ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #47 : The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป - บทที่ ๓

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 330
      1
      15 ม.ค. 59

     

    Title : The Phonucorn อัสนีสาป – บทที่ ๓

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Jongdae x Minseok

     

     

    บทที่ ๓

    The Phonucorn ฟีนูคอน : อัสนีสาป

     

     

     

     

     

    ครืด...ครืด...ครืด

     

    เสียงสัญญาณติดต่อดังก้องทั่วโสตประสาท ปลุกให้ร่างบางที่นอนเกือบเช้า ต้องตื่นขึ้นมารับสายอย่างช่วยไม่ได้

     

    “พาราลิเทส...ว่าไง”

     

    เสียงหวานเอ่ยถามอย่างงัวเงีย ก่อนจะหยัดกายขึ้นกึ่งนั่งกึ่งนอนกับหัวเตียง โดยไม่สามารถลืมตาได้เต็มตาเสียด้วยซ้ำ แต่ก็พอจะมองออกว่าคนที่ปรากฏเป็นภาพอยู่อีกเมืองหนึ่ง ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเซฮุนเพื่อนรักของเขา

     

    ( ทำยังกับเพิ่งตื่นได้ นี่มันสายโด่งแล้วนะ )

     

    ...ก็คนเพิ่งตื่นจริงๆนี่วะ?!...

     

    ซิ่วหมินคิดเถียงออกไปในใจ ไม่อยากจะถามกลับไปว่าไม่มีตาเหรอไง ถึงไม่เห็นสภาพหัวฟู เสื้อเหี่ยว คราบน้ำลายย้อยที่มุมปากของเขา แต่พอมองออกไปที่นอกหน้าต่าง ความสว่างที่เห็น ก็ก่อให้เกิดความละอายอย่างช่วยไมได้

     

    “นายมีอะไรก็พูดมาสักทีเถอะน่า”

     

    ( แค่จะโทรมาถามว่าแกจะไปกี่โมง )

     

    “ไปไหน?”

     

    ( อย่ามาทำเป็นสมองช้า พรุ่งนี้วันเปิดเทอมแรกของมหาวิทยาลัยไง )

     

    ...จริงด้วย!!!...

     

    ร่างบางเหมือนคนเพิ่งได้สติ พรุ่งนี้เขาก็กำลังจะเปิดเทอมแล้ว อาจจะมีข้าวของให้ต้องเตรียมมากมายก็จริง แต่อย่างไรเสียมารดาก็คงจัดการให้เขาหมดอยู่แล้ว ในหัวเลยมีแต่เรื่องของผู้ล่าคนนั้น เขาจะไปจากปาโกสได้ยังไงในเมื่อยังไม่รู้ตัวตนของผู้ล่าคนนั้นเลย

     

    “ทำยังไงดีวะ?!

     

    เสียงหวานสบถออกไปอย่างหัวเสีย ลืมไปเสียสนิทว่าเพื่อนรักยังคงรอคำตอบอยู่ที่ปลายสาย จ้องมองสภาพแดดิ้นของเขาด้วยความอนาถใจปนสงสัยอยู่

     

    “ทำยังไงดี!

     

    ( อะไรของแก ถ้ายังไม่เก็บเสื้อผ้า ก็รีบไปเก็บสิ )

     

    เซฮุนเสนอทางออกที่เขาก็ไม่เข้าใจว่ามันยากตรงไหนให้แก่ซิ่วหมิน และ ถึงแม้มันจะไม่มีความเกี่ยวข้องกันทางด้านเรื่องราว แต่มันก็ทำให้ร่างบางคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง

     

    ...ใช่! ก็ไปหาเสียตอนนี้เลยสิ...

     

    “นั่นสินะ งั้นฉันไปละ”

     

    ร่างบางสวมเสื้อโค๊ททับชุดนอน แล้ววิ่งตึงตังออกจากบ้านไปอย่างรีบร้อน มุ่งตรงไปในที่ที่เขาเองก็ไม่ได้ปลื้มอะไรมากมาย เรียกว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามของเหล่าผู้วิเศษเลยก็ว่าได้ ละอองแห่งความโศกเศร้าที่อบอวลอยู่รอบๆสุสาน คือสิ่งที่เหล่าผู้วิเศษขยะแขยงที่สุด หากเป็นเมื่อก่อนซิ่วหมินก็คงคิดไม่ต่างกัน มันช่างหน้าหดหู่เมื่อออกมาจากที่นั่น แต่นับจากเมื่อวานที่เขาได้แอบเข้าไปแล้ว มันก็ไม่ใช่ที่ๆเลวร้ายสักเท่าไรหรอก

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    “โอ๊ะ?!

     

    เสียงร้องของผู้สิ้นชีพนามอากอร์สดังขึ้น ขณะลอยผ่านหน้าทางเข้าสุสาน แล้วเห็นร่างบางวิ่งมาแต่ไกล ด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ ยิ่งพอเห็นเขายืนรอคิดบัญชีที่เมื่อคืนโยนความผิดมาให้ ตาเรียวยิ่งเบิกกว้างกว่าเก่า

     

    “ว่าไงล่ะเจ้าหนู เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย?”

     

    “คะ...ครับ”

     

    “แต่รู้มั้ยว่าเจ้าทำให้ข้าโดนเด็กนั่นสวดตั้งค่อนคืน!

     

    “ขะ...ขอโทษนะครับ”

     

    “ขอโทษแล้วมันทำให้ข้าได้เวลาที่ทนฟังเจ้านั่นบ่นไปได้รึไง!

     

    “ผมรู้ว่ามันช่วยไม่ได้ แต่ขอละนะครับ ช่วยผมอีกสักครั้งสิ”

     

    อากอร์สอ้าปากค้างใส่ร่างบางที่กำลังยืนออดอ้อน หวังจะให้เขาช่วยทำความผิดอีกครั้ง แต่เมื่อคืนเฉินบอกเขาไว้แล้วว่าถ้าทำซ้ำอีก จะส่งเรื่องขอล้างป่าชา แล้ววิญญาณของอากอร์สคงเป็นวิญญาณแรกๆ ที่จะถูกส่งไปยังสายน้ำแห่งชีวิต อยู่มาถึงตอนนี้วิญญาณเขาไม่ได้กลัวการสิ้นชีพแม้แต่น้อย แต่ที่กลัวคือการไม่มีอิสระต่างหากล่ะ

     

    “จะให้ข้าช่วยเจ้าอีกน่ะเหรอ ต่อให้ได้พรคืนชีพข้าก็ไม่ทำหรอก”

     

    “โถ่...แต่ผมมีเรื่องสำคัญต้องพบเขาจริงๆนะครับ”

     

    “อย่าผิดสัญญากับเขาน่ะ พวกผู้ล่าถึงจะพอพูดเล่นได้อยู่บ้าง แต่ก็ไม่เสมอไปหรอกนะ”

     

    “ผมมีเรื่องสำคัญจริงๆนะครับ ไม่เคยคิดจะล้อเล่น”

     

    “เรื่องสำคัญอะไรล่ะ เผื่อจะพอช่วยได้”

     

    “ผมอยากขอบคุณเขา อยากผูกมิตรน่ะ”

     

    “เหอะ! เจ้าคงเป็นผู้วิเศษที่ไม่ได้รับการอบรมมาก่อนเลยสินะ เคยเปิดอ่านคัมภีร์แห่งปาโกสมั้ย ว่าพวกที่วุ่นวายกับเหล่าผู้ล่าจะมีจุดจบเช่นไร มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกนะที่มีเพื่อนเป็นผู้ล่าน่ะ ถึงข้าจะอยากให้เด็กนั่นมีเพื่อนบ้างก็ตาม”

     

    ซิ่วหมินที่ตอนแรกเหมือนจะสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่ออากอร์สเองก็ยังมีท่าทางคิดไม่ตก ร่างบางจึงลองแสร้งทำหน้าเศร้าขอความเห็นใจต่อ

     

    “เขาคงเหงามากเลยที่ไม่มีเพื่อนนะครับ”

     

    “ก็...ทำนองนั้นมั้ง เด็กนั่นดูแลพวกเราดีมากเลยล่ะ ดีเสียจนข้ายังอดที่จะสงสารไม่ได้ เลยต้องคอยกวนเขาให้ได้หัวเราะตลอดเวลา”

     

    “แต่ถึงอย่างนั้นคงไม่ได้ทำให้เขามีความสุขสักเท่าไรสินะครับ”

     

    “ก็...คงใช้ ข้ามันเป็นแค่วิญญาณนินะ”

     

    “แต่ผมไม่ใช่นะครับ! ผมเป็นเพื่อนเขาได้จริงๆ เพื่อนที่เขาสามารถไปนั่งพูดเล่นที่บ้านได้ไงละ”

     

    ชั่ววูบหนึ่งที่อากอร์สเกือบหลงผิดให้ความช่วยเหลือร่างบาง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นขัดเสียก่อน จนซิ่วหมินอดหัวเสียที่ผิดแผนไม่ได้

     

    “อากอร์ส ทำอะไรอยู่น่ะ!!!

     

    “ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว”

     

    สิ้นคำผู้สิ้นชีพแสนเจ้าเล่ห์นั้นก็รีบหายไปเหลือเพียงธาตุอากาศ และ ร่างของชายอีกคนหนึ่งที่สวมเสื้อคลุมทับทั้งร่าง จนไม่เห็นสิ่งใดนอกจากเนื้อผ้า กำลังเดินเข้ามาหาร่างบางด้วยท่าทางเอาเรื่อง

     

    “นายอีกแล้วเหรอ?”

     

    “คะ...ครับ”

     

    เสียงหวานเอ่ยออกไปอย่างตะกุกตะกัก ตาเรียวเพ้งมองพยายามดูว่าใช่บุคคลที่เขาต้องการมาหามั้ย เมื่อมองความสูงและรูปร่างที่ไม่ต่างกันนัก จึงเข้าผิดว่าผู้ล่าตรงหน้าคงเป็นอื่นไม่ได้แน่ ถึงน้ำเสียงจะเพี้ยนจากเมื่อคืนไปบ้างก็ตาม แต่มันอาจเป็นเพราะความหนาวเย็นของอากาศในปาโกสก็เป็นได้

     

    “มาทำอะไร เมื่อคืนนายทำให้สุสานของเราป่วนไปหมด”

     

    “ขะ...ขอโทษครับ”

     

    “ขอโทษเสร็จแล้วก็กลับไปสิ ที่นี่ไม่ต้อนรับตัวป่วนหรอกนะ นายจะทำให้เขาผู้ล่าหัวเสียไปถึงไหนกัน”

     

    “คือ...ผมแค่จะมาบอกว่าผมกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว”

     

    “จริงเหรอ?! นายดูไม่น่าจะเป็นเด็กโตขนาดนั้นนะ”

     

    ผู้ล่าหนุ่มไม่ได้เอ่ยออกไปอย่างดูถูก เขาแค่คิดว่าหน้าตาของร่างบางตรงหน้านั้นดูเด็กกว่าอายุจริง อีกทั้งนิสัยกล้าได้กล้าเสียไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนี้ ดูอย่างไรก็คงไม่พ้นพวกมัธยมเสียมากกว่า

     

    “จริงครับ ผมเลยอยากมาลา อยากมาทำความรู้จักคุณ”

     

    “ฉันเหรอ?”

     

    “ครับ”

     

    “ไม่ต้องหรอก ฉันไม่ได้อยากรู้จักนายนิ”

     

    ใบหน้าหวานซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งที่เขาตั้งใจมาผูกมิตรแต่กลับถูกปฏิเสธเสียหน้าหงาย ซิ่วหมินกรอกตาไปมาพยายามคิดว่าจะพูดอย่างไรต่อไปดี ทำใจดีสู้เสียร้ายตรงหน้า โดยหารู้ไม่ว่าผู้ล่าตรงหน้านั้นไม่ใช่คนเดียวกับที่เขาตั้งใจมาหาเลยสักนิด แล้วคำพูดนั้นก็ใช่ว่าจงใจจะปฏิเสธไมตรีแต่อย่างใด เขาก็แค่ไม่เข้าใจว่าจะอยากมาทำความรู้จักเขาทำไม ในเมื่อเขาไม่ใช่เฉินเสียหน่อย

     

    “ถะ...ถ้าตอนนี้คุณยังไม่พร้อม ผมจะกลับมาใหม่นะครับ”

     

    “กลับมาเหรอ ไม่ต้องหรอก”

     

    “ทำไมล่ะครับ ผมมาหาคุณที่นี่ไม่ได้เหรอ คุณจะไปไหนล่ะ”

     

    “เปล่า ฉันก็ยังอยู่ที่นี่แหล่ะ”

     

    “ถ้างั้นผมจะมาใหม่ จะมาจนกว่าจะได้รู้จักกับคุณให้ได้เลยครับ ส่วนวันนี้ถ้าคุณไม่พร้อมต้อนรับผม ผมคงต้องขอไปก่อนนะครับ”

     

    “อ่า~”

     

    “ไปก่อนนะครับ”

     

    “โชคดีนะ”

     

    ผู้ล่าหนุ่มเอ่ยลาออกไปตามมารยาทที่ดี แม้จะยังติดใจกับสิ่งที่ร่างบางพูดอยู่ อดยกมือขึ้นมาแสดงอาการของผู้วิเศษธรรมดาๆไม่ได้ เกาศรีษะอย่างไม่เข้าใจได้ไม่นานก็ต้องสะดุ้งขึ้นด้วยความตกใจอีกครั้ง

     

    ตุ๊บ!

     

    “เห้ย! โถ่นึกว่าอะไร”

     

    ผู้ล่าหนุ่มส่ายหน้าให้กับขวัญที่กระเจิงไปไกล เมื่อผู้ล่าอีกคนของสุสานกระโดดลงมาอยู่ที่ด้านหลังของเขา เฉินตบบ่าเพื่อนให้กำลังใจสองสามที ก่อนที่ตาคมจะมองออกไปตามหลังร่างบางนั้น เขาเห็นมาตั้งแต่ต้นและได้ยินทุกอย่างตั้งแต่ที่อากอร์สยังอยู่ บทสนทนาที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงผิดปกติ

     

    ...อาจเพราะไม่เคยมีใครอยากเป็นเพื่อนกับผู้ล่า...

     

    “เด็กคนนั้นน่ะ บอกว่าจะมาอีก”

     

    “ฉันได้ยินแล้ว”

     

    “นายน่าจะผูกมิตรกับเขาไว้จริงๆนะ เพราะเขาก็กำลังจะไปอยู่ที่มหาวิทยาลัยเหมือนกัน”

     

    “แล้วยังไงล่ะ อาจจะไม่ใช่ที่เดียวกันก็ได้”

     

    “แต่มันก็มีอยู่แค่ไม่กี่ที่ในโลกของเรานะ ส่วนมากก็เข้าฟีนูคอนกันทั้งนั้นแหล่ะ”

     

    “ฉันไม่อยากเจอหมอนั่นที่มหาวิทยาลัยเสียหน่อย”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยออกไปอย่างหัวเสีย เมื่อเพื่อนผู้ล่าร่วมสุสานพยายามให้เขาละเมิดกฎของผู้ล่า ไม่ควรมีมิตรไมตรีระหว่างกัน พวกเขานั้นก็ไม่ต่างจากร่างไร้วิญญาณที่ไม่มีชีวิตเป็นของตนเอง แฝงไปตามที่ต่างๆไม่ต่างจากกิ้งก่า ที่ต้องคอยเปลี่ยนสีตามสถานที่นั้นๆ เขาไม่ควรมีเพื่อนเป็นตัวเป็นตน เพราะมันจะทำร้ายคนๆนั้นเสียเอง

     

    ...ชีวิตของผู้ล่า ต้องอยู่แบบโดดเดี่ยวไปตลอดชีวิต มันถูกแล้ว...

     

    “แต่ถ้าเจอ นายน่าจะยิ้มให้เขาสักทีนะ เขาก็น่ารักดีนิ”

     

    “แต่ฉันจะไม่ยิ้ม นายเองก็ควรจะหยุดยิ้มได้แล้ว!

     

    เฉินเอ่ยปรามเพื่อนด้วยความรู้สึกหงุดหงิดในใจไม่น้อย มันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสมอยู่แล้ว ที่ผู้ล่าจะมายืนแสดงท่าทางเป็นมิตร หากมีผู้สิ้นชีพที่ไม่ใช่อากอร์สมาเห็น มันจะทำให้สุสานนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายมากยิ่งขึ้น แล้วที่มันหน้าหงุดหงิดกว่าเดิมคือเขาเห็นมุมผ้าคลุมแถวปากของเพื่อนยกขึ้น ทั้งที่ก็พูดเหมือนรู้ดีว่าเด็กคนนั้นไม่ได้มาหาตนเองเสียหน่อย

     

    ...เขามาหาฉันนะเว่ย!!!...

     

    จะด่าเพื่อนตนเองในใจเพียงฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่เรื่อง ก็เห็นอยู่แล้วว่าร่างบางนั้นซื่อบื้อแค่ไหน ขนาดเสียงของคนที่ช่วยตัวเองไว้จากการสิ้นชีพ ยังสามารถลืมได้ในเวลาเพียงชั่วข้ามคืนเท่านั้น

     

    ...สมองกลวงจริงๆ!!!...

     

    “ก็เขาน่ารักจริงๆนี่หว่า?”

     

    “แต่แกเป็นผู้ล่า อย่าริรักใคร”

     

    “ไม่เอาน่ะ นั่นมันเป็นความเชื่อที่โบราณไปแล้วนะ นายก็น่าจะรู้ดีว่าในยุคนี้มันแตกต่างจากยุคแรก เราไม่ได้อัปลักษณ์ถึงเลือกขายวิญญาณให้แก่เทพีโบโลนีสักหน่อย”

     

    “อย่า...พูด...ถึงพระนางของฉันแบบนั้น!

     

    ร่างโปร่งระเบิดออกไปใส่เพื่อนด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก เขาไม่ชอบให้ใครทำตัวไม่เหมาะสมต่อการเป็นผู้ล่า แม้จะรู้ดีว่าโลกนั้นเปลี่ยนไปแล้ว เหตุผลที่หลายคนเลือกมาเป็นผู้ล่าก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ตามตำนานกล่าวถึงอดีตผู้ล่านั้นคือชายอัปลักษณ์ที่อาภัพรักและอยากตาย แต่เนื่องจากเหล่าผู้วิเศษเกิดมาพร้อมวันดับที่แน่นอน พวกเขาจึงเลือกขายวิญญาณของตนเองเพื่อรับใช้เทพีโบโลนี ส่วนเรื่องพรหนึ่งข้อและตาทิพย์ที่ได้รับมานั้น มันก็แค่ผลพลอยได้จากการเสียสละเท่านั้น

     

    ...เสียสละ ที่จะไม่ได้หลับใหลไปตลอดกาล...

     

    “โอเค ในเมื่อนายไม่ยอมรับความจริง ก็โอเค”

     

    “ความจริงคือนายควรจะกลับไปทำหน้าที่ของนาย ไม่ใช่เพ้อภพถึงเด็กคนนั้น”

     

    “ฉันก็แค่พูดเล่นเท่านั้น”

     

    “ชีวิตนี้น่ะ ไม่มีคำว่าล้อเล่นหรอก"

     

    ขายาวเดินผ่านป้ายหินที่คุ้นเคย แมกไม้ที่รายล้อมทึบทั่วบริเวณสุสาน ก่อนจะมาหยุดยืนในสถานที่ที่เขาคุ้นเคยตลอดหลายปีที่มาประจำที่ปาโกส เบื้องหน้าคือทะเลสาบขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ สะท้อนแสงเรืองรองจนดูเหมือนมีทองอยู่เต็มพื้นใต้น้ำ แต่คนที่เห็นทุกอย่างด้วยความเป็นจริงเช่นเฉิน เขารู้ดีว่ามันเป็นเพียงการต้องมุมของหิน ที่ร้ายกว่านั้นคือน้ำนี้เป็นกรดสำหรับผู้วิเศษตนอื่น

     

    ...แต่ไม่ใช่ผิวหนังแห่งผู้ล่า...

     

    เฉินทิ้งตัวลงนั่งที่ริมผืนน้ำ มองออกไปพยายามจดจำในทุกสิ่งของที่นี่ คงอีกนานกว่าเขาจะได้กลับมาที่นี่อีก

     

    “ไม่ดูเหงาไปหน่อยเหรอ ผู้ล่า”

     

    “อย่ามายุ่งน่ะอากอร์ส”

     

    “ก็แค่ถามเท่านั้น ข้าคิดว่าท่านควรหัดผูกมิตรเสียบ้าง”

     

    “มิตรภาพมักมีคำว่าทรยศตามมาเสมอ ก็เหมือนนายที่ถูกเพื่อนรักฆ่าตายไง”

     

    “อันนั้นมันคนละกรณี เด็กคนนั้นคงไม่เป็นอย่างนั้นหรอก”

     

    “เหอะ! นายยังไม่แน่ใจที่จะรับรองเสียด้วยซ้ำ”

     

    เสียงทุ้มแค่นหัวเราะออกมาอย่างนึกสมเพช เขารู้ดีว่าเขาพูดความจริงออกไปทั้งหมด และ อากอร์สก็กำลังยอมรับต่อสิ่งที่เขาพูดด้วยเช่นกัน ไม่มีใครคิดหรอกว่าเราคบคนชั่ว จนกระทั่งเขากลายเป็นคนเลวนั่นแหล่ะ

     

    “ถึงจะรับรองได้ไม่เต็มปาก แต่ข้าก็สามารถพูดได้ว่าก็ยังมีเพื่อนดีๆอยู่”

     

    “เหรอ คงมีเพื่อนนายมากมายที่ยินดีตอนนายสิ้นชีพไง”

     

    “ชิ! เจ้านี่มันมองโลกในแง่ร้าย”

     

    “ถึงจะร้ายแต่มันคือความจริง”

     

    “ที่ข้าอยากจะบอกเจ้าน่ะ ก็แค่อย่าหลอกตนเองเท่านั้น ถ้าเจ้าอยากได้รับมิตรภาพ เจ้าต้องกล้าที่จะจับมือเขาก่อน”

     

    อากอร์สไม่เพียงแต่บอกเท่านั้น แต่เอื้อมมือไปจับแขนของเฉินไว้ด้วย ตาคมมองกิริยาเช่นนั้นแล้วทำได้แค่นิ่งไป เพราะนั่นแหล่ะคือสิ่งที่เขากลัวมากที่สุด ผิวหนังที่เป็นกรดของเขา นอกจากผู้สิ้นชีพแบบอากอร์ส ใครกันจะอยากจับต้องมันให้เกิดรอยไหม้

     

    “นายไม่เข้าใจ”

     

    “ข้าก็ช่วยเจ้าได้เท่านี้แหล่ะ”

     

    วิญญาณหนุ่มทำท่าจะลุกหนีความวุ่นวาย เฉินชอบชวนเขาทะเลาะ แต่เพราะนี่จะเป็นวันสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้อยู่ที่นี่ เขาไม่อยากให้มีแต่ภาพความทรงจำแย่ๆก่อนจะจากกัน

     

    “นี่อย่าเพิ่งไปสิ!

     

    “อะไรของเจ้าอีก”

     

    “นายคิดว่าฉันควรลองเปิดใจสินะ”

     

    “หือ?”

     

    “ถ้าอย่างนั้น ถ้าฉันได้เจอเด็กคนนั้นที่มหาวิทยาลัยฟีนูคอนล่ะก็ ฉันจะทำความรู้จักเขาไว้ ดีมั้ยล่ะ”

     

    อากอร์สยิ้มออกเพราะคำพูดของเฉิน ถึงเด็กหนุ่มจะดูหัวรั้นและขอบออกคำสั่งกับเหล่าผู้สิ้นชีพ แต่ก็เป็นคนที่เก็บคำพูดของผู้อื่นมาคิดถึงอยู่เสมอ รวมไปถึงคำพูดของเขาที่พูดออกไป ก็มักจะได้รับคำสัญญาสั้นๆแบบนี้เช่นกัน

     

    ...คำสัญญาที่เหมือนเป็นการบอกขอไปที...

     

    “ก็ตามใจเจ้าเถอะ มันก็ดีกับตัวเจ้าเอง”

     

    “แต่ถ้าไม่เจอ ก็ไม่นะ ไม่พยายามให้เจอหรอก”

     

    “ข้าเชื่อว่าเจ้าจะต้องได้เจอ ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องไปอยู่ที่เดียวกับเจ้า เผลอๆนะจะอยู่ใกล้กันเสียด้วยซ้ำ”

     

    “อย่ามาแช่งฉัน ยังไงฉันก็จะได้นอนในหอพักฝั่งร้อนอยู่ดี”

     

    <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    “เหอะ! นี่มันนรกชัดๆ”

     

    เมื่อเช้าแรกของการเปิดภาคเรียนในมหาวิทยาลัยของเขา พาเขามาพบกับบุคคลที่เขาพยายามคิดว่าจะไม่เจอมาตลอดคืน หรือเพราะเขาเอาแต่นั่งคิดถึงเจ้านั่นไม่หยุด ถึงได้มาเจอกันตั้งแต่ก้าวแรกที่เดินออกมาจากทางออกของช่องเดินทางโบโลนี

     

    “อุ้ย!

     

    ต่างฝ่ายต่างชะงักหยุดแต่เหตุผลที่ต้องหยุดกลับไม่ตรงกันสักนิด ซิ่วหมินไม่ได้จำเฉินได้เหมือนที่เขาจำได้ แต่เพราะร่างโปร่งยืนขวางทางเดินของเขา และ กระเป๋าของเขามันก็ใหญ่เกินจะเป็นฝ่ายหลบหลีก

     

    “ขอโทษนะครับ ช่วยหลบหน่อย”

     

    “อ่า...”

     

    เฉินเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าเข้าใจผิด แต่ก็ยังดีที่เขาไม่ได้พูดอะไรออกไปมากกว่านั้น จึงยังสามารถถอยเท้าหนีหลบทางให้ร่างบางได้ มันไม่ง่ายเลยที่จะทำสีหน้าปกติขณะที่เขากำลังตระหนกถึงขีดสุด

     

    ...คำสาปแช่งของผู้สิ้นชีพนี่รุนแรงจริงๆ...

     

    “ฝากไว้ก่อนเถอะอากอร์ส”

     

    ร่างโปร่งพยายามทำใจให้สบายและคิดว่ามันเป็นเพียงความบังเอิญ ยิ่งกว่านั้นคือเด็กคนนั้นรีบไปไหนก็ไม่รู้ เขาถึงไม่มีเวลาทำตามที่สัญญากับอากอร์สไว้ แต่ถ้าเรื่องบังเอิญยังมีอยู่จริงเดี๋ยวเขาจะทำตามสัญญาก็แล้วกัน

     

    “เห้! ขอโทษนะ นายใช่รหัส ร้อยสามสิบรึเปล่า?”

     

    “หือ?”

     

    เสียงทุ้มเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ เขาไม่รู้ว่าทำไมวันนี้เขาถึงรู้สึกเหมือนได้ยินแต่เสียงคนๆนี้ดังอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งคนมาถามหาที่นั่งยังได้ยินเลย แต่จะไม่หันไปมองก็กลัวจะเสียมารยาทหนัก ยิ่งหันไปมองแล้วทำหน้าเหวอก็ยิ่งคิดว่าเสียมารยาทที่สุด

     

    ...คราวซวยจริงๆสินะ...

     

    “อ่า...”

     

    “เอ้า! นายคนที่หน้าทางเข้าโบโลนีนิ”

     

    “อ่อ”

     

    “ฉันรหัสหนึ่งร้อยสามสิบเอ็ด ไม่คิดเลยว่าจะนั่งใกล้กัน”

     

    ...ฉันก็ไม่คิดว่าจะดวงซวยขนาดนี้...

     

    “นายมาจากโบโลนีสินะ ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”

     

    “ก็...ดีมั้ง”

     

    เฉินไม่รู้ตัวสักนิดว่าเขาตอบออกไปแบบนั้นได้ยังไง เขาควรจะทำตัวเนียนๆแล้วบอกออกไปให้สมจริง ถึงแม้เขาจะมีความรู้เรื่องเมืองโบโลนีที่เกิดอย่างน้อยนิด แต่มันก็น่าจะมีมากกว่าชาวเผ่าอื่นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไง กลายเป็นว่าตอนนี้ซิ่วหมินมองมาที่เฉินด้วยแววตาสงสัย

     

    “นายไม่ได้อยู่ที่โบโลนีหรอ?”

     

    “เอ่อ...ก็...”

     

    ร่างโปร่งได้แต่พูดขึ้นอย่างอึกอัก เขาไม่รู้ว่าควรบอกออกไปอย่างไรดี ที่แน่ๆคือเขาไม่สามารถบอกใครได้ว่าเขาเป็นผู้ล่า และร่างบางดันเห็นเขาเดินออกมาจากโบโลนีอีกจะโกหกว่ามาจากเผ่าอื่นก็ไม่ได้

     

    “อ๋อรู้แล้ว!

     

    เฮือก!!!

     

    เฉินสะดุ้งขึ้นเมื่อร่างบางพูดออกมาเสียงดัง คงไม่ใช่ว่าอยู่ๆก็เกิดจำเสียงผู้มีพระคุณได้ขึ้นมาหรอกนะ แล้วที่แย่กว่านั้นคือกับเด็กไม่มีหูรูดแบบนี้ จะเก็บความลับของเขาไว้ได้อย่างไร ตาคมจ้องเข้าไปในดวงตาเรียวสวย พยายามหาความหมายของคำว่าเข้าใจแล้วนั้น ใจเต้นโครมครามด้วยความกลัวไม่หยุด

     

    “นายมาจากอฟาคอลเพรสสินะ”

     

    “เฮ้อ~”

     

    ลมหายใจแห่งความหวาดกลัวถูกพรูออกมาจากปากบาง ตามด้วยเสียงหัวเราะชอบใจของซิ่วหมิน ที่ไม่ได้รู้เลยว่าเพิ่งทำให้เฉินเกือบหัวใจวายเสียแล้ว ร่างโปร่งส่ายหน้าให้กับเสียงหัวเราะบ้าบอของร่างบาง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ

     

    ...ขอบคุณในความบื้อของนายจริงๆ...

     

                         <<< The Phonucorn…อัสนีสาป >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 3.4

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    หายไปนานอีกแล้วไม่มีข้อแก้ตัวใดๆทั้งสิ้นพร้อมรับคำด่าเลยค่ะ เพราะช่วงหลังแอมเรียนหนักทำงานวิจัยก็หนัก พอว่างละมันฟีลแบบขอนอนนะๆๆๆๆ ไปๆมาๆร่วมสามเดือนที่ม่ได้อัพ ขออภัยและขอบคุณทุกคนที่รอจริงๆค่ะ รักน้า...า...า~

     

     © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×