ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #49 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป - บทที่ ๕

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 311
      0
      6 เม.ย. 59

     

    Title : The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๕

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Chen x Minseok

     

     

    บทที่ ๕

    The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป

     

     

     

     

     

    “กรี๊ด...ด...ด....ด!!!

     

    เสียงแหลมแผดลั่นแต่หาได้มีใครในละแวกนั้นตื่นขึ้นมาจากนิทรา อาจเป็นเพราะม่านบังเสียงที่เฉินแอบแผ่ออกไปขณะหมุนแร่นักรบในมือก็เป็นได้ มันทำงานเหมือนเชือกกั้นอาณาเขตของสนามประลอง

     

    “แกกล้าดียังไงมาว่าฉันน่าเกลียด!

     

    “เพราะถ้าเธอสวย เธอจะไม่เป็นภูตอสูรไงสาวน้อย”

     

    สิ้นคำถากถางนั้นเนื้อกายของผู้วิเศษก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว รอยผุผองผุดขึ้นตามตัวอย่างน่าเกลียด ร่างที่แท้จริงของภูตอสูรค่อยๆเผยออกมา ไม่เหลือเคล้าของเด็กน้อยแสนน่ารักเมื่อครู่สักนิด

     

    “ฟี๊ซ!!!

     

    แม้แต่เสียงของมนุษย์ก็กลายเป็นภาษาภูตที่แม้แต่ร่างโปร่งก็ไม่เข้าใจ เขารู้แค่ว่ามันอันตราย และ เขาพลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว ภูตอสูรนั้นมีพลังเหนือกว่าผู้สิ้นชีพทั่วไป ก็เหมือนกับว่าเป็นผู้สิ้นชีพที่กลายร่างเป็นอสูรเพราะอยู่มานานไม่มีผิด การสั่งสมพลังจากนอกสุสานจะค่อยๆทำให้ดวงจิตเก่าหยาบช้า และจุดจบเดียวที่สมควรค่าแก่การกังขังคงไม่มีที่ไหนได้นอกเสียจาก

     

    ...สายน้ำแห่งชีวิต...

     

    “โบโลนี โมโนส เซดีโอ ทากีโนเธส”

     

    และเพราะนี่คงเป็นผลงานที่สร้างฟีนได้อย่างมหาสาร คงไม่ผิดที่เฉินจะต้องคิดถึงสถานภาพการใช้จ่ายเป็นหลัก ถึงมันจะเป็นการยากที่จะจดข้อมูลของพวกภูตอสูรหัวดื้อก็เถอะ

     

    “ฟี๊ซ!!!

     

    “อ่า...ทำไงดีเนี่ย เธอพูดภาษาฟีนูเนียนหน่อยสิ นี่มันยากนะถ้าฉันจะเอาแต่คำว่าฟี๊ซไปส่งขอเงินน่ะ ถึงจะมีหัวเธอไปเป็นตัวยืนยันก็เถอะ แต่จำนวนเงินมันก็สูญเสียไปเยอะเอาการเลยล่ะ ตั้งสติแล้วขอภาษาทางการหน่อย”

     

    เสียงทุ้มพูดออกไปเหมือนหัวเสียที่ไม่สามารถสนทนากับเธอได้ ทำให้ภูตสาวฉงนหลงไปตามคำพูดนั้นจนเกือบคืนสภาพ

     

    “ฉะ...ฟี๊ซ...ฉัน!

     

    “พยายามหน่อย เรามีงานอื่นต้องไปทำกันอีกนะ”

     

    “กะ...แก...ฟี๊ซ...พูดจะ...จา!

     

    “เฮ้อ~ มันยากนักรึไงแค่พยายามมีน้ำใจน่ะ”

     

    “ฟี๊ซ!!!

     

    ในที่สุดความพยายามก็เป็นได้แค่ความพยายาม เมื่อภูตสาวได้สติคืนสู่ร่างอสูรอีกครั้ง เฉินถดขาถอยออกมาจากเธอเพียงก้าวเพื่อตั้งหลัก เขาพยายามจะเป็นมิตรกับผู้สิ้นชีพทุกตนให้ถึงที่สุดเสมอ แต่เสื้อคลุมของเขามันคงยาวไม่พอจะปิดคมเคียว ซ่อมมันจากดวงตาอสูรร้ายตรงหน้า

     

    “แก...ไม่เป็นมิตร ฟี๊ซ!!!

     

    ปีกใหญ่กางสยายออกจากแผ่นหลังของภูตสาว ก่อนจะพุ่งตรงไปยังร่างโปร่งที่อยู่ตรงหน้า คมเล็กที่งอกออกมาจิกลงกับผ้าคลุมลากยาวไปเกือบจะเปิดออก แต่เพราะเฉินไวกว่าจึงยังสามารถคว้าฮู๊ทก่อนที่จะเปิดขึ้นได้

     

    “มันจะมากไปแล้วนะยัยอสูรต่ำช้า”

     

    “ฟี๊ซ!!!

     

    เพราะคำพูดดูถูกเหล่านั้นยิ่งทำให้ดวงจิตแสนโกรธชังเฉินยิ่งกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร แต่เพราะเฉินรู้ดีว่าเมื่อคนเราโกรธการควบคุมสติก็ยิ่งน้อยลงทุกที เราก็แค่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อปลดปล่อยความโกรธนั้นออกไป และนั่นคือความลับที่ทำให้เขาสามารถล่าเหล่าวิญญาณร้ายได้ดีกว่าคนอื่น แต่สำหรับภูตอสูรที่หลบหนีมาได้กว่าครึ่งชีวิตของเขานั้น เขาก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะทำอะไรได้บ้าง ถึงยังไม่อาจวางใจลงมือได้เสียทันที

     

    “เธอทำได้แค่นี้เหรอ อยู่มาได้เป็นสี่สิบปี เธอทำได้แค่นี้เองเหรอ?”

     

    “ฟี๊ซ!!!

     

    กรงเล็บที่เตรียมลงคมใส่ร่างโปร่งกลายเป็นเปลวเพลิง บอกให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเธอคงเป็นคนของเผ่าโฟเธียก่อนสิ้นชีพ แถมคงสิ้นชีพตั้งแต่อายุยังน้อยเสียด้วย ถึงได้ยึดติดกับร่างกายของเด็กสาวน่ารักเช่นนั้น

     

    “เป็นโฟเธียเหรอ? ดีเลย วันนี้ฉันพาเพื่อนชาวโฟเธียมาให้เธอได้รู้จัก”

     

    เฉินไม่พูดเปล่า เขาหันหน้าทั้งที่โดนคร่อมอยู่มาหาคริสที่กำลังยืนอึ้ง จับแร่นักรบที่เป็นดาบยาวไว้ไม่ไหวติง เขารู้ว่าถึงมองไปตรงๆตอนนี้ร่างสง่าก็คงไม่เห็นใบหน้าของเขาแน่ ก็แถวนี้มันมืดเสียขนาดผู้วิเศษสักตนยังไม่กล้าออกมาเดินยามค่ำคืนเช่นนี้

     

    “ทักทายชาวโฟเธียด้วยกันหน่อยสิ”

     

    “เหอะ!

     

    “ฟี๊ซ!!!

     

    “อะไร? เธอไม่ชอบเขาอย่างนั้นเหรอ ถึงเขาจะเย่อหยิ่งแต่ก็หล่อใช้ได้นะ”

     

    “ไอ้เด็กสกปรก ฟี๊ซ!!!

     

    ร่างสง่าที่ตั้งใจจะไม่ยุ่งตั้งแต่แรก เพราะเห็นว่าไม่ใช่ธุระอะไรที่เขาต้องช่วยคนอื่นหาเงิน แต่เมื่อถูกภูตอสูรเอ่ยออกมาพร้อมเสียงคำรามเยาะเย้ยนั้น ก็ถึงกับต้องเดินเข้าไปหาง้างคมดาบพร้อมฟาดฟัน

     

    “แกพูดอะไร!!!

     

    “เฮียยะฮะฮ่า!!! ฟี๊ซ!!!

     

    เสียงแหลมแผดหัวเราะราวอสูรร้ายจากขุมนรกดังลั่นอย่างสะใจ พร้อมกางปีกทะยานขึ้นเหนือทั้งสองร่าง ชายตาลงมองเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยความสมเพช ที่คนหนึ่งเป็นเพียงผู้วิเศษครึ่งสิ้นชีพ ส่วนอีกคนก็เป็นผู้วิเศษสายเลือดเทวาต้องคำสาป

     

    ฟึด!!!

     

    คมดาบของคริสเฉียดใบหน้าคมของร่างโปร่งไปเพียงนิดเท่านั้น แต่เขาไม่ได้สนใจสักนิดว่าใครจะเป็นจะตาย เขาก็แค่อยากจะปิดปากภูตอสูรนั้นให้สิ้นลาย ให้รู้จักเสียบ้างว่าสายเลือดเทวานั้นเป็นเช่นไร

     

    “นังอสูรต่ำช้า ลงมาเดี๋ยวนี้นะ!!!

     

    “แกก็มีปีกนิเจ้าหนุ่ม หรือว่าปีกต้องสาปนั้นมันสวยสู้ปีกอสูรของข้าไม่ได้”

     

    “แก!!!

     

    ร่างสง่าทำท่าจะกลายร่างเป็นฟีนิกส์ หากแต่เฉินที่เหมือนอ่านคำพูดเหล่านั้นขาดตั้งแต่ประโยคแรกกลับห้ามไว้เสียก่อน เขาไม่แน่ใจนักว่าผิวหนังแห่งผู้ล่าคู่ควรแก่การแตะต้องกายศักดิ์สิทธิ์ของคริสมั้ย หากแต่เขาจะไม่ปล่อยให้ประวัติของเทพเจ้าแห่งฟีนูคอนต้องมัวหมอง เพราะสายเลือดเทวาที่ไม่ทันยั้งคิด

     

    “อยู่ตรงนี้ อย่าช่วยถ้าฉันไม่ได้ของให้ช่วย อย่าทำเรื่องที่ไม่คุ้มเสียไปหน่อยเลยน่า นายยังถูกคำสั่งให้ทำงานช่วยฉัน เพราะฉะนั้นฟังคำสั่งฉัน”

     

    “ชิ!!!

     

    “ฉันทำเพื่อตัวนายทั้งนั้น อย่ามาทำเจ้าอารมณ์กับฉัน”

     

    เฉินกล่าวปรามตามประสาคนที่มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า ก่อนจะใช้ความไวที่แม้จะไม่ไวเท่าสายเลือดเทวาแห่งลม แต่ก็คือลูกของสายฟ้าผู้ทรงฤทธิ์ไม่น้อยกว่ากัน ปีนป่ายขึ้นไปตามกิ่งไม้ และ ใช้ความไว้ของช่วงกระโดดจับขาของอสูรสาวที่ไม่คิดว่าเขาจะสามารถจับตัวเธอได้ กระชากร่างนั้นลงแทบพื้นไม่ไกลจากจุดเดิมนัก

     

    “ฟี๊ซ!!!

     

    “หยุดแหกปากใส่ฉันสักที รู้มั้ยว่ามันทำฉันเสียสมาธิมากแค่ไหน แกควรจะให้ความร่วมมือกับฉันตั้งแต่แรกนะ”

     

    “ฟี๊ซ!!!

     

    “อ๊าก...ก...ก!!!

     

    ร่างโปร่งไปอาจทนกับเสียงที่แผดลั่นนั้นได้ เขาสุดทนที่จะมองท่าทางแสนหยาบคายนี้จึงใช้เคียวคมที่สองมือ กรีดผ่านแขนทั้งสองข้างให้ขาดออกจากร่าง แล้ววาดแขนตัดผ่านกันจนร่างนั้นขาดเป็นของท่อน สิ่งที่เขาต้องการเอาไปขึ้นเงินก็แค่หัวของหล่อนเท่านั้น ส่วนอื่นเขาก็จัดการลากมารวมกัน แล้วหันไปมองร่างสง่าที่ดูเหมือนความแค้นยังไม่จางหายไปสักนิด

     

    “งานที่เหลือนายก็พอช่วยได้ อยากแก้แค้นคนที่เปิดโปงความลับหน่อยมั้ยล่ะ”

     

    “หึ”

     

    คริสไม่เอ่ยอะไรออกมานอกจากการแค่นหัวเราะเพียงครั้งเดียว ฝ่ามือแกร่งผายออกสู่กองร่างของภูตอสูรตัวร้าย ก่อนจะเผาร่างนั้นทั้งที่ไม่ต้องเอ่ยร่ายสิ่งใด ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ชาวโฟเธียทุกคนจะทำได้ คริสก็แค่ยืนยันให้เฉินเห็นว่าแม่อสูรสาวนั้นพูดความจริง ที่ว่าเขาก็คืออสูรในร่างผู้วิเศษเท่านั้น

     

    “น่าสมเพช!

     

    “แม่นั่นเหรอ เธอสมควรจะพบจุดจบแบบนี้แล้วจริงๆ”

     

    “แล้วนายจะเก็บหัวทุเรศนั้นไว้ทำไม ยิ่งมองฉันยิ่งขยะแขยง”

     

    “ฉันก็ต้องทำมาหากินนี่หว่า”

     

    ร่างโปร่งยักไหล่ให้อย่างไม่สนใจคำพูดนั้น ก่อนจะเก็บมันลงกระสอบที่เขาพกมาด้วยประจำ เผื่อว่าเขาไม่สามารถตีทะเบียนผู้สิ้นชีพที่เขาล่าได้ เฉินทำท่าจะเดินทางกลับไปที่สุสานเหมือนอย่างเคย แต่ก็ติดที่มือแกร่งมาจับไหล่เขาไว้เสียก่อน

     

    “อะไรอีกล่ะ นายจะไม่กลับเหรอ?”

     

    “ไม่ใช่ ฉันต้องคุยกับนายให้รู้เรื่อง”

     

    “ถ้าเป็นเรื่องสายเลือดเทวา ฉันก็ไม่ได้คิดจะวุ่นวาย”

     

    “ไม่ใช่แค่ไม่วุ่นวาย นายต้องไม่มีทางพูดมันต่อ เด็ดขาด!

     

    “นายมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน อย่าลืมว่าฉันเนี่ยแหล่ะคนที่กุมความลับนายอยู่ แต่นายไม่มีความลับอะไรของฉันอยู่เลยสักนิด”

     

    “ฉันก็รู้ว่านายคือใครเหมือนกัน”

     

    ร่างโปร่งแค่นยิ้มเยาะกลับภายใต้ผ้าคลุม เขารู้ว่าคริสไม่มีทางเห็นใบหน้าของเขาแน่นอน แต่เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าร่างสง่านี้จะมาไม้ไหนกับเขากันแน่

     

    “แล้วฉันเป็นใครล่ะ”

     

    “นายเหรอ ก็ใครสักคนที่เป็นชาวเผ่าโบโลนี ที่บังเอิญเจ็บแขนพรุ่งนี้พอดีไง”

     

    สุดท้ายเฉินก็ยอมต่อสิ่งที่คริสกล่าวออกมา มันก็จริงอย่างที่ร่างสง่าบอก อย่างดีเขาก็แค่สามารถทำให้เหมือนเขาไม่เจ็บได้ แต่ถามว่าเขาจะทำให้รอยแผลที่โดนกงเล็บนั้นจิกหายไปได้เหรอ คำตอบคือไม่มีทางอย่างแน่นอน

     

    “คิดว่าการที่คนอื่นรู้แล้วฉันเดือดร้อนมั้ย”

     

    “ก็น่าจะเดือดร้อนไม่ต่างกับฉันเท่าไรหรอก”

     

    “คิดถูกนิ แล้วจะเอายังไง ในเมื่อฉันก็รับปากไปแล้วไง”

     

    “ความลับนายต่อความลับฉัน”

     

    “เหอะ อย่าคิดจะเขียนพันธะสัญญาโง่เง่ากับฉันเลยน่ะ ฉันเป็นผู้สิ้นชีพไปแล้วครึ่งของครึ่งชีวิต ฉันไม่มีอะไรจะมาผูกสัญญาตายกับนายหรอกนะ”

     

    “ก็ดวงจิตอีกครึ่งของนายไง...”

     

    ตาคมจ้องมองผ่านความเลือดเย็นของสายเลือดเทวาแห่งโฟเธีย ที่คิดจะให้เขาเอาดวงจิตอีกครึ่งที่เหลืออยู่ไปผูกพันธะ นั้นเสมือนให้เขาเป็นทาสแห่งความตายสิ้นแล้วกับลมหายใจ ร่างสง่าคงไม่รู้ว่าการมีร่างกายของตนเองเป็นของตนเองเพียงครึ่งมันทรมานมากแค่ไหน

     

    ...มันเจ็บที่เราเป็นในสิ่งที่อยากเป็นไม่ได้...

     

    “อย่าพูดจาไร้สาระ เก็บความไม่ไว้ใจ ไปใช้กับพวกโฟเธียไร้สัจจะเถอะ”

     

    “เหอะ! แล้วนายคิดว่าฉันจะเอาอะไรมาไว้ใจนายได้”

     

    “พวกเราชาวเผ่าโบโลนีถือสัจจะยิ่งกว่าสิ่งใด เราไม่ฆ่าแกงพี่น้องกันเองหรอก”

     

    “นั่นสินะ พวกฉลาดแกลมโกงก็ดีแต่ยืมมือคนอื่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”

     

    “ถ้าท่านบริสุทธิ์ ความจริงจะปกป้องท่านเอง”

     

    “เทพีโฟเธียบริสุทธิ์”

     

    “พิสูจน์สิ”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยอย่างถือดีอย่างสุดทนไม่แพ้กัน ก่อนจะหนีกลับไปที่สุสานเพื่อตัดปัญหา แต่ปัญหาก็คือปัญหาถึงหนีได้มันก็จะกลับมาอยู่ดี เหมือนที่คริสกำลังนั่งทำหน้ากวนประสาทอยู่ที่ตรงข้ามเขานี่ไง

     

    “นายจะนั่งมองหน้าฉันอีกนานมั้ย ไม่นอนเอาแรงรึไง”

     

    “นอน? ที่ไหน? ในสุสานเนี่ยนะ ฉันยังไม่สิ้นชีพนะ”

     

    “เฮ้อ~ ก็แล้วแต่จะคิดแล้วกัน”

     

    เฉินถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับร่างสง่าตรงหน้า เขาเองก็แสนจะเบื่อที่ต้องมานั่งเถียงกับคริสเหมือนกัน นี่เพียงคืนแรกเขาก็แทบจะบ้าแล้ว ไม่อยากจะคิดถึงวันต่อๆไปอีกเป็นอาทิตย์ข้างหน้าเลย ขายาวหยัดยืนเตรียมหนีอีกครั้ง แต่ร่างสง่าก็ลุกขึ้นไม่ยอมปล่อยเขาง่ายๆเช่นกัน

     

    “จะไปไหน?”

     

    “ไปตรวจความเรียบร้อย ใกล้ถึงเวลาตะวันขึ้นแล้ว”

     

    “หน้าที่ของนายมันจะเยอะไปแล้วมั้ง?”

     

    “ถ้านายไม่อยากช่วย ก็นั่งเงียบๆไปเถอะน่า มากเรื่องจริง”

     

    ตาคมอดค้อนคว่ำใส่คริสที่เอาแต่พูดมากไม่หยุด ทั้งที่ไม่ได้ช่วยงานอะไรเขาได้เลยสักนิด ไม่อยากจะพูดออกไปว่าความสามารถในการใช้แร่นักรบระดับตำนานของฟีนูคอน เมื่อเทียบกับฝีมือที่ฝึกมาอย่างดีของผู้ล่าแล้วนั้น

     

    ...ถือว่าเป็นได้แค่มวยรองเท่านั้น...

     

    “งั้นฉันกลับเลยได้มั้ย”

     

    “เอาที่สบายใจเลย”

     

    “ดี”

     

    มันต้องดีอยู่แล้วที่สามารถเขี่ยร่างสง่าออกไปได้สำหรับร่างโปร่ง เขารอเวลาที่จะวิ่งหายไปตามส่วนต่างๆของสุสานตามลำพังไม่ไหว การทำงานโดยมีคริสห้อยตามมันน่าอึดอัดพิลึก แถมเขายังต้องทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ เมื่อร่างสง่านั้นหลบไปกลายร่างเป็นนกไฟในตำนาน ไม่รู้จะตื่นเต้นหรือกังวลกับสิ่งที่เห็นดี

     

    “มันตลกดีนะ”

     

    “แต่มันตลกได้มากกว่านี้แน่นอนถ้านายผสมรากระเบิดน้ำแข็งเป็น”

     

    บทสนทนาที่แสนร่าเริงดังขึ้นมาในโสตประสาทที่กำลังสงบนิ่ง ตาคมที่มักสอดส่องไปทั่วแสร้งปิดสนิท ราวกับว่าเจ้าของมันกำลังง่วงเสียเต็มประดา ทั้งที่จริงแล้วดวงจิตเขามันไม่รู้จักการหลับใหลมาแสนนานแล้ว

     

    “หือ?...นายไปนั่งก่อนเลย เดี๋ยวฉันไปนั่งกับพวกเซฮุนน่ะ”

     

    “อ่า แล้วเจอกันที่ห้องนะซิ่วหมิน”

     

    “แล้วเจอกัน”

     

    ขาเล็กตรงเข้าไปหาคนที่แกล้งหลับอยู่ทันทีที่แยกจากเพื่อน ร่างบางไม่รู้เลยว่าทำไมเขาต้องทักทายคนตรงหน้าเสมอ ทั้งที่เฉินก็ไม่มีท่าทีอยากจะเป็นเพื่อนกับเขาสักนิด แต่ก็เพราะแบบนี้ไงซิ่วหมินถึงทิ้งเฉินไม่ได้

     

    ...เขาเป็นเพื่อนคนเดียวของเฉินเชียวนะ...

     

    “นี่หลับอยู่รึเปล่า?”

     

    เสียงหวานเอ่ยถามอย่างมีมารยาท เรียกให้ร่างโปร่งจำต้องลืมตามามองคนถามอย่างเสียไม่ได้ เฉินมองไปรอบๆราวกับเพิ่งได้สติจริงๆ แต่ส่วนหนึ่งคงเพราะเขาไม่อยากจะมองใบหน้ายิ้มแย้มของคนตรงหน้า

     

    ...คนอะไรมีความสุขจนน่าหมั่นไส้...

     

    “อรุณสวัสดิ์”

     

    “อรุณสวัสดิ์”

     

    “ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะ ไปนั่งด้วยกันกับเพื่อนฉันสิ”

     

    “เพื่อนนายเหรอ?”

     

    ตาคมทวนคำแล้วมองตามนิ้วของซิ่วหมินที่ยกขึ้นชี้ไปทางกลุ่มเพื่อนของตนเอง ที่นั่งรวมกันอยู่แถวๆกลางห้อง ในขณะที่เขเลือกจะนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งสุดหลังห้องพอดี

     

    “ไปสิ เพื่อนเราน่ารักนะ”

     

    “ไม่เป็นไร”

     

    จริงๆความหมายนั้นไม่ได้ซ่อนความเกรงใจไว้สักนิด ร่างโปร่งก็แค่ไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับพวกตัวป่วนเพิ่มเท่านั้น แค่มีซิ่วหมินคนเดียวเขาก็รำคาญจะแย่แล้ว

     

    “นั่งคนเดียวมันเหงาออก เพื่อนในกลุ่มฉันเรียนเก่งกันทุกคนเลยนะ ยกเว้นก็แต่ฉันเนี่ยแหล่ะ เผื่อนายเรียนไม่รู้เรื่องไง”

     

    เฉินมองไปที่กลุ่มเพื่อนของซิ่วหมินอีกครั้ง ไม่ได้อยากจะดูถูกหรือหาศัตรู แต่เท่าที่ดูแล้วกลุ่มของร่างบางนั้น ไม่น่าจะใกล้เคียงคำว่าฉลาดเลยสักคน จะมีก็แค่อฟาไตรร่างเล็กที่นั่งอยู่ด้วยในกลุ่ม ที่เขาพอจำได้ว่าเป็นนักอ่านที่มีชื่อเสียงมากเท่านั้นที่ดูเข้าทาง

     

    “ฉันคิดว่าเรียนด้วยตัวเองได้นะ ไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรง ขอไม่รบกวน”

     

    “รบกวนอะไรกันล่ะ เพื่อนกันทั้งนั้นแหล่ะ ไปนะ”

     

    ...พูดคนละภาษาอยู่รึไง ก็บอกว่าไม่ไปไง!...

     

    เสียงทุ้มคร่ำครวญอยู่ในใจ แต่ก็ไม่รู้จะเบี่ยงไปทางไหนได้อีก แต่เหมือนเทพเจ้าได้ยินเสียงคร่ำครวญในใจ ถึงได้ส่งเทาที่เดินสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นเข้ามาขวางเขาไว้ก่อน จนซิ่วหมินยังชะงักหยุดด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน ร่างสูงโผล่มาถึงก็ทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างร่างบาง แล้วทำท่าจะนอนต่อไปในทันที

     

    “จะมาจองที่ก่อนทำไมไม่บอกกันบ้างวะ ฉันเลยตื่นสายเลยไง”

     

    “หือ?!

     

    “เอ้า? นายเป็นใครอ่ะ ฉันกำลังถามเฉินอยู่”

     

    ร่างสูงที่เงยหน้าขึ้นมาเจอกับใบหน้าสงสัยของซิ่วหมินก็แปลกใจไม่แพ้กัน เขาไม่ทันมองว่าเพื่อนร่วมห้องของเขามีแขกอยู่เช่นเดียวกัน แต่เทาก็เป็นมิตรพอที่จะไม่แสดงกิริยาหยาบคายใส่ร่างบาง รอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ถูกส่งไปให้ก่อนคำทักทาย

     

    “ฉันเทานะ เป็นรูมเมทของเฉิน มาจากโบโลนีเหมือนหมอนี่”

     

    “ฉันซิ่วหมิน มาจากปาโกส เป็นเพื่อนของเฉินเหมือนกัน”

     

    “ยินดีที่ได้รู้จักนะ ว่าแต่พวกนายกำลังจะไปไหนเหรอ?”

     

    เทาอดถามไม่ได้เมื่อเห็นมือของซิ่วหมินที่จับแขนเฉินไว้ ดูเหมือนว่าทั้งสองจะสนิทกันมากกว่าที่เขาคิด ปกติร่างกายของผู้ล่าจะไม่มีใครอยากแตะต้องนัก ด้วยความเป็นกรดเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่เทาเรียนรู้มาก่อนจะเดินทางมาเป็นเพื่อนร่วมห้องให้เฉิน

     

    “เราจะไปนั่งด้วยกัน ฉันเห็นเฉินนั่งอยู่คนเดียวน่ะ”

     

    “ก็นั่งตรงนี้แหล่ะ ดีออกนะเห็นทั้งห้องเลยด้วย”

     

    “เพื่อนฉันนั่งกันอยู่ตรงนั้นอ่ะ”

     

    มือเรียวชี้ไปที่กลุ่มเพื่อนอีกครั้งเพื่อบอกตำแหน่ง เทามองตามแล้วยิ่งย่นคิ้ว เขามั่นใจว่านิสัยเข้าสังคมกลุ่มใหญ่ แถมมีจุดสนใจระดับห้าดาวแบบอี้ชิงอยู่ ไม่น่าจะเป็นที่ในฝันของร่างโปร่งอย่างแน่นอน ยิ่งมองเลยไปขอคำตอบจากเฉิน เขาก็ยิ่งมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ความสมัครใจแน่นอน เลยอดที่จะแสดงน้ำใจของเพื่อนร่วมห้องไม่ได้

     

    “ตรงนั้นที่คงไม่พอหรอก ถ้าเฉินไปฉันคงต้องนั่งตรงนี้คนเดียวแน่เลย แต่ไม่เป็นไรนะ พวกนายไปเถอะ”

     

    “อ่า นั่นสินะ”

     

    “งั้นนายก็ไม่นั่งกับเพื่อนนายเถอะ เดี๋ยวฉันจะนั่งกับเทาตรงนี้เอง”

     

    “จะดีเหรอ?”

     

    ใบหน้าหวานย่นลงอย่างคิดหนัก เพราะซิ่วหมินคิดว่าเขาอยากรวมเพื่อนให้ได้กลุ่มใหญ่ๆมากกว่า โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าสองหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆแอบยิ้มขอบคุณไปเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายร่างบางก็จำยอมต่อสถานการณ์บังคับ

     

    “เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยมานั่งด้วยกันนะ ฉันจะจองที่เผื่อพวกนายสองคนอย่างแน่นอน”

     

    “ขอบคุณนะ แล้วเจอกัน”

     

    “ฉันไปก่อนนะ เที่ยงก็คงไม่ได้กินข้าวด้วยกันแน่เลย คงได้เจอกันอีกที่พรุ่งนี้”

     

    ร่างโปร่งยักไหล่ให้ทำท่าทางเหมือนคงช่วยไม่ได้ที่ต้องปล่อยให้เป็นแบบนั้น ทั้งที่จริงแล้วเขาอยากจะให้มันเป็นแบนั้นที่สุดเลย เมื่อซิ่วหมินเดินไปนั่งกับเพื่อนของตนเองแล้ว เฉินและเทาก็อดมองหน้ากันแล้วถอนหายใจออกมาไม่ได้

     

    “คิดอะไรอยู่ถึงไปเป็นเพื่อนกับซิ่วหมินน่ะ ดูเหมือนจะเป็นสายจ้อเลยนะ”

     

    “เรื่องบังเอิญน่ะ”

     

    “ยังไง?”

     

    “ฉันดันไปช่วยชีวิตหมอนั่นจากการถูกผู้สิ้นชีพปลิดชีพมาน่ะสิ แล้วก็ต้องทำมางานต่อเลยแบกหมอนั่นไม่ตามล่าด้วย หลังจากนั้นก็เหมือนหมอนั่นจะตามกลิ่นฉันเจอ เลยสลัดไม่ได้เสียทีเนี่ย”

     

    เฉินพูดออกไปอย่างเบื่อหน่าย เขาไม่คิดว่าทุกอย่างเป็นเพราะคำสัญญาของเขาหรอก มันคงเป็นเรื่องบังเอิญที่บังเอิญจนน่าปวดหัวเท่านั้นเอง ร่างสูงฟังเรื่องที่เพื่อนพูดแล้วหลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกสนุก

     

    “นี่อาจเป็นเรื่องของพรหมลิขิต”

     

    “นรกกลั่นแกล้งเสียมากกว่าน่ะสิ พรหมลิขิตไม่ส่งคนแบบนี้มาให้ฉันหรอก”

     

    “ไม่แน่นี่อาจเป็นเนื้อคู่วันจันทร์จรัสของนายก็ได้”

     

    “เนื้อคู่วันจันทร์จรัสอย่างนั้นเหรอ?”

     

    เสียงทุ้มเผลอทวนคำพูดของเทาอย่างลืมตัว ตาคมจ้องมองไปที่ดวงหน้าหวานที่นั่งหัวเราะไปกับกลุ่มเพื่อน แล้วบังเอิญซิ่วหมินก็หันกลับมาโบกมือให้เฉินพอดี เขาจ้องมองภาพนั้นเหมือนไม่ได้สติ จนร่างสูงต้องสะกิดเรียก

     

    “เฮือก!

     

    “สะดุ้งอะไรของนาย อย่าบอกนะว่าหลงรักเขาแล้วจริงๆน่ะ”

     

    “บะ...บ้า ฉันก็แค่คิดเรื่องจะหนีออกไปส่งหัวยัยภูตอสูรในกระเป๋าเท่านั้นแหล่ะ ขืนอยู่ๆก็เดินออกไปคงโดนจับได้พอดี”

     

    “เหรอ โอเคๆฉันเชื่อนายสุดใจเลย หึหึ”

     

                         <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 3.6

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ แอมหายจากการลงไปนานเลย เนื่องจากเคลียร์เวลาเรียนตัวเองไม่ลง แล้วยังมีคอนเฟอเรนอีกด้วย แต่ไม่ต้องห่วงนะคะทุกคนนนนนน หลังจากสอบมิดเทอมแล้วตอนนี้ก็จะมีเวลา ลงมากขึ้นแล้วค่ะ จะรีบไล่ลงให้ก่อนเลยนะคะ^^

     

     

     

     

     

     

                             

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×