ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #48 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป - บทที่ ๔

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 292
      2
      2 เม.ย. 59

    © themy butter

     

    Title : The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๔

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Chen x Minseok

     

     

    บทที่ ๔

    The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป

     

     

     

     

     

    “เฮ้!

     

    ร่างโปร่งสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กำลังเดินเลี้ยวแยกไปทางหอพักเขตร้อน แต่ดันถูกเสียงหนึ่งเรียกไว้จนต้องหยุดมอง เมื่อหันไปก็พบกับใบหน้ายิ้มแป้นของคนที่เขาสุดจะเอือมตลอดวัน สงสัยคำสัญญาของเขามันจะทำงานดีไปหน่อย เขาถึงได้วนเวียนเจอแต่ซิ่วหมินทั้งวันเช่นนี้ คราวนี้จะหลบหลีกอีกก็จนต่อคำแก้ตัวเสียแล้ว

     

    “อ่า...สวัสดี”

     

    “สวัสดีอะไรกันล่ะ นี่เราเจอกันมาทั้งวันแล้วนะ”

     

    “อ่อ งั้นว่าไงล่ะ”

     

    “ทักเฉยๆ ก็คนรู้จักกันนิ”

     

    “คนรู้จักเหรอ?”

     

    เฉินย่นคิ้วลงเพราะเขาไม่รู้สึกถึงคำว่าคนรู้จักที่อีกคนกำลังพูดถึงเลยสักนิด คนรู้จักของเขามันควรจะเป็นคนที่สนิทใจมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่รู้ว่าหน้าตาเป็นแบบนี้คือรู้จัก ร่างบางยังไม่ได้ถามชื่อของเขาเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเดินเข้ามาคุยกับเขาอย่างกับเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่ากันเสียได้

     

    ...ประสาทจริงๆ...

     

    “อย่าทำหน้าเหนื่อยใจแบบนั้นดิ กระเป๋าหนักมากเลยเหรอ ให้ฉันช่วยนายมั้ย”

     

    “ไม่ต้องล่ะ นายไม่ใช่คนของเขตร้อนนี่”

     

    “แค่ช่วยเพื่อนขนของเอง”

     

    “นายชื่ออะไร”

     

    “เอ้า? นี่เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเหรอ”

     

    ...ก็เออน่ะสิวะ!!!...

     

    ร่างโปร่งกรอกตาอย่างสุดจะบรรยายถึงความระอาในใจ เมื่อใบหน้าน่ารักนั้นเบิกตากว้างใส่ราวกับเขาเป็นคนผิด ที่ลืมชื่อของอีกฝ่ายเสียได้ ทั้งที่เขาแสนจะมั่นใจว่าคนที่คิดว่าตนเองถูกนั้นยังไม่แนะนำตัวสักนิด ขนาดไปหาเขาที่สุสานยังไม่เคยแจ้งชื่อเลยด้วยซ้ำ คิดแล้วก็เริ่มหนักใจที่เพื่อนใหม่ของเขาเป็นแค่คนไร้มารยาท

     

    “ฉันชื่อซิ่วหมินนะ คิม มินซอกล่ะ”

     

    “ยินดี ฉันเฉิน”

     

    “เฉิน? แค่นั้นเหรอ?”

     

    “อือ แค่เฉินก็พอ”

     

    ถึงจะเลือกสานต่อมิตรภาพตามสัญญา แต่เฉินก็ยังคงเป็นเฉินที่มีโลกส่วนตัวเป็นของตนเอง เขาไม่อยากให้ผู้วิเศษทั่วไปรู้เรื่องเขามากมาย ชื่อจริงๆของเขานั้นเป็นความลับที่คงมีแค่เขา และ ผู้ให้กำเนิดเท่านั้นที่สมควรรู้

     

    “โอเค สรุปจะไม่ให้เราช่วยจริงๆนะ”

     

    “อือ”

     

    “อย่าตอบสั้นๆแบบนั้นสิ เป็นเพื่อนกันต้องพูดกันนะ”

     

    “แต่พูดกันกับพูดมากก็ต่างกันนะ”

     

    “หือ? เหรอ”

     

    เสียงหวานถามออกมาเหมือนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกอีกฝ่ายว่าอยู่ ไม่มีความรู้สึกผิดหรือสำนึกเลยสักนิด ว่ากำลังทำให้ร่างโปร่งหัวเสียมากแค่ไหน ตาคมกดมองอย่างพยายามให้ซิ่วหมินนึกถึงสิ่งที่เพิ่งพูด แต่ร่างบางก็ยังยืนทำตาแป๋วส่งกลับมา จนในที่สุดเฉินก็ต้องยอมแพ้ไปเสียเอง

     

    “เอาเถอะ ฉันจะคิดเสียว่าไม่เคยพูด”

     

    “อ่า แต่นายพูดนิ”

     

    “เฮ้อ~ บอกว่าไม่ได้พูดก็คือไม่ได้พูดเถอะน่ะ ไปแล้วนะฉันต้องไปจัดของอีกเยอะ นายเองก็กลับไปที่หอนายได้แล้วไป”

     

    “อื้ม เจอกันมื้อเย็นนะ”

     

    มือเรียวถูกยกขึ้นมาโบกมือลา ก่อนที่จะวิ่งหายกลับไปยังหอพักเขตเย็น โดยที่เฉินได้แต่กระทืบเท้าหัวเสียอยู่คนเดียวเงียบๆในใจ ขายาวก้าวขึ้นไปตามชั้นของอาคารหอพัก เพื่อหาห้องของตนเองที่เหมือนจะหลบอยู่แถวๆชั้นเจ็ด

     

    “โบโลนี โมโนส เซดีโอ เซกีรีโรเต”

     

    บานประตูของห้องพักขนาดกลางสำหรับสองคนถูกเปิดออกด้วยคาถาไขกุญแจ ที่ไม่ค่อยพบผู้วิเศษกันมากนัก เฉินก็ไม่ได้อยากจะแตกต่างจาคนอื่น แต่เพราะไม่มีมือมากพอจะไขอะไรได้แล้วยังขี้เกียจเกินกว่าจะยกๆวางๆ

     

    แกร๊ก

     

    “หือ?”

     

    “อ่า...ไม่คิดว่ามีรูมเมทมาแล้ว เลยไม่ทันเคาะประตูน่ะ”

     

    “ไม่เป็นไร ก็ห้องนายเหมือนกันนิ”

     

    คำทกทายสั้นๆของเพื่อนร่วมห้องทั้งสองจบลงอย่างไม่มีอะไรพิเศษ ทั้งสองแค่แยกกันจัดของเงียบๆในมุมของตนเอง แล้วก็ดันเป็นคนที่มาที่หลังที่จัดทุกอย่างเข้าที่ทางเสร็จก่อน อาจเพราะนิสัยของผู้ล่าที่รักความรวดเร็ว ทำให้ร่างโปร่งไม่มีของจุกจิกมากมายนักให้ต้องจัดเรียง ก็แค่หยิบทุกอย่างขึ้นมาแล้วก็วางๆไปเสียก็เป็นระเบียบแล้ว ต่างจากเพื่อนร่วมห้องร่างสูงใหญ่ ที่ดูจะติดนิสัยของพวกผู้วิเศษทั่วไป ที่ต้องมีของจุกจิกวางบ้างเล็กน้อยแม้เป็นเพศชาย

     

    “ช่วยมั้ย”

     

    “ไม่เป็นไร เกรงใจน่ะ”

     

    “ฉันเฉินนะ มาจากโบโลนีนะ นายล่ะ”

     

    “จื่อเทาเรียกเทาเฉยๆก็ได้ โบโลนีเหมือนกัน”

     

    เฉินเกร็งตัวหันไปจ้องใบหน้าคมนั้นชั่ววูบหนึ่งด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่าทางกระทรวงผู้ล่าจะจัดเขามาอยู่กับชาวโบโลนีด้วยกัน เพราะนี่มันเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยความลับไม่ใช่เหรอ เทาเองก็เหมือนจะเห็นความหวาดหวั่นในสายตาของเพื่อนใหม่ไม่น้อย จึงรีบพูดเพื่อคลายกังวล

     

    “ฉันรู้ว่านายเป็นใคร ทำงานอะไร และมาจากที่ไหนแล้วล่ะ ไม่ต้องกลัวหรอก”

     

    “รู้อะไร แค่ไหน”

     

    “รู้ไง ทุกอย่างที่เป็นนายนั่นแหล่ะ”

     

    “ใครบอก”

     

    “พ่อของฉันทำงานเป็นผู้ควบคุมดวงจิต เขาเป็นคนบอกว่านายเป็นใคร และ ฉันก็ไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายอะไรที่นายทำงานแบบนั้น จริงๆค่อนข้างดีกับฉันที่จะได้ห้องสงบๆยามค่ำคืน"

     

    เทาๆไม่รู้เลยว่านั่นคือการจี้ใจดำของคู่สนทนาเสียอย่างจัง พวกผู้ล่าไม่รู้จักคำว่านิทรา เพราะดวงจิตแห่งการหลับใหลถูกกลืนกินไปหมดสิ้นแล้ว ค่ำคืนคือเวลาสำคัญของการตอบแทนพระนางเจ้าโบโลนีในนามของผู้ล่า

     

    “ก็ดีที่นายรู้”

     

    “และยอมรับ ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยากมีรูมเมทเป็นครึ่งผีครึ่งผู้วิเศษ ฟังๆแล้วดูเหมือนจะน่ากลัวว่าสัตว์วิเศษอีก”

     

    “งั้นก็กลัวฉันไว้มากๆสิ”

     

    “ไม่เอาน่ะ ฉันแค่หยอกนายเล่นเท่านั้นเอง”

     

    “ตลกมาก”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยออกไปอย่างประชดประชัน แล้วเดินไปทิ้งตัวลงที่มุมของตนเองเพื่อสงบสติอารมณ์ที่กำลังฟุ้งซ่าน ไม่นานก็ถึงเวลาที่ต้องลงไปทานอาหารเย็น แล้วเขาจะลงไปทานกับใครได้ถ้าไม่ใช่รูมเมทของเขาเอง

     

    “ต้องนั่งแยกฝั่งเหรอ”

     

    “อือ ไม่ใช่อาหารทุกประเภทจะเหมาะกับพวกเขตร้อนนิ”

     

    ร่างสูงอธิบายขณะลากเฉินมานั่งลงที่โต๊ะของฝั่งเขตร้อน โดยไม่ลืมสังเกตเห็นสายตาที่มองไปยังเขตเย็น ที่มีใบหน้าน่ารักของเพื่อนร่วมรุ่นอีกคนมองมาเช่นกัน

     

    “เพื่อนนายเหรอ?”

     

    “ใคร?”

     

    “เด็กคนนั้นที่นั่งอยู่ฝั่งเขตเย็น มาจากปาโกสเหมือนกันเหรอ”

     

    “ย๊า! จะพูดออกมาทำไมวะ”

     

    มือหนาประกบปิดปากของร่างสูงแทบไม่ทัน เมื่อเทาเกือบหลุดให้คนรอบข้างสงสัยในตัวเขาจนได้ คนโดนห้ามเองก็เบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ทันที รีบเอ่ยขอโทษเมื่อได้รับอิสระ

     

    “ขอโทษๆ”

     

    “แค่ขอโทษมันพอหรือไงถ้าฉันถูกจับได้ นายต้องระวังมากกว่านี้ถ้าไม่อยากให้ฉันเก็บนายซะ รู้มั้ยว่าฉันน่ะมือปราบชั้นหนึ่งเลยล่ะ”

     

    “รู้สิๆ ขอโทษจริงๆที่ไม่ทันระวัง”

     

    “ช่างเถอะน่ะ กินๆเข้าไปแล้วก็หุบปากเสียด้วย”

     

    เฉินโบกมือไล่แบบขอไปที เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบย้ำคิดย้ำทำอะไรมากมาย ในเมื่อเพื่อนไม่ตั้งใจเขาก็พร้อมจะให้อภัย แต่แล้วปัญหาใหญ่ของการใช้ชีวิตก็มาถึงอีกครั้ง เขาไม่เหมาะกับอาหารการกินของชาวเขตร้อน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกว่ามันร้อนเกินไปสำหรับเขา

     

    “อื้อ!

     

    “หือ นายเป็นอะไรของนายน่ะ?”

     

    เทาอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้อีก เมื่อได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะจากเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน เฉินดูไม่สบอารมณ์กับการทานอาหารตรงหน้าเอาเสียเลย แถมน่องไก่ในมือก็ถูกปล่อยลงกระทบจานเสียหลายครั้ง ทั้งที่น่าจะกินหมดไปตั้งนานแล้ว

     

    “มันร้อน”

     

    “ร้อนแล้วไม่ดีเหรอ อร่อยออก”

     

    “อร่อยไปคนเดียวเถอะ ฉันไปทำงานก่อนดีกว่า”

     

    ร่างโปร่งเลือกจะเดินออกไปเสียอย่างนั้น เขาไม่รู้สึกอิ่มเอมกับอาหารชั้นเลิศของชาวเขตร้อนตรงหน้าเลยสักนิด ขืนให้ทนนั่งกินต่อไปเฉินคงเผลอเรียกสายฟ้ามาผ่าลงกลางโต๊ะไม่ไหวแน่ๆ มือหนาหยิบเอาผ้าคลุมสีดำประกายม่วงเมื่อต้องแสงดาวสัญลักษณ์แห่งผู้ล่าออกมาสวมทับที่มุมหนึ่งของตึก ก่อนจะสวมถุงมือปกปิดร่างกายจนมิดชิด เตรียมพุ่งตัวไปตามผนังมืดทึบ

     

    ...ราวกับเงาของราตรีกาล...

     

    “เดี๋ยวก่อนสิผู้ล่า”

     

    “หือ?”

     

    ตาคมตวัดกลับไปมองทางต้นเสียงอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอคือสตรีผู้เดียวกับที่กล่าวคำต้อนรับเมื่อเช้า ก็ได้แต่ย่อตัวลงทำความเคารพต่อเธอ แล้วถอยตัวเข้าสู่เงามืดอย่างระมัดระวัง ถึงแม้รู้ดีว่าสามารถไว้ใจเธอได้ก็ตาม

     

    “ไม่เห็นต้องระวังตัวกับฉันนิ ฉันคือคนที่พิจารณารับเธอเข้าศึกษา อย่างไรฉันก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณอยู่แล้วนะ”

     

    “ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ครับ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”

     

    “รอบคอบอย่างที่ไม่เคยพบในผู้ล่าท่านอื่นเลยนะ ฉันประทับใจคุณมากจริงๆ ว่าแต่นี่คุณไม่อยากพักผ่อนหน่อยเหรอ”

     

    “ไม่ครับ ผมเพิ่งมาใหม่ต้องรีบทำความรู้จักกับสุสานแห่งนี้”

     

    “ไม่มีอะไรยุ่งยากในสุสานของมหาวิทยาลัยฟีนูคอนหรอกนะ ที่นี่ส่วนมากเป็นชนชั้นอฟาไตร หรือ เหล่าศาสตราจารย์เสียส่วนใหญ่ ทุกคนรู้หน้าที่ของตนเองเป้นอย่างดีอยู่แล้ว”

     

    “แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ในกฎนิครับ”

     

    เสียงทุ้มยังเอ่ยออกไปอย่างคนยึดติดในกฎ จนอธิการบดีสาวได้แต่ลอบยิ้มเพียงบางเบา และยอมแพ้ต่อสิ่งที่ร่างโปร่งต้องการทำ เฉินคร่อมศีรษะลาหญิงสาวอีกครั้งก่อนจะหายไปตามเงามืดของสุสาน

     

    “เป็นเด็กหนุ่มที่ไฟแรงเสียจริง”

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    ขายาวก้าวผ่านป้ายศิลาคริสตัลสวยอย่างพินิจ เขาเห็นความแตกต่างของผู้สิ้นชีพที่นี่และที่ๆเขาจากมาอย่างชัดเจน ทุกอย่างที่นี่ดูสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว แต่ยิ่งมันเงียบและดูไร้ความวุ่นวายมากเท่าไร เฉินเชื่อว่ามันมักมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่เสมอ

     

    ...เทวสถานแห่งพระมารดา...

     

    คำล่ำลือแบบปากต่อปากของผู้ล่าถึงที่ซ่อนเทวสถานที่แสนยิ่งใหญ่นั้น เป็นเรื่องที่เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ หลายคนบอกว่ามันถูกซ่อนไว้ในสุสานแห่งนี้ แต่ไม่ว่าตาคมกวาดมองไปตรงทิศใดของสุสาน ก็พบเพียงพื้นที่โล่งและต้นไม้สูงใหญ่ที่รายล้อมเท่านั้น ผู้สิ้นชีพที่นี่ไม่โหยหวนเช่นสุสานแห่งปาโกส แต่กลับมีเสียงคำรามของโทรลที่ถูกจองจำไว้ไม่ไกล

     

    “น่าปวดหัวนะว่ามั้ย?”

     

    “คุณเป็นใคร”

     

    “อาจารย์จิน จากโซม่า ยินดีที่ได้รู้จัก ท่านผู้ล่าแห่งโบโลนี”

     

    “ยินดีครับ ผมรบกวนคุณหรือเปล่า”

     

    “ไม่เลย เธอไม่เจ้าบงการแบบตอนที่ท่านผู้ล่าคนก่อนมาเสียด้วยซ้ำ นี่มันผิดคาดจากที่ทุกคนเขาคุยกันไว้นะ”

     

    “ผมก็แบบนี้”

     

    “ฉันคิดว่าเธอแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์นะ”

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    ทั้งสองคุยกับเพียงพอเป็นพิธี ก่อนที่ร่างโปร่งจะเดินสำรวจรอบๆและถือโอกาสทักทายเหล่าผู้สิ้นชีพในสุสานไปด้วย และ ระหว่างกำลังคุยกับคุณยายตนหนึ่งที่เกือบสุดปลายสุสาน ความรู้สึกของการถูกบุกรุกก็ดังก้องไปทั่วแผ่นอกให้ต้องรีบตามหาสิ่งนั้น

     

    “อึก!

     

    ร่างโปร่งวิ่งผ่านส่วนต่างๆของสุสานอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า จนมาพบเข้ากับผู้คุมผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มเก่า กำลังยืนเคาะคฑาไม้ที่มีเพียงดวงไฟดวงน้อยบนปลายสุด

     

    ...ผู้คุมกฎของมหาวิทยาลัย...

     

    “ท่านผู้ล่า เรามีเรื่องจากท่านอธิการบดีมาเรียนให้ทราบ”

     

    “ครับ?”

     

    “ท่านอธิการบดีสั่งลงโทษนักศึกษาคนหนึ่ง จนกว่าจะถึงช่วงหยุดเรียนของคืนจันทร์จรัส จึงฝากให้คุณดูแลเขา”

     

    “ห๊ะ?!

     

    แม้เฉินจะแสดงความไม่เข้าใจแบบสุดๆออกไป แต่เหมือนมันจะไม่ถูกเอาใจใส่เลยจากคู่สนทนา เมื่อพูดจบผู้คุมคนนั้นก็แค่หันหลังเดินกลับไป นี่คงเป็นความไม่สงบแรกในหน้าที่ของเขาที่ต้องทำที่นี่

     

    “นี่มันงานบ้าอะไรกันวะ?”

     

    นอกจากต้องทนใช้สุสานร่วมกับคอกกับขังโทรลที่โหยหวนตลอดเวลาแล้ว เขายังต้องทำหน้าที่เป็นอาจารย์คุมความประพฤติของนักศึกษาตัวป่วนอีกอย่างนั้นเหรอ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เขาก็ไม่น่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับผู้รับโทษที่แสนจะมึนทึงเช่นนี้

     

    “เอ่อ?”

     

    “จะเอ่ออ่าอะไรอีกนานมั้ย จะให้ทำอะไรก็รีบทำสิ”

     

    ร่างสง่าเอ่ยออกมาแบบไม่สบอารมณ์สุดๆ เมื่อเขาถูกส่งมายืนอยู่หน้าสุสานเพื่อรับโทษร่วมสิบนาที แต่ผู้ล่าตรงหน้าก็ไม่มีท่าทีที่จะขยับไปไหนเสียที เสียงทรงอำนาจของคริสนั้นทำให้แม้แต่ผู้ล่าที่แสนจะยิ่งใหญ่ต้องสะดุ้งให้

     

    “ทะ...ท่านอธิการสั่งนายให้มาทำอะไรบ้าง”

     

    เฉินจำต้องถามออกไปแบบหาต้นบทไปทีเท่านั้น เขาไม่กล้าออกคำสั่งกับคริสหรอก เขาก็เป็นแค่ผู้ล่าแถมยังเป็นรุ่นน้องเท่านั้น

     

    “ฉันก็ถูกสั่งให้มาที่นี่ไง จะต้องให้รู้อะไรอีกล่ะ”

     

    “ก็แล้วคำสั่งว่าไง”

     

    “ก็แล้วทำไมไม่ไปถามยัยอธิการบดีนั่นเองวะ?!

     

    คริสตะคอกถามกลับอย่างสุดจะทน จนสุดท้ายเฉินต้องเดินนำเข้าไปในสุสาน ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะให้คริสทำอะไรดีเลย เดินเข้ามาหยุดที่กลางสุสานแล้วก้มองไปรอบๆหาทางออก แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายอย่างทุกที ร่างสง่านี้ไม่ได้ควบคุมง่ายเหมือนคนอื่น

     

    “ทำอะไรในสุสานเป็นบ้าง”

     

    “นี่? ถามยังกับฉันเกิดมาในสุสานไปได้ ก็บอกมาสิว่ามีอะไรให้ทำบ้าง แล้วค่อยถามว่าทำได้มั้ย”

     

    “เฮ้อ~ ตามล่าผู้สิ้นชีพเป็นมั้ย”

     

    “อะไรวะ?”

     

    ดูเหมือนเรื่องที่เฉินพูดออกมาจะเกินกว่าสิ่งที่คริสเรียนมา เขาไม่เข้าใจว่าการตามล่าผู้สิ้นชีพคืออะไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันคงเป็นการจับวิญญาณ

     

    ...แต่วิธีที่จะล่าล่ะ?...

     

    “นายคงช่วยไม่ได้สินะ”

     

    ร่างโปร่งพูดออกมาไม่ได้ตั้งใจจะดูถูก เขาก็แค่พูดในสิ่งที่คิดเท่านั้น ตาคมนั้นคงไม่สามารถเห็นเลขอายุไขของใครได้เช่นเขา และถ้าให้เดาสุ่มจับมาก็คงได้มีเรื่องพังพินาศเป็นแน่  แต่จะให้ปล่อยสัญชาตญาณที่เต้นในอกไม่หยุดก็คงทำไม่ได้ จึงเลือกจะบอกทางเลือกที่ไม่มีตัวเลือกให้ร่างสง่า

     

    “ฉันต้องไปตามล่าวิญญาณ ต้องปิดสุสานนี้”

     

    “แล้ว?”

     

    “นายต้องไปช่วยฉันจับผู้สิ้นชีพ จริงๆไม่ได้อยากจะให้ช่วยจับอะไรหรอก ก็แค่ดูแลตนเองยังไงก็ได้ให้ไม่เป็นภาระของฉัน ทำได้มั้ย?”

     

    นี่ก็ไม่ใช่คำดูถูกอีกเช่นเคย หากแต่เฉินแค่บอกสิ่งที่กังวลออกไปเท่านั้น แต่มันกำลังทำให้เส้นสมองของคริสเต้นตุ๊บ การท้าทายเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เลยของคริส เขาหน้ามืดตามัวจนลืมเสียสนิทว่าราตรีกลางกำลังคืบคลานมาสาปเขา

     

    “เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันมันสุดยอดแค่ไหน”

     

    “ก็ขอดูหน่อยแล้วกัน”

     

    “อฟาคอลเพรส”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยบอกปลายทางที่เขาต้องไปทำหน้าที่ผู้ล่า ก่อนที่สายฟ้าจะฟาดลงมากลางร่างสาดฟาดพาไปยังกลางจัตุรัสที่มืดมิด ตาคมกวาดมองไปรอบหาสิ่งที่สัญชาตญาณพามา โดยลืมผู้ติดตามชั่วคราวของเขาไปเสียสนิท

     

    “หึ”

     

    เสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมเพียงแผ่วเบาดังขึ้น ก่อนที่ร่างโปร่งจะย่างกายเข้าไปหาเด็กหญิงตัวน้อย ที่กำลังนั่งตีขากับอากาศบนมานั่งตัวหนึ่ง เธอมองมาที่เขาด้วยแววตาใสซื่อ ดูไม่ต่างจากผู้วิเศษตัวน้อยที่แสนน่ารัก

     

    ฟู่!

     

    ร่างสง่าที่ปรากฏขึ้นหลังกองเพลิง กอดอกจ้องมองร่างโปร่งที่คืบคลานเข้าหาเด็กสาวตัวน้อยอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่สามารถเห็นออร่าสีแดงจากเด็กที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ได้

     

    “นายจะทำอะไรน่ะ?”

     

    “เงียบน่ะ”

     

    เฉินพูดขึ้นแม้ไม่หันกลับไปมองว่าคริสกำลังทำอะไรอยู่ ตาคมมองเลขบนศีรษะของเด็กหญิงจนแน่ใจว่าเธอหมดอายุไขแล้ว แต่แววตาที่แสร้งว่าใสซื่อนั้นกำลังบอกเขาว่าเธอคงร้ายกาจไม่ใช่น้อย

     

    ...อาจจะเป็นภูตอสูร...

     

    “ข้าแต่เทพีโบโลนีผู้ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายนี้ข้าขอมอบเพื่อป้องปักษ์ ขอแร่นักรบจงโปรดคุ้มครองกายข้าราวกับเป็นดวงจิตของมัน ข้าขอสาบานจะผูกพันธะสัญญากับเจ้าชั่วนิรันดร์”

     

    กล่าวพันธะสัญญาอย่างใจเย็นและเงียบเชียบ ไม่มีความยิ่งใหญ่คับฟีนูคอนก็แค่อำนาจที่ก่อตัวจากภายใน สายฟ้าวิ่งผ่านเส้นเอ็นรวมเป็นหนึ่ง ก่อร่างสร้างเคียวคู่ที่ไร้ด้ามจับบนมือทั้งสองข้าง มือหนาควงมันไปมาเพื่อให้ถนัดมือเสียก่อนจะได้ใช้

     

    “มาทำอะไรดึกๆคนเดียวเหรอแม่หนู”

     

    “หึหึ”

     

    “หัวเราะฉันเหรอ เธอดูเป็นเด็กไม่ดีเลยนะ”

     

    “เหรอคะ?”

     

    บทสนทนาที่ดูแสนตลกสำหรับคริส กำลังทำให้ร่างสูงสุดจะหัวเสีย เขาไม่คิดเลยว่างานของผู้ล่าคือการไล่จับเด็กหญิงตัวน้อยเช่นนี้

     

    “พอเถอะน่ะ นายว่างนักรึไงถึงมาเล่นกับเด็กน่ารักอยู่ได้”

     

    “บอกให้เงียบไงล่ะ”

     

    “หึหึ ให้เขาพดต่อสิคะ ตลกดีออกนะ”

     

    “เธอต้องการอะไรพูดออกมาสิ อย่ามาทำท่ามาก”

     

    “หนูต้องการอะไร แล้วคุณต้องการอะไร”

     

    “ต้องการเอาเธอกลับไปที่สุสานไงล่ะ”

     

    “ตลกจัง คุณคิดว่าจะทำมันได้อย่างนั้นเหรอคะ?”

     

    คำถามที่ฟังดูยอกย้อนนั้นเริ่มไม่สู้ดี จนคนที่ยืนรำคาญใจอยู่ตอนแรกแบบคริสยังจับความเปลี่ยนไปได้ ร่างสง่าเรียกเอาแร่นักรบของตนเองออกมาเพื่อความปลอดภัย จนเฉินที่ไวต่อการเรียกแร่นักรบได้แต่ยกยิ้มเยาะ

     

    ...ไม่ว่าใครก็มีความกลัวกันทั้งสิ้น...

     

    “เธอหนีมานานแค่ไหนแล้ว”

     

    “นานแบบที่คุณคาดไม่ถึงเลยล่ะ คุณรู้มั้ยว่าหนูอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ผู้ล่าก่อนคุณตั้งสิบคนมาแล้วนะ พวกนั้นยังไม่มีใครจับหนูได้เลยล่ะ”

     

    “พวกนั้นคงไม่รู้ถึงความน่าเกลียดของร่างแท้จริงของเธอล่ะสิ”

     

    “น่าเกลียด?”

     

    ร่างสง่าทวนคำอย่างไม่เข้าใจ เพราะร่างที่เขาเห็นนั้นเป็นเพียงเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักมากเท่านั้น หากแต่เมื่อใช้เนตรทิพย์แห่งผู้ล่ามอง เฉินกลับเห็นเพียงใบหน้าเน่าเฟะ ของเด็กหญิงตัวสีเทาเท่านั้น แต่อีกไม่นานคนรอบข้างก็คงเห็นไม่ต่างกัน

     

    ...จุดอ่อนของภูตอสูร ร่างแท้จริงที่แสนน่ารังเกียจ...

     

    “ใครน่าเกลียด ไอ้ผู้ล่าต่ำช้า!!!

     

    เสียงคำรามลั่นอย่างสุดทนของภูตอสูรดังก้อง พร้อมร่างแท้ที่เผยออกมาตามแรงโมโหของดวงจิต ตาคมของร่างโปร่งจ้องเขม็งไม่มีความเกรงกลัว เขาเป็นผู้ล่ามากว่าครึ่งชีวิตของเขาเสียอีก ร่างของเด็กหญิงตนนี้ไม่ใช่ร่างที่น่าเกลียดที่สุดที่เคยเจอเสียหน่อย

     

    “ก็เธอไง ยัยเด็กอัปลักษณ์ หึ!

     

    “กรี๊ด...ด...ด....ด!!!

     

                         <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 3.5

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    วันนี้ไล่ลงคู่บัลลังก์จนครบร้อยกว่าตอน จริงๆล้าแรง แต่อยากลงฟีนูคอนเพื่อความเท่าเทียม 555

    ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ^^

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×