คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #49 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป - บทที่ ๕
Title :
The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๕
Author
: พระจันทร์สีทอง
Genre
: Fantasy Romantic Drama
Warnings
: Yaoi – PG 18
Pairing
:
Chen x Minseok
บทที่ ๕
The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป
“กรี๊ด...ด...ด....ด!!!”
เสียงแหลมแผดลั่นแต่หาได้มีใครในละแวกนั้นตื่นขึ้นมาจากนิทรา
อาจเป็นเพราะม่านบังเสียงที่เฉินแอบแผ่ออกไปขณะหมุนแร่นักรบในมือก็เป็นได้
มันทำงานเหมือนเชือกกั้นอาณาเขตของสนามประลอง
“แกกล้าดียังไงมาว่าฉันน่าเกลียด!”
“เพราะถ้าเธอสวย
เธอจะไม่เป็นภูตอสูรไงสาวน้อย”
สิ้นคำถากถางนั้นเนื้อกายของผู้วิเศษก็แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
รอยผุผองผุดขึ้นตามตัวอย่างน่าเกลียด ร่างที่แท้จริงของภูตอสูรค่อยๆเผยออกมา ไม่เหลือเคล้าของเด็กน้อยแสนน่ารักเมื่อครู่สักนิด
“ฟี๊ซ!!!”
แม้แต่เสียงของมนุษย์ก็กลายเป็นภาษาภูตที่แม้แต่ร่างโปร่งก็ไม่เข้าใจ
เขารู้แค่ว่ามันอันตราย และ เขาพลาดไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว
ภูตอสูรนั้นมีพลังเหนือกว่าผู้สิ้นชีพทั่วไป ก็เหมือนกับว่าเป็นผู้สิ้นชีพที่กลายร่างเป็นอสูรเพราะอยู่มานานไม่มีผิด
การสั่งสมพลังจากนอกสุสานจะค่อยๆทำให้ดวงจิตเก่าหยาบช้า
และจุดจบเดียวที่สมควรค่าแก่การกังขังคงไม่มีที่ไหนได้นอกเสียจาก
...สายน้ำแห่งชีวิต...
“โบโลนี โมโนส เซดีโอ ทากีโนเธส”
และเพราะนี่คงเป็นผลงานที่สร้างฟีนได้อย่างมหาสาร
คงไม่ผิดที่เฉินจะต้องคิดถึงสถานภาพการใช้จ่ายเป็นหลัก
ถึงมันจะเป็นการยากที่จะจดข้อมูลของพวกภูตอสูรหัวดื้อก็เถอะ
“ฟี๊ซ!!!”
“อ่า...ทำไงดีเนี่ย
เธอพูดภาษาฟีนูเนียนหน่อยสิ นี่มันยากนะถ้าฉันจะเอาแต่คำว่าฟี๊ซไปส่งขอเงินน่ะ
ถึงจะมีหัวเธอไปเป็นตัวยืนยันก็เถอะ แต่จำนวนเงินมันก็สูญเสียไปเยอะเอาการเลยล่ะ
ตั้งสติแล้วขอภาษาทางการหน่อย”
เสียงทุ้มพูดออกไปเหมือนหัวเสียที่ไม่สามารถสนทนากับเธอได้
ทำให้ภูตสาวฉงนหลงไปตามคำพูดนั้นจนเกือบคืนสภาพ
“ฉะ...ฟี๊ซ...ฉัน!”
“พยายามหน่อย เรามีงานอื่นต้องไปทำกันอีกนะ”
“กะ...แก...ฟี๊ซ...พูดจะ...จา!”
“เฮ้อ~ มันยากนักรึไงแค่พยายามมีน้ำใจน่ะ”
“ฟี๊ซ!!!”
ในที่สุดความพยายามก็เป็นได้แค่ความพยายาม
เมื่อภูตสาวได้สติคืนสู่ร่างอสูรอีกครั้ง
เฉินถดขาถอยออกมาจากเธอเพียงก้าวเพื่อตั้งหลัก
เขาพยายามจะเป็นมิตรกับผู้สิ้นชีพทุกตนให้ถึงที่สุดเสมอ
แต่เสื้อคลุมของเขามันคงยาวไม่พอจะปิดคมเคียว ซ่อมมันจากดวงตาอสูรร้ายตรงหน้า
“แก...ไม่เป็นมิตร ฟี๊ซ!!!”
ปีกใหญ่กางสยายออกจากแผ่นหลังของภูตสาว
ก่อนจะพุ่งตรงไปยังร่างโปร่งที่อยู่ตรงหน้า
คมเล็กที่งอกออกมาจิกลงกับผ้าคลุมลากยาวไปเกือบจะเปิดออก แต่เพราะเฉินไวกว่าจึงยังสามารถคว้าฮู๊ทก่อนที่จะเปิดขึ้นได้
“มันจะมากไปแล้วนะยัยอสูรต่ำช้า”
“ฟี๊ซ!!!”
เพราะคำพูดดูถูกเหล่านั้นยิ่งทำให้ดวงจิตแสนโกรธชังเฉินยิ่งกว่าเดิม
ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร แต่เพราะเฉินรู้ดีว่าเมื่อคนเราโกรธการควบคุมสติก็ยิ่งน้อยลงทุกที
เราก็แค่จะทำอะไรสักอย่างเพื่อปลดปล่อยความโกรธนั้นออกไป
และนั่นคือความลับที่ทำให้เขาสามารถล่าเหล่าวิญญาณร้ายได้ดีกว่าคนอื่น
แต่สำหรับภูตอสูรที่หลบหนีมาได้กว่าครึ่งชีวิตของเขานั้น เขาก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะทำอะไรได้บ้าง
ถึงยังไม่อาจวางใจลงมือได้เสียทันที
“เธอทำได้แค่นี้เหรอ อยู่มาได้เป็นสี่สิบปี
เธอทำได้แค่นี้เองเหรอ?”
“ฟี๊ซ!!!”
กรงเล็บที่เตรียมลงคมใส่ร่างโปร่งกลายเป็นเปลวเพลิง
บอกให้รู้ว่าแท้จริงแล้วเธอคงเป็นคนของเผ่าโฟเธียก่อนสิ้นชีพ แถมคงสิ้นชีพตั้งแต่อายุยังน้อยเสียด้วย
ถึงได้ยึดติดกับร่างกายของเด็กสาวน่ารักเช่นนั้น
“เป็นโฟเธียเหรอ? ดีเลย
วันนี้ฉันพาเพื่อนชาวโฟเธียมาให้เธอได้รู้จัก”
เฉินไม่พูดเปล่า
เขาหันหน้าทั้งที่โดนคร่อมอยู่มาหาคริสที่กำลังยืนอึ้ง
จับแร่นักรบที่เป็นดาบยาวไว้ไม่ไหวติง เขารู้ว่าถึงมองไปตรงๆตอนนี้ร่างสง่าก็คงไม่เห็นใบหน้าของเขาแน่
ก็แถวนี้มันมืดเสียขนาดผู้วิเศษสักตนยังไม่กล้าออกมาเดินยามค่ำคืนเช่นนี้
“ทักทายชาวโฟเธียด้วยกันหน่อยสิ”
“เหอะ!”
“ฟี๊ซ!!!”
“อะไร? เธอไม่ชอบเขาอย่างนั้นเหรอ
ถึงเขาจะเย่อหยิ่งแต่ก็หล่อใช้ได้นะ”
“ไอ้เด็กสกปรก ฟี๊ซ!!!”
ร่างสง่าที่ตั้งใจจะไม่ยุ่งตั้งแต่แรก
เพราะเห็นว่าไม่ใช่ธุระอะไรที่เขาต้องช่วยคนอื่นหาเงิน
แต่เมื่อถูกภูตอสูรเอ่ยออกมาพร้อมเสียงคำรามเยาะเย้ยนั้น
ก็ถึงกับต้องเดินเข้าไปหาง้างคมดาบพร้อมฟาดฟัน
“แกพูดอะไร!!!”
“เฮียยะฮะฮ่า!!! ฟี๊ซ!!!”
เสียงแหลมแผดหัวเราะราวอสูรร้ายจากขุมนรกดังลั่นอย่างสะใจ
พร้อมกางปีกทะยานขึ้นเหนือทั้งสองร่าง ชายตาลงมองเด็กหนุ่มทั้งสองด้วยความสมเพช
ที่คนหนึ่งเป็นเพียงผู้วิเศษครึ่งสิ้นชีพ
ส่วนอีกคนก็เป็นผู้วิเศษสายเลือดเทวาต้องคำสาป
ฟึด!!!
คมดาบของคริสเฉียดใบหน้าคมของร่างโปร่งไปเพียงนิดเท่านั้น
แต่เขาไม่ได้สนใจสักนิดว่าใครจะเป็นจะตาย
เขาก็แค่อยากจะปิดปากภูตอสูรนั้นให้สิ้นลาย
ให้รู้จักเสียบ้างว่าสายเลือดเทวานั้นเป็นเช่นไร
“นังอสูรต่ำช้า ลงมาเดี๋ยวนี้นะ!!!”
“แกก็มีปีกนิเจ้าหนุ่ม
หรือว่าปีกต้องสาปนั้นมันสวยสู้ปีกอสูรของข้าไม่ได้”
“แก!!!”
ร่างสง่าทำท่าจะกลายร่างเป็นฟีนิกส์
หากแต่เฉินที่เหมือนอ่านคำพูดเหล่านั้นขาดตั้งแต่ประโยคแรกกลับห้ามไว้เสียก่อน
เขาไม่แน่ใจนักว่าผิวหนังแห่งผู้ล่าคู่ควรแก่การแตะต้องกายศักดิ์สิทธิ์ของคริสมั้ย
หากแต่เขาจะไม่ปล่อยให้ประวัติของเทพเจ้าแห่งฟีนูคอนต้องมัวหมอง เพราะสายเลือดเทวาที่ไม่ทันยั้งคิด
“อยู่ตรงนี้ อย่าช่วยถ้าฉันไม่ได้ของให้ช่วย
อย่าทำเรื่องที่ไม่คุ้มเสียไปหน่อยเลยน่า นายยังถูกคำสั่งให้ทำงานช่วยฉัน
เพราะฉะนั้นฟังคำสั่งฉัน”
“ชิ!!!”
“ฉันทำเพื่อตัวนายทั้งนั้น
อย่ามาทำเจ้าอารมณ์กับฉัน”
เฉินกล่าวปรามตามประสาคนที่มีประสบการณ์การทำงานมากกว่า
ก่อนจะใช้ความไวที่แม้จะไม่ไวเท่าสายเลือดเทวาแห่งลม
แต่ก็คือลูกของสายฟ้าผู้ทรงฤทธิ์ไม่น้อยกว่ากัน ปีนป่ายขึ้นไปตามกิ่งไม้ และ
ใช้ความไว้ของช่วงกระโดดจับขาของอสูรสาวที่ไม่คิดว่าเขาจะสามารถจับตัวเธอได้
กระชากร่างนั้นลงแทบพื้นไม่ไกลจากจุดเดิมนัก
“ฟี๊ซ!!!”
“หยุดแหกปากใส่ฉันสักที
รู้มั้ยว่ามันทำฉันเสียสมาธิมากแค่ไหน แกควรจะให้ความร่วมมือกับฉันตั้งแต่แรกนะ”
“ฟี๊ซ!!!”
“อ๊าก...ก...ก!!!”
ร่างโปร่งไปอาจทนกับเสียงที่แผดลั่นนั้นได้
เขาสุดทนที่จะมองท่าทางแสนหยาบคายนี้จึงใช้เคียวคมที่สองมือ กรีดผ่านแขนทั้งสองข้างให้ขาดออกจากร่าง
แล้ววาดแขนตัดผ่านกันจนร่างนั้นขาดเป็นของท่อน
สิ่งที่เขาต้องการเอาไปขึ้นเงินก็แค่หัวของหล่อนเท่านั้น
ส่วนอื่นเขาก็จัดการลากมารวมกัน
แล้วหันไปมองร่างสง่าที่ดูเหมือนความแค้นยังไม่จางหายไปสักนิด
“งานที่เหลือนายก็พอช่วยได้ อยากแก้แค้นคนที่เปิดโปงความลับหน่อยมั้ยล่ะ”
“หึ”
คริสไม่เอ่ยอะไรออกมานอกจากการแค่นหัวเราะเพียงครั้งเดียว
ฝ่ามือแกร่งผายออกสู่กองร่างของภูตอสูรตัวร้าย
ก่อนจะเผาร่างนั้นทั้งที่ไม่ต้องเอ่ยร่ายสิ่งใด
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ชาวโฟเธียทุกคนจะทำได้ คริสก็แค่ยืนยันให้เฉินเห็นว่าแม่อสูรสาวนั้นพูดความจริง
ที่ว่าเขาก็คืออสูรในร่างผู้วิเศษเท่านั้น
“น่าสมเพช!”
“แม่นั่นเหรอ
เธอสมควรจะพบจุดจบแบบนี้แล้วจริงๆ”
“แล้วนายจะเก็บหัวทุเรศนั้นไว้ทำไม
ยิ่งมองฉันยิ่งขยะแขยง”
“ฉันก็ต้องทำมาหากินนี่หว่า”
ร่างโปร่งยักไหล่ให้อย่างไม่สนใจคำพูดนั้น
ก่อนจะเก็บมันลงกระสอบที่เขาพกมาด้วยประจำ
เผื่อว่าเขาไม่สามารถตีทะเบียนผู้สิ้นชีพที่เขาล่าได้
เฉินทำท่าจะเดินทางกลับไปที่สุสานเหมือนอย่างเคย
แต่ก็ติดที่มือแกร่งมาจับไหล่เขาไว้เสียก่อน
“อะไรอีกล่ะ นายจะไม่กลับเหรอ?”
“ไม่ใช่ ฉันต้องคุยกับนายให้รู้เรื่อง”
“ถ้าเป็นเรื่องสายเลือดเทวา
ฉันก็ไม่ได้คิดจะวุ่นวาย”
“ไม่ใช่แค่ไม่วุ่นวาย
นายต้องไม่มีทางพูดมันต่อ เด็ดขาด!”
“นายมีสิทธิ์อะไรมาสั่งฉัน
อย่าลืมว่าฉันเนี่ยแหล่ะคนที่กุมความลับนายอยู่
แต่นายไม่มีความลับอะไรของฉันอยู่เลยสักนิด”
“ฉันก็รู้ว่านายคือใครเหมือนกัน”
ร่างโปร่งแค่นยิ้มเยาะกลับภายใต้ผ้าคลุม
เขารู้ว่าคริสไม่มีทางเห็นใบหน้าของเขาแน่นอน
แต่เขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าร่างสง่านี้จะมาไม้ไหนกับเขากันแน่
“แล้วฉันเป็นใครล่ะ”
“นายเหรอ ก็ใครสักคนที่เป็นชาวเผ่าโบโลนี
ที่บังเอิญเจ็บแขนพรุ่งนี้พอดีไง”
สุดท้ายเฉินก็ยอมต่อสิ่งที่คริสกล่าวออกมา
มันก็จริงอย่างที่ร่างสง่าบอก อย่างดีเขาก็แค่สามารถทำให้เหมือนเขาไม่เจ็บได้
แต่ถามว่าเขาจะทำให้รอยแผลที่โดนกงเล็บนั้นจิกหายไปได้เหรอ
คำตอบคือไม่มีทางอย่างแน่นอน
“คิดว่าการที่คนอื่นรู้แล้วฉันเดือดร้อนมั้ย”
“ก็น่าจะเดือดร้อนไม่ต่างกับฉันเท่าไรหรอก”
“คิดถูกนิ แล้วจะเอายังไง
ในเมื่อฉันก็รับปากไปแล้วไง”
“ความลับนายต่อความลับฉัน”
“เหอะ
อย่าคิดจะเขียนพันธะสัญญาโง่เง่ากับฉันเลยน่ะ
ฉันเป็นผู้สิ้นชีพไปแล้วครึ่งของครึ่งชีวิต ฉันไม่มีอะไรจะมาผูกสัญญาตายกับนายหรอกนะ”
“ก็ดวงจิตอีกครึ่งของนายไง...”
ตาคมจ้องมองผ่านความเลือดเย็นของสายเลือดเทวาแห่งโฟเธีย
ที่คิดจะให้เขาเอาดวงจิตอีกครึ่งที่เหลืออยู่ไปผูกพันธะ
นั้นเสมือนให้เขาเป็นทาสแห่งความตายสิ้นแล้วกับลมหายใจ
ร่างสง่าคงไม่รู้ว่าการมีร่างกายของตนเองเป็นของตนเองเพียงครึ่งมันทรมานมากแค่ไหน
...มันเจ็บที่เราเป็นในสิ่งที่อยากเป็นไม่ได้...
“อย่าพูดจาไร้สาระ เก็บความไม่ไว้ใจ
ไปใช้กับพวกโฟเธียไร้สัจจะเถอะ”
“เหอะ!
แล้วนายคิดว่าฉันจะเอาอะไรมาไว้ใจนายได้”
“พวกเราชาวเผ่าโบโลนีถือสัจจะยิ่งกว่าสิ่งใด
เราไม่ฆ่าแกงพี่น้องกันเองหรอก”
“นั่นสินะ
พวกฉลาดแกลมโกงก็ดีแต่ยืมมือคนอื่นฆ่าผู้บริสุทธิ์”
“ถ้าท่านบริสุทธิ์ ความจริงจะปกป้องท่านเอง”
“เทพีโฟเธียบริสุทธิ์”
“พิสูจน์สิ”
เสียงทุ้มเอ่ยอย่างถือดีอย่างสุดทนไม่แพ้กัน
ก่อนจะหนีกลับไปที่สุสานเพื่อตัดปัญหา แต่ปัญหาก็คือปัญหาถึงหนีได้มันก็จะกลับมาอยู่ดี
เหมือนที่คริสกำลังนั่งทำหน้ากวนประสาทอยู่ที่ตรงข้ามเขานี่ไง
“นายจะนั่งมองหน้าฉันอีกนานมั้ย
ไม่นอนเอาแรงรึไง”
“นอน? ที่ไหน? ในสุสานเนี่ยนะ
ฉันยังไม่สิ้นชีพนะ”
“เฮ้อ~ ก็แล้วแต่จะคิดแล้วกัน”
เฉินถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับร่างสง่าตรงหน้า
เขาเองก็แสนจะเบื่อที่ต้องมานั่งเถียงกับคริสเหมือนกัน
นี่เพียงคืนแรกเขาก็แทบจะบ้าแล้ว
ไม่อยากจะคิดถึงวันต่อๆไปอีกเป็นอาทิตย์ข้างหน้าเลย ขายาวหยัดยืนเตรียมหนีอีกครั้ง
แต่ร่างสง่าก็ลุกขึ้นไม่ยอมปล่อยเขาง่ายๆเช่นกัน
“จะไปไหน?”
“ไปตรวจความเรียบร้อย
ใกล้ถึงเวลาตะวันขึ้นแล้ว”
“หน้าที่ของนายมันจะเยอะไปแล้วมั้ง?”
“ถ้านายไม่อยากช่วย ก็นั่งเงียบๆไปเถอะน่า
มากเรื่องจริง”
ตาคมอดค้อนคว่ำใส่คริสที่เอาแต่พูดมากไม่หยุด
ทั้งที่ไม่ได้ช่วยงานอะไรเขาได้เลยสักนิด ไม่อยากจะพูดออกไปว่าความสามารถในการใช้แร่นักรบระดับตำนานของฟีนูคอน
เมื่อเทียบกับฝีมือที่ฝึกมาอย่างดีของผู้ล่าแล้วนั้น
...ถือว่าเป็นได้แค่มวยรองเท่านั้น...
“งั้นฉันกลับเลยได้มั้ย”
“เอาที่สบายใจเลย”
“ดี”
มันต้องดีอยู่แล้วที่สามารถเขี่ยร่างสง่าออกไปได้สำหรับร่างโปร่ง
เขารอเวลาที่จะวิ่งหายไปตามส่วนต่างๆของสุสานตามลำพังไม่ไหว
การทำงานโดยมีคริสห้อยตามมันน่าอึดอัดพิลึก
แถมเขายังต้องทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
เมื่อร่างสง่านั้นหลบไปกลายร่างเป็นนกไฟในตำนาน
ไม่รู้จะตื่นเต้นหรือกังวลกับสิ่งที่เห็นดี
“มันตลกดีนะ”
“แต่มันตลกได้มากกว่านี้แน่นอนถ้านายผสมรากระเบิดน้ำแข็งเป็น”
บทสนทนาที่แสนร่าเริงดังขึ้นมาในโสตประสาทที่กำลังสงบนิ่ง
ตาคมที่มักสอดส่องไปทั่วแสร้งปิดสนิท ราวกับว่าเจ้าของมันกำลังง่วงเสียเต็มประดา
ทั้งที่จริงแล้วดวงจิตเขามันไม่รู้จักการหลับใหลมาแสนนานแล้ว
“หือ?...นายไปนั่งก่อนเลย
เดี๋ยวฉันไปนั่งกับพวกเซฮุนน่ะ”
“อ่า แล้วเจอกันที่ห้องนะซิ่วหมิน”
“แล้วเจอกัน”
ขาเล็กตรงเข้าไปหาคนที่แกล้งหลับอยู่ทันทีที่แยกจากเพื่อน
ร่างบางไม่รู้เลยว่าทำไมเขาต้องทักทายคนตรงหน้าเสมอ
ทั้งที่เฉินก็ไม่มีท่าทีอยากจะเป็นเพื่อนกับเขาสักนิด แต่ก็เพราะแบบนี้ไงซิ่วหมินถึงทิ้งเฉินไม่ได้
...เขาเป็นเพื่อนคนเดียวของเฉินเชียวนะ...
“นี่หลับอยู่รึเปล่า?”
เสียงหวานเอ่ยถามอย่างมีมารยาท
เรียกให้ร่างโปร่งจำต้องลืมตามามองคนถามอย่างเสียไม่ได้
เฉินมองไปรอบๆราวกับเพิ่งได้สติจริงๆ
แต่ส่วนหนึ่งคงเพราะเขาไม่อยากจะมองใบหน้ายิ้มแย้มของคนตรงหน้า
...คนอะไรมีความสุขจนน่าหมั่นไส้...
“อรุณสวัสดิ์”
“อรุณสวัสดิ์”
“ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวล่ะ
ไปนั่งด้วยกันกับเพื่อนฉันสิ”
“เพื่อนนายเหรอ?”
ตาคมทวนคำแล้วมองตามนิ้วของซิ่วหมินที่ยกขึ้นชี้ไปทางกลุ่มเพื่อนของตนเอง
ที่นั่งรวมกันอยู่แถวๆกลางห้อง
ในขณะที่เขเลือกจะนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งสุดหลังห้องพอดี
“ไปสิ เพื่อนเราน่ารักนะ”
“ไม่เป็นไร”
จริงๆความหมายนั้นไม่ได้ซ่อนความเกรงใจไว้สักนิด
ร่างโปร่งก็แค่ไม่อยากเอาตัวเองเข้าไปยุ่งกับพวกตัวป่วนเพิ่มเท่านั้น
แค่มีซิ่วหมินคนเดียวเขาก็รำคาญจะแย่แล้ว
“นั่งคนเดียวมันเหงาออก
เพื่อนในกลุ่มฉันเรียนเก่งกันทุกคนเลยนะ ยกเว้นก็แต่ฉันเนี่ยแหล่ะ
เผื่อนายเรียนไม่รู้เรื่องไง”
เฉินมองไปที่กลุ่มเพื่อนของซิ่วหมินอีกครั้ง
ไม่ได้อยากจะดูถูกหรือหาศัตรู แต่เท่าที่ดูแล้วกลุ่มของร่างบางนั้น
ไม่น่าจะใกล้เคียงคำว่าฉลาดเลยสักคน
จะมีก็แค่อฟาไตรร่างเล็กที่นั่งอยู่ด้วยในกลุ่ม
ที่เขาพอจำได้ว่าเป็นนักอ่านที่มีชื่อเสียงมากเท่านั้นที่ดูเข้าทาง
“ฉันคิดว่าเรียนด้วยตัวเองได้นะ
ไม่น่าจะเหนือบ่ากว่าแรง ขอไม่รบกวน”
“รบกวนอะไรกันล่ะ เพื่อนกันทั้งนั้นแหล่ะ
ไปนะ”
...พูดคนละภาษาอยู่รึไง ก็บอกว่าไม่ไปไง!...
เสียงทุ้มคร่ำครวญอยู่ในใจ
แต่ก็ไม่รู้จะเบี่ยงไปทางไหนได้อีก แต่เหมือนเทพเจ้าได้ยินเสียงคร่ำครวญในใจ
ถึงได้ส่งเทาที่เดินสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่นเข้ามาขวางเขาไว้ก่อน
จนซิ่วหมินยังชะงักหยุดด้วยความสงสัยไม่ต่างกัน
ร่างสูงโผล่มาถึงก็ทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างร่างบาง แล้วทำท่าจะนอนต่อไปในทันที
“จะมาจองที่ก่อนทำไมไม่บอกกันบ้างวะ
ฉันเลยตื่นสายเลยไง”
“หือ?!”
“เอ้า? นายเป็นใครอ่ะ ฉันกำลังถามเฉินอยู่”
ร่างสูงที่เงยหน้าขึ้นมาเจอกับใบหน้าสงสัยของซิ่วหมินก็แปลกใจไม่แพ้กัน
เขาไม่ทันมองว่าเพื่อนร่วมห้องของเขามีแขกอยู่เช่นเดียวกัน
แต่เทาก็เป็นมิตรพอที่จะไม่แสดงกิริยาหยาบคายใส่ร่างบาง
รอยยิ้มเจ้าเสน่ห์ถูกส่งไปให้ก่อนคำทักทาย
“ฉันเทานะ เป็นรูมเมทของเฉิน มาจากโบโลนีเหมือนหมอนี่”
“ฉันซิ่วหมิน มาจากปาโกส
เป็นเพื่อนของเฉินเหมือนกัน”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ
ว่าแต่พวกนายกำลังจะไปไหนเหรอ?”
เทาอดถามไม่ได้เมื่อเห็นมือของซิ่วหมินที่จับแขนเฉินไว้
ดูเหมือนว่าทั้งสองจะสนิทกันมากกว่าที่เขาคิด
ปกติร่างกายของผู้ล่าจะไม่มีใครอยากแตะต้องนัก
ด้วยความเป็นกรดเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านตลอดเวลา
นั่นคือสิ่งที่เทาเรียนรู้มาก่อนจะเดินทางมาเป็นเพื่อนร่วมห้องให้เฉิน
“เราจะไปนั่งด้วยกัน
ฉันเห็นเฉินนั่งอยู่คนเดียวน่ะ”
“ก็นั่งตรงนี้แหล่ะ
ดีออกนะเห็นทั้งห้องเลยด้วย”
“เพื่อนฉันนั่งกันอยู่ตรงนั้นอ่ะ”
มือเรียวชี้ไปที่กลุ่มเพื่อนอีกครั้งเพื่อบอกตำแหน่ง
เทามองตามแล้วยิ่งย่นคิ้ว เขามั่นใจว่านิสัยเข้าสังคมกลุ่มใหญ่
แถมมีจุดสนใจระดับห้าดาวแบบอี้ชิงอยู่
ไม่น่าจะเป็นที่ในฝันของร่างโปร่งอย่างแน่นอน ยิ่งมองเลยไปขอคำตอบจากเฉิน เขาก็ยิ่งมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ความสมัครใจแน่นอน
เลยอดที่จะแสดงน้ำใจของเพื่อนร่วมห้องไม่ได้
“ตรงนั้นที่คงไม่พอหรอก
ถ้าเฉินไปฉันคงต้องนั่งตรงนี้คนเดียวแน่เลย แต่ไม่เป็นไรนะ พวกนายไปเถอะ”
“อ่า นั่นสินะ”
“งั้นนายก็ไม่นั่งกับเพื่อนนายเถอะ
เดี๋ยวฉันจะนั่งกับเทาตรงนี้เอง”
“จะดีเหรอ?”
ใบหน้าหวานย่นลงอย่างคิดหนัก
เพราะซิ่วหมินคิดว่าเขาอยากรวมเพื่อนให้ได้กลุ่มใหญ่ๆมากกว่า
โดยไม่ได้สังเกตเลยว่าสองหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆแอบยิ้มขอบคุณไปเรียบร้อยแล้ว
สุดท้ายร่างบางก็จำยอมต่อสถานการณ์บังคับ
“เอาไว้พรุ่งนี้เราค่อยมานั่งด้วยกันนะ
ฉันจะจองที่เผื่อพวกนายสองคนอย่างแน่นอน”
“ขอบคุณนะ แล้วเจอกัน”
“ฉันไปก่อนนะ
เที่ยงก็คงไม่ได้กินข้าวด้วยกันแน่เลย คงได้เจอกันอีกที่พรุ่งนี้”
ร่างโปร่งยักไหล่ให้ทำท่าทางเหมือนคงช่วยไม่ได้ที่ต้องปล่อยให้เป็นแบบนั้น
ทั้งที่จริงแล้วเขาอยากจะให้มันเป็นแบนั้นที่สุดเลย
เมื่อซิ่วหมินเดินไปนั่งกับเพื่อนของตนเองแล้ว
เฉินและเทาก็อดมองหน้ากันแล้วถอนหายใจออกมาไม่ได้
“คิดอะไรอยู่ถึงไปเป็นเพื่อนกับซิ่วหมินน่ะ
ดูเหมือนจะเป็นสายจ้อเลยนะ”
“เรื่องบังเอิญน่ะ”
“ยังไง?”
“ฉันดันไปช่วยชีวิตหมอนั่นจากการถูกผู้สิ้นชีพปลิดชีพมาน่ะสิ
แล้วก็ต้องทำมางานต่อเลยแบกหมอนั่นไม่ตามล่าด้วย
หลังจากนั้นก็เหมือนหมอนั่นจะตามกลิ่นฉันเจอ เลยสลัดไม่ได้เสียทีเนี่ย”
เฉินพูดออกไปอย่างเบื่อหน่าย
เขาไม่คิดว่าทุกอย่างเป็นเพราะคำสัญญาของเขาหรอก
มันคงเป็นเรื่องบังเอิญที่บังเอิญจนน่าปวดหัวเท่านั้นเอง ร่างสูงฟังเรื่องที่เพื่อนพูดแล้วหลุดหัวเราะออกมาอย่างนึกสนุก
“นี่อาจเป็นเรื่องของพรหมลิขิต”
“นรกกลั่นแกล้งเสียมากกว่าน่ะสิ
พรหมลิขิตไม่ส่งคนแบบนี้มาให้ฉันหรอก”
“ไม่แน่นี่อาจเป็นเนื้อคู่วันจันทร์จรัสของนายก็ได้”
“เนื้อคู่วันจันทร์จรัสอย่างนั้นเหรอ?”
เสียงทุ้มเผลอทวนคำพูดของเทาอย่างลืมตัว
ตาคมจ้องมองไปที่ดวงหน้าหวานที่นั่งหัวเราะไปกับกลุ่มเพื่อน
แล้วบังเอิญซิ่วหมินก็หันกลับมาโบกมือให้เฉินพอดี
เขาจ้องมองภาพนั้นเหมือนไม่ได้สติ จนร่างสูงต้องสะกิดเรียก
“เฮือก!”
“สะดุ้งอะไรของนาย
อย่าบอกนะว่าหลงรักเขาแล้วจริงๆน่ะ”
“บะ...บ้า
ฉันก็แค่คิดเรื่องจะหนีออกไปส่งหัวยัยภูตอสูรในกระเป๋าเท่านั้นแหล่ะ
ขืนอยู่ๆก็เดินออกไปคงโดนจับได้พอดี”
“เหรอ โอเคๆฉันเชื่อนายสุดใจเลย หึหึ”
<<<
The Phonucorn…อัสนีสาป >>>
The
Phonucorn – Chapter 3.6
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
ขอบคุณทุกกำลังใจนะคะ แอมหายจากการลงไปนานเลย
เนื่องจากเคลียร์เวลาเรียนตัวเองไม่ลง แล้วยังมีคอนเฟอเรนอีกด้วย
แต่ไม่ต้องห่วงนะคะทุกคนนนนนน หลังจากสอบมิดเทอมแล้วตอนนี้ก็จะมีเวลา
ลงมากขึ้นแล้วค่ะ จะรีบไล่ลงให้ก่อนเลยนะคะ^^
ความคิดเห็น