ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Reborn : Fierce Demon & Little Cute Pineapple [1896]

    ลำดับตอนที่ #15 : Vacation in CEDEF : First Part

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 54


    ประกาศสำคัญจากน.ส.น.!!
    ขออภัยที่อัพเดทช้ากว่าปกติ
    เป็นเพราะซุ่มเขียนตอนพิเศษสุดยาวเหยียดสองตอนนี้อยู่แถมสมองก็ตันด้วย
    เอาล่ะๆ เข้าเรื่องประกาศกันซะที
    --
    เห็นคอมเม้นท์แล้วทำให้คิดว่าทุกคนเห็นฮิบาริเป็นพวกตายด้าน
    ทำให้ผมซึ่งเป็นผู้จัดการส่วนตัว เอ่อ... หมายถึงผู้กำกับการแสดงต้องออกมาแก้ข่าวว่าไม่จริ๊งไม่จริงนะครับ
    ถ้าฮิบาริตายด้านก็หมดคุณสมบัติพระเอกสิครับ ก็ไม่มี 'บทอย่างว่า’—  เฮ้ย! ไม่ใช่แล้วไม่ใช่!!
    คนเขียนแค่พยายามจะใช้ ’ความรู้’ และ ‘ประสบการณ์’ ที่มีในด้านนี้...
    ฟังดูไม่เข้าท่ากว่าเดิมอีกแฮะ...
    อย่าเข้าใจผิดนะ คนเขียนไม่เคยทำและดูคลิปอย่างว่าเลยนะ เพราะมันโหลดช้าขี้เกียจรอ... ไม่ใช่ๆ!!
    เอ่อ คนเขียนล้อเล่นน่ะครับ ไม่เคยแม้แต่จะชำเลืองจริงๆ นะ อะไรบัดสีไม่เคยดู อ่านแต่โดจินชิ—ชะอุ๋ย...
    อ่า ยังไงก็แล้วแต่ ก่อนที่คนเขียนจะเผาตัวเองไปมากกว่านี้ ต้องขอสรุปแว่ เอ๊ย! สรุปว่า คนเขียนสามารถทนพิมพ์ได้ เพราะฉะนั้น ‘บทอย่างว่า’ มีแน่นอน...
    คิดว่าคงไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ อยากจะรู้นักหรอก...
    (อย่าประณามคนเขียนนะ อาจจะมีแต่ก็ไม่เกิน R18+ หรอก (ยังมี R20+ อีกเป็นขั้นสุดท้าย ไม่มีปัญญาเขียน))
    จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน...ประธาน! อย่าตีผม อย่าแอ้ก!!
     
    --
     
    ที่ไหนซักแห่งในอิตาลี ศูนย์บัญชาการลับของผู้ดูแลนอกแก๊งสังกัดวองโกเล่ตั้งอยู่ อย่างที่ว่า มัน ‘ลับ’ เพราะฉะนั้นจึงบอกไม่ได้ว่าที่ไหน...
     
    กุญแจมือ!! ตุ้มถ่วงเท้า!! ผ้าปิดตา!!
     
    คือชะตากรรมที่เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มผู้มีอักขระรูปจันทร์เสี้ยวสีเงินที่แก้มซ้ายได้เผชิญตั้งแต่ก่อนจะก้าวเขามาใน เซเดฟ HQ
     
    [หมายเหตุ* HQ = Headquarter = ศูนย์บัญชาการหลัก]
     
    และในตอนนี้ ที่ห้องสอบสวนที่มีบรรยากาศสว่างไสวตามหลักจิตวิทยา เจ้าหน้าที่เซเดฟสามคนอยู่ต่อหน้าเชลยคนล่าสุด
     
    ผ้าปิดตาถูกถอดออก และเมซซาลูน่าหนุ่มก็มองเห็นภาพเบื้องหน้าอีกครั้ง
     
    “ว่าไงไอ้หนู แจ๋วไม่เบานี่หว่า คิดลอบทำร้ายวองโกเล่รุ่นที่สิบ” ชายหัวโล้นร่างใหญ่ยื่นใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นนับสิบพาดผ่านเข้าไปใกล้อีกฝ่ายด้วยสีหน้านักเลงเต็มที่
     
    ...แต่อีกฝ่ายก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร (DX:มุขคุ้นๆ ว่ะ)
     
    “พอได้แล้วแกรนโด้ ถามเข้าเรื่องเลยเถอะ เวลามีไม่มาก อีกแค่สามวันก็ต้องส่งผลไปให้รีบอร์นแล้ว” ทารกหญิงผมสีน้ำเงินขัด ครั้งนี้เธอไม่สวมแว่นหน้ากากสีแดง ดวงตากลมโตสีชาเหลือบมองเพื่อนร่วมองค์กร ผู้เป็นมือดีในการ ’รีดข้อมูล’ จากศัตรูที่จับได้
     
    “ออคเคียลี่ เริ่มจากนายเหมือนเดิม” อัลโกบาเลโน่ไม่สมประกอบสั่งการ
     
    ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งขยับแว่นสายตาด้วยนิ้วกลางข้างขวาก่อนจะเริ่มทำงานที่เขาถนัด ‘เจาะข้อมูลด้วยจิตวิทยา’ (R:ใครหาคำจำกัดความดีกว่านี้ได้ ขอให้บอก จะเปลี่ยน คิดไม่ออกจริงๆ)
     
    “งั้นเริ่มจากแนะนำตัวก่อนดีมั้ยครับ?” หนุ่มแว่นนามออคเคียลี่ยิ้มอย่างเป็นมิตรแต่เจ้าเล่ห์ เหมือนถอดแบบ [โกร คิชิเนีย] มายังไงยังงั้น(R:จริงๆ ก็ใช่)
     
    “...[อาเชียเร่]...” เด็กหนุ่มตอบสั้นๆ
     
    “เอาล่ะครับ คุณอาเชียเร่ บอกกระผมหน่อยซิ ทำไมคุณถึงได้ทำงานให้กับสโตลโต แฟมิลี่?” แฮคเกอร์สมองมนุษย์ถามอย่างสุภาพด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจนบางครั้งพวกเดียวกันยังรังเกียจ
     
    “ทำหน้าที่ในฐานะสมาชิก...” อาเชียเร่ตอบอย่างไม่ลังเล
     
    “แหม แต่จากที่ฟังมา คุณไม่ใช่คนของสโตลโตแต่แรก พอจะบอกกระผมได้มั้ยครับว่าที่คุณเข้าเป็นสมาชิกของแก๊งเนี่ยมีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษรึเปล่า?”
     
    “เป็นการหางานประจำทำเพื่อหาเงินกินอยู่...” เด็กหนุ่มยังคงตอบแบบไม่ขาดไม่เกิน
     
    “เอ~ แต่ว่าเขาให้คุณมาสังหารคนของวองโกเล่ผู้เกรียงไกร คุณก็รับทั้งอย่างนั้นเลยเหรอครับ? ดูแล้วคุณน่าจะฉลาดพอที่จะไม่ทำอะไรบ้าบิ่นแบบนี้นะครับ?” รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ยิ่งฉีกกว้างขึ้นไปอีก
     
    ถ้าไม่ติดว่าเป็นงาน ชายร่างใหญ่นามแกรนโด้คงจะใช้เท้าใหญ่ๆ ให้เป็นประโยชน์ด้วยการเหยียบหนุ่มแว่นคนนี้ให้จมดินสมกับท่าทางน่ารังเกียจไปแล้ว
     
    “ก็เตรียมตัวตามสมควรกับงาน...” อาเชียเร่ตอบอย่างไม่แยแส และไม่สนใจว่านั่นเป็นเหมือนการดูถูกอิทธิพลของวองโกเล่ แต่ถึงขนาดไปลอบสังหารว่าที่บอสมาแล้ว เรื่องแค่นี้ไม่มีความหมาย
     
    “ดูท่าทางมั่นใจในฝีมือมากเลยนะครับ แต่คุณก็มาอยู่นี่แล้ว กับพวกเราผู้ดูแลนอกแก๊งสังกัดวองโกเล่ แฟมิลี่ที่คุณเพิ่งจะก่อเรื่องไป เพราะฉะนั้นคุณก็คงต้องทำตัวว่าง่าย ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะได้กระดาษเงินกระดาษทองแทนค่าตอบแทนที่ชวดไปแล้ว”
     
    เมซซาลูน่าหนุ่มพยักหน้าอย่างว่าง่าย
     
    “ตอนนี้ทางเราก็มีแผนจะบุกโจมตีสโตลโต แฟมิลี่ที่คุณสังกัดอยู่ และข้อมูลเกี่ยวกับอีกฝ่ายก็เป็นสิ่งจำเป็น เราจึงหวังว่าคุณคงจะให้ความร่วมมือกับเราเป็นอย่างดี” ออคเคียลี่ลองใจอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้าย
     
    อาเชียเร่พยักหน้าเบาๆ อย่างไม่มีลังเลเหมือนเคย
     
    หนุ่มแว่นได้ผลที่ต้องการแล้วก็หันกลับมาพูดกับพรรคพวกด้วยใบหน้าจริงจังผิดกับเมื่อครู่ลิบลับ
     
    “คนคนนี้ใช้เหตุผลคุยด้วยได้ ไม่จำเป็นต้องขู่หรอก”
     
    “มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉันเกลียดพวกไร้เหตุผล” รัลแสดงตัวอย่างชัดเจนว่าเกลียดพวกทำตัวไร้สาระ
     
    “ฉันก็เลยไม่ได้ทำอะไร โผล่หน้ามามีบทแว้บเดียว!” ชายหัวโล้นพูดเป็นเชิงบ่นนิดๆ
     
    “แต่นิ่งสนิทแบบนี้ ถ้าไม่พูดความจริงทั้งหมดก็ต้องโกหกได้แนบเนียนมากๆ” หนุ่มแว่นยังไม่มั่นใจในส่วนนี้
     
    ครืด!
     
    ประตูสีขาวด้านหลังคนทั้งสามเปิดออก ชายวัยกลางคนผมสีทองไว้เคราบางๆ ในสูทสีดำก้าวเข้ามาด้านในพลางกล่าวทักทายกับทุกคนในห้อง
     
    “สวัสดี ได้ยินว่าสอบสวนนักโทษคนใหม่ ไปถึงไหนแล้วล่ะ?”
     
    “หัวหน้าครับ!” ชายร่างใหญ่กับหนุ่มแว่นโค้งให้เล็กน้อย แต่อัลโกบาเลโน่หญิงไม่โค้ง และไม่คิดจะโค้งด้วย
     
    “อิเอมิทสึ นายคิดว่าไงถ้าจะให้เจ้านี่นำทางบุกฐานทัพของสโตลโต แฟมิลี่?” รัลถามเข้าประเด็นทันที
     
    “หือ? จะให้ศัตรูพาบุกฐานทัพของตัวเองเนี่ยมันเสี่ยงไปหน่อย โอกาสเป็นกับดักมีสูงพอๆ กับโอกาสขึ้นราคาน้ำมันในแต่ละวัน” มีอิงกระแสเศรษฐกิจเล็กน้อย...
     
    “นี่แหละที่ฉันอยากได้ยิน!” รัลยิ้มอย่างพึงพอใจ “นายเขียนหมายขององค์กรส่งไปหารีบอร์นได้เลย แล้วฝากบอกไปด้วยว่า ‘เสียใจด้วยนะพ่อคนฉลาด!’ “ อัลโกบาเลโน่หญิงบอกโดยมีความแค้นส่วนตัวปนเล็กน้อย
     
    “หืม?” ผู้นำนอกแก๊งเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินชื่อในประโยค
     
    “แกรนโด้ ออคเคียลี่ โยนเจ้านี่เข้าห้องขัง รอส่งตัวไปที่ปราสาทวองโกเล่” รัลสั่งการอย่างกระตือรือร้น แต่ก็ความกระตือรือร้นก็ต้องหดหายเมื่อผู้นำโพล่งออกมา
     
    “เดี๋ยวก่อน! ถ้ารีบอร์นออกปากเองล่ะก็ รุ่นที่เก้าคงไม่คัดค้าน”
     
    อัลโกบาเลโน่ไม่สมประกอบหันขวับไปในทันที ทั้งมองหน้าผู้นำเหมือนเห็นผี
     
    “ว่าไงนะ อิเอมิทสึ!? ถึงรีบอร์นจะเป็นคนพูดก็เถอะ ให้ศัตรูนำทางเราเข้าไปในฐานทัพเนี่ยมันฆ่าตัวตายชัดๆ!”
     
    “ใจเย็นก่อนรัล รีบอร์นคงจะมีเหตุผล แล้วเท่าที่ฉันมอง เด็กคนนี้ก็ไม่ได้ดูอันตรายอะไรนี่ ฮึ?” อิเอมิทสึหันไปปั้นหน้ายิ้มสู้ใบหน้าที่ไร้ร่องรอยอารมณ์ของเมซซาลูน่าหนุ่ม
     
    “นี่นายดูคนที่หน้าอีกแล้วเหรอ!?” รัลโวยวาย
     
    อันที่จริงเธอกำลังมีอคติกับเด็กหนุ่มตรงนั้น เป็นเพราะรีบอร์นมักจะทำให้เธอหมั่นไส้อยู่เสมอๆ ด้วยการทำเหมือนมองเธอออกทะลุปรุโปร่ง เมื่อรีบอร์นเป็นคนแนะนำมาโดยขัดกับความเชื่อของเธอ เธอจึงเกิดอาการแอนตี้เด็กหนุ่มอย่างไม่ค่อยมีสาระ
     
    ครืด!
     
    ประตูเลื่อนเปิดออกอีกครั้ง
     
    “สวัสดีครับทุกคน!” เสียงทักทายดังขึ้นอย่างร่าเริง
     
    “จางนีนิ! มาทำอะไรที่นี่!?” อิเอมิทสึจะประหลาดใจไม่น้อย
     
    ชายหนุ่มผมเรียบดำหน้าผากกว้างตัวกลมปุ๊กบนพาหะนะคล้ายจานบินผู้นี้คือ [จางนีนิ] ช่างจูนอาวุธ ลูกชายของ [จางนีอิจิ] ช่างจูนอาวุธในตำนาน แต่ระดับของเขายังไม่เท่าผู้เป็นพ่อ และอาวุธที่จูนมักจะมีออฟชั่นพิเศษเสริมโดยไม่ได้ตั้งใจเสมอๆ...
     
    (หมายเหตุ* อิจิ ในภาษาญี่ปุ่น หมายถึง เลข 1 ส่วน นิ หมายถึงเลข 2 ซันก็เลข 3)
     
    “แหม ยินดีที่ได้พบทุกคนนะครับ! รุ่นที่เก้าให้ผมนำเครื่องแปลงคลื่นสมองมาเพื่อช่วยในการสอบสวนครับ!” จางนีนิเอ่ยอย่างกระตือรือร้นพร้อมกับแบกเครื่องจักรสีขาวรูปร่างคล้ายอุปกรณ์ติดเก้าอี้ทรมานเอาไว้ด้านหลัง
     
    “แล้วมันทำอะไรได้ล่ะ?” รัลถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะยังอารมณ์เสียอยู่กับประเด็นเดิม
     
    “ด้วยเครื่องที่ผมประดิษฐ์ขึ้นมานี้ เราสามารถใช้มันอ่านความคิดในขณะนั้นของสิ่งมีชีวิตได้ครับ จะแปลงเป็นภาพหรือเป็นตัวหนังสือก็ได้ เพียงแต่อาจจะยังไม่ละเอียดมากเท่านั้นครับ!” ช่างจูนอาวุธหนุ่มยืดอกภูมิใจ
     
    “งั้นก็รีบใช้เลยสิ จะได้รู้กันซะทีว่าเจ้านี่มันแหลอยู่รึเปล่า!” รัลสั่งอย่างหมดความอดทน
     
    ในเวลาที่ไม่นานนัก บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม หมวกเหล็กติดขดลวดคล้ายเครื่องประหารสวมบนศีรษะของเมซซาลูน่าหนุ่มที่หรี่ตามองอย่างชั่งใจ ปลอกข้อมือเหล็กวัดชีพจรติดสายระโยงระยางล็อกที่แขนทั้งสองข้าง จอภาพขนาดสิบสี่นิ้วติดกับแท่งโลหะยื่นออกมาจากตัวเครื่องด้านหลังผู้เป็นหนูทดลอง ดูแล้วให้บรรยากาศคล้ายการทดลองของนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง เครื่องแปลงคลื่นสมองเซ็ตอัพ!
     
    “นี่ ขอถามเพื่อความแน่ใจ ใช้ได้จริงนะ?” รัลซึ่งเคยเห็นผลงานที่ผ่านๆ มาของช่างจูนอาวุธคนนี้ถามย้ำด้วยความไม่แน่ใจ
     
    “ใช้ได้สิครับ! ถึงผมจะจูนอาวุธผิดพลาดเล็กน้อยบ้างเป็นบางครั้ง แต่เครื่องนี่ผมกับนักวิทยาศาสตร์ของแก๊งกว่าสิบคนร่วมกันทำโปรเจคมานานนมแล้วนะครับ เสร็จสดๆ ร้อนๆ เลย!”
     
    “จะยังไงก็ช่าง รีบๆ เดินเครื่องซะ แต่ถ้าจะระเบิดคาหัวเจ้านี่ไปเลยก็ไม่เลวนะ” รัลทิ้งท้ายไว้อย่างซาดิสม์เป็นที่สุด
     
    กริ๊ก!
     
    ด้วยวิธีการเดินเครื่องแบบโบร่ำโบราณคือ ‘กดสวิทซ์’ เครื่องก็เริ่มส่งเสียงร้องคำราม
     
    ฮึ่ม~!! ฮึ่ม~!!
     
    “ร้องเหมือนฟ้าจะถล่มเลยนะ มีใบรับประกันคุณภาพรึเปล่า?” อิเอมิทสึพูดติดตลก
     
    แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น...!
     
    บรึ้ม!!
     
    เสียงระเบิดดังขึ้นพร้อมทั้งเกิดควันสีชมพูโขมง
     
    “นี่ระเบิดคาหัวเจ้านั่นไปจริงๆ เหรอเนี่ย!?” รัลร้องด้วยความตกใจ ถึงจะดีใจนิดๆ(?) แต่ก็ไม่ได้กะไว้ว่าจะเกิดขึ้นจริง
     
    “มันไม่น่าจะระเบิด—โอ๊ะโอ...” จางนีนิทำท่าเหมือนระลึกชาติได้
     
    “มีข้อผิดพลาดล่ะสิท่า ดันเอาเครื่องที่ยังไม่ได้ทดสอบมาใช้ในศูนย์ใหญ่เราซะได้นะ” รัลบ่น
     
    “เปล่าครับ... แต่คนเชื่อมวัสดุหุ้มภายนอกคือผมเอง แล้วบังเอิญตอนกำลังทำงานอยู่ ชิ้นส่วนเปราะบางสองสามชิ้นมันเกิดพังขึ้นมา ผมก็เลยหาอะไหล่จากสิ่งประดิษฐ์ชิ้นอื่นๆ ของผมมาใช้แทน สงสัยว่า...จะเหมือนแต่ข้างนอก ข้างในเป็นคนละกลไกกันน่ะครับ จากควันแล้วนี่น่าจะเป็น...” จางนีนิพยายามระลึกชาติรอบสอง
     
    ควันสีชมพูที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีค่อยๆ จางลง และที่ปรากฏอยู่บนซากเศษเหล็กคือชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มยาวถึงติ่งหู อักขระจางๆ รูปจันทร์เสี้ยวที่แก้ม อายุประมาณ 25 ปีสวม...ผ้ากันเปื้อนสีครีมลาย ‘ฮิเบิร์ดหอบสัปปะรดน้อย’ ยืนถือตะหลิวที่น้ำมันเยิ้มในมือขวา และกระทะที่มีไข่ทอดน้ำมันเดือดปุดๆ อยู่ด้านในด้วยมือซ้าย คิ้วทั้งสองเลิกขึ้นด้วยความประหลาดใจ
     
    “...สงสัยจะเป็นเครื่องเลียนแบบ [บาซูก้าทศวรรษ] ที่ผมกำลังปรับปรุงอยู่ล่ะมั้งครับ? ก็แหม~ ตั้งแต่ที่ [เครื่องจากการจูนรุ่นแรกทำให้ผู้พิทักษ์แห่งวายุอายุถอยลงไปสิบปี] แล้วผมก็ดัดแปลงมาตลอด...#^%@” แล้วช่างจูนผู้ล้มเหลวก็สาธยายสุดยืดยาวต่อไปโดยไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย เพราะความสนใจไปตกอยู่ที่ชายหนุ่มผู้ปรากฏตัวขึ้นจากกลุ่มควันกันหมด
     
    ชายหนุ่มจากโลกอนาคตกวาดตามองดูโดยรอบด้วยท่าทางเหมือนกำลังพยายามนึกอะไรบางอย่างอยู่ จนกระทั่งสายตามาสะดุดอยู่ที่ท่านผู้นำนอกแก๊ง
     
    “คุณอิเอมิทสึ? ดูหนุ่มขึ้นนะครับ ซักสิบปีได้ เหมือนตอนที่เจอกันครั้งแรกเลย ^ ^” ชายหนุ่มเอ่ยพลางยิ้มอย่างเป็นมิตร
     
    “เธอ...” ผู้ถูกทักพึมพำออกมา ท่าทางยังงงไม่หาย
     
    “จะว่าไปแล้ว ผมว่าผมน่าจะอยู่ในครัวที่บ้านนะครับ ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้ นี่มันห้องสอบสวนของผู้ดูแลนอกแก๊ง ที่ที่ผมเจอคุณครั้งแรกนี่ครับ?” ยิ่งชายหนุ่มพูดมากเท่าไร เรื่องมันก็ยิ่งลงล็อก
     
    “นี่แก...” รัลเอ่ยเสียงแผ่ว ยังพยายามประมวลผลสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้อยู่
     
    ชายหนุ่มผู้มาจากอนาคตก้มลงมองทารกหญิงแล้วก็ทำท่าตกใจ
     
    “รัล? ทำไมกลับเป็นทารก!?”
     
    ผู้ถูกเรียกขมวดคิ้วพลางครุ่นคิด หรือว่าในอนาคตเธอกับเจ้านี่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกันไม่ทางใดก็ทางนึง (แต่เธอค่อนข้างจะมั่นใจว่าเป็นผู้ไล่ล่ากับเหยื่อ)
     
    “จางนีนิ” อิเอมิทสึหันไปพูดกับช่างจูนอาวุธตัวปัญหา “ผลของบาซูก้าทศวรรษจะหายไปหลังจากห้านาทีสินะ?”
     
    “เอ่อ... เกี่ยวกับเรื่องนั้นน่ะครับ เจ้าเครื่องนี้มีข้อผิดพลาดตรงที่การย้ายสสารไม่ไหลลื่นรวดเร็วเหมือนของต้นแบบ ทำให้กำหนดเวลาล่าช้าและไม่คงที่ ถ้าการผสมชิ้นส่วนไม่ทำให้กลไกผิดไปจากเดิมล่ะก็น่าจะอยู่ที่ราวๆ 3 - 5 เดือนน่ะครับ ถึงจะ—“
     
    “ว่าไงนะ!?” รัลกรีดร้อง “นานขนาดนั้นจะให้บอกทางปราสาทว่าอะไร! เจ้านี่จำศีล ต้องรอฤดูใบไม้ผลิถึงจะตื่นรึยังไง!?”
     
    “ไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอ?” ท่านผู้นำถามอย่างเคร่งเครียด
     
    “ผมมีแปลนของเครื่องบังคับส่งกลับก่อนกำหนดอยู่ครับ เพียงแต่...ไม่คิดว่าจะได้ใช้เครื่องนี่ก็เลยไม่ได้สร้างเอาไว้... แต่ไม่ต้องห่วงนะครับ!” ช่างจูนรีบเสริมก่อนที่จะตายเพราะทารกหญิงผู้มีแรงอาฆาตดำทะมึน
     
    “แปลนอยู่ที่ปราสาท ถ้าผมรีบกลับไปแล้วเร่งมือสร้าง ไม่เกินสามวันแน่นอนครับ!” ช่างจูนให้คำรับรอง
     
    “สามวันไม่ได้หรอก! เพราะตามกำหนดการ ถ้าส่งสารยืนยันภารกิจไป พวกวองโกเล่รุ่นที่สิบก็จะมาถึงในสามวัน ต้องให้เสร็จก่อนหน้านั้น อย่าให้เกินสองวัน!!” รัลยังไม่พอใจกับเงื่อนไข
     
    “ด—ได้ครับผม!!” จางนีนิตอบรับ และด้วยเวลาที่กระชั้นชิดเข้ามา เขาจึงเสียเวลาไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ด้วยพาหนะคล้ายจานบิน เขารีบบึ่งออกนอกห้องไปในทันที
     
    ท่านผู้นำมองประตูที่ถูกเปิดทิ้งไว้แล้วถอนหายใจด้วยความเหนื่อยหน่าย
     
    “เฮ้อ~ ให้มันได้ยังงี้สิ แล้วทีนี้...” อิเอมิทสึหันมามองชายหนุ่มผู้กำลังยิ้มอย่างงงๆ
     
    “...จะทำยังไงกับพ่อหนุ่มจากอนาคตคนนี้ดีล่ะ?”
     
    รัล มิลจิแทบไม่ได้ฟังหัวหน้าของตัวเองเลย เพราะเธอมัวแต่จ้องผู้มาจากโลกอนาคตไม่วางตา
     
    ‘เจ้านี่...ใช่เจ้าเด็กนั่นในสิบปีข้างหน้าจริงเหรอ? ทำไมถึงได้ต่างกันขนาดนี้...’
     
    ยิ่งกว่านั้น อะไรบางอย่างในตัวของชายหนุ่มตรงหน้าทำให้เธอรู้สึก...หงุดหงิด...ยิ่งกว่าตัวเขาในปัจจุบันซะอีก จะรอยยิ้มที่เป็นมิตรนั่นก็ดี จะท่าทางการยืนก็ดี หรือแม้แต่น้ำเสียงสุภาพนั่นก็ดี ทั้งหมดกระตุกต่อมน้ำโหของเธออย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตคนเราจะรังเกียจใครคนหนึ่งที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนได้ขนาดนี้...
     
    รึอาจจะเป็นเพราะบรรยากาศที่เธอรู้สึกได้จากชายผู้มาจากโลกอนาคต เป็นบรรยากาศของผู้ที่สงบอยู่เสมอ อ่านทุกสิ่งได้ทะลุปรุโปร่ง ไม่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรงขนาดไหนก็ตาม บรรยากาศที่เป็นเหตุให้เธอหมั่นไส้รีบอร์นอยู่เป็นนิจนั่นเอง...
     
    --
     
    ข้ามซีกโลกกลับมาที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงเช้าวันเสาร์ของเมืองนามิโมริ
     
    ในคฤหาสน์ทรงญี่ปุ่นหลังเดิม เด็กสาวผมม่วงซึ่งได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่มลืมตาตื่นขึ้น ใบหน้าที่เคยซีดเซียวมีสีเลือดฝาดแสดงถึงสภาพร่างกายที่ฟื้นฟูแล้ว
     
    ตาทั้งสองข้างของเธอปรับโฟกัสภาพตรงหน้าจนกระทั่งมองเห็นว่าที่นี่คือห้องของเธอในคฤหาสน์ฮิบารินั่นเอง
     
    เรื่องราวที่เกิดขึ้นไหลกลับสู่หัวของเธอ ห้องนี้คือห้องที่เธอเจอกับเด็กหนุ่มผู้มีอักขระรูปจันทร์เสี้ยวที่แก้มและก็ถูกอะไรบางอย่างคล้ายกับยากล่อมประสาททำให้สะลึมสะลือ ก่อนจะถูกพาไปยังที่แห่งหนึ่งซึ่งทั้งมืดและวังเวง นอกจากนั้นเธอยังรู้สึกเหมือนกับพลังทั่วร่างหดหายจนแทบจะไม่รอดชีวิต
     
    แต่หลังจากนั้นก็มีคนมาช่วยเธอเอาไว้ เธอจำได้ว่ามองเห็นใบหน้าของบอส หมายความว่าบอสเป็นผู้มาช่วยเธอ แต่เธอก็จำได้อีกว่าในตอนนั้นเธอยังมีใครอยู่อีก ซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของบอสรึเปล่า แต่เธอจำกลิ่นของคนคนนั้นได้ แม้กระทั่งตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกถึงสัมผัสของคนคนนั้น
     
    ...สำหรับเธอที่ในตอนนั้นรู้สึกอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจ...มันช่างเป็นสัมผัสที่ปลอดภัยและอบอุ่นเหลือเกิน...
     
    --
     
    R:”สุดท้ายนิสัยชอบพล่ามไม่เข้าท่าก็ทำให้ตอนของ OC66 ต้องยืดไปอีกตอนนึง แต่ก็อยากเขียนพล็อตสิบปีจริงๆ ง่ะ ขอโทษทุกคนด้วยที่ล่าช้า คาดว่าทุกคนคงอยากให้รีบจบช่วงที่ไม่เกี่ยวกับ 1896 เร็วๆ จะได้กลับมาเร่งเครื่องเต็มสตรีม”
     
    DX:”เจ้านี่มันกำลังมันส์ครับ มันกำลังมันส์กับการเขียนตัวละครตัวเอง”
     
    R:”ก็จริงง่ะ ตัวละครใคร ใครก็รัก แต่ผมก็ยังชอบคู่ 1896 ที่สุดอยู่ดี และกำลังพยายามจะทำให้มันหวานขึ้น และหวานขึ้น...จนกระทั่งคนเขียนที่มีภูมิต้านทานรสหวานต่ำหัวใจล้มเหลวตายนั่นแหละ...ขอให้ทุกคนยกโทษให้กับความล่าช้าด้วย แต่คนเขียนชอบช้าๆ...”
     
    M:”โอ๊ะโอ ความรู้สึกของโคลมที่น่ารักสั่นไหวซะแล้ว ท่าทางจะปล่อยเอาไว้ไม่ได้ มันส่งผลต่อความมั่นคงของประเท—เอ๊ย! ความมั่นคงของสายสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อระหว่างผมกับโคลม”
     
    R:”อยู่นิ่งๆ ไปเลย รอบทอันแสนจะกระจ้อยร่อยที่มีแต่เสียง กับรอโชว์หน้าตอนงานแต่งเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวอย่างเดียวพอ”
     
    M:”คุฟุฟุ อย่างนั้นก็แย่—เดี๋ยวนะครับ งานแต่ง? งานแต่งอะไรเหรอครับ?”
     
    R:”...แกรู้มากแล้วในการ์ตูน ไม่รู้ซักเรื่องก็ไม่เป็นเกย์(?)หรอก”
     
    M:”ว—ว่าไงนะครับ? เดี๋ยวก่อน... ทำไมมุขมันซ้อนมุข งงนะครับเนี่ย”
     
    -- 
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×