ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn : Fierce Demon & Little Cute Pineapple [1896]

    ลำดับตอนที่ #24 : มาเฟียแลนด์ แดนในฝัน! มหกรรมรวมญาติวองโกเล่! ...ก็แค่ตัวประกอบ...

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 457
      9
      26 ส.ค. 54

    Ch.22
     
    {วองโกเล่เดซิโม่ที่เคารพ
     
              เนื่องจากท่านได้ช่วยให้พวกเรารอดพ้นจากการบุกโจมตีของ [คัลคัสซา แฟมิลี่] ในครั้งที่ท่านมาเยี่ยม เราจึงได้ส่งตั๋วฟรีนี้มาให้ท่านเป็นการขอบคุณ ตั๋วนี้ใช้ดำเนินการทุกอย่างในสวนสนุกของเราได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมทั้งบริการพิเศษอื่นๆ ที่เราจะจัดให้ตามโอกาสอย่างเต็มที่ เราได้รับทราบจากท่านรีบอร์นว่าท่านได้เป็นผู้สืบทอดอย่างเป็นทางการพร้อมทั้งแต่งตั้งผู้พิทักษ์ทั้งหกจนครบถ้วน ตั๋วจึงมีทั้งหมดเจ็ดใบเพื่อให้พวกท่านได้สนุกกับสวนของเราตามใจต้องการ อนึ่ง สำหรับท่านรีบอร์นนั้น ทางเราได้จัดการต้อนรับเอาไว้เป็นพิเศษ ขอให้ท่านรีบอร์นให้เกียรติมายังสวนสนุกของเราด้วย แฟนๆ ของท่านรีบอร์นต่างก็ตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ
     
                                                                                                                           ด้วยความเคารพอย่างสูง
     
                                                                                                                                           ลงชื่อ
                                                                                                                           ผู้บริหารสูงสุดมาเฟียแลนด์}
     
    ปู๊น!~
     
    เสียงพ่นควันดังสนั่นไปทั้งลำเรือขณะเข้าเทียบท่า เป็นอีกครั้งที่วองโกเล่หนุ่มและผองเพื่อนได้ขึ้นเรือลำนี้เพื่อมาที่ [มาเฟียแลนด์] สวนสนุกที่วองโกเล่ แฟมิลี่และพันธมิตรร่วมกันสร้างขึ้น หาดทรายขาวสะอาด เครื่องเล่นหลากชนิด มีทั้งส่วนศิวิไลซ์และป่าเขาธรรมชาติ ไม่แปลกเลยที่เกาะแห่งนี้จะติดอันดับหนึ่งสวนสนุกที่เหล่ามาเฟียอยากมาใช้เวลาหยุดพักผ่อนมากที่สุดจากทั้งหมดสองร้อยห้าสิบสี่อันดับในสมุดอันดับของฟูตะ
     
    ‘ไม่คิดเลยว่าจะได้มาที่นี่อีก มาเฟียแลนด์...’ เด็กหนุ่มผมฟูมองดูเกาะอันสวยงามที่เขาจำได้ทันทีที่ได้รับจดหมายเมื่ออาทิตย์ก่อน วองโกเล่หนุ่มมีความหลังกับสถานที่นี้ไม่น้อย
     
    ...ทั้งโดนยัดเยียดการทดสอบให้สินบน ถูกส่งขึ้นรถไฟไปฝึกโหดกับครูฝึกนรกระดับเดียวกับครูพิเศษประจำตัว ถูกมาเฟียคู่อริโจมตี ยังไม่ได้พักผ่อนอะไรเลยก็ถึงเวลากลับ อา~ ช่างเป็นอดีตที่สวยงามจริงๆ~ (Tsuna:สวยงามกะผีแน่ะ!)
     
    “ยินดีต้อนรับค่ะ ท่านซาวาดะ สึนะโยชิและผู้ร่วมทางใช่มั้ยคะ?” พนักงานต้อนรับหญิงคนเดิมเอ่ยทักทาย
     
    ‘ดูเหมือนคราวนี้จะไม่ต้องทดสอบอะไรกันอีกสินะ ดีจริงๆ =_=;’ สึนะรำพึงในใจ
     
    “ว้าว~ รุ่นที่สิบดูสิครับ ไม่เปลี่ยนไปเลย ยังดูยิ่งใหญ่เหมือนเดิม” ผู้พิทักษ์แห่งวายุคอมเม้นท์ภาพเบื้องหน้า
     
    “ฮะฮะฮะ ดีจังนะที่ได้มาอีก สึนะ ^ ^” ผู้พิทักษ์แห่งพิรุณก็ยังคงทำตัวสบายๆ เหมือนเคย
     
    “เป็นสวนสนุกที่ใหญ่สุดขั้วจริงๆ!!” ผู้พิทักษ์แห่งอรุณร้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นกับสถานที่ที่ไม่เคยมา...ถึงทุกทีเขาจะเสียงดังอยู่แล้วก็ตาม
     
    “คราวนี้ล่ะ คุณแรมโบ้จะต้องชนะรถไฟเหาะให้ได้เลย! วะฮ่าๆๆ!” ผู้...พิทักษ์แห่งอัสนีประกาศก้องด้วยน้ำเสียงอันน่าเกรงขาม(?)
     
    “ไม่ได้มานานเหมือนกันแฮะ แต่ปราสาทของฉัน*ก็ยังดูดีเหมือนเดิม ถึงจะไม่เท่าตัวจริงก็เถอะ” อัลโกบาเลโน่อรุณยังพูดจาใหญ่โตเหมือนเคย
     
    (*ปราสาทที่ออกแบบมามีหน้ารีบอร์น หาดูได้ในการ์ตูน)
     
    แต่ละคนต่างก็คอมเม้นท์ในแบบของตัวเอง ยกเว้นอยู่เพียงผู้พิทักษ์แห่งเมฆาและสายหมอก ซึ่งเงียบโดยนิสัย
     
    เมฆายังคงสวมชุดกรรมการรักษาระเบียบแห่งนามิโมริเหมือนทุกที จนอาจเป็นไปได้ว่าทั้งบ้านเขามีแต่ชุดแบบนี้เต็มพรืดไปหมด
     
    หมอกสาววันนี้มาในเสื้อแขนกุดสีชมพูอ่อนและกระโปรงชายสามสีดำขลิบขาวยาวคลุมเข่า บนศีรษะสวมที่คาดผมลูกไม้สีขาวอันเดิม
     
    (R:ขอบอกไว้เลยว่าคนเขียนมีความรู้เรื่องแฟชั่นและเครื่องแต่งกายไม่ถึงปลายหางลูกอ๊อด แค่หาชุดให้โคลมก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง เพราะฉะนั้น ถ้าดูไม่ดีรีบบอกผม ผมจะหาทางแก้ซักทาง)
     
    สึนะหันกลับไปมองเด็กหนุ่มผมดำที่ยืนอยู่คู่กับเด็กสาวผมม่วงด้วยความหวาดผวาปนพิศวง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าทารกชุดดำทำอีท่าไหนถึงพาประธานกรรมการรักษาระเบียบที่สุดจะรักโรงเรียนจนไม่ยอมอยู่ห่างมาได้ แต่สำหรับนักมายาผู้อายุน้อยรองจากเด็กวัวนั้น เขาดีใจที่เธอยอมมาด้วย แสดงว่าเธอเปิดใจให้กับพวกเขามากขึ้น
     
    เด็กสาวผมม่วงสังเกตเห็นเด็กหนุ่มผมฟูมองตัวเองอยู่จึงเอ่ยขึ้น
     
    “มีอะไรรึเปล่าคะบอส?”
     
    “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” สึนะปฏิเสธ แต่กลายเป็นว่าคนมีปัญหาคือมือขวาหนุ่มผมเงิน
     
    “จะว่าไปแล้ว ปกติเห็นทำไม่มีตัวตน คราวนี้มาด้วยทำไม? คงไม่ได้กำลังจ้องเล่นงานรุ่นที่สิบอยู่หรอกนะ!” มือขวาหนุ่มยังคงไม่ไว้ใจเด็กสาวเต็มร้อย
     
    “ไม่หรอกค่ะ ฉันไม่เคยคิดทำร้ายบอส ท่านมุคุโร่เองก็เช่นกัน คุณโกคุเดระไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ” เธอตอบอย่างใจเย็นตามปกติของเธอ
     
    “จะให้ไว้ใจได้ยังไง เจ้ามุคุโร่เจ้าเล่ห์จะตาย! ที่เลิกไว้ผมสัปปะรดคงจะหวังให้เราตายใจสิท่า!” โกคุเดระยังเถียงไม่ลืมหูลืมตา ต่างกับผู้เป็นบอสที่รู้สึกตัวเต็มที่
     
    “โคลม เมื่อกี้เธอ...เรียกโกคุเดระคุงด้วยนามสกุลงั้นเหรอ? ไม่ใช่ ‘ผู้พิทักษ์แห่งวายุ’...”
     
    “คุณยามาโมโตะบอกว่าทำแบบนี้แล้วบอสจะดีใจ ไม่...ได้เหรอคะ?” เด็กสาวผมม่วงถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา ดวงตาของเธอฉายแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด
     
    “ป—เปล่า! ฉันไม่ได้ว่าอะไรหรอก! เพียงแต่ตกใจนิดหน่อยแล้วก็...ดีใจที่เธอสนิทกับพวกเรามากขึ้น แค่นิดหน่อยก็ยังดี” สึนะยิ้มบางๆ ด้วยความปลื้มปิติ ในขณะที่สปอร์ตแมนหัวเราะร่า
     
    “ฮะๆๆ! ดีจังเลยนะ โคลม สึนะ ^ ^!”
     
    “อืม” สึนะพยักหน้า “เดี๋ยวก่อนนะ โคลม เธอยังเรียกฉันว่าบอสอยู่นี่?”
     
    “บอสก็คือบอสค่ะ” เป็นคำตอบสุดท้าย
     
    สึนะหน้าเจื่อน แต่ก็มองเด็กสาวผมม่วงด้วยใจที่ชุ่มฉ่ำ การมาเที่ยวคราวนี้คงจะช่วยสร้างความทรงจำที่ดีให้กับเธอได้แน่ อย่างน้อยๆ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพวกเขาก็ใกล้ชิดกันขึ้นมาอีกนิด
     
    ท่านเคียวยะจะไปไหนคะ?”
     
    ‘แล้วความสัมพันธ์ของสองคนนั่นมันยังไงกันแน่เนี่ย!!~’ สึนะตะโกนก้องอยู่ในใจ
     
    โคลมเห็นฮิบาริเดินแยกตัวออกไปโดยไม่บอกกล่าวจึงได้ถาม และก็ได้รับคำตอบกลับมา...
     
    “เจ้าหนูบอกว่าที่นี่มีพวกเคี้ยวยากเยอะ เลยจะไปลองขย้ำมันดูซะหน่อย” ช่างเป็นคำตอบที่สมกับพี่ท่านจริงๆ...
     
    แล้วเมฆาผู้สันโดษก็แยกตัวออกไปโดยมีหมอกสาวตามไปด้วย
     
    “รีบอร์น! บอกคุณฮิบาริเขาแบบนั้นเดี๋ยวก็มีเรื่องอีกหรอก!” วองโกเล่หนุ่มหันมาโวยกับทารกชุดดำ
     
    “ช่วยไม่ได้ ถ้าไม่บอกงั้น ฮิบาริก็ไม่ยอมมาน่ะสิ แล้วถ้าฮิบาริไม่มา โคลมก็คงไม่มาเหมือนกัน” รีบอร์นตอบหน้าตาย
     
    “เอ๋? หมายความว่ายังไง?” สึนะงงสนิท
     
    “ที่ฉันเรียกฮิบาริกับโคลมมาด้วย ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะสังเกตความสัมพันธ์ของสองคนนั่น ตามการคาดคะเนของฉัน ฉันคิดว่า...”
     
    สึนะและสี่ผู้พิทักษ์เงี่ยหูฟังกันอย่างตั้งใจ
     
    “ฮิบาริกิ๊กกะโคลมชัวร์” รีบอร์นพูดหน้าตายพร้อมทั้งชูนิ้วก้อยเป็นสัญลักษณ์
     
    “พูดเป็นเล่น oOo!!” สึนะเถียงตาแทบถลน
     
    “พูดอะไรอย่างนั้น ไม่เห็นรึไงว่าฮิบาริไม่รังเกียจเวลาโคลมเข้าใกล้ ตอนอยู่บนเรือหมอนั่นก็เลือกนอนห้องติดกับโคลม ฮิบาริปฏิบัติกับทุกคนแทบจะเท่าเทียมกันหมด ที่หมอนั่นยอมให้เข้าใกล้ เมื่อก่อนมีแค่รองประธานกรรมการรักษาระเบียบ ตอนนี้กลับมีโคลมเพิ่มมา คิดว่าหมายความว่ายังไงล่ะ?”
     
    “ถ—ถึงยังงั้นก็เถอะ โคลมกับคุณฮิบาริเนี่ย...” สึนะพูดค้างเอาไว้อย่างนั้น แต่โกคุเดระก็เสริมต่อทันที
     
    “ใช่ครับคุณรีบอร์น! เจ้าฮิบาริมันเป็นไซบอร์กเลือดเย็นไร้หัวใจ! ไม่มีทางสนใจเรื่องแบบนั้นหรอกครับ!”
     
    “ฮะๆๆ โกคุเดระ ไปว่าเขาแบบนั้นมันไม่ดีนะ ^ ^” ยามาโมโตะขัดขึ้นมา “แต่ฉันก็เห็นด้วยกับสึนะนะเจ้าหนู สองคนนั้นจะสนิทกันได้เท่านี้ก็ไม่แปลก ยังไงก็อยู่บ้านเดียวกันนี่นา ^ ^”
     
    หูของวองโกเล่และผู้พิทักษ์คนอื่นๆ แทบจะกางทับเจ้าของประโยคก่อนหน้า
     
    “นายรู้ด้วยเหรอ” รีบอร์นไม่มีท่าทีประหลาดใจแม้แต่น้อย เพราะเขารู้อยู่ก่อนหน้าแล้ว
     
    “ค่ำวันนึงหลังเลิกเรียนฉันไปส่งซูชิให้ลูกค้า บังเอิญเห็นสองคนนั้นเข้าไปในคฤหาสน์หลังใหญ่หลังเดียวกัน ก็เลยคิดว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น”
     
    สึนะอ้าปากหวอจ้องหน้าผู้พิทักษ์ของตัวเอง เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าคนที่ทื่อที่สุดในกลุ่มอย่างยามาโมโตะจะล่วงรู้ความลับสุดยอดถึงสองอย่าง อย่างแรกคือเรื่องเด็กสาวผมม่วงอีกอย่างคือ ‘ที่อยู่ของฮิบาริ เคียวยะ’
     
    “จ—เจ้าบ้า! ทำไมแกถึงไม่บอกฉันกับรุ่นที่สิบฟะ!?” โกคุเดระตั้งสติได้ก็โวยตามนิสัย
     
    “ก็นึกว่าพวกนายรู้กันหมดแล้วซะอีก เลยไม่ได้พูดถึง โทษทีละกัน ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ ^ ^!”
     
    ‘ไม่ใช่เรื่องใหญ่กะผีอะไรเล่า =_=;’ วองโกเล่กับมือขวาใจตรงกัน
     
    --
     
    ด้านในสวนสนุกแห่งมาเฟียแลนด์ที่มีผู้คนมากมายล้อมรอบไปด้วยเครื่องเล่นที่ทั้งใหญ่และทันสมัย
     
    เด็กสาวผมม่วงยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน เธอแหงนหน้ามองรถไฟเหาะตีลังกา แววตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น ถึงไม่ได้เป็นนักจิตวิทยาชั้นหนึ่งก็ดูออกว่าเด็กสาวอยากเล่น
     
    ฮิบาริเองก็ดูออกเช่นกัน จึงเอ่ยขึ้นมา
     
    “ถ้าอยากขึ้นไปนั่งก็ใช้ตั๋วที่ซาวาดะ สึนะโยชิให้มาสิ”
     
    โคลมหันขวับกลับมามองฮิบาริตาแป๋ว
     
    “ท่านเคียวยะขึ้นไปด้วยได้มั้ยคะ?”
     
    ฮิบาริชะงักไป เขานึกว่าตัวเองจะปฏิเสธสวนกลับทันที แต่กลายเป็นว่าเขาอยากตามใจเด็กสาวตรงหน้าซะอย่างนั้น และในเมื่อเขาเป็นประเภทอยากทำอะไรก็ทำ
     
    “ก็ได้”
     
    ด้วยตั๋วฟรีที่ทั้งคู่มีบวกกับรังสีอำมหิตของเด็กหนุ่ม ทั้งคู่จึงได้ขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาโดยไม่ต้องรอคิว
     
    รถไฟเคลื่อนตัวออกไปอย่างเชื่องช้าและนิ่มนวล แต่พอความเร็วได้ที่ก็โชว์ลวดลายหมุนตีลังกายังกับนักยิมนาสติกทีมชาติ เล่นเอาเด็กสาวผมม่วงหัวหมุนติ้วไม่หยุดถึงแม้จะกลับลงมาแล้วก็ตาม
     
    “แค่นี้ก็หมดท่าซะแล้วเหรอ อ่อนแอซะจริงๆ” ฮิบาริเอ่ยขณะมองเด็กสาวที่นั่งจับเข่าก้มหน้าอยู่บนม้านั่ง
     
    “ขอโทษนะคะที่ทำให้เสียเวลา” โคลมหน้าสลดลงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าใจจริงแล้วเด็กหนุ่มจะไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแม้แต่น้อย แต่เธอไม่รู้นี่? “ท่านเคียวยะไม่เป็นอะไรเลยเหรอคะ?”
     
    “ของเด็กเล่นพรรค์นี้ฉันไม่รู้สึกอะไรหรอก” ฮิบาริพูดจบก็เดินเซให้ดูก้าวนึงก่อนจะหยุดยืนนิ่งสนิท
     
    “...มานั่งพักด้วยกันสิคะ”
     
    ฮิบาริตัดสินใจไม่พูดอะไรและนั่งลงข้างๆ เด็กสาวแต่โดยดี ทั้งคู่นั่งกันอย่างเงียบเชียบอยู่พักหนึ่งจนกระทั่งโคลมเป็นฝ่ายพูดขึ้น
     
    “ท่านเคียวยะไม่เคยมาสวนสนุกเหรอคะ?”
     
    “ไม่ พ่อบอกว่ามันไม่จำเป็นกับชีวิตฉัน” ฮิบาริให้เหตุผลได้อย่างเย็นชาเป็นที่สุด แต่คำตอบนี้ก็สะกิดต่อมขี้สงสัยของโคลมอีกครั้งหนึ่ง
     
    “ท่านเคียวยะอยู่บ้านคนเดียว แล้วคุณพ่อกับคุณแม่ล่ะคะ?” โคลมถามละลาบละล้วงอีกครั้ง แต่คราวนี้ฮิบาริสวนทันควัน
     
    “ทำไมเธอถึงได้สอดรู้เรื่องของฉันนัก?” คำตอบนี้ทำเอาโคลมชะงักไป
     
    “เพราะฉัน...ไม่รู้เรื่องของใครเลย บอส คุณยามาโมโตะ คุณโกคุเดระ คุณเคียวโกะ คุณฮารุ แม้แต่เรื่องของเคนกับจิคุสะ หรือท่านมุคุโร่ ฉันก็แทบไม่รู้อะไรเลย กระทั่งตอนนี้ที่ฉันอาศัยอยู่ที่เดียวกับท่านเคียวยะ ฉันก็แทบไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับท่านเคียวยะเลย” โคลมก้มหน้าก้มตาพูด
     
    “เหมือนกับฉันไม่รู้จักใครเลยทั้งที่ทุกคนดีกับฉันมาก เพราะฉะนั้น แค่นิดหน่อยก็ยังดี ฉันอยากจะรู้จักท่านเคียวยะให้มากกว่านี้” เธอเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาวิงวอนที่แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้สึกตัว
     
    ต้องเจอกับสายตาอ้อนวอนของเด็กสาวผมม่วงทำเอาฮิบาริสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง เขารู้ว่าการเล่าเรื่องของตัวเองให้คนอื่นฟังนั้นไม่สมกับเป็นตัวเขาแม้แต่น้อย แต่แล้วความต้องการจากเบื้องลึกของจิตใจก็ช่วยตัดสินใจให้เขาอย่างลับๆ อีกครั้ง เมื่อเขาเปิดปากเล่าเรื่องในอดีตที่ลึกลับมานาน(ซึ่งคนเขียนโมเมเอาเองทั้งนั้น)
     
    “ฉันไม่ชอบเล่ายืดยาว จะสรุปให้ฟังก็แล้วกัน พ่อกับแม่ของฉันไม่เหมือนกับพ่อแม่ของสัตว์กินพืชอย่างพวกเธอ ใช้ชีวิตบนทางของตัวเอง พวกนั้นถือว่าเวลาที่ฉันเข้าโรงเรียนนามิโมริคือหมดภาระหน้าที่เลี้ยงดูฉัน ออกจากนามิโมริไปที่บ้านใหญ่ที่โตเกียวแล้วก็ไม่มีการติดต่ออะไรอีกทั้งสิ้น แต่ฉันก็ไม่ได้ใส่ใจ ฉันอยู่ของฉันแบบนี้มาตลอด เงินที่ได้จากคณะกรรมการรักษาระเบียบใช้จ่ายในชีวิตพอเหลือเฟือ”
     
    เมื่อเด็กสาวฟังจบเธอก็หวนนึกถึงตัวเอง พ่อแม่ของเธอก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน นึกแล้วเธอก็อยากจะให้เด็กหนุ่มได้ฟังเรื่องของเธอบ้าง
     
    “ท่านเคียวยะเข้มแข็งมากเลยค่ะ พ่อแม่ของฉันเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แต่ฉันก็ไม่คิดรังเกียจชะตาชีวิตนี้ของตัวเองหรอกค่ะ ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่ได้เป็นโคลม โดคุโร่ ไม่ได้เจอกับพวกบอส และไม่ได้เจอกับท่านเคียวยะ” โคลมยิ้มน้อยๆ จากใจจริงๆ ไม่ใช่แค่คำพูด
     
    ฮิบาริมองดูรอยยิ้มนั้นแล้วก็สงสัยว่าทำไมเด็กผู้หญิงคนนี้ถึงได้ดูเข้มแข็งนัก ทั้งที่เธอออกจะอ่อนแอ หรือบางทีอาจจะเป็นเหมือนกับซาวาดะ สึนะโยชิ ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อ แต่ก็แข็งแกร่งในแบบของตัวเอง
     
    เจ้านั่นโชคดีจริงๆ ที่ได้คนแบบนี้มา’
     
    ฮิบาริก็รู้สึกแปลกใจในความคิดของตัวเองอยู่เหมือนกัน มันเหมือนกับว่า...เขาอยากเป็น ‘เจ้าของ’ เธอคนนี้ซะเอง
     
    ...แบบนี้รึเปล่านะที่ฮิบาริ เคียวยะคนนี้เรียกว่า ‘คู่ควร’ ...
     
    “เอาล่ะ” โคลมลุกขึ้นยืน ไม่เหลือท่าทางโซเซเหมือนตอนเพิ่งลงมาจากรถไฟเหาะ “ไปกันเถอะค่ะ”
     
    “ไปไหน?” ฮิบาริถามด้วยความสงสัย เพราะเด็กสาวโพล่งขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
     
    “ก็กลับไปสมทบกับบอสไงคะ”
     
    “แน่ใจนะว่าจะพอแค่นี้?” ฮิบาริทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อที่สุดในโลกนั่นคือการถามถึงความพอใจของคนอื่น “เห็นท่าทางอยากเล่นมากเลยไม่ใช่เหรอ?”
     
    “...ได้เหรอคะ?” โคลมถามย้ำเพื่อความแน่ใจ
     
    “ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ฮิบาริตอบเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องที่แหงอยู่แล้ว และคำตอบนี้ก็ทำโคลมยิ้มออกมาอย่างสดใส
     
    “งั้นก็ไปทางนั้นกันเถอะค่ะ!” เด็กสาวคว้ามือของเด็กหนุ่มก่อนจะเดินนำออกไปด้วยสีหน้าร่าเริงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สีหน้าที่เธอไม่เคยแสดงออก แม้แต่ต่อหน้านายของเธอ โรคุโด มุคุโร่ (R:ผู้มีแต่ชื่อ ส่วนบทหายจ้อย)
     
    โคลมยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป : จับมือคนที่น่ากลัวที่สุดในนามิโมริแถมยังลากเขาไปไหนมาไหน แต่เจ้าตัวก็ยอมให้เธอลากไปลากมาแต่โดยดี เขาไม่รู้สึกรำคาญแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกซะอีกที่เห็นเด็กสาวตื่นเต้นเหมือนเป็นเด็กๆ (จริงๆ ก็เด็ก) มันทำให้เขานึกถึงฮิเบิร์ดซะด้วย เพราะเธอเองก็มีบางส่วนคล้ายกับฮิเบิร์ด ต้องการการปกป้อง ในขณะเดียวกันก็ให้ความสุขกับผู้ปกป้อง และเขาเองก็พร้อมจะทำหน้าที่นี้เช่นกัน
     
    ...ฮิเบิร์ด? ตายแล้ว! คนเขียนลืมให้บท!...
     
    --
     
    เหนือเขตน่านน้ำใกล้กับเกาะลับเล็กๆ ที่ชื่อว่ามาเฟียแลนด์ บนเรือลำใหญ่ลำหนึ่ง...ที่รายล้อมด้วยเรือรบอีกนับสิบลำ ชายในชุดสีดำที่ปิดมิดชิดถึงลำคอและสวมหมวกนิรภัยสีดำเหมือนหน่วย SWAT หันหน้าออกจากจอเรดาร์และอุปกรณ์อื่นๆ ในห้องควบคุมไปที่ทารกในชุดหนังสีดำซึ่งห้อยจุกนมสีม่วงเอาไว้
     
    “ท่าน [สคัล] อีกสามสิบนาทีจะถึงมาเฟียแลนด์ครับ”
     
    ทารกเจ้าของชื่อสคัลมองจอต่างๆ ในห้องควบคุมผ่านกระจกสีเขียวของหมวกกันน็อคสีขาวแบบเต็มใบ
     
    “ดีล่ะ ออกคำสั่งไปยังเรือทุกลำให้เตรียมพร้อม ภายในวันนี้เราจะยึดมาเฟียแลนด์มาให้ได้!”
     
    “ครับ!” ชายชุดดำตอบรับก่อนจะตรงไปยังส่วนวิทยุสื่อสาร
     
    “หึหึหึ ครั้งที่แล้วเจ้ารีบอร์นดันโผล่มาแบบไม่คาดฝัน แต่คราวนี้แหละ เกาะเล็กๆ แค่นี้ไม่ครณามือ [คัลคัสซา แฟมิลี่] ของเราหรอก!” ทารกหมวกกันน็อคประกาศก้องด้วยความมั่นใจเต็มที่
     
    ...เรอะ...
     
    --
     
    R:”...โนคอมเม้นท์...”
     
    DX:”โนคอมเม้นท์เหมือนกันแฮะ”
     
    R:”ไม่มีอะไรจะพูดเลยจริงๆ พับผ่า...”
     
    DX:”ถ้าแกไม่พูด ฉันก็กัดไม่ได้ เซ็งจริงจริ๊ง~”
     
    R:”น่าเบื่อจังเนอะ”
     
    DX:”นั่นดิ”
     
    ...
     
    M:”แล้วพวกคุณสองคนออกมากันทำไมครับเนี่ย? = =;”

    R:"โอ้ จริงสินะ ผู้อ่านบางคนข้องใจเรื่องของฟรานว่าทำไมผมใช้ตัวอัลฟาเบตว่า Flan มันก็พื้นๆ ครับ เพราะคนฝั่งยุโรป/อเมริกาเขาชอบเปลี่ยนศัพท์ให้เข้ากับฝั่งตัวเองไงครับ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ Rockman -> Megaman (โอเค อาจจะไม่ง่ายเท่าไร) ฟราน ภาษาญี่ปุ่นจะอ่านเป็นสองพยางค์ติดกันคือ ฟึ-ราน Fu-ran ถ้าใช้วิธีการแปลเสียงสดก็จะได้ว่า Fran น่ะแหละ แต่ไอ้ Flan เนี่ยคือแบบกรองแล้ว ถ้าในวิกิพีเดียภาษาอังกฤษก็จะเห็นเอง Flan แต่ภาษาไทยเราไม่ใช่พวกแปลง ใช้ชื่อสดว่า 'ฟราน' ไงครับ จบการอธิบาย(อันสุดแสนจะยืดยาว น่าเบื่อ ไม่มีสาระ)"
    --
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×