัวอยู่ ตอนนี้การ์กอยล์ทุกตัวถูกทำลายจนหมด อาจหนีไปไกลแล้วก็ได้

     

    แต่ว่าควบคุมการ์กอยล์ถึงสามสิบตัว...หากไม่ใช่อัจริยะก็ต้องมีผู้ใช้เวทมนตร์หลายคน

     

    โคลแบร์ทิ้งตุ๊กตาลงกับพื้นแล้วส่ายหน้า คิดไปก็หนักหัว นักเรียนทุกคนปลอดภัย นอกจากนั้นไม่มีอะไรสำคัญ

     

    แต่ว่าหลังจากนี้...

     

    โคลแบร์หันไปทางหัวหน้าหน่วยปืน อัศวินสาวมองเขาอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาของทั้งคู่ประสานกัน เหมือนเป็นการย้ำเตือนโคลแบร์ว่าเขาหนีไปไหนไม่พ้น

     

    โคลแบร์หลับตาลง รับชะตากรรมของตัวเอง ลุกขึ้นเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย ทางฝ่ายนั้นก็เดินเข้ามาหาเขาเช่นกัน ทั้งคู่หยุดเผชิญหน้ากันที่กลางทาง

     

    ฉันไม่หนีไปไหนแน่นอน แต่ว่าขอเวลาให้ฉันได้สะสางเรื่องที่ยังค้างคาไว้ก่อน

     

    ฉันควรจะฆ่าแกซะตรงนี้...แต่ก็ได้ ฉันให้เวลาแค่จนถึงตะวันตกดินวันนี้ ฉันจะรออยู่ที่เดิม แล้วอย่าคิดหนี ฉันไม่อยากใช้ตัวประกันถ้าไม่จำเป็น

     

    โคลแบร์พยักหน้ารับคำขู่ที่อาเนียสทิ้งท้ายไว้ ก่อนที่ทั้งคู่จะไปรวมกับอาจารย์คนอื่นๆ เดินทางเข้าหอคอยหลักขึ้นไปที่หอประชุมที่นักเรียนหญิงอยู่

     

    เอ็กซ์กับเลเวียธานยืนรอที่ด้านล่าง เลเวียธานสังเกตว่านายของเธอก้มหน้ามองพื้นใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

     

    ท่านเอ็กซ์คะ มีอะไรเหรอคะ?

     

    หืม? อา เปล่าหรอก แค่คิดว่าดีจริงที่ไม่เป็นไปตามที่ฉันคาดไว้

     

    ที่ท่านเอ็กซ์คาดไว้? หมายถึงเรื่องที่ท่านเอ็กซ์ปิดบังฉันไว้น่ะเหรอคะ? เลเวียธานตอบด้วยท่าทางเหมือนกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่รู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายแฝงของเธอ

     

    อืม...โทษที ฉันไม่ได้ฉันตั้งใจปิดบังเธอ แต่ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอก ที่จริงเป็นเพราะความคิดของฉันมันหลุดโลกเกินไปจนไม่กล้าบอกน่ะ

     

    เด็กหนุ่มยิ้มเจื่อนๆ ตอนท้าย เลเวียธานไม่ตอบอะไร เชื่อได้ว่าคำพูดคราวนี้เป็นความจริง แต่รู้สึกว่าสาเหตุที่ไม่บอกน่าจะเป็นอย่างอื่นมากกว่า

     

    ก่อนที่เธอจะได้ซักถามอะไรไปมากกว่านั้น เสียงกระจกแตกก็ดังมาจากหอคอยหลัก หน่วยปืนคาบศิลาที่เก็บหลักฐานกับปฐมพยาบาลเพื่อนอยู่ก็พากันตกใจ

     

    เอ็กซ์กับเลเวียธานหันไปมองเศษกระจกสะท้อนแสงอาทิตย์ขณะที่ร่วงสู่พื้น ทั้งคู่สบตากัน แล้ววิ่งเข้าไปในหอคอยหลักทันที

     

    (...)

     

    อาเนียสไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น วินาทีหนึ่งเธอหยุดอยู่ที่หน้าประตูหอประชุมด้วยความคิดที่ว่าเสร็จเรื่องแล้วก็จะได้สนใจแต่การสะสางอดีตที่ค้างคา วินาทีต่อมาเธอเห็นนักเรียนและอาจารย์ร่วมร้อยคนนั่งตัวสั่นกันอยู่กลางห้อง และร่างประหลาดยืนอยู่ต่อหน้าพวกเธอ

     

    พาตัวราชินีหรือคาร์ดินัลมา ทางอัลเบี้ยนต้องการให้ถอนทัพ

     

    ร่างประหลาดกล่าวเสียงเรียบ

     

    อาเนียสรู้ในทันทีว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้าเธอคือหนึ่งในฝ่ายศัตรู เธอสอดส่ายสายตามองดูว่ายังมีคนอื่นอยู่อีกหรือไม่ เมื่อเห็นว่ามีเพียงคนเดียว และมีกองคทา(กับไม้เท้ายาวสองด้าม)อยู่บนพื้น เธอก็หันกลับมาพูดกับโจรตรงหน้า

     

    ยอมแพ้เถอะน่ะ ข้างล่างนี่มีหน่วยปืนคาบศิลาหนึ่งกองพันล้อมไว้ แกตัวคนเดียวคุมตัวประกันจากเราไม่ได้หรอก

     

    ทหารที่คุ้มกันที่นี่มีแค่สิบห้าคน ตอนนี้ก็คงเหลือแค่เจ็ดคน

     

    อาเนียสกลั้นสีหน้าไม่ให้แสดงอาการประหลาดใจ แต่รู้ว่าไม่มีประโยชน์เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยด้วยท่าทางมั่นใจแบบนั้น เธอเปลี่ยนไปใช้วิธีอื่น

     

    เฮอะ สิบห้าคนนี้กับพวกอาจารย์ที่โรงเรียนกำจัดเพื่อนสามสิบคนของแกจนหมดแล้วนะ

     

    พวกอาจารย์นั่นน่ะเหรอ คู่เจรจาของเธอเอียงศีรษะไปทางกลุ่มนักเรียน อาจารย์หญิงหลายคนหมดสติอยู่ในความดูแลของนักเรียน

     

    โคลแบร์เก็บอาการตกใจไว้ได้ แต่เหงื่อก็ยังผุดขึ้นที่หน้าผาก

     

    เจ้า...ทำทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวงั้นเหรอ...

     

    ใช่ เพราะนอกจากฉันเป็นแค่ตัวล่อ ต้อนให้นักเรียนทุกคนมารวมกันที่นี่

     

    ความตกใจกระจายไปบนสีหน้าของทุกคน ท่าทางกลุ่มนักเรียนที่อยู่ด้านหลังก็เพิ่งจะรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน

     

    หมายความว่าทั้งหมด...เพื่อให้แกจัดการคนเดียวตั้งแต่แรกแล้วงั้นสิ?

     

    คู่เจรจาของเธอไม่ตอบ คงเพราะเห็นว่าไม่จำเป็น

     

    หืม?

     

    อาเนียสสังเกตว่าลูกตาอีกฝ่ายขยับไปมาคล้ายมองหาอะไรบางอย่าง

     

    เจ้านี่มองหาอะไร?

     

    เรื่องนั้นไม่สำคัญ ที่เธอสงสัยคือเธอถ่วงเวลามาขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่มีใครคลานไปเอาคทาตรงนั้นอีก ถึงพวกนักเรียนหญิงจะกลัว แต่อย่างน้อยผู้อำนวยการก็น่าจะ...

     

    ...หรือว่าพวกนักเรียนที่นี่รู้อะไรที่เธอไม่รู้?

     

    ระหว่างที่อาเนียสตัดสินใจ จู่ๆ คู่เจรจาเธอก็เคลื่อนไหวอย่างที่เธอไม่คาดคิด ร่างที่อยู่คู่เจรจาเธอเดินไปที่ข้างหน้าต่างบานหนึ่ง จ้องมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังดูอะไรอยู่

     

    ก่อนที่อาเนียสจะได้คิดถาม ร่างนั้นก็เงื้อมือขวาขึ้น แล้วชกกระจกหน้าต่างจนแตก

     

    เจ้านั่นทำอย่างนั้นทำไม? เธอหาเหตุผลในการกระทำอันแปลกประหลาดนี้ไม่ได้

     

    ไม่น่าเชื่อ...กระจกทุกบานที่นี่ร่ายคาถาเสริมความทนทานระดับสแควร์ไว้ ทำลายได้ด้วยมือเปล่าแบบนั้น... เสียงโคลแบร์อุทานจากข้างหลังเธอ

     

    หลังจากทำลายข้าวของเสร็จ คู่เจรจาของเธอก็เดินกลับมาที่เดิม ครั้งนี้ไม่พูดอะไรกับเธอ ราวกับรออะไรบางอย่าง

     

    ไม่นาน เสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามาจากทางด้านหลังเธอ

     

    เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทากับเด็กสาวผมสีฟ้าน้ำทะเลหยุดอยู่ด้านหลังพวกเธอ สีหน้าของทั้งคู่เป็นความประหลาดใจอย่างยิ่งยวด ยิ่งกว่าพวกเธอตอนที่เห็นภาพนี้ ที่น่าสงสัยคือความประหลาดใจนั้นไม่ได้พุ่งเป้าไปที่สถานการณ์นักเรียนเก้าสิบคนด้านหลัง แต่เป็นที่ร่างประหลาดนี้เพียงร่างเดียว

     

    “นาย...นี่มันหมายความว่ายังไงกัน?... เด็กสาวผมสีฟ้าเอ่ยอย่างกึ่งประหลาดใจกึ่งหวาดหวั่น

     

    เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาหลับตาคิ้วขมวด มือที่อยู่ข้างลำตัวกำแน่นจนสั่นระริก

     

    ...ฉันคิดเอาไว้ว่าอาจเป็นแบบนี้ แต่ก็หวังว่าจะแค่คิดไปเอง...

     

    ดวงตาสีเขียวมรกตเปิดขึ้น ทว่าแววตานั่นเป็นแบบที่เธอไม่เคยเห็น ดูคล้ายกับวังวนความรู้สึกที่อลหม่านอยู่ข้างในกระจกสีเขียวอันเปราะบาง

     

    คู่เจรจาของเธอไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ  แต่ดวงตาสีน้ำเงินบนใบหน้าที่เรียบสนิทก็ฉายแววคล้ายๆ กัน

     

    เด็กหนุ่มผมสีบรอนซ์เทาถอนใจยาว แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเหนื่อยล้า

     

    อธิบายมาซิว่ามันหมายความว่ายังไงกัน...ซีโร่

     

    แววตาที่ร่างสีแดงใช้จ้องมองเด็กหนุ่มไม่เปิดเผยความรู้สึกใดๆ

     

    --

     

    PBW:“โอะโฮะๆ  ยาวผิดคาด นึกว่าจะจบในตอนนี้ สุดท้ายก็เลยไปอีกตอนจนได้(แต่ก็ลงพร้อมกันอยู่ดี)

     

    DX:“ยังงี้ที่แกว่าโปรเจคแปลจะได้ใช้ในตอน 39 ล่ะ?

     

    PBW:“ก็ต้องเลื่อนไปตอน 40 ล่ะ

     

    DX:“แต่แปลเสร็จแล้วใช่มั้ย?

     

    PBW:“แน่นอน เป็นเรื่องที่สนุกมากเลย ยิ่งตัวเอกเป็นทาบาสะ แหม่~”

     

    DX:“พูดยังงั้นเดี๋ยวคนก็เข้าใจผิดว่านางเอกจะเป็นยัยเด็กแว่นนั่นหรอกเฟ้ย

     

    PBW:“ไม่หรอก ไม่หรอก ถึงทาบาสะจะเป็นตัวละครที่ฉันชอบที่สุดในเรื่อง ZnT  ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะจับคู่ให้เอ็กซ์ไปโดยปริยาย

     

    DX:“สรุปแล้วคือ Arc 6 จะจบตอนหน้า?

     

    PBW:“แน่น้อน ตอนหน้าเป็นตอนที่รอจะเขียนมาแสนนานแล้วด้วย โฮะๆ  จะได้ใส่อารมณ์ให้สมอยากละ

     

    S:“นี่...ตอนนี้ฉันไม่มีบทเลยนี่หว่า?

     

    PBW:“ในนิยายแกก็ไม่มีบทเฟ้ย ตอนนี้เป็นเรื่องที่โรงเรียน แกไม่เกี่ยว
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×