คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : The Phonucorn ฟีนูคอน : ตรวนกาฬวาต บทที่๒
Title : The Phonucorn ตรวนกาฬวาต – บทที่ ๒
Author : พระจันทร์สีทอง
Genre : Fantasy Romantic Drama
Warnings : Yaoi – PG 18
Pairing : Sehun x Luhan
บทที่ ๒
The Phonucorn ฟีนูคอน : ตรวนกาฬวาต
ก๊อก...ก๊อก...ก๊อก
“ลู่ฮาน...น...น~ แต่งตัวเสร็จรึยังคะลูกรัก เดี๋ยวสายนะ”
เสียงของคุณแม่ผู้แสนดีเอ่ยเรียกลูกชายอยู่หน้าประตูบานเล็ก ลู่ฮานหันไปมองบานประตูเพียงเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบไปเพียงเพื่อให้ผู้เป็นแม่คลายกังวล
“ครับ กำลังแต่งตัวครับ”
ร่างบางก้มลงมองเงาของตัวเองในอ่างน้ำ ที่ใช้มันส่องดูใบหน้างดงามแทนกระจกมาตั้งแต่เกิด มันอาจดูแปลกสำหรับเผ่าอื่นที่บ้านของพวกเขาต่างมีกระจก ไว้เพื่อส่องดูใบหน้าของตนเอง หากแต่สำหรับชาวเนโรกลับใช้เพียงเงาจากผืนน้ำ ที่เห็นใบหน้าของตนเองอย่างเลือนลางเท่านั้น ชาวเนโรถูกสอนเสมอว่าอย่าหลงรักในรูปลักษณ์ของตนเองจนเกินไป เพราะความหลงระเริงนั้นแท้จริงคือหายนะ แม้ลู่ฮานจะเชื่อในเทพเนโรมากแค่ไหน แต่ตัวเขาเองก็ไม่เคยเข้าใจคำสอนนี้ในคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดเลย
“งั้นแม่ไปรอที่ห้องอาหารนะครับ”
“ครับ”
มือเรียวเกี่ยวพันปลายเนคไทจนเข้าที่ ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมพอดีตัวแล้วเดินถือกระเป๋าของใช้ส่วนตัวใบเล็กออกมาด้วย มื้อเช้าสุดท้ายในบ้านก่อนจะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยเป็นไปอย่างสนุกสนาน คุณพ่อเอาแต่พูดถึงเรื่องต่างๆในฐานะรุ่นพี่ ส่วนคุณแม่ที่ไม่ได้จบมาจากที่เดียวกันก็หัวเราะเป็นลูกคู่ให้ ความครื้นเครงจบลงเมื่อลู่ฮานเดินมาหยุดที่รั้วบ้าน ด้านหน้าคือผืนน้ำที่ชาวเนโรใช้เดินทางร่วมกัน
“ผมต้องไปแล้วนะ”
“แม่ต้องคิดถึงลูกมากแน่ๆ”
ผู้เป็นแม่เดินเข้ามาสวมกอดลูกชายด้วยความรัก ร่างบางรู้ดีว่ามันจะต้องเป็นอย่างที่ผู้เป็นแม่พูดแน่ เขาเติบโตมาในรั้วบ้านนี้ตลอดไม่เคยจากลา มารดาก็มีเพียงเขาในทุกขณะของการถือกำเนิด นี่จะนับว่าเป็นครั้งแรกที่ลู่ฮานต้องออกเดินทางเพียงคนเดียว และ หลังจากนี้เมื่อคุณพ่อออกไปทำงาน ก็จะมีเพียงแค่คุณแม่ที่ต้องนั่งเหงาอยู่บ้านเพียงลำพัง
“ผมก็ต้องคิดถึงคุณแม่มากแน่ๆ”
“ไม่เอาน่ะสองแม่ลูก ทำแบบนี้แล้วเมื่อไรลูกจะโตกันล่ะคุณ”
“ลูกไม่ต้องโตก็ได้ อยู่กับฉันตลอดไปเลยก็ได้”
“เราไม่ใช่เทพเนโรนะที่จะกำหนดช่วงเวลาแห่งการถือกำเนิดได้จริงๆ ปล่อยให้ลู่ฮานโตขึ้นสักทีเถอะคุณ เราก็อยากโตมากกว่านี้ใช่มั้ยล่ะ”
“ครับ คุณพ่อ”
“รักลูกนะ”
ผู้เป็นพ่อสวมกอดลูกชายเพียงคนเดียวด้วยความรักเช่นกัน บอกให้รู้ว่าภายใต้คำพูดเข้มแข็งพวกนั้น มันซ่อนความอ่อนไหวของอารมณ์ไว้เช่นกัน อย่างไรคนๆนี้ก็คือพ่อผู้ให้กำเนิดสัญชาตญาณบอกให้เขาเป็นห่วงลูกเสมอ
“ผมไปนะ”
ร่างบางหันไปโบกมือลาทั้งสอง แล้วเดินตรงไปที่ผืนน้ำหน้าบ้าน แน่นอนว่าเขาไม่เปียกหรือว่าจมลงไปกับผืนน้ำ ชาวเนโรทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำ พวกเขาไม่อยู่ในน้ำหากร่างกายไม่ปารถนา
“มหาวิทยาลัยฟีนูคอน”
สายน้ำเย็นค่อยๆเกี่ยวพันขึ้นมาจากปลายเท้า สอดประสานร่างกายจนเป็นเนื้อเดียวจรดที่กลางกระหม่อม ก่อนจะไหลรินสลายร่างของลู่ฮานให้ไหลลงไปกับสายน้ำ เดินทางสู่จุดหมายที่เลือกไว้ การเดินทางของชวเนโรก็ไม่ต่างจากเผ่าอื่น มันรวดเร็วและแม่นยำเสมอ เพียงชั่วอึดใจเดียวร่างของลู่ฮานก็มาโผล่ที่ผืนน้ำในอาคารนำสายของมหาวิทยาลัยฟีนูคอนแล้ว
บุ๋ม~...บุ๋ม~...บุ๋ม~
ร่างบางโผล่ขึ้นมาเหนืออ่างน้ำหินอ่อนภายในจุดเดินทางของชาวเนโร ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ มองเพื่อนร่วมรุ่นหรืออาจจะเป็นรุ่นพี่ของเขาค่อยๆเดินขึ้นจากผืนน้ำใส ก่อนจะไปหยุดสายตาที่ผนังหินแกร่งด้านหลัง
...เราเชื่อในสายน้ำแห่งความอารี ยินดีต้อนรับสู่มหาวิทยาลัยของท่าน...
“ผมก็เชื่อเช่นนั้นครับ เทพเนโร”
รอยยิ้มหวานแห่งความภูมิใจผุดขึ้นที่เรียวปากบาง ก่อนที่ขาเล็กจะก้าวเดินออกมาจากอ่างที่ใช้บรรจุน้ำในการเดินทางนั้น แล้วเดินไปตามทางเดินทอดยาวที่ดูเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์แห่งความเก่าแก่ของหินโบราณ ไม่นานก็เจอแสงสว่างจ้าจากหลังคากระจกที่ส่องเข้ามาในโถงรวมทรงแปดเหลี่ยม ลู่ฮานมองไปรอบๆก็เจอเพื่อนร่วมรุ่นจากโรงเรียนผู้ชุบชีวิตแห่งเนโรบ้าง แต่ร่างบางกลับเลือกเดินไปหยุดนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโถง แล้วเฝ้ามองดูหลังคากระจกหลากสีด้วยความสงสัย
...ทำไมต้องมีหลายสีด้วยนะ?...
ความสงสัยเกิดขึ้นภายในใจดวงน้อย ที่เอาแต่จดจ้องความต่างของกระจกพวกนั้น จนถึงเวลาที่เสียงประกาศบอกให้นักศึกษาใหม่ทุกคนเตรียมเข้าพิธีปฐมนิเทศ ลู่ฮานจึงยอมละความสนใจนั้น แล้วออกเดินไปที่อาคารรวม รุ่นพี่มากมายที่เขาเองก็รู้จักบ้างไม่รู้จักเสียเยอะ ยืนล้อมรอบที่นั่งที่จัดไว้ตามรหัสของนักศึกษาใหม่ ลู่ฮานเดินไปที่นั่งของตนเองได้ไม่ยาก เพราะมันก็แค่เดินไปให้สุดทาง แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวก่อนสุดท้ายเท่านั้น
“เอ้า?!”
เสียงหวานเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นใบหน้าสวยของคนที่นั่งอยู่ก่อน ลู่ฮานจำได้ดีว่าคนๆนี้ชื่อว่า อี้ชิง ถ้าจำไม่ผิดเป็นคนของเผ่าอเนโมส ไม่รู้ว่าเพราะอะไรพอเห็นร่างเล็กนี้ สายตามันพาลกวาดหาร่างสูงจอมหงุดหงิดนั่นขึ้นมา
“เอ่อ...ชื่อลู่ฮานใช่มั้ยครับ”
“ใช่ๆ ไม่ต้องพูดสุภาพขนาดนั้นหรอก ก็เพื่อนกันนินะ”
“อือ...ว่าแต่นายมองหาที่นั่งของตัวเองอยู่เหรอ”
“เปล่าหรอก ฉันนั่งตรงนี้น่ะ”
ลู่ฮานหยุดนั่งลงที่ข้างอี้ชิง แล้วหันมายิ้มให้ด้วยความขบขัน ก่อนจะอดระแวงไม่ได้ว่าเซฮุนจะโผล่มาหาเรื่องอีกรึเปล่า
“แล้วนายหาอะไรรึเปล่า ฉันอาจช่วยได้นะ”
“คือ...จะว่าไงดีล่ะ...ฉันมองหาเพื่อนนายคนนั้นน่ะ”
“หือ?...เซฮุนเหรอ?”
“ใช่ ฉันไม่อยากเจอหมอนั่นเลย ชอบหาเรื่องฉัน”
“ไม่หรอก จริงๆเซฮุนก็เป็นคนดีนะ”
“ถึงจริงๆจะดีแค่ไหน แต่กับคนแบบนั้น อย่าเจอกันบ่อยๆเลย”
แต่โบราณมักว่าไว้ไม่เคยผิด หากเกลียดสิ่งไหนก็จะได้สิ่งนั้นไม่คลาดคลา เหมือนอย่างที่ตอนนี้ ตากลมโตพยายามอ่านชื่อรูมเมทซ้ำไปมา เหมือนหวังว่าชื่อบนกระดาษแผ่นนี้มันจะเปลี่ยนไปได้ เดินจ้องมาตลอดทางจนถึงหน้าหอก็ไม่มีทีท่าจะเปลี่ยนไปจากเดิม จนต้องถอนหายใจแล้วพยายามบอกตัวเองว่าอาจจะเป็นแค่คนชื่อเหมือน
ฟิ้ว~
กระดาษใบน้อยปลิวไปกับลมที่พัดผ่านความเงียบรอบกาย เหมือจะเยาะเย้ยว่าเขาไม่มีทางคิดผิดหรอก คนที่มีชื่อแบบนั้นในชั้นปีคงมีไม่กี่คน และ ที่แน่ๆคือคนที่นั่งอยู่บนเตียงอีกมุมของห้องก็คุ้นตากันดี ที่แปลกคือวันนี้เซฮุนทำเป็นไม่สนใจเขา อาจจะบอกได้ว่าคนๆนี้ลืมเขาไปแล้ว แต่ถ้าเป็นแบบนั้นก็น่าจะมีมารยาทในการทักทายเพื่อนใหม่หน่อยสิ
...หมอนี่คงเป็นพวกมารยาททรามแก้ไม่หายแน่ๆ...
“สวัสดี”
สุดท้ายลู่ฮานก็เลือกจะทักออกไปก่อน เพราะเห็นว่าอย่างไรเขาก็เข้ามาที่หลัง เซฮุนเงยหน้าข้นไปมองนิ่งๆ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางลืมร่างบางที่เพิ่งปรับทุกข์หนักกับเขามาหรอก เขาก็แค่ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไรกับคนตรงหน้านี้ต่างหาก เขารู้ดีว่าจะต้องเป็นคนๆนี้ที่เดินเข้ามาอยู่อีกฝากของห้องเล็กนี้ เขาจำชื่อลู่ฮานได้ดีจากจ่าหน้าซองของจดหมาย รู้ว่าไม่มีใครอีกแล้วที่ใช้ชื่อนี้นอกจากร่างบาง
...โคตรตลก...
เซฮุนมองว่ามันตลกมากที่เขาจับได้ชื่อของลู่ฮาน เขากำลังคิดว่าถ้ายังไงก็ต้องมาอยู่ด้วยกันแบบนี้ เขาจะเก็บจดหมายกองโตของบ้านร่างบางไว้ทำตั้งหลายวัน เพียงเพราะต้องการทำใจก่อนได้เจอกันอีกครั้ง
...บทจะเจอก็ง่ายเหมือนเทพเจ้าเล่นตลก...
“จะมาทักฉันทำไม”
“หือ?”
พูดออกไปแล้วก็อยากตบปากตนเองให้เลือดกลบ ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชินกับการพูดจาร้ายๆใส่คนตรงหน้านัก แถมพอพูดออกไปแล้วก็ไม่กล้าหลบสายตา เพราะกลัวจะโดนหาว่าไม่แน่จริงเสียอีก
...เซฮุนมันเป็นคนยังไงกันนะ!...
“กะ...ก็แค่ทักตามมารยาทที่ดีน่ะ”
“ไม่ต้องมีมารยาทกับฉันก็ได้”
ความหมายของเซฮุนก็แค่อยากบอกว่าเขาไม่ใช่คนมารยาทดี เพราะฉะนั้น ลู่ฮานก็ไม่จำเป็นต้องมารยาทดีกับเขา มันทำให้เซฮุนเริ่มรู้สึกผิดที่มีแค่ตนเองที่ทำตัวแย่ๆ แต่ความหมายในหัวลู่ฮานนั้นลบจนเข้าขั้นอินฟินิตี้ไปแล้ว
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะทักคนไม่มีมารยาทแบบนายหรอก ก็แค่คิดว่าต้องลำบากใจอยู่ด้วยกันจนเรียนจบเท่านั้นแหละ!”
ร่างสูงเหลือกตามองด้วยความหงุดหงิดใจ ทั้งที่เขาพยายามจะให้สถานการณ์กับรูมเมทคนนี้ดีขึ้นแล้วแท้ๆ แต่ร่างบางกลับทำท่าทางหยิ่งใส่เขา เหมือนเขาไม่มีค่าพอให้ต้องมารู้จักด้วย
“ไม่อยากทัก แล้วจะมาเสแสร้งใส่ฉันทำไมตั้งแต่แรก หรือคิดว่าฉันลืมเรื่องที่ร้านเสื้อผ้าไปแล้วห๊ะ!”
“ฉันไม่ได้เสแสร้งนะ!!”
“เหรอ?”
“แล้วอีกอย่าง เรื่องที่ร้านเสื้อผ้าฉันก็ไม่ได้ทำอะไร ทำไมต้องเป็นฉันที่หวังจะให้คนแบบนายลืมเรื่องนั้นด้วย นายต่างหากที่ต้องขอให้ฉันลืมเรื่องไร้สาระนั่น แล้วหันมาทำใจว่านายมันก็แค่คนใจแคบคนหนึ่ง!!!”
“ฉันก็ไม่ได้ใจแคบ นายกล้าดียังไงมาว่าฉันใจแคบ ห๊ะ?!”
“แล้วนายมีสิทธิ์อะไรมาว่าฉัน เสแสร้ง ห๊ะ?!”
“นายมันเป็นรูมเมทที่แย่ที่สุด!!!”
“ถ้าเปลี่ยนกับคนอื่นได้ ฉันก็ไม่อยู่กับคนแบบนี้หรอก!!!”
“เชอะ!!!”
แล้วนั่นก็เป็นการจบบทสนทนาแรกของรูมเมทคู่ใหม่ปลามัน ที่สะบัดหน้าหนีไปคนละทางอย่างไม่คิดจะใยดีกัน ต่างคนต่างเก็บของตนเองให้เข้าที่ ใช้โต๊ะวางโคมไฟเป็นตั้งกั้นเขตแดนอย่างชัดเจน
“ทำไมต้องมานั่งตรงนี้!!!”
รูมเมททั้งสองได้หันมามองหน้ากันอีกครั้งระหว่างรอเพื่อนๆ เพื่อร่วมทานอาหารค่ำมื้อแรกร่วมกัน ทั้งที่เซฮุนก็มั่นใจว่าเขาเดินแยกไปอีกทาง และเลือกที่นั่งตรงนี้ตั้งแต่เดินเข้าประตูมา แต่ไม่รู้ทำไมสุดท้ายเขาก็นั่งลงพร้อมลู่ฮานที่เดินมาจากอีกทางอยู่ดี จึงอดไม่ได้ที่จะหันไปตวาดถาม เป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างบางก็หันมาทำเช่นเดียวกัน
“ฉันถามก่อน!!!”
ทั้งสองประสานเสียงตีหน้าขึงขังใส่กันอีกครั้ง จ้องสายตาไม่ลดละเหมือนว่าหากมีใครสักคนเดินแยกไปก่อนคือผู้แพ้ เพื่อนและรุ่นพี่ร่วมหอพักฝั่งเย็น ต่างหันมามองทั้งสองที่เตรียมสาดคำไม่เหมาะสมใส่กันอย่างลุ้นระทึก
“ฉันนั่งก่อน นายจะไปนั่งที่ไหนก็ไปเลยไป ฉันอยากกินมื้อค่ำที่มหาวิทยาลัยอุตส่าห์เอามาต้อนรับฉัน อย่างมีความสุขสักหน่อย”
“ฉันต่างหากที่นั่งก่อน และ นายนั่นแหละที่ต้องลุกไป เพราะฉันก็อยากจะกินให้มันอิ่มมากๆ คืนนี้จะได้ไม่ต้องมาทนฟังเสียงกรนน่าเกลียดของนาย”
“รู้ได้ไงว่าฉันกรน”
“ก็นายชอบกินลมนิ กินเข้าไปมากคงต้องกรนเสียงดังมากแน่ๆ”
“แล้วอย่างนายล่ะ ชอบกินน้ำมากๆ คืนนี้คงนอนน้ำลายไหลลงมายันคอแน่ๆ”
“ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้นสักหน่อย!”
“แล้วฉันเป็นอย่างที่นายพูดรึไง?!”
“ปากพล่อย!!!”
“นายนั่นแหล่ะ ปากเสีย!!!”
“ไอ้เซฮุน!!!”
“แกเรียกฉันว่าไงนะ!!!”
คราวนี้เลยกลายเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีขึ้นมาเสียอย่างนั้น พอลู่ฮานเริ่มเรียกเซฮุนด้วยคำไม่สุภาพ เซฮุนก็ตอกกลับจนลู่ฮานหน้าสั่นไปด้วยความโกรธเช่นกัน
“ก็เรียกว่า ไอ้เซฮุน ไอรูมเมทเฮงซวย ไปอยู่ที่อื่นเลยไป!”
“ฉันอยากอยู่กับแกนักนิ”
“ไปทำเรื่องย้ายเลยมั้ยละ”
“ถ้าทำได้ฉันก็สนอยู่หรอก”
“ใจเย็นสิใจเย็น เวลาดีนะที่เราได้มากินข้าวด้วยกัน อย่าทำเสียบรรยากาศ”
แบคฮยอนพูดขึ้นเป็นการเตือนทั้งสองคน ให้รู้ถึงสายตาที่มองมาจากทั้งชาวเผ่าอเนโมส และ ชาวเผ่าเนโร ที่เหมือนเตรียมจะฟาดฟันหากเรื่องร้ายลามมาจนถึงเผ่าพันธุ์ อี้ชิงที่ไม่รู้เดินมาจากไหนก็ดันทั้งสองห่างออกจากกันมากขึ้น แล้วแทรกร่างกายลงไปตรงที่นั่งระหว่างเพื่อนทั้งสอง ทำให้เซฮุน และ ลู่ฮาน จำต้องลดรากันไปก่อนอย่างช่วยไม่ได้ โต๊ะอาหารจึงเข้าสู่ความปกติได้เสียที
“มองอะไรเหรออี้ชิง?”
เสียงของแบคฮยอนดังขึ้น ทำให้ลู่ฮานที่กำลังดื่มน้ำทิพย์ด้วยความเอร็ดอร่อยหันไปมองตาม เห็นแล้วว่าคนที่อี้ชิงมองอยู่คือรุ่นพี่คนดังของฟีนูคอน ลูกชายของคนใหญ่คนโตของมหานครฟีนูคอน...พี่คริส นี่เอง
“อย่าไปมองเขาสิอี้ชิง”
“แต่เขามองเราก่อนนะแบคฮยอน ดูเหมือนพี่เขาไม่ค่อยชอบเรา”
“มันเป็นเรื่องธรรมดาที่อธิบายยากนะอี้ชิง เรื่องระหว่างสายเลือดของโฟเธียและอเนโมสเนี่ย มันต้องย้อนไปไกลถึงอดีตกาล มันเป็นความเกลียดชังที่สั่งสมกันมาตามสายเลือด ถึงเราไม่อยากเกลียดแต่จิตวิญญาณก็จะต่อต้านอยู่ดี”
“จิตวิญญาณไม่สามารถทำแบบนั้นได้หรอก...”
เสียงนุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างใจเย็น แต่มันกลับสะกดให้ทุกคนต้องหันไปมองด้วยความสนใจ แม้แต่เซฮุนที่ก็เห็นด้วยกับที่แบคฮยอนพูด ก็ยังอดหันไปมองคนแปลกหน้าที่นั่งถัดจากลู่ฮานไปไม่ได้
...ใครกัน?...
“...นายอาจคิดว่านั่นคือเรื่องจริง แต่นายจะรู้ได้อย่างไรว่าเรื่องเล่าใดล่อหลอกกันล่ะ คัมภีร์แห่งการถือกำเนิดเกิดขึ้นจากผู้มีความเชื่อและศรัทธา หากแต่นั่นไม่ได้มาจากวาจาแห่งผู้ถือครอง มันก็ไม่ต่างอะไรจากนิยายปรัมปราที่คนเราเขียนขึ้น นายไม่มีวันรู้ว่าสิ่งใดคือความจริง สิ่งใดคือความเท็จ เพราะนายไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ใช่หรือไม่”
คำพูดนิ่งๆที่เต็มไปด้วยหลักการ ทำให้ทุกคนต้องนิ่งฟังโดยเฉพาะลู่ฮานที่รู้ดีว่าคนตรงหน้าเป็นชาวเนโร เป็นคนเดียวกับที่สร้างความอึดอัดใจให้กับเขาในร้านไหมพรมนั่น ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะกลายเป็นเพื่อนร่วมรุ่นของเขาเสียได้ คนที่พูดเหมือนรู้จักชาวเนโรดีกว่าสิ่งใด ทำไมถึงกลับกลอกพูดจาเหมือนไม่เชื่อในคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดเสียได้
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันอี้ชิงนะ”
“ยินดี”
คำตอบรับสั้นๆจบลงที่ต่างคนต่างหันไปที่อาหารตรงหน้าตนเอง ที่เพิ่งลอยเข้ามาจากทางประตูใหญ่ ลงสู่โต๊ะอย่างเรียบร้อยไร้ที่ติ ร่างบางยอมละความไม่พอใจที่ก่อขึ้นในใจไว้ แล้วหันกลับมาสนใจอาหารละลานตาตรงหน้า หยิบน่องไก่ย่างมาทานด้วยความหิว แต่เพราะเห็นว่าอี้ชิงเอาแต่เหลือบมองเพื่อนข้างๆที่นั่งทานถัดจากเขาไปคนเดียว ลู่ฮานจึงหันไปหยิบน่องไก่อีกชิ้นเพื่อเรียกความสนใจจากอี้ชิง
“ทานนี่หน่อยสิอี้ชิง เห้ย!!!”
พรึบ!!!
ยังไม่ทันสิ้นเสียงหวาน น่องไก่ที่กำลังถูกส่งให้ก็ลุกเป็นไฟจนมือเล็กต้องโยนลงไปบนโต๊ะแทบไม่ทัน เสียงแตกตื่นของธาตุฝั่งเย็นดังขึ้น ดูเหมือนทุกคนจะไม่ถูกกับความร้อน ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เปลวไฟที่ลุกท่วมน่องไก่บนโต๊ะ โดยเฉพาะลู่ฮานที่รู้สึกแสบมือเพราะฤทธิ์ของอัคคีนั้นไปด้วย
แต่ดูเหมือนความทุกข์นั้นของธาตุฝั่งเย็น จะกลายเป็นเรื่องน่าขบขันของพวกธาตุร้อน เสียงหัวเราะกับคำแซวที่ดังมาเป็นระยะ ยังไม่เท่ากับแววตา และ รอยยิ้มเยาะเย้ยที่พวกเขาได้รับ
...แกล้งอี้ชิงเหรอ?...
เซฮุนสังเกตเห็นแววตาคมของรุ่นพี่ชาวอฟาไตรที่มองมาที่เพื่อนของเขา และ เห็นแววตาโกรธแค้นของอี้ชิงเช่นกัน เขาเองก็โกรธจนอยากจะร่ายเรียกลมให้พัดเสียให้กระเจิงกันไปข้าง แต่ที่ทำก็แค่รอดูว่าความโกรธแค้นของเพื่อนร่วมเผ่าคนนี้ จะทำให้มัน สาสมกับคำเยาะเย้ยนั้นได้มากแค่ไหน
...อยากรู้ว่าอี้ชิงทำอะไรได้บ้าง...
“เห้ย?”
“อี้ชิงจะทำอะไรน่ะ ออกมาเถอะ!”
อี้ชิงเดินเข้าไปหาน่องไก่บนโต๊ะท่ามกลางเสียงห้ามของเพื่อนๆ เซฮุนได้แต่ผงะไปเพราะตกใจในความบ้าดีเดือดของอี้ชิง เขาถูกสั่งสอนให้อย่าเล่นกับไฟ มันเป็นเรื่องน่ากลัวที่สุดของชาวอเนโมส แต่กับอี้ชิงที่เติบโตมาในสังคมของฟิสสิเพรสกลับใจแข็งพอจะเดินเข้าไปหามัน ร่างเล็กนั้นไม่สนแม้แต่มือของลู่ฮานที่พยายามดึงไว้ด้วยซ้ำ มือเรียวราดน้ำลงไปบนน่องไก่นั้นได้สำเร็จ ผายมือออกสู่น่องไก่ที่ไหม้เกรียมพร้อมโบกไปมา ทุกคนมองด้วยความเป็นห่วงอี้ชิง ต่างจากชาวอเนโมสที่มองดูการกระทำนั้นด้วยใบหน้าสะใจ
...สายลมนั้นช่างเป็นทาสที่แสนดีเสมอ...
ฟิ้ว!~
“เห้ย!!!”
“ตายแล้วอี้ชิง!!!”
หลังจากน่องไก่นั้นบินผ่านหางตาของคริสไป เพื่อต่างส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าอี้ชิงจะปล่อยแรงโกรธออกไปมากขนาดนั้น เซฮุนที่มองด้วยความสะใจตอนแรกยังถึงกับผงะ นี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลยที่พวกอิลคอลลี่ธรรมดาๆอย่างพวกเขา อาจหาญถึงขนาดกล้าทำให้พวกอฟาไตรเจ็บตัวขนาดนี้ มันก็คงเหมือนการที่เราเดินเอาไม้ไปตีหัวตำรวจในสถานีตำรวจล่ะมั้ง
...เขาคงลืมบอกอี้ชิงไปแน่ๆ...
“นายทำอะไรเนี่ยอี้ชิง!”
เซฮุนเดินเข้าไปจับแขนของอี้ชิงที่เหมือนจะไม่ได้สติเท่าไร แล้วถามออกไปด้วยความเป็นห่วง ถ้าเป็นอฟาไตรคนอื่นเขาก็คงมีทางออกให้เพื่อนได้บ้าง แต่กับอฟาไตรคนนี้คงต้องบอกว่าไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว
“กล้าดียังไง!!!”
เซฮุนรีบดึงร่างของเพื่อนให้ถอยมาด้วยสัญชาตญาณ ต่างจากรุ่นพี่หลายคนที่รู้กิตติศักดิ์ของร่างสง่านั้นดี จึงถอยออกไปเหมือนเป็นการเปิดทางให้คริสได้ทำร้ายอี้ชิงเสียด้วยซ้ำ คริสเองก็ตั้งใจจะพุ่งเข้าวาดร้ายแต่กลับต้องชะงัก เพราะอาจารย์สาวคนหนึ่งมายืนขวางกั้น พร้อมกล่าวคำพูดที่น่าเกรงกลัวที่สุดสำหรับนักศึกษาแห่งมหาวิทยาลัยฟีนูคอน
“คุณคริส คุณอี้ชิง ท่านอธิการต้องการพบพวกคุณที่ห้องท่านอธิการบดี เดี๋ยวนี้!”
...ห้องท่านอธิการบดี...
“อูย~”
ถึงจะรักเพื่อนมากแค่ไหน แต่พอทุกคนได้ยินคำประกาศิตนี้ ต่างก็รู้ดีว่ามีหน้าที่เดียว คือกลับไปนั่งที่ของตัวเองและสงบปากสงบคำของตัวเองเข้าไว้ พวกเขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะต่อกรกับอธิการบดีได้ หากยังอยากมีชีวิตรอดอยู่ที่มหาวิทยาลัยฟีนูคอนอย่างสงบจนจบปีสุดท้าย
“หือ?”
“นายรีบไปดีกว่านะ ก่อนที่เธอจะร่ายสายฟ้ามาดึงไป”
ลู่ฮานเอ่ยเตือนอย่างรู้ความสามารถของอธิการสาวดี เขาเคยได้ยินมาว่าอธิการบดีสาวคนนี้เคยเป็น ผู้ล่าแห่งโบโลนี มาก่อน และ ตามคัมภีร์แห่งการถือกำเนิดก็บอกไว้ชัดเจน ว่าสตรีคนใดถือครองเป็นผู้ล่าได้นั้น ถือว่าเป็นผู้สืบทอดสายเลือดโบโลนีที่แกร่งกล้าที่สุด หมายถึงชาวสายฟ้าเชื่อว่าสตรีนั้นคือนักรบที่แข็งแกร่งกว่าชาย ทั้งมารยาสาไถยากจับตัว
...สตรีคือเพศที่น่ากลัวกว่าบุรุษ เมื่อนางโกรธเสมอ...
“อือ”
“โชคดีนะ”
“เราจะรอนายจนกว่าจะได้กลับมา เจอกันที่หอนะ”
“อ่า~”
อี้ชิงรับคำด้วยเสียงแปลกๆ ก่อนจะก้มหน้ารับสภาพแล้วเดินไปกับคริส โดยมีอาจารย์คนเดิมเดินนำไปทางห้องอธิการบดี ก่อนที่มื้ออาหารค่ำในคืนแรกจะดำรงต่อไป
<<< The Phonucorn…ตรวนกาฬวาต >>>
The Phonucorn – Chapter 2.2
สวัสดีค่ะนักอ่านทุกคน
พรุ่งนี้มีใครจะไปเจอแอมที่งานฟิคบ้างคะ เจอกันบูธ A4 ตั้งแต่ 11.30 – 15.00 หรือ จนกว่าของจะหมดนะคะ เอาไปไม่เยอะเท่าไรเพราะแอมต้องรีบกลับบ้าน หวังว่าจะเจอกับทุกคนที่ติดตามนะคะ^^
ความคิดเห็น