คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #48 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป - บทที่ ๔
Title : The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๔
Author : พระจันทร์สีทอง
Genre : Fantasy Romantic Drama
Warnings : Yaoi – PG 18
Pairing : Chen x Minseok
บทที่ ๔
The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป
“เฮ้!”
ร่างโปร่งสะดุ้งขึ้นเล็กน้อย ขณะที่กำลังเดินเลี้ยวแยกไปทางหอพักเขตร้อน แต่ดันถูกเสียงหนึ่งเรียกไว้จนต้องหยุดมอง เมื่อหันไปก็พบกับใบหน้ายิ้มแป้นของคนที่เขาสุดจะเอือมตลอดวัน สงสัยคำสัญญาของเขามันจะทำงานดีไปหน่อย เขาถึงได้วนเวียนเจอแต่ซิ่วหมินทั้งวันเช่นนี้ คราวนี้จะหลบหลีกอีกก็จนต่อคำแก้ตัวเสียแล้ว
“อ่า...สวัสดี”
“สวัสดีอะไรกันล่ะ นี่เราเจอกันมาทั้งวันแล้วนะ”
“อ่อ งั้นว่าไงล่ะ”
“ทักเฉยๆ ก็คนรู้จักกันนิ”
“คนรู้จักเหรอ?”
เฉินย่นคิ้วลงเพราะเขาไม่รู้สึกถึงคำว่าคนรู้จักที่อีกคนกำลังพูดถึงเลยสักนิด คนรู้จักของเขามันควรจะเป็นคนที่สนิทใจมากกว่านี้ ไม่ใช่แค่รู้ว่าหน้าตาเป็นแบบนี้คือรู้จัก ร่างบางยังไม่ได้ถามชื่อของเขาเลยด้วยซ้ำ แต่กลับเดินเข้ามาคุยกับเขาอย่างกับเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่ากันเสียได้
...ประสาทจริงๆ...
“อย่าทำหน้าเหนื่อยใจแบบนั้นดิ กระเป๋าหนักมากเลยเหรอ ให้ฉันช่วยนายมั้ย”
“ไม่ต้องล่ะ นายไม่ใช่คนของเขตร้อนนี่”
“แค่ช่วยเพื่อนขนของเอง”
“นายชื่ออะไร”
“เอ้า? นี่เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเหรอ”
...ก็เออน่ะสิวะ!!!...
ร่างโปร่งกรอกตาอย่างสุดจะบรรยายถึงความระอาในใจ เมื่อใบหน้าน่ารักนั้นเบิกตากว้างใส่ราวกับเขาเป็นคนผิด ที่ลืมชื่อของอีกฝ่ายเสียได้ ทั้งที่เขาแสนจะมั่นใจว่าคนที่คิดว่าตนเองถูกนั้นยังไม่แนะนำตัวสักนิด ขนาดไปหาเขาที่สุสานยังไม่เคยแจ้งชื่อเลยด้วยซ้ำ คิดแล้วก็เริ่มหนักใจที่เพื่อนใหม่ของเขาเป็นแค่คนไร้มารยาท
“ฉันชื่อซิ่วหมินนะ คิม มินซอกล่ะ”
“ยินดี ฉันเฉิน”
“เฉิน? แค่นั้นเหรอ?”
“อือ แค่เฉินก็พอ”
ถึงจะเลือกสานต่อมิตรภาพตามสัญญา แต่เฉินก็ยังคงเป็นเฉินที่มีโลกส่วนตัวเป็นของตนเอง เขาไม่อยากให้ผู้วิเศษทั่วไปรู้เรื่องเขามากมาย ชื่อจริงๆของเขานั้นเป็นความลับที่คงมีแค่เขา และ ผู้ให้กำเนิดเท่านั้นที่สมควรรู้
“โอเค สรุปจะไม่ให้เราช่วยจริงๆนะ”
“อือ”
“อย่าตอบสั้นๆแบบนั้นสิ เป็นเพื่อนกันต้องพูดกันนะ”
“แต่พูดกันกับพูดมากก็ต่างกันนะ”
“หือ? เหรอ”
เสียงหวานถามออกมาเหมือนไม่รู้ตัวว่ากำลังถูกอีกฝ่ายว่าอยู่ ไม่มีความรู้สึกผิดหรือสำนึกเลยสักนิด ว่ากำลังทำให้ร่างโปร่งหัวเสียมากแค่ไหน ตาคมกดมองอย่างพยายามให้ซิ่วหมินนึกถึงสิ่งที่เพิ่งพูด แต่ร่างบางก็ยังยืนทำตาแป๋วส่งกลับมา จนในที่สุดเฉินก็ต้องยอมแพ้ไปเสียเอง
“เอาเถอะ ฉันจะคิดเสียว่าไม่เคยพูด”
“อ่า แต่นายพูดนิ”
“เฮ้อ~ บอกว่าไม่ได้พูดก็คือไม่ได้พูดเถอะน่ะ ไปแล้วนะฉันต้องไปจัดของอีกเยอะ นายเองก็กลับไปที่หอนายได้แล้วไป”
“อื้ม เจอกันมื้อเย็นนะ”
มือเรียวถูกยกขึ้นมาโบกมือลา ก่อนที่จะวิ่งหายกลับไปยังหอพักเขตเย็น โดยที่เฉินได้แต่กระทืบเท้าหัวเสียอยู่คนเดียวเงียบๆในใจ ขายาวก้าวขึ้นไปตามชั้นของอาคารหอพัก เพื่อหาห้องของตนเองที่เหมือนจะหลบอยู่แถวๆชั้นเจ็ด
“โบโลนี โมโนส เซดีโอ เซกีรีโรเต”
บานประตูของห้องพักขนาดกลางสำหรับสองคนถูกเปิดออกด้วยคาถาไขกุญแจ ที่ไม่ค่อยพบผู้วิเศษกันมากนัก เฉินก็ไม่ได้อยากจะแตกต่างจาคนอื่น แต่เพราะไม่มีมือมากพอจะไขอะไรได้แล้วยังขี้เกียจเกินกว่าจะยกๆวางๆ
แกร๊ก
“หือ?”
“อ่า...ไม่คิดว่ามีรูมเมทมาแล้ว เลยไม่ทันเคาะประตูน่ะ”
“ไม่เป็นไร ก็ห้องนายเหมือนกันนิ”
คำทกทายสั้นๆของเพื่อนร่วมห้องทั้งสองจบลงอย่างไม่มีอะไรพิเศษ ทั้งสองแค่แยกกันจัดของเงียบๆในมุมของตนเอง แล้วก็ดันเป็นคนที่มาที่หลังที่จัดทุกอย่างเข้าที่ทางเสร็จก่อน อาจเพราะนิสัยของผู้ล่าที่รักความรวดเร็ว ทำให้ร่างโปร่งไม่มีของจุกจิกมากมายนักให้ต้องจัดเรียง ก็แค่หยิบทุกอย่างขึ้นมาแล้วก็วางๆไปเสียก็เป็นระเบียบแล้ว ต่างจากเพื่อนร่วมห้องร่างสูงใหญ่ ที่ดูจะติดนิสัยของพวกผู้วิเศษทั่วไป ที่ต้องมีของจุกจิกวางบ้างเล็กน้อยแม้เป็นเพศชาย
“ช่วยมั้ย”
“ไม่เป็นไร เกรงใจน่ะ”
“ฉันเฉินนะ มาจากโบโลนีนะ นายล่ะ”
“จื่อเทาเรียกเทาเฉยๆก็ได้ โบโลนีเหมือนกัน”
เฉินเกร็งตัวหันไปจ้องใบหน้าคมนั้นชั่ววูบหนึ่งด้วยความแปลกใจ เขาไม่คิดว่าทางกระทรวงผู้ล่าจะจัดเขามาอยู่กับชาวโบโลนีด้วยกัน เพราะนี่มันเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยความลับไม่ใช่เหรอ เทาเองก็เหมือนจะเห็นความหวาดหวั่นในสายตาของเพื่อนใหม่ไม่น้อย จึงรีบพูดเพื่อคลายกังวล
“ฉันรู้ว่านายเป็นใคร ทำงานอะไร และมาจากที่ไหนแล้วล่ะ ไม่ต้องกลัวหรอก”
“รู้อะไร แค่ไหน”
“รู้ไง ทุกอย่างที่เป็นนายนั่นแหล่ะ”
“ใครบอก”
“พ่อของฉันทำงานเป็นผู้ควบคุมดวงจิต เขาเป็นคนบอกว่านายเป็นใคร และ ฉันก็ไม่ได้ยินดีหรือยินร้ายอะไรที่นายทำงานแบบนั้น จริงๆค่อนข้างดีกับฉันที่จะได้ห้องสงบๆยามค่ำคืน"
เทาๆไม่รู้เลยว่านั่นคือการจี้ใจดำของคู่สนทนาเสียอย่างจัง พวกผู้ล่าไม่รู้จักคำว่านิทรา เพราะดวงจิตแห่งการหลับใหลถูกกลืนกินไปหมดสิ้นแล้ว ค่ำคืนคือเวลาสำคัญของการตอบแทนพระนางเจ้าโบโลนีในนามของผู้ล่า
“ก็ดีที่นายรู้”
“และยอมรับ ไม่ใช่ทุกคนที่จะอยากมีรูมเมทเป็นครึ่งผีครึ่งผู้วิเศษ ฟังๆแล้วดูเหมือนจะน่ากลัวว่าสัตว์วิเศษอีก”
“งั้นก็กลัวฉันไว้มากๆสิ”
“ไม่เอาน่ะ ฉันแค่หยอกนายเล่นเท่านั้นเอง”
“ตลกมาก”
เสียงทุ้มเอ่ยออกไปอย่างประชดประชัน แล้วเดินไปทิ้งตัวลงที่มุมของตนเองเพื่อสงบสติอารมณ์ที่กำลังฟุ้งซ่าน ไม่นานก็ถึงเวลาที่ต้องลงไปทานอาหารเย็น แล้วเขาจะลงไปทานกับใครได้ถ้าไม่ใช่รูมเมทของเขาเอง
“ต้องนั่งแยกฝั่งเหรอ”
“อือ ไม่ใช่อาหารทุกประเภทจะเหมาะกับพวกเขตร้อนนิ”
ร่างสูงอธิบายขณะลากเฉินมานั่งลงที่โต๊ะของฝั่งเขตร้อน โดยไม่ลืมสังเกตเห็นสายตาที่มองไปยังเขตเย็น ที่มีใบหน้าน่ารักของเพื่อนร่วมรุ่นอีกคนมองมาเช่นกัน
“เพื่อนนายเหรอ?”
“ใคร?”
“เด็กคนนั้นที่นั่งอยู่ฝั่งเขตเย็น มาจากปาโกสเหมือนกันเหรอ”
“ย๊า! จะพูดออกมาทำไมวะ”
มือหนาประกบปิดปากของร่างสูงแทบไม่ทัน เมื่อเทาเกือบหลุดให้คนรอบข้างสงสัยในตัวเขาจนได้ คนโดนห้ามเองก็เบิกตากว้างอย่างนึกขึ้นได้ทันที รีบเอ่ยขอโทษเมื่อได้รับอิสระ
“ขอโทษๆ”
“แค่ขอโทษมันพอหรือไงถ้าฉันถูกจับได้ นายต้องระวังมากกว่านี้ถ้าไม่อยากให้ฉันเก็บนายซะ รู้มั้ยว่าฉันน่ะมือปราบชั้นหนึ่งเลยล่ะ”
“รู้สิๆ ขอโทษจริงๆที่ไม่ทันระวัง”
“ช่างเถอะน่ะ กินๆเข้าไปแล้วก็หุบปากเสียด้วย”
เฉินโบกมือไล่แบบขอไปที เขาก็ไม่ใช่คนที่ชอบย้ำคิดย้ำทำอะไรมากมาย ในเมื่อเพื่อนไม่ตั้งใจเขาก็พร้อมจะให้อภัย แต่แล้วปัญหาใหญ่ของการใช้ชีวิตก็มาถึงอีกครั้ง เขาไม่เหมาะกับอาหารการกินของชาวเขตร้อน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงรู้สึกว่ามันร้อนเกินไปสำหรับเขา
“อื้อ!”
“หือ นายเป็นอะไรของนายน่ะ?”
เทาอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้อีก เมื่อได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะจากเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน เฉินดูไม่สบอารมณ์กับการทานอาหารตรงหน้าเอาเสียเลย แถมน่องไก่ในมือก็ถูกปล่อยลงกระทบจานเสียหลายครั้ง ทั้งที่น่าจะกินหมดไปตั้งนานแล้ว
“มันร้อน”
“ร้อนแล้วไม่ดีเหรอ อร่อยออก”
“อร่อยไปคนเดียวเถอะ ฉันไปทำงานก่อนดีกว่า”
ร่างโปร่งเลือกจะเดินออกไปเสียอย่างนั้น เขาไม่รู้สึกอิ่มเอมกับอาหารชั้นเลิศของชาวเขตร้อนตรงหน้าเลยสักนิด ขืนให้ทนนั่งกินต่อไปเฉินคงเผลอเรียกสายฟ้ามาผ่าลงกลางโต๊ะไม่ไหวแน่ๆ มือหนาหยิบเอาผ้าคลุมสีดำประกายม่วงเมื่อต้องแสงดาวสัญลักษณ์แห่งผู้ล่าออกมาสวมทับที่มุมหนึ่งของตึก ก่อนจะสวมถุงมือปกปิดร่างกายจนมิดชิด เตรียมพุ่งตัวไปตามผนังมืดทึบ
...ราวกับเงาของราตรีกาล...
“เดี๋ยวก่อนสิผู้ล่า”
“หือ?”
ตาคมตวัดกลับไปมองทางต้นเสียงอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเธอคือสตรีผู้เดียวกับที่กล่าวคำต้อนรับเมื่อเช้า ก็ได้แต่ย่อตัวลงทำความเคารพต่อเธอ แล้วถอยตัวเข้าสู่เงามืดอย่างระมัดระวัง ถึงแม้รู้ดีว่าสามารถไว้ใจเธอได้ก็ตาม
“ไม่เห็นต้องระวังตัวกับฉันนิ ฉันคือคนที่พิจารณารับเธอเข้าศึกษา อย่างไรฉันก็รู้ตัวตนที่แท้จริงของคุณอยู่แล้วนะ”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ครับ หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง”
“รอบคอบอย่างที่ไม่เคยพบในผู้ล่าท่านอื่นเลยนะ ฉันประทับใจคุณมากจริงๆ ว่าแต่นี่คุณไม่อยากพักผ่อนหน่อยเหรอ”
“ไม่ครับ ผมเพิ่งมาใหม่ต้องรีบทำความรู้จักกับสุสานแห่งนี้”
“ไม่มีอะไรยุ่งยากในสุสานของมหาวิทยาลัยฟีนูคอนหรอกนะ ที่นี่ส่วนมากเป็นชนชั้นอฟาไตร หรือ เหล่าศาสตราจารย์เสียส่วนใหญ่ ทุกคนรู้หน้าที่ของตนเองเป้นอย่างดีอยู่แล้ว”
“แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ในกฎนิครับ”
เสียงทุ้มยังเอ่ยออกไปอย่างคนยึดติดในกฎ จนอธิการบดีสาวได้แต่ลอบยิ้มเพียงบางเบา และยอมแพ้ต่อสิ่งที่ร่างโปร่งต้องการทำ เฉินคร่อมศีรษะลาหญิงสาวอีกครั้งก่อนจะหายไปตามเงามืดของสุสาน
“เป็นเด็กหนุ่มที่ไฟแรงเสียจริง”
<<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
ขายาวก้าวผ่านป้ายศิลาคริสตัลสวยอย่างพินิจ เขาเห็นความแตกต่างของผู้สิ้นชีพที่นี่และที่ๆเขาจากมาอย่างชัดเจน ทุกอย่างที่นี่ดูสงบนิ่งไร้การเคลื่อนไหว แต่ยิ่งมันเงียบและดูไร้ความวุ่นวายมากเท่าไร เฉินเชื่อว่ามันมักมีสิ่งที่ยิ่งใหญ่ซ่อนอยู่เสมอ
...เทวสถานแห่งพระมารดา...
คำล่ำลือแบบปากต่อปากของผู้ล่าถึงที่ซ่อนเทวสถานที่แสนยิ่งใหญ่นั้น เป็นเรื่องที่เขาต้องพิสูจน์ให้ได้ หลายคนบอกว่ามันถูกซ่อนไว้ในสุสานแห่งนี้ แต่ไม่ว่าตาคมกวาดมองไปตรงทิศใดของสุสาน ก็พบเพียงพื้นที่โล่งและต้นไม้สูงใหญ่ที่รายล้อมเท่านั้น ผู้สิ้นชีพที่นี่ไม่โหยหวนเช่นสุสานแห่งปาโกส แต่กลับมีเสียงคำรามของโทรลที่ถูกจองจำไว้ไม่ไกล
“น่าปวดหัวนะว่ามั้ย?”
“คุณเป็นใคร”
“อาจารย์จิน จากโซม่า ยินดีที่ได้รู้จัก ท่านผู้ล่าแห่งโบโลนี”
“ยินดีครับ ผมรบกวนคุณหรือเปล่า”
“ไม่เลย เธอไม่เจ้าบงการแบบตอนที่ท่านผู้ล่าคนก่อนมาเสียด้วยซ้ำ นี่มันผิดคาดจากที่ทุกคนเขาคุยกันไว้นะ”
“ผมก็แบบนี้”
“ฉันคิดว่าเธอแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์นะ”
“ขอบคุณครับ”
ทั้งสองคุยกับเพียงพอเป็นพิธี ก่อนที่ร่างโปร่งจะเดินสำรวจรอบๆและถือโอกาสทักทายเหล่าผู้สิ้นชีพในสุสานไปด้วย และ ระหว่างกำลังคุยกับคุณยายตนหนึ่งที่เกือบสุดปลายสุสาน ความรู้สึกของการถูกบุกรุกก็ดังก้องไปทั่วแผ่นอกให้ต้องรีบตามหาสิ่งนั้น
“อึก!”
ร่างโปร่งวิ่งผ่านส่วนต่างๆของสุสานอย่างรวดเร็วปานสายฟ้า จนมาพบเข้ากับผู้คุมผ้าคลุมสีน้ำตาลเข้มเก่า กำลังยืนเคาะคฑาไม้ที่มีเพียงดวงไฟดวงน้อยบนปลายสุด
...ผู้คุมกฎของมหาวิทยาลัย...
“ท่านผู้ล่า เรามีเรื่องจากท่านอธิการบดีมาเรียนให้ทราบ”
“ครับ?”
“ท่านอธิการบดีสั่งลงโทษนักศึกษาคนหนึ่ง จนกว่าจะถึงช่วงหยุดเรียนของคืนจันทร์จรัส จึงฝากให้คุณดูแลเขา”
“ห๊ะ?!”
แม้เฉินจะแสดงความไม่เข้าใจแบบสุดๆออกไป แต่เหมือนมันจะไม่ถูกเอาใจใส่เลยจากคู่สนทนา เมื่อพูดจบผู้คุมคนนั้นก็แค่หันหลังเดินกลับไป นี่คงเป็นความไม่สงบแรกในหน้าที่ของเขาที่ต้องทำที่นี่
“นี่มันงานบ้าอะไรกันวะ?”
นอกจากต้องทนใช้สุสานร่วมกับคอกกับขังโทรลที่โหยหวนตลอดเวลาแล้ว เขายังต้องทำหน้าที่เป็นอาจารย์คุมความประพฤติของนักศึกษาตัวป่วนอีกอย่างนั้นเหรอ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น เขาก็ไม่น่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับผู้รับโทษที่แสนจะมึนทึงเช่นนี้
“เอ่อ?”
“จะเอ่ออ่าอะไรอีกนานมั้ย จะให้ทำอะไรก็รีบทำสิ”
ร่างสง่าเอ่ยออกมาแบบไม่สบอารมณ์สุดๆ เมื่อเขาถูกส่งมายืนอยู่หน้าสุสานเพื่อรับโทษร่วมสิบนาที แต่ผู้ล่าตรงหน้าก็ไม่มีท่าทีที่จะขยับไปไหนเสียที เสียงทรงอำนาจของคริสนั้นทำให้แม้แต่ผู้ล่าที่แสนจะยิ่งใหญ่ต้องสะดุ้งให้
“ทะ...ท่านอธิการสั่งนายให้มาทำอะไรบ้าง”
เฉินจำต้องถามออกไปแบบหาต้นบทไปทีเท่านั้น เขาไม่กล้าออกคำสั่งกับคริสหรอก เขาก็เป็นแค่ผู้ล่าแถมยังเป็นรุ่นน้องเท่านั้น
“ฉันก็ถูกสั่งให้มาที่นี่ไง จะต้องให้รู้อะไรอีกล่ะ”
“ก็แล้วคำสั่งว่าไง”
“ก็แล้วทำไมไม่ไปถามยัยอธิการบดีนั่นเองวะ?!”
คริสตะคอกถามกลับอย่างสุดจะทน จนสุดท้ายเฉินต้องเดินนำเข้าไปในสุสาน ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะให้คริสทำอะไรดีเลย เดินเข้ามาหยุดที่กลางสุสานแล้วก้มองไปรอบๆหาทางออก แต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายอย่างทุกที ร่างสง่านี้ไม่ได้ควบคุมง่ายเหมือนคนอื่น
“ทำอะไรในสุสานเป็นบ้าง”
“นี่? ถามยังกับฉันเกิดมาในสุสานไปได้ ก็บอกมาสิว่ามีอะไรให้ทำบ้าง แล้วค่อยถามว่าทำได้มั้ย”
“เฮ้อ~ ตามล่าผู้สิ้นชีพเป็นมั้ย”
“อะไรวะ?”
ดูเหมือนเรื่องที่เฉินพูดออกมาจะเกินกว่าสิ่งที่คริสเรียนมา เขาไม่เข้าใจว่าการตามล่าผู้สิ้นชีพคืออะไร แต่ก็พอจะเดาได้ว่ามันคงเป็นการจับวิญญาณ
...แต่วิธีที่จะล่าล่ะ?...
“นายคงช่วยไม่ได้สินะ”
ร่างโปร่งพูดออกมาไม่ได้ตั้งใจจะดูถูก เขาก็แค่พูดในสิ่งที่คิดเท่านั้น ตาคมนั้นคงไม่สามารถเห็นเลขอายุไขของใครได้เช่นเขา และถ้าให้เดาสุ่มจับมาก็คงได้มีเรื่องพังพินาศเป็นแน่ แต่จะให้ปล่อยสัญชาตญาณที่เต้นในอกไม่หยุดก็คงทำไม่ได้ จึงเลือกจะบอกทางเลือกที่ไม่มีตัวเลือกให้ร่างสง่า
“ฉันต้องไปตามล่าวิญญาณ ต้องปิดสุสานนี้”
“แล้ว?”
“นายต้องไปช่วยฉันจับผู้สิ้นชีพ จริงๆไม่ได้อยากจะให้ช่วยจับอะไรหรอก ก็แค่ดูแลตนเองยังไงก็ได้ให้ไม่เป็นภาระของฉัน ทำได้มั้ย?”
นี่ก็ไม่ใช่คำดูถูกอีกเช่นเคย หากแต่เฉินแค่บอกสิ่งที่กังวลออกไปเท่านั้น แต่มันกำลังทำให้เส้นสมองของคริสเต้นตุ๊บ การท้าทายเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้เลยของคริส เขาหน้ามืดตามัวจนลืมเสียสนิทว่าราตรีกลางกำลังคืบคลานมาสาปเขา
“เดี๋ยวก็รู้ว่าฉันมันสุดยอดแค่ไหน”
“ก็ขอดูหน่อยแล้วกัน”
“อฟาคอลเพรส”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกปลายทางที่เขาต้องไปทำหน้าที่ผู้ล่า ก่อนที่สายฟ้าจะฟาดลงมากลางร่างสาดฟาดพาไปยังกลางจัตุรัสที่มืดมิด ตาคมกวาดมองไปรอบหาสิ่งที่สัญชาตญาณพามา โดยลืมผู้ติดตามชั่วคราวของเขาไปเสียสนิท
“หึ”
เสียงหัวเราะเหี้ยมเกรียมเพียงแผ่วเบาดังขึ้น ก่อนที่ร่างโปร่งจะย่างกายเข้าไปหาเด็กหญิงตัวน้อย ที่กำลังนั่งตีขากับอากาศบนมานั่งตัวหนึ่ง เธอมองมาที่เขาด้วยแววตาใสซื่อ ดูไม่ต่างจากผู้วิเศษตัวน้อยที่แสนน่ารัก
ฟู่!
ร่างสง่าที่ปรากฏขึ้นหลังกองเพลิง กอดอกจ้องมองร่างโปร่งที่คืบคลานเข้าหาเด็กสาวตัวน้อยอย่างไม่เข้าใจ เขาไม่สามารถเห็นออร่าสีแดงจากเด็กที่กำลังนั่งยิ้มอยู่ได้
“นายจะทำอะไรน่ะ?”
“เงียบน่ะ”
เฉินพูดขึ้นแม้ไม่หันกลับไปมองว่าคริสกำลังทำอะไรอยู่ ตาคมมองเลขบนศีรษะของเด็กหญิงจนแน่ใจว่าเธอหมดอายุไขแล้ว แต่แววตาที่แสร้งว่าใสซื่อนั้นกำลังบอกเขาว่าเธอคงร้ายกาจไม่ใช่น้อย
...อาจจะเป็นภูตอสูร...
“ข้าแต่เทพีโบโลนีผู้ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายนี้ข้าขอมอบเพื่อป้องปักษ์ ขอแร่นักรบจงโปรดคุ้มครองกายข้าราวกับเป็นดวงจิตของมัน ข้าขอสาบานจะผูกพันธะสัญญากับเจ้าชั่วนิรันดร์”
กล่าวพันธะสัญญาอย่างใจเย็นและเงียบเชียบ ไม่มีความยิ่งใหญ่คับฟีนูคอนก็แค่อำนาจที่ก่อตัวจากภายใน สายฟ้าวิ่งผ่านเส้นเอ็นรวมเป็นหนึ่ง ก่อร่างสร้างเคียวคู่ที่ไร้ด้ามจับบนมือทั้งสองข้าง มือหนาควงมันไปมาเพื่อให้ถนัดมือเสียก่อนจะได้ใช้
“มาทำอะไรดึกๆคนเดียวเหรอแม่หนู”
“หึหึ”
“หัวเราะฉันเหรอ เธอดูเป็นเด็กไม่ดีเลยนะ”
“เหรอคะ?”
บทสนทนาที่ดูแสนตลกสำหรับคริส กำลังทำให้ร่างสูงสุดจะหัวเสีย เขาไม่คิดเลยว่างานของผู้ล่าคือการไล่จับเด็กหญิงตัวน้อยเช่นนี้
“พอเถอะน่ะ นายว่างนักรึไงถึงมาเล่นกับเด็กน่ารักอยู่ได้”
“บอกให้เงียบไงล่ะ”
“หึหึ ให้เขาพดต่อสิคะ ตลกดีออกนะ”
“เธอต้องการอะไรพูดออกมาสิ อย่ามาทำท่ามาก”
“หนูต้องการอะไร แล้วคุณต้องการอะไร”
“ต้องการเอาเธอกลับไปที่สุสานไงล่ะ”
“ตลกจัง คุณคิดว่าจะทำมันได้อย่างนั้นเหรอคะ?”
คำถามที่ฟังดูยอกย้อนนั้นเริ่มไม่สู้ดี จนคนที่ยืนรำคาญใจอยู่ตอนแรกแบบคริสยังจับความเปลี่ยนไปได้ ร่างสง่าเรียกเอาแร่นักรบของตนเองออกมาเพื่อความปลอดภัย จนเฉินที่ไวต่อการเรียกแร่นักรบได้แต่ยกยิ้มเยาะ
...ไม่ว่าใครก็มีความกลัวกันทั้งสิ้น...
“เธอหนีมานานแค่ไหนแล้ว”
“นานแบบที่คุณคาดไม่ถึงเลยล่ะ คุณรู้มั้ยว่าหนูอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ผู้ล่าก่อนคุณตั้งสิบคนมาแล้วนะ พวกนั้นยังไม่มีใครจับหนูได้เลยล่ะ”
“พวกนั้นคงไม่รู้ถึงความน่าเกลียดของร่างแท้จริงของเธอล่ะสิ”
“น่าเกลียด?”
ร่างสง่าทวนคำอย่างไม่เข้าใจ เพราะร่างที่เขาเห็นนั้นเป็นเพียงเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักมากเท่านั้น หากแต่เมื่อใช้เนตรทิพย์แห่งผู้ล่ามอง เฉินกลับเห็นเพียงใบหน้าเน่าเฟะ ของเด็กหญิงตัวสีเทาเท่านั้น แต่อีกไม่นานคนรอบข้างก็คงเห็นไม่ต่างกัน
...จุดอ่อนของภูตอสูร ร่างแท้จริงที่แสนน่ารังเกียจ...
“ใครน่าเกลียด ไอ้ผู้ล่าต่ำช้า!!!”
เสียงคำรามลั่นอย่างสุดทนของภูตอสูรดังก้อง พร้อมร่างแท้ที่เผยออกมาตามแรงโมโหของดวงจิต ตาคมของร่างโปร่งจ้องเขม็งไม่มีความเกรงกลัว เขาเป็นผู้ล่ามากว่าครึ่งชีวิตของเขาเสียอีก ร่างของเด็กหญิงตนนี้ไม่ใช่ร่างที่น่าเกลียดที่สุดที่เคยเจอเสียหน่อย
“ก็เธอไง ยัยเด็กอัปลักษณ์ หึ!”
“กรี๊ด...ด...ด....ด!!!”
<<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
The Phonucorn – Chapter 3.5
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
วันนี้ไล่ลงคู่บัลลังก์จนครบร้อยกว่าตอน จริงๆล้าแรง แต่อยากลงฟีนูคอนเพื่อความเท่าเทียม 555
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ^^
ความคิดเห็น