ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Phonucorn ตอน มนต์ถันฑิล [ KaiSoo , KaiDO : EXO ]

    ลำดับตอนที่ #24 : The Phonucorn ฟีนูคอน : ตรวนกาฬวาต – บทที่๑

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 916
      5
      23 ต.ค. 57

    Title : The Phonucorn ตรวนกาฬวาต – บทที่๑

    Author : พระจันทร์สีทอง

    Genre : Fantasy Romantic Drama

    Warnings : Yaoi – PG 18

    Pairing :  Sehun x Luhan

     

     

    บทที่ ๑

    The Phonucorn ฟีนูคอน : ตรวนกาฬวาต

     

     

     

     

     

    บนโลกนี้อาจมีคนเชื่อในคราวซวยไม่มากนัก แต่สำหรับเซฮุนที่มั่นใจเหลือเกินว่าตนเองไม่ได้ทำอะไร แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเหมือนเส้นชีวิตมันเดินผิดทางอย่างแรง เพียงไม่กี่นาทีที่เขาเดินแยกมาเลือกชุดนักศึกษา ที่คิดว่าเหมาะกับเพื่อนใหม่ที่พลัดถิ่นมาอย่างอี้ชิง พอหันกลับไป ก็พบเจ้าเด็กบ้าที่คิดว่าเขาเป็นเหยี่ยวตัวเมีย กำลังนั่งเสนอหน้าทำความรู้จักกับเพื่อนของเขาอยู่พอดี

     

    “...ยินดีเช่นกัน เราชื่อลู่หานนะ อยู่เผ่าเนโร”

     

    “อี้ชิงครับ...ปะ...เป็นชาวอเนโมส”

     

    “มาคนเดียวเหรอครับ”

     

    “เปล่า มากับฉัน!

     

    เสียงทุ้มจงใจแทรกประโยคสนทนานั้น ไม่สนใบหน้าฉงนของคู่สนทนาทั้งสองเลยสักนิด พร้อมออกแรงดึงให้อี้ชิงลุกขึ้นมาเตรียมเดินหนี แต่เซฮุนก็กลัวจะเสียเชิงเลยหันไปมองร่างบางอย่างกวนประสาท

     

    “อี้ชิงเขาเป็นเพื่อนของฉัน”

     

    “เซฮุน พูดดีๆกับเพื่อนหน่อยสิ”

     

    เป็นอี้ชิงที่กระซิบเตือนเซฮุนเพราะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่มีเหรอที่คนอย่างร่างสูงจะสำนึกได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ถ้าจะสำนึกเซฮุนคงไม่หันกลับมาหาเรื่องหรอก กลายเป็นลู่ฮานเสียเองมากกว่าที่ได้แต่ยืนทำตัวไม่ถูก เขายังไม่รู้เลยว่าคนๆนี้เป็นใคร หรือ เขาไปทำอะไรให้ถึงต้องไม่พอใจขนาดนี้

     

    “ต้องขอโทษด้วยที่ผมเข้ามาพูดคุยกับเพื่อนของคุณนะครับ”

     

    “ไม่ต้องขอโทษหรอกนะถ้าไม่เต็มใจ อีกอย่างอี้ชิงเขาก็โชคดีมากๆที่มีฉันเป็นเพื่อน”

     

    คราวนี้ร่างบางเริ่มย่นคิ้วด้วยความไม่พอใจ ลู่ฮานเองก็มั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีข้อบกพร่องตรงไหน หากอี้ชิงจะนับเขาเป็นเพื่อนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย คนกำลังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกันแท้ๆ แถมพวกเขายังเป็นธาตุฝั่งเย็นเหมือนกันอีก ยังไงก็คงต้องอยู่หอพักเดียวกันตั้งสี่ปีแท้ๆ ก็น่าจะทำความรู้จักกันไว้มากๆไม่ใช่รึไง

     

    “ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไรคุณเลย”

     

    “ฉันก็แค่พูดไว้ เผื่อว่านายจะคิด!

     

    “พอได้แล้วน่ะเซฮุน...เดี๋ยวเราขอตัวไปลองชุดก่อน หวังว่าคงได้พบกันอีกนะ”

     

    เป็นอี้ชิงตัดบทเพราะกลัวว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่ เอ่ยลาลู่ฮานด้วยความเสียดายที่ไม่ได้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้ ออกแรงลากเซฮุนมาตามทางเดินไปห้องลองเสื้อผ้า กว่าจะลากร่างสูงให้พ้นลู่ฮานมาอี้ชิงได้ก็ถึงกับหอบเหนื่อย

     

    โดยมีสายตาสงสัยของร่างบางที่มองไปอย่างไม่เข้าใจหนัก แต่ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อก็ถูกผู้เป็นแม่ลากไปลองชุดนักศึกษาของตนเองเหมือนกัน คราวนี้คงเป็นคราวซวยของลู่ฮาน ที่บังเอิญมาเลือกห้องที่หันหลังชนกับอี้ชิงพอดี เลยจำต้องฟังบทสนาของทั้งคู่อย่างไม่ตั้งใจ

     

     “สวยจัง”

     

    เสียงหวานของอี้ชิงเอ่ยขึ้น ทำให้ลู่ฮานเริ่มไล่สายตาไปที่ตราสัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเช่นกัน มือเล็กลากผ่านเส้นด้ายแล้วอดยิ้มด้วยความภาคภูมิใจเช่นเดียวกันไม่ได้ แต่ยังไม่ทันเคลิบเคลิ้มได้เท่าไร เสียงของเซฮุนก็ดังแทรกขึ้นมาในความคิดเสียก่อน

     

    “สัญลักษณ์ของมหาวิทยาลัยเรา นั่นคือฟีนูคอน เป็นยูนิคอนเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของผู้ถือกำเนิด”

     

    “อ๋อ”

     

    คิ้วเรียวขมวดลงอีกครั้งด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆร่างสูงที่ไม่น่าจะอยู่ในห้องรองเสื้อผ้าที่แคบและเล็กนี้ กลับพูดขึ้นมาเหมือนรู้ว่าพวกเขากำลังสนใจอะไรได้ บางทีพวกอเนโมสอาจสามารถส่งกระแสจิตได้รึเปล่านะ อย่างไรพวกลมก็เป็นนักเดินทางที่ดีที่สุดอยู่แล้ว

     

    “คิดอะไรของเราอยู่เนี่ย เขาจะทำอะไรได้มันก็เรื่องของเขาสิ”

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    “เป็นไงบ้างลู่ฮาน พอดีมั้ยลูก”

     

    “เดี๋ยวนะครับแม่ ลู่เพิ่งแกะกระดุมเสร็จ”

     

    เสียงของมารดาช่วยเบนความสนใจของร่างบาง ให้กลับมาลองเสื้อผ้าได้อีกครั้ง หลังจากลองเสื้อผ้าเสร็จลู่ฮานก็ไม่เห็นอี้ชิงและเซฮุน ที่น่าจะลองเสร็จก่อนเขาไม่นานมากแล้ว มองไปทางซ้ายทีขวาทีระหว่างรอผู้เป็นแม่จ่ายเงินให้แก่หญิงชรา ยิ้มลาตามมารยาทก่อนจะเดินออกมา ทั้งที่ยังมีเรื่องค้างคาในใจมากมาย

     

    “ไปกันเถอะลูก”

     

    “ครับ”

     

    ขาเล็กออกก้าวเดินไปตามทางเดินของอิฐแดง มาหยุดอยู่ที่ร้านเครื่องประดับในตรอกหนึ่งของตลาดอฟาคอลเพรส ร้านนี้ถือว่าเป็นร้านโปรดของมารดาที่มักแวะเวียนมาเสมอ ตรงข้ามเป็นร้ามไหมพรมที่ดูไม่ค่อยมีลูกค้าเท่าไร ลู่ฮานแอบมองมันมานานตั้งแต่ยังเด็ก และ วันนี้ก็ตัดสินใจว่าจะเข้าไปดูมันสักครั้ง

     

    “แม่ครับ เดี๋ยวลู่ขอไปดูไหมพรมหน่อยได้มั้ยครับ”

     

    “ไหมพรมเหรอ? อยากได้ผ้าพันคอเหรอจ๊ะ”

     

    “ก็...ผมน่าจะมีผ้าพันคอใหม่ฝีมือแม่ได้แล้ว ตอนนี้ผมกำลังจะเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยเลยนะครับ”

     

    ร่างบางเอ่ยอ้อนไปตามน้ำ ผู้เป็นแม่ที่สนิทกับลูกชายคนเดียวเป็นพิเศษก็อดใจอ่อนไม่ได้ จึงเดินแยกเข้าไปในร้านเครื่องประดับเพียงลำพัง ลู่ฮานยืนอยู่หน้าร้านไหมพรมด้วยความรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นผิดปกติ เขารู้สึกเหมือนมันเป็นที่ๆเขาควรเข้าไปและไม่ควรในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายมือเล็กก็ตัดสินใจผลักบานประตูนั้นเข้าไปอยู่ดี

     

    กริ้ง~

     

    เสียงกระดิ่งที่ติดไว้บนบานประตูดังขึ้น เรียกสายตาของเด็กหนุ่มอีกคนที่กำลังนั่งอยู่หลังเคาท์เตอร์ร้านให้มองมา ยังลูกค้าคนใหม่ที่ดูไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด ตากลมโตมองไปรอบๆร้านที่เป็นชั้นสูงประมานตึกสองชั้น ต่างจากภายนอกที่เหมือนจะเป็นแค่ร้านเล็กๆในมุมมืดของตลาด คงเป็นเพราะเวทย์ร่ายพรางตาที่ทำให้เห็นเช่นนั้น

     

    ...แต่ทำไมร้านไหมพรมถึงต้องใช้เวทย์ร่ายพรรางตา?...

     

    “สวัสดีครับ”

     

    ไม่ใช่เสียงของเด็กหนุ่มพนักงานขายที่พูดขึ้น กลับเป็นเสียงของลู่ฮานที่เป็นลูกค้า เริ่มเอ่ยบทสนทนาออกไปก่อนคลายความเงียบ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาได้รับการตอบสนองอย่างที่ควร ลู่ฮานเริ่มไม่สงสัยแล้วว่าทำไมถึงไม่ค่อยเห็นคนเดินเข้ามาในร้านนี้นัก...ก็คนขายมันเป็นอย่างนี้ไงล่ะ

     

    แต่ถึงอย่างนั้นขาเล็กก็ยังก้าวเดินเข้าไปใกล้กับเคาท์เตอร์มากขึ้น ตอนนั้นเองที่พนักงานขายดูให้ความสนใจกับการมีตัวตนของลูกค้าอย่างเขา ด้วยการหยิบหนังสือที่รวบรวมเส้นไหมพรมของทั้งร้านขึ้นมา พร้อมเปิดไปที่หน้ากลางสุดของเล่มโดยอัตโนมัติ

     

    “ช่วยแนะนำเราหน่อยสิ”

     

    “อยากได้ไหมพรมแบบไหนล่ะ”

     

    “อะ...เอ่อ...ก็ไม่รู้เหมือนกัน”

     

    “หือ?”

     

    เสียงที่แสดงออกถึงความสงสัยดังขึ้นจากพนักงาน หลังเสียงตอบคำถามของร่างบางจบลง ลู่ฮานคิดว่าสายตาที่มองมากำลังบอกว่าเขาโง่มาก ที่เดินเข้ามาในร้านนี้โดยไม่มีความรู้เรื่องการถักไหมพรมสักนิด

     

    “นายไม่ใช่ว่าเป็นชาวเนโรเหรอ?”

     

    “กะ...ก็ใช่”

     

    ...แต่ถึงใช่แล้วมันเกี่ยวกันอย่างไร?...

     

    ลู่ฮานอ้อมแอ้มออกไปอย่างไม่ค่อยชอบใจในคำถามนัก เขารู้ว่านี่มันดูแปลกสำหรับชาวเนโร ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเหล่าผู้ชุบชีวิตแห่งฟีนูคอน ชาวเผ่าหลายคนมีความสามารถมากในการถักทอสิ่งต่างๆ เป็นพรสวรรค์ที่ได้มาจากการถือกำเนิดเป็นชาวน้ำที่แสนนิ่งสงบ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะต้องมีพรสวรรค์เหมือนๆกันไปหมดนิ เช่นเขาที่โตมาโดยมีมารดาถักเสื้อให้ตลอด ก็ยังไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องเก่งงานถักร้อยเช่นนี้

     

    “หรือไม่ได้เรียนในโรงเรียนของเขตปกครองเนโรเหรอ? ได้ยินมาว่าที่นั่นเปิดสอนการถักร้อยเป็นหลักสูตรตั้งแต่เล็ก”

     

    “ฉันจบจากโรงเรียนของเขตปกครองเนโร”

     

    “อ๋อ”

     

    ยิ่งพูดลู่ฮานยิ่งรู้สึกตัวเล็กลงเรื่อยๆ มันเป็นความจริงทั้งหมดที่คนแปลกหน้าคนนี้พูด โรงเรียนของเขาสอนให้จับเข็มตั้งแต่ไม่ถึงสี่ขวบ แต่ทุกครั้งลู่ฮานก็มักโกงด้วยการให้แม่ช่วยเสมอ แต่นั่นมันก็ไม่ได้ผิดอะไรไม่ใช่เหรอไงกัน

     

    “ถ้าอย่างนั้น นายจะเข้ามาที่นี่ทำไมล่ะ?”

     

    คำถามที่เอ่ยออกมาอย่างตรงไปตรงมาของพนักงานหนุ่ม ทำให้ลู่ฮานได้แต่ชะงักไปอย่างรู้สึกไม่ต่างกัน เขาไม่ควรเข้ามาที่นี่อย่างที่คนตรงหน้าพูดจริงๆ แต่จะให้เดินออกไปตอนนี้มันก็ดูประหลาดไปหน่อย

     

    “คะ...คือจะมาซื้อไหมพรมให้แม่น่ะ”

     

    “แล้วไหนล่ะแม่ของนาย?"

     

    “กำลังเลือกเครื่องประดับอยู่”

     

    “ถ้างั้นก็กลับมาใหม่ตอนแม่ของนายพร้อมเถอะ”

     

    ร่างบางย่นคิ้วในความไม่เป็นมิตรจากคนตรงหน้า เขาไม่เข้าใจว่าวันนี้ทำไมใครๆก็ดูเกลียดเขาไปหมด ยกเว้นก็แค่อีชิงเท่านั้นที่ดูสามารถเข้ากับเขาได้ นี่ขนาดเขาเลือกเข้ามาในฐานะลูกค้า ยังไม่รู้สึกถึงความพิเศษในฐานะลูกค้าเลยสักนิด

     

    “ฉันต้องทำยังไงถึงจะเลือกไหมพรมในร้านนี้ได้”

     

    “ต้องมีใจที่รักในการถักทอไงล่ะ”

     

    ...ใจที่รักในเส้นไหมอย่างแท้จริง...

     

    คำพูดสุดท้ายก่อนที่เด็กหนุ่มคนนั้นจะเดินออกไปทางประตูด้านหลัง ทำให้ลู่ฮานไม่สามารถเอ่ยสิ่งใดออกไปได้อีก เขาไม่มีใจรักในการถักทอจริงๆ เขาไม่เหมาะกับที่นี่อย่างนั้นเหรอ ทั้งที่เขาเป็นชาวเนโรคนหนึ่งแท้ๆ

     

    ...ใช่เขาเป็นชาวเนโร เป็นเผ่าแห่งการชุบชีวิต...

     

    “ฉันจะกลับมาใหม่”

     

    <<< The Phonucorn…ตรวนกาฬวาต >>>

    “เฮ้อ...อ...อ...อ~”

     

    ร่างสูงทิ้งตัวลงนอนบนเตียงของตนเอง หลังจากที่เพิ่งทานมื้อค่ำที่บ้านของเพื่อนใหม่ฝั่งตรงข้าม แม้ร่างกายจะอ่อนล้าแต่เรื่องที่วนเวียนเข้ามาวันนี้กลับทำให้คิดไม่ตก ตาคมมองไปที่เพดานห้องของตนเองนิ่ง ก่อนจะเสมองไปที่ลิ้นชักตรงโต๊ะตั้งโคมไฟข้างหัวเตียง

     

    ...นานแล้วที่มันไม่เคยถูกเปิดออก...

     

    “จะเป็นไปได้มั้ยนะ...”

     

    มือหนาเอื้อมไปเปิดมันออกอีกครั้งในรอบหกถึงเจ็ดเดือนที่ผ่านมา ข้างในลิ้นชักเหมือนมีแค่หนังสืออ่านเล่นสองเล่มวางอยู่ หากแต่เมื่อปากบางเฉียบเริ่มเอ่ยคำร่ายภาพพรางตาก็สลายไป

     

    “อเนโมส โมโนส เซดีโอ แอนนาโตป”

     

    เกลียวลมหมุนวนก่อนจะค่อยๆปกคลุมเหนือชองลิ้นชัก ค่อยๆจางลงทีละน้อยจนเห็นว่าภายในลิ้นชักนั้นแท้จริงแล้ว เป็นเพียงกล่องไม้อันเล็กที่บรรจุแร่นักรบที่สำคัญที่สุดไว้ ชาวอเนโมสเป็นนักเดินทางก็แท้จริงตามที่ฟีนูคอนกล่าว หากแต่ต้องตีความลึกลงไปอีกก็กล่าวได้ว่าเป็นนักขโมยที่มือเบาที่สุดก็ได้

     

    “แกจะใช่อย่างที่ฉันคิดมั้ย?”

     

    มือหนาหยิบแร่นักรบสีใสที่ทอประกายราวแสงดาวยามฟ้ากลืนราตรี หมุนมันไปมาอย่างใช้ความคิด รู้ดีว่าสิ่งที่เขาแอบหยิบมาจากสุสาน ระหว่างไปส่งจดหมายให้ผู้ล่าคนหนึ่งนั้น ไม่ใช่เพียงแร่นักรบมือสองธรรมดา หากแต่มันหยอกล้อราวกับต้องการกลับมากับเขาตั้งแต่พบเห็นครั้งแรก เขาไม่ได้ตั้งใจจะขโมยมันเลยสักนิด หากแต่บางครั้งการเจรจาธุรกิจก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

     

    ...ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ก็ต้องขโมยล่ะนะ...

     

    “ถ้ามันใช่อย่างที่ฉันคิด แกก็คงจะดีใจมากสินะ”

     

    เสียงทุ้มยังคงเอ่ยขึ้นเหมือนติดอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง หากแต่ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วเขากำลังพูดคุยกับสิ่งที่มีชีวิตต่างหาก มันไม่ง่ายเลยที่จะเก็บความลับนี้ไว้เพื่อสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    “เซฮุน อยู่ในนั้นรึเปล่า?”

     

    ตาคมเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบเก็บแร่นักรบนี้ลงไปในกล่องไม้ พร้อมผายมือร่ายเวทย์ศักสิทธิ์ที่ฝึกมาเป็นอย่างดี

     

    ...เวทย์ร่ายพรางตา...

     

    “อเนโมส โมโนส ซายโนเดียร์ ครีเมโน่”

     

    เซฮุนร่ายออกไปราวกับเสียงกระซิบ เช็คดูจนแน่ใจว่าทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ก่อนจะดีดตัวไปนอนแผ่อยู่กลางเตียงนอนของตนเองอย่างที่ชอบทำ เพื่อจะได้ไม่ผิดสังเกตหากคิบอมเปิดประตูเข้ามาตอนนี้ ผู้เป็นอาของเขานั้นมีนิสัยช่างสังเกตกว่าใคร หากเขาขานรับออกไปตอนนี้จะยิ่งมีพิรุธเปล่าๆ

     

    ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก

     

    “เซฮุน อยู่มั้ยเนี่ย?”

     

    คิบอมถามออกไปอีกครั้งเพราะเขาคิดว่าเวลานี้หลานชายไม่น่าจะไปไหน ลองบิดลูกบิดประตูเข้าไปดูอย่างเคย พอเห็นว่าร่างสูงกำลังหลับอยู่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เขาเดินออกไปโดยไม่ลืมกดล็อคประตูให้ตามนิสัยรอบคอบ

     

    “เฮ้อ...อ...อ...อ~”

     

    ลมหายใจถูกพรูออกอีกครั้ง พร้อมตาคมที่มองไปที่ลิ้นชักเดิมอย่างคิดไม่ตก เขาไม่อยากรีบร้อนเพราะกลัวจะกลายเป็นเรียกภัยมาหาตัว เขามีความลับของไปรษณีย์มากมายในตัว จะให้ความปลอดภัยของชาวอเนโมสมาล่มจมเพราะตัวเขาไม่ได้เด็ดขาด

     

    “เครียดโว้ย!

     

    สุดท้ายก็ทำได้แค่สบถออกไปอย่างหัวเสีย ลุกขึ้นจากที่นอนที่ทำให้จิตใจเริ่มฟุ้งซ่าน แล้วเดินไปที่มุมหนึ่งของห้องนอน ที่ตั้งของลังไม้ที่ใส่จดหมายไว้ราวสองถึงสามฉบับ เป็นจดหมายที่กรมไปรษณีย์ส่งมาให้เขา แต่เขายังไม่ได้เอาไปส่งในที่ๆมันควรจะอยู่ พลิกดูชื่อจ่าหน้าซองเพื่อหาที่พักผ่อนดีๆสักแห่ง

     

    “หือ?”

     

    เซฮุนทิ้งจดหมายอีกหลายฉบับลงไปในลังตามเดิม เมื่อพบจ่าหนาซองที่เขารู้สึกคุ้นตาเป็นพิเศษ เป็นที่อยู่ของบ้านหลังไม่เล็กไม่ใหญ่ในเมืองเนโร ที่อยู่อาศัยของครอบครัวเผ่าน้ำที่แสนอบอุ่น มีทั้งพ่อ แม่ และ ไอ้เด็กแสบนั่น!

     

    “เสี่ยว ลู่ฮาน 2/33 เนโรวิลล์ เขตปกครองเนโร 112206...”

     

    อ่านชื่อที่อยู่นั้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ก่อนที่มุมปากหยักจะยกยิ้มเย็นขึ้นมาอย่างกวนประสาท หัวเราะขึ้นเบาๆสองสามทีให้กับวิธีคลายเครียดชั่วๆของตนเอง

     

    “...เปลี่ยนจากพักผ่อน เป็นไปกวนประสาทเจ้านี่ก็ดีเหมือนกันนะ”

     

    เชือกเส้นเล็กถูกผูกติดกับข้อเท้าใหญ่ ก่อนจะค่อยๆผูกแน่นขึ้นตามขนาดข้อเท้าแกร่ง ที่กลายเป็นกงเล็บของเหยี่ยวหนุ่มอีกครั้ง สายลมค่อยๆเปลี่ยนร่างสูงให้ร่างกายปกคลุมไปด้วยขนของเหยี่ยวหนุ่มสีน้ำตาลอ่อนปนขาว แขนสองข้างสยายออกเป็นปกใหญ่ กระพือพัดเอาลมเข้าใต้ปีกพยุงสู่กลางเวหาอีกครั้ง ส่งเสียงกึกก้องเพื่อบอกให้ผู้เป็นอารู้ว่าเขากำลังจะออกจากบ้าน และ มุ่งตรงสู่เขตปกครองของชาวเผ่าน้ำอีกครั้ง

     

    “เซฮุน กลับมาก่อนสิ อามีเรื่องจะถาม...”

     

    แม้คิบอมจะพยายามเรียกไว้แต่ก็ช้าไปแล้ว ลมที่แว่วผ่านหูทำให้การได้ยินนั้นเป็นปัญหา ยิ่งเซฮุนกระพือปีกแรงเท่าไร ยิ่งทำให้เขาได้ยินเสียงรอบข้างแผ่วลง แต่เขาก็มีความสุขที่ได้หยอกล้อเล่นกับสายลม ตามวิถีแห่งชาวอเนโมสอย่างแท้จริง

     

    ใช้เวลาไม่นานเหยี่ยวหนุ่มก็เดินทางมาถึงหน้าบ้านตามจ่าหน้าซอง เพราะคราวนี้เขามาในยามค่ำคืน จึงได้เห็นเมืองเนโรในแบบที่ไม่คุ้นตาสักเท่าไร หินภายใต้สายน้ำที่ทอดผ่านหน้าบ้านของลู่ฮานสะท้อนแสงขึ้นมา รวมถึงรั้วที่ทาสีขาวทับไว้นี่ด้วย

     

    ...ชาวเนโรไม่ถูกกับแสงจากความร้อนที่สุด...

     

    “อ๋อ...อย่างนี้เองสินะ”

     

    วันนี้เองที่เซฮุนเพิ่งจะเข้าใจคำสอนของอาจารย์ในชั้นเรียน ที่ว่าหากจะมีธาตุใดต้องตายเพราะไฟก็จะมีแค่ชาวเนโร เพราะ แม้แต่การใช้หลอดไฟก็ยังต้องหลีกเลี่ยงกันเลยสินะ

     

    ...แล้วแบบนี้คนพวกนี้จะทำอาหารกันได้อย่างไรล่ะ?...

     

    ความสงสัยพาร่างของเหยี่ยวหนุ่มให้เข้าใกล้บ้านหลังนี้มากขึ้น เขาหลบอยู่ที่มุมของหน้าต่างบริเวณห้องครัว ตาคมมองเข้าไปพยายามหาคำตอบของสิ่งที่สงสัย มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะกินอาหารที่เย็นชืด แล้วมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่แม่ของลู่ฮานกำลังตั้งกาแฟเพื่อต้มพอดี

     

    แก๊ก!...แก๊ก!

     

    เสียงติดเตาแก๊สสองสามทีดังขึ้น ก่อนที่เปลวไฟจะลุกขึ้นที่หัวเตา เรียกสายตาแปลกใจได้ยิ่งกว่าเดิม แม้แต่ไฟที่ออกมายังออกมาในรูปแบบของน้ำร้อน คงไม่มีใครคิดถึงแน่ว่าน้ำที่ร้อนจัดก็สามารถทำอาหารให้อุ่นได้เช่นกัน นี่เป็นความลับของพวกเนโรที่คงไม่ค่อยมีคนรู้อีกข้อ

     

    “นี่มันเจ๋งไปเลยนี่หว่า!

     

    เสียงทุ้มหลุดคำอุทานออกมา แต่เขาคงลืมไปว่าตอนนี้ร่างกายของเขาก็แค่นกยักษ์ตัวหนึ่งเท่านั้น เสียงอุทานจึงเป็นเสียงร้องของนกที่เรียกสายตาของหญิงผู้ทำอาหารอยู่ทันที เยี่ยวหนุ่มรนรานกับสายตานั้น รีบกระพือปีกทำท่าจะบินหนีไปก่อน แต่ก็ติดที่เสสายตาไปเห็นใบหน้าหวานคุ้นตา ที่นั่งอยู่บริเวณม้านั่งหลังบ้านพอดี ไม่รู้อะไรดลใจปีกถึงโฉบลงไปที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง

     

    ...ก็แค่เห็นว่าต้องทำหน้าที่หรอกนะ...

     

    “นี่!!!

     

    “หือ? เจ้าอีกแล้วเหรอนกน้อย?”

     

    “บอกกี่ครั้งแล้ววะ ว่าไม่ใช่นกน้อย!!

     

    “ใจเย็นๆ โกรธอะไรอีกรึไงนกน้อย?”

     

    “โว้ย...ย...ย!!!

     

    “ขอโทษนะที่ฉันฟังเจ้าไม่รู้เรื่อง แต่ไหนๆก็มาแล้ว ช่วยอยู่ฟังเรื่องของเราได้มั้ย”

     

    “อะไรของแก!!!

     

    “ขอบคุณมากนะที่รับฟัง”

     

    เหยี่ยวหนุ่มได้แต่อ้าปากค้างกับการคิดเองเออเองของร่างบาง รู้ว่าเพราะเขาพูดภาษานกจะส่งเสียงออกไปแค่ไหนลู่ฮานก็คงไม่เข้าใจ เลยตั้งใจจะบินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่เพราะเห็นว่าใบหน้าหวานเจือไปด้วยแววตาซึมเศร้าจริงๆ เลยอดที่จะนึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ เซฮุนก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายอะไรขนาดนั้น ถึงจะมีอคติกับลู่ฮานก็ตาม แต่ก็เป็นผู้วิเศษที่มีน้ำใจพอ

     

    “อยากจะพูดอะไรก็พูดมา ฉันไม่ได้ว่างฟังทั้งวันหรอกนะ!

     

    “เจ้าเคยคิดมั้ยว่าทำไม? ทำไมบางอย่างถึงเกิดขึ้นกับเรา ทั้งที่เราก็ไม่ได้อยากจะเป็นแบบนี้น่ะ?”

     

    “อย่าบอกนะว่ากำลังเนรคุณคิดจะด่าฉันน่ะ!

     

    “ไม่เคยสินะก็เจ้าเป็นแม่นกน้อยนิ”

     

    “หยุดพูดเพ้อเจ้อแล้วเล่าเรื่องของตัวเองมาเถอะน่ะ!!!

     

    “ฉันมีความลับจะเล่าให้เจ้าฟัง แต่เจ้าห้ามเอาไปเล่าให้เพื่อนเจ้าฟังนะ...”

     

    ...ความลับหรอ สนุกล่ะสิ!...

     

    “...ฉันน่ะเป็นชาวเนโรที่ทอด้ายชีวิตไม่เป็นหรอกนะ ใช่คนอื่นๆก็ทำไม่ได้เหมือนกัน แต่ฉันหมายถึงว่าฉันมันแย่ที่แม้แต่วิธีจับเข็มยังไม่รู้เลยล่ะ”

     

    เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างติดตลก แต่แววตาและสีหน้านั้นไม่ขบขันไปกับสิ่งที่ตนเองพูดแม้แต่น้อย เซฮุนสังเกตเห็นหน่วยน้ำใสคลอรอบขอบตากลมโตนั้นเล็กน้อย เขารู้ดีว่าสิ่งที่ลู่ฮานหมายถึงอะไร มันก็คงไม่ต่างจากเวลาที่ชาวอเนโมส ที่เป็นถึงนักเดินทางแห่งฟีนูคอนหลงทางล่ะมั้ง

     

    “วันนี้ฉันไปที่ร้านไหมพรมมา ฉันรู้สึกเหมือนฉันไม่เหมาะกับที่นั่นเลย แต่ที่แย่กว่านั้นคือฉันไม่เข้าใจ ทำไมฉันที่เป็นชาวเนโรถึงไม่เหมาะกับของพวกนั้นล่ะ ฉันไม่เหมาะที่จะเป็นชาวเนโรอย่างนั้นเหรอ”

     

    ...ก็จริง...

     

    เหยี่ยวหนุ่มนิ่งไปอย่างเข้าใจสายตาคนอื่นที่มองลู่ฮานเช่นกัน หากเขาไปพบร่างบางที่ร้านนั้น แล้วรู้ว่าลู่ฮานถักไหมพรมไม่เป็น สิ่งแรกที่คนธรรมดาแบบเขาจะทำก็ต้องเยาะเย้ยไปก่อนอยู่แล้ว โดยที่ลืมไปสนิทว่าคนๆนี้ก็มีหัวใจ

     

    “ฉันนี่มันแย่จริงๆเลย...ย...ย~”

     

    “อย่าคิดมากน่ะ!

     

    คำพูดที่ไม่คิดว่าจะหลุดออกมาจากปากของตนเอง ทำให้เซฮุนในร่างเหยี่ยวได้แต่เบิกตากว้าง ตกใจกับสิ่งที่เผลอทำลงไปอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะหันไปมองใบหน้าลู่ฮานที่มองมาที่เขาไม่ต่างกัน มือเล็กเอื้อมมาลูบศีรษะของเหยี่ยวหนุ่มไว้อีกครั้ง ก่อนจะระบายยิ้มให้ด้วยความเอ็นดู

     

    “เจ้าคงต้องรีบไปที่อื่นต่อสินะ ขอบคุณที่รับฟังฉัน และ ขอบคุณสำหรับจดหมาย เดินทางดีๆนะนกน้อย”

     

    ร่างบางไม่พูดเปล่า หากแต่ก้มลงจรดริมฝีปากกับเรือนขนหอม ตรงบริเวณกลางกระหม่อมพอดี ตาคมได้แต่ชำเลืองมองใบหน้าสวยหวานที่ใหญ่กว่าเขาหลายเท่าจากมุมล่าง ไม่รู้ทำไมมันถึงทำให้รู้สึกดีเช่นนี้ แม้แต่เวลาที่ขาเล็กก้าวออกห่างไปแล้ว เซฮุนยังไม่อาจละสายตาจากเรือนกายแบบบางนั้นได้เลย

     

    ...จุมพิตนั่นอาบยาเสน่ห์หรืออย่างไร...

     

                         <<< The Phonucorn…ตรวนกาฬวาต >>>

     

    The Phonucorn – Chapter 1.2           

    สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน

    มาช้าแต่เค้าก็ยังมานะคะ ตอนนี้เหนื่อยมากเลยเพิ่งพาน้องไปดรีมเวิร์ลตามสัญญามา พรุ่งนี้จะมาลงรายละเอียดงานฟิคที่ถามกันเข้านะคะ^^

     

     

    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×