-สาสน์จากพระราชวัง
ขณะนี้ผู้ต้องโทษประหารชีวิตในภาพนามว่า 'เจเดน เวอร์โกรัส เกรโนเวอร์' หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ 'กระต่ายเฮงซวย ไอ้หัวแดงยิ้มมรณะ ไอ้เด็กแม่ทิ้ง ไอ้สุนัขเจ้าเล่ห์ สามีในอนาคต ฯลฯ' ได้ทำการหลบหนีออกจากคุกใต้ดินไปเมื่อคืนก่อนซึ่งตอนนี้ไม่มีใครทราบว่ามันได้หายไปก่อเรื่องฉิบหายที่ใดอยู่ ผู้ใดสามารถจับบุคคลอันตรายนี้จะได้รับเงินรางวัลตอบแทนจำนวนมหาศาลจากพระราชวัง หากมีใครพบเห็นก็โปรดแจ้งให้อัศวินได้ทราบโดยด่วนที่สุด
ขอให้ทุกคนโชคดี-
ข้าหรี่ตามองใบประกาศจับที่ติดตามต้นไม้ทั่วบริเวณอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาคมจับจ้องไปยังใบหน้าของชายในรูปด้วยความขุ่นเคืองที่มีอยู่เต็มอกโดยไม่ได้ใส่ใจข้อความที่เขียนกำกับไว้แต่อย่างใด
..ข้าสนเพียงแค่ว่า ใครกันแน่ที่บังอาจวาดใบหน้าหล่อๆของข้าออกมาได้ห่วยแตกขนาดนี้!!?
เห็นแล้วก็อดอารมณ์เสียไม่ได้ ผู้ใดกล้าวาดหน้าข้าออกมาได้อัปลักษณ์ถึงเพียงนี้ จมูกก็ใหญ่ ตาก็โตจนแทบจะเต็มหน้ากระดาษ เส้นผมสีแดงแค่สามเส้น ไหนจะรอยยิ้มหลอนๆที่กว้างถึงใบหูราวกับคนปากฉีกนั่นอีก —นี่มันเทียบไม่ติดกับความหล่อที่เหล่าสตรีน้อยใหญ่ต่างพากันลุ่มหลงของข้าเลยสักนิด! เหอะ อย่าให้รู้นะว่าใครเป็นคนวาด ข้าจะไปตัดมือมันแล้วเอาไปให้หมากินซะ!!
หากแต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ที่ข้ามีเรื่องให้ต้องไปสะสางและมีแค้นที่ต้องชำระอยู่ จึงได้แต่กระชากใบปลิวนี้ออกมาแล้วขยำไม่ให้เหลือชิ้นดีก่อนจะฉีกทิ้งเป็นผุยผงอย่างเกรี้ยวกราด ริมฝีปากพ่นถ้อยคำสาปแช่งคนวาดที่ฝีมือตํ่ายิ่งกว่าเด็กสามขวบไม่หยุดขณะใช้เท้าเหยียบขยี้เศษกระดาษใบปลิวไปด้วยอย่างหงุดหงิด
ให้ตายสิ ทำไมถึงมีแต่เรื่องน่าเจ็บไข่อยู่เต็มไปหมด!!
ข้าเสยผมสีแดงเพลิงของตัวเองขึ้นเพื่อไม่ให้ต้องมาเสียอารมณ์กับเรื่องไร้สาระไปมากกว่านี้อีก ก่อนจะนั่งลงหลังพุ่มไม้รกทึบเพื่อซ่อนตัวไม่ให้ใครเห็น สายตากวาดมององครักษ์กว่ายี่สิบนายที่เฝ้ายามรอบปราสาทอยู่จากระยะไกลอย่างพิจารณา ขณะนี้อัศวินบนหลังม้ากว่าสามพันคนได้ออกไปตามล่าข้าทั่วทุกซอกทุกมุม อีกทั้งยังปิดประตูเมืองทุกบานเพื่อกันไม่ให้ข้าหลบหนีออกจากอาณาจักรอย่างแน่นหนา —เรียกได้ว่าเล่นใหญ่กันจริงๆ
แต่พวกเขาคงไม่คาดคิดว่าข้าจะบ้าถึงขั้นโผล่หัวมาที่หน้าพระราชวังแบบนี้ —หึ สงสัยจะลืมไปว่าข้าไม่ทำอะไรแบบที่คนปกติเขาทำกันหรอก
ดวงตาสีเขียวขจีกลอกไปมาอย่างครุ่นคิดว่าจะหาทางแอบเข้าไปในปราสาทได้ยังไงโดยไม่ให้มีพิรุธ หากนี่เป็นเวลาปกติข้าคงใช้วิธีปั่นป่วนองครักษ์พวกนั้นเพื่อสร้างความบันเทิงให้ตัวเองไปแล้ว —แต่ตอนนี้ข้ากำลังรีบจึงได้แต่ใช้แผนที่ตัวเองถนัดที่สุด...นั่นคือการเบี่ยงเบนความสนใจของศัตรู
ข้ากวาดสายตามองไปทั่วรอบตัวอย่างพิจารณาว่าจะใช้สิ่งใดในการหลอกล่อความสนใจจากอีกฝ่าย ก่อนจะหยุดชะงักไปทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงกระแสลมเย็นเฉียบที่พัดมากระทบแผ่นหลังอย่างต่อเนื่อง
ข้าเงยหน้ามองเส้นผมตัวเองที่ปลิวสไวไปตามแรงลมซึ่งกำลังพัดไปทางปราสาทอย่างพินิจพิจารณา ก่อนที่มุมปากจะค่อยๆยกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
อ่า...ข้าว่าข้ามีแผนแล้วล่ะ :)
แสงไฟที่ลุกโชนอย่างผิดปกติในป่าสนรกทึบทำเอาองครักษ์ชั้นผู้น้อยต่างพากันขมวดคิ้วมุ่น ควันสีเทาที่ปกคลุมไปทั่วทั้งป่ากำลังพัดมายังปราสาทตามทิศทางลม...พร้อมกับเปลวไฟสูงที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวพระราชวังในทุกนาที
“เฮ้ย!!! ไฟไหม้!!!!”
เหล่าองครักษ์ที่เฝ้ายามอยู่หน้าปราสาทแห่กันไปช่วยดับไฟในป่าเพื่อไม่ให้มันลุกลามมาสร้างความเสียหายให้กับพระราชวังอย่างกุลีกุจอ —หากบริเวณหน้าปราสาทมีรอยไหม้แม้แต่นิดเดียว องครักษ์เหล่านี้คงถูกอัศวินเล่นงานจนย่อยยับเป็นแน่
ข้ามองภาพความโกลาหลนี้นิ่งๆอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร ก่อนจะสาวเท้าเดินขึ้นบันไดทางเข้าห้องครัวในปราสาทพลางผิวปากไปด้วยอย่างอารมณ์ดี
ดูเหมือนว่าการจุดไฟเผาป่าจะช่วยถ่วงเวลาให้ข้าได้มากพอสมควรน่ะนะ
เสียงผิวปากอันคุ้นเคยที่ดังขึ้นจากไม่ไกลทำเอาจิน คาร์เธเรียนที่กำลังวุ่นกับการเตรียมของหวานไปถวายองค์ชายทั้งสองหยุดชะงัก เขารับรู้ได้ทันทีว่ามันมาจากน้องชายหัวแดงตัวแสบคนนั้น จินกวาดสายตามองเหล่าแม่ครัวคนอื่นๆที่กำลังช่วยเขาทำขนมอย่างลุกลี้ลุกลน
“เอ่อ...พวกท่านช่วยออกไปก่อนได้ไหม”
พวกนางชะงักมือที่กำลังนวดแป้งแล้วหันมามองอย่างงุนงง “ทำไมล่ะ เจ้าจะทำอะไรรึ”
จินมีท่าทีอึกอักตามประสาคนขี้อาย เขาเกาหัวแกรกๆอย่างประหม่า “คือ...ข้าว่าจะลองทำชูโรสสูตรใหม่ให้องค์ชายลองชิมกันน่ะ —แต่ข้าไม่อยากทำพลาด เลยต้องการสมาธิเป็นพิเศษ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง” แม่ครัวยกยิ้มอย่างเป็นมิตร “เจ้านี่ตั้งใจทำงานเสียจริง งั้นพวกข้าจะไปทำแป้งในครัวห้องอื่นแล้วกันนะ”
“ขอบคุณพวกท่านมากนะ”
จินส่งยิ้มให้พวกนางที่กำลังเดินออกไปอย่างอ่อนน้อม เมื่อเขาแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนี้อีกแล้วจึงกวาดสายตามองไปรอบๆอย่างลุกลี้ลุกลน
“เจเดน...ออกมาได้แล้ว”
ข้าปีนเข้ามาในห้องครัวผ่านทางหน้าต่างอย่างไม่เร่งรีบ สายตากวาดมองไปรอบห้องที่เต็มไปด้วยขนมหวานอย่างตื่นตาตื่นใจ ข้าวางกระเป๋าย่ามใส่สัมภาระลงบนโต๊ะข้างๆหม้อผสมแป้งอย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหยิบคัพเค้กช็อกโกแลตขึ้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย
“อ่า...ในที่สุดข้าก็ได้กินอาหารมนุษย์เสียที —อาหารในคุกใต้ดินที่ข้าเพิ่งกินรสชาติห่วยแตกสุดๆ แม้แต่นํ้าเปล่ายังรสชาติเหมือนนํ้าแช่ไม้ถูพื้นเลยด้วยซํ้า นึกแล้วอยากจะอ้วกใส่หน้าคนทำจริงๆ”
“เดี๋ยวเถอะเจ้าเด็กซน การติดคุกไม่ใช่เรื่องตลกที่เจ้าจะเอามาล้อเล่นได้นะ” จินเอ็ดเสียงแผ่วด้วยความเป็นห่วง เขาจับตัวข้าแล้วหมุนไปมาอย่างพิจารณาว่ามีบาดแผลหรือไม่ก่อนจะถอนหายใจออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณพระเจ้า —โล่งอกไปทีที่เจ้าไม่เป็นอะไร”
ข้ากลืนเค้กคำสุดท้ายลงคอแล้วรับแก้วนํ้าที่จินส่งมาให้ขึ้นมาซด “ข้าไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกน่า”
“ว่าแต่..” จินย่นจมูกเมื่อกลิ่นควันลอยเข้ามาในห้องครัวจนต้องอุดจมูกไว้แน่น เขารีบสาวเท้าไปปิดหน้าต่างลงแล้วไอออกมาสองสามครั้ง
“เจ้าเป็นคนจุดไฟนั่นใช่หรือไม่”
ข้าทรุดตัวลงนั่งเอนหลังไขว่ห้างบนเก้าอี้ไม้อย่างสบายๆ “เจ้าน่าจะรู้อยู่แก่ใจ”
“แล้วเจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าวิธีนี้จะช่วยถ่วงเวลาให้เจ้าได้นานเท่าที่ควร” จินถามต่อไปขณะเดินไปหยิบผลไม้มาปอกใส่จานอย่างปราณีตโดยหันมาปรายตามองคนเด็กกว่าเป็นระยะ
ข้าใช้มือทั้งสองข้างหนุนไว้ใต้ศรีษะแล้วปิดเปลือกตาลงอย่างสบายอารมณ์ “ช่วงนี้ลมมรสุมพัดมาจากทางทิศตะวันออก จึงทำให้ปราสาทหลังนี้ซึ่งตั้งอยู่ในทิศตรงข้ามต้องตกเป็นฝ่ายตั้งรับกระแสลมแรงโดยปริยาย —ข้าจึงใช้โอกาสนี้ในการจุดไฟขึ้นเพื่อให้มันลุกโชนมาหาปราสาท และแน่นอนว่าเมื่อลมกับไฟผสานกันแล้วจะโหมกระหนํ่าแผดเผาอย่างไม่มีสิ้นสุด เพราะฉะนั้นหากพวกองครักษ์ไม่อยากให้พระราชวังได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ ก็คงต้องใช้เวลานานมากพอสมควรในการดับไฟ”
จินกะพริบตาปริบๆหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบาย “..เจ้าชักจะพูดจาเหมือนนักปราชญ์เข้าไปทุกทีแล้วนะเจเดน”
ข้าเบิกตาโพลง ใบหน้าหล่อวัวตายควายตะลึงรีบหันไปมองคนแก่กว่าด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่นอย่างไม่พอใจ “ข้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าอย่าพูดแบบนั้นอีก”
จินหัวเราะคิกคักโดยไม่ได้หันมามองข้าแต่อย่างใด “ข้าก็แค่บอกว่าเจ้าชอบพูดจาเข้าใจยากเหมือนนักปราชญ์เท่านั้นเอง มันผิดตรงไหนกัน”
“ผิดตรงที่ข้าเกลียดพวกนักปราชญ์น่ะสิ” ดวงตาสีเขียวกลอกไปมาอย่างเบื่อหน่าย “นักปราชญ์วอลธีเรียแทบทุกคนชอบอวดฉลาดราวกับสมองทำมาจากขี้มูกเทพเจ้า คิดว่าตัวเองมีความรู้แล้วจะประเสริฐกว่าใครอื่นทั้งๆที่อึเหม็นตดเหม็นเหมือนมนุษย์ทั่วไป —ช่างทำตัวไม่สมกับที่เป็นนักปราชญ์เลยจริงๆ”
สิ่งที่ทำให้ข้าแตกต่างจากนักปราชญ์เหล่านั้นก็คงเป็นเพราะข้าจะแสดงความปราดเปรื่องออกมาก็ต่อเมื่อมันจำเป็นเท่านั้น ไม่ใช่ว่าฉลาดแล้วจะเป็นคนดีเลิศกว่าใครทั้งปวงแบบที่นักปราชญ์ในวอลธีเรียส่วนใหญ่คิด
ความฉลาดไม่ได้มีไว้อวด —สำหรับข้ามันมีไว้ใช้เอาตัวรอด
“เจ้าก็อย่าเสียเวลาไปเกลียดคนพวกนั้นเลย” คนแก่กว่ายื่นจานใส่ผลไม้หลากชนิดส่งให้ข้าด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “เอาเวลาไปเกลียดคนที่ทำให้เจ้ากลายเป็นนักโทษประหารชีวิตเสียจะดีกว่าไม่ใช่หรือ”
ข้าลุกขึ้นนั่งด้วยรอยยิ้มมุมปาก มือข้างหนึ่งรับจานผลไม้มาวางไว้ ส่วนอีกข้างก็หยิบหลอดแก้วที่ไอ้เงิงให้ไว้ออกมา “จานไหนที่จะเอาไปถวายองค์ชาย ส่งมาให้ข้า”
จินรีบเดินไปหยิบถาดเค้กช็อกโกแลตก้อนโตสองชิ้นที่วางข้างกันมาให้ ข้าส่งยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างรู้ทันให้อีกฝ่ายทันทีที่ได้เห็นหน้าตาของขนม —เค้กทั้งสองก้อนถูกทำขึ้นอย่างปราณีต มันส่งกลิ่นหอมชวนนํ้าลายหกและดูน่ากินในแบบที่ชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะได้ลิ้มลอง แต่มันดูออกง่ายมากว่าก้อนไหนพิเศษมากกว่ากัน
ข้าชี้นิ้วไปยังเค้กก้อนที่ถูกตกแต่งด้วยรูปหัวใจอย่างสวยงาม “ชิ้นนี้ขององค์ชายเนวิลล์สินะ”
แก้มกลมๆของจินขึ้นสีระเรื่อเป็นมะเขือเทศสุก เขาพยายามอย่างยิ่งในการหลบสายตาข้าแต่ก็พยักหน้ารับเบาๆ
สายตาข้าหันไปสนใจเค้กขององค์ชายทราวิสแทนด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ก่อนจะค่อยๆดึงฝาจุกไม้ที่ปิดหลอดแก้วไว้ออกแล้วราดยาวิเศษลงไปให้ทั่วเค้กจนชุ่ม ไม่นานของเหลวสีม่วงก็ซึมเข้าไปในแป้งขนมในชั่วพริบตาจนไม่เหลือให้เห็นสักหยด
อ่า...ชักอยากรู้แล้วสิว่าเมื่อองค์ชายทราวิสกินมันเข้าไปแล้ว จะส่งผลอย่างไรกับเขาบ้าง
“นี่ยาอะไรหรอ” จินเอียงคอถามอย่างสงสัย
“บอกตามตรง ข้าเองก็ไม่รู้หรอก” ข้ายักไหล่ “แต่ฮิวโก้บอกว่ามันจะทำให้ไอ้กิ้งก่าหัวกล้วยได้รับความหายนะ”
จินพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ “หวังว่ามันจะไม่ส่งผลรุนแรงมากไปก็แล้วกัน..”
“นี่เจ้าเป็นห่วงมันรึ” ข้าหรี่ตามองอย่างจับผิดในขณะที่อีกฝ่ายได้แต่ก้มหน้าเม้มปากราวกับเด็กถูกแม่จับได้ว่ามีความผิด
“ช่างมันเถอะ ข้าคงสงสารผิดคน” จินถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะนำถาดเค้กไปวางไว้ที่เดิมอย่างเป็นระเบียบ “เอาเป็นว่าองค์ชายทราวิสจะได้กินเค้กก้อนนี้แน่นอน —ข้าสัญญา”
ข้ายิ้มรับพร้อมหยิบแอปเปิ้ลสีแดงสดในจานขึ้นมากัดอย่างเมามัน “ต้องอย่างนี้สิ”
“ว่าแต่...เจ้าจะเอายังไงต่อไปล่ะ” คนแก่กว่านั่งลงข้างๆก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด
ข้าค่อยๆหุบรอยยิ้มลงจนหายไปหมดสิ้น ดวงตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างใจลอยด้วยหลากหลายความรู้สึก ก่อนจะตอบกลับไปในที่สุด
“ข้าจะไปหาท่านแม่”
คนแก่กว่าเอียงคอขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ “แต่...เจ้ายังไม่รู้นี่ว่านางอยู่ไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“รู้สิ...ฮิวโก้ใช้เวทมนตร์ตามหานางจนเจอแล้ว”
จินเบิกตาโพลงโดยอัตโนมัติ เขาดูตกใจแต่ก็ดีใจมากในขณะเดียวกันดูจากรอยยิ้มกว้างที่ค่อยๆปรากฎขึ้นบนใบหน้าอย่างมีความสุข “จริงหรอ!? นางอยู่ที่ไหนล่ะ”
ดวงตาสีเขียวมรกตหันไปประสานกับดวงตาที่เป็นประกายของคนตรงหน้าแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นมา
“เฮอร์เรนเดล”
รอยยิ้มของจินหายไปในชั่วพริบตาแล้วแทนที่ด้วยความอํ้าอึ้งพูดไม่ออก คนแก่กว่าอ้าปากพะงาบๆอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง!!?”
เห็นได้ชัดว่าจินไม่สนับสนุนแนวคิดนี้เลยสักนิด..
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือที่จะไปหานางที่นั่น —ถึงแม้เฮอร์เรนเดลจะเป็นบ้านเกิดเจ้า แต่ปัจจุบันอาณาจักรนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากรังของปีศาจ การไปที่นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากการเอาชีวิตไปทิ้งให้สูญเปล่าเลยสักนิด!”
“..แต่การได้เจอหน้าแม่อีกครั้งก็เป็นเป้าหมายในชีวิตเพียงหนึ่งเดียวที่ข้ามี” ดวงตาสีเขียวคมตวัดไปมองคนข้างกายด้วยสีหน้าเรียบนิ่งในแบบที่เห็นได้ยากยิ่ง “สาเหตุที่ทำให้ข้ากระเสือกกระสนดิ้นรนเอาตัวรอดเพื่อจะมีชีวิตต่อไปในโลกอันแสนโหดร้ายนี้ก็เป็นเพราะข้าอยากพบแม่อีกสักครั้งก่อนตาย —นางคือสิ่งเดียวบนโลกที่ข้ารัก”
จินส่ายหน้าไปมาอย่างเชื่องช้าด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ “คิดให้ดีสิเจเดน...มันไม่คุ้มกับการที่เจ้าต้องไปเสี่ยงอันตรายเลยนะ”
ข้าส่งเสียงหัวเราะในลำคอพลางหยิบองุ่นขึ้นมากินเล่นอย่างไม่ทุกข์ร้อนอะไร “เจ้าก็พูดแบบนี้ทุกครั้งที่ข้าจะไปขโมยของ”
“แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่แค่ขโมยของ —เจ้ากำลังจะฆ่าตัวตายทางอ้อม!!”
“ออกัสท์กำลังตามล่าข้า ขืนอยู่ที่นี่ต่อข้าก็ต้องตายคามือเขาอยู่ดี” ข้าหยิบส้มขึ้นมาโยนขึ้นลงด้วยมือข้างเดียวอย่างสบายใจราวกับกำลังพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ “ข้าเลือกที่จะไปเสี่ยงตายบนแผ่นดินบ้านเกิด...ดีกว่าถูกแขวนคอตายในนามของนักโทษแห่งวอลธีเรีย”
จินเม้มปากแน่นด้วยดวงตาที่แดงกํ่าไม่ต่างจากเมื่อวาน เขาซบใบหน้าลงกับมือทั้งสองข้างอย่างอับจนหนทาง “แต่มันเสี่ยงเกินไป..”
นํ้าเสียงที่สั่นเครือทำเอาข้าต้องหุบรอยยิ้มลง ข้ามองร่างอันสั่นเทาของผู้เป็นดั่งพี่ชายอย่างหม่นหมอง มือใหญ่ถูกยกขึ้นไปลูบแผ่นหลังของอีกฝ่ายขึ้นลงโดยอัตโนมัติอย่างแผ่วเบาราวกับคนแก่กว่าเป็นแก้วที่กำลังจะแตกได้ทุกเมื่อ
บางทีข้าก็นึกสงสารจิน เขารักข้าเหมือนน้องชายแท้ๆ แต่ข้ากลับไม่เคยทำอะไรให้เขานอกจากสร้างเรื่องให้เป็นห่วงอยู่ตลอดเวลา
มิหนำซํ้า...ข้ายังคอยตีตัวออกห่างเขาอยู่เสมอจนจินแอบคิดว่าจริงๆแล้วข้ารังเกียจเขา
แต่เป็นเพราะการที่จินทำตัวใกล้ชิดกับคนอย่างข้ามีแต่จะทำให้เขาต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย การอยู่ห่างจากข้าไว้จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว
“ที่ผ่านมาข้าทำเรื่องเสี่ยงตายมามากแต่ก็รอดมาได้ทุกครา —ครั้งนี้เองก็จะเป็นแบบนั้นเช่นกัน”
ข้ากล่าวด้วยรอยยิ้มเพื่อให้คนแก่กว่าได้คลายความกังวลลงไปได้บ้าง จินปาดนํ้าตาบนใบหน้าออกอย่างไม่ใส่ใจนักก่อนจะหันมามองคนเด็กกว่าด้วยดวงตาที่แดงกํ่าอีกครั้ง
“ต่อให้เจ้าฉลาดหรือเก่งกาจสักแค่ไหน แต่ก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีพลังวิเศษอะไร มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาทางรอดมาจากเงื้อมมือฝูงปีศาจนับแสนกับมังกรตัวนั้นได้ —แล้วเจ้าจะเอาอะไรมาการันตีว่าจะมีชีวิตรอดกลับมา”
“เชื่อใจข้าสิ” ข้ายกยิ้มมุมปากแบบที่ทำประจำ “ข้าจะต้องรอดกลับมา...อย่างปลอดภัย”
จินได้แต่ปิดเปลือกตาลงแล้วถอนหายใจยาวออกมาให้กับความดื้อด้านเอาแต่ใจของข้าแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรต่อ เราทั้งสองต่างนิ่งเงียบโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาครู่ใหญ่ ในห้องครัวอันกว้างใหญ่ของปราสาทถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงเคี้ยวองุ่นจากข้าเท่านั้นที่ไม่ทำให้สถานการณ์ดูเงียบจนน่าอึดอัดเกินไป
จินสูดหายใจเข้าเต็มปอดแล้วเอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วในที่สุด “เจ้าจะไปเมื่อไหร่”
“ตอนนี้”
“งั้นข้าจะไปเตรียมเสบียงไว้ให้”
จินลุกเดินออกไปทันทีที่พูดจบ ข้าเลิกคิ้วมองตามร่างของคนแก่กว่าที่กำลังจัดของกินใส่กระเป๋าย่ามอย่างประหลาดใจ “..ข้านึกว่าเจ้าจะห้ามข้ามากกว่านี้เสียอีก”
“ที่ผ่านมาข้าก็ห้ามเจ้ามาโดยตลอด แล้วมันเคยได้ผลสักครั้งไหมล่ะ”
ข้ายกยิ้มอย่างขำขันเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาในอดีต “ก็จริงของเจ้า”
จินเดินกลับมาพร้อมกับเสบียงในมือ เขาส่งกระเป๋าย่ามให้ข้าด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและลำบากใจ “เจ้าจะรอดกลับมาแน่ใช่ไหม”
ข้าชะงักมือที่กำลังจะรับย่ามมาสะพายไว้ ดวงตาสีเขียวมองสายตาเป็นห่วงของคนตรงหน้าแล้วเม้มปากแน่น สมองทำการประมวลผลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะหยิบแอปเปิ้ลที่วางไว้ในจานขึ้นมากัดไปหนึ่งคำแล้วส่งคืนให้จิน
“เก็บรักษาแอปเปิ้ลลูกนี้ไว้ให้ดีล่ะ...ข้าสัญญาว่าจะกลับมากินมันให้หมดหลังจากกลับจากเฮอร์เรนเดล”
คนแก่กว่าเลิกคิ้วขึ้นแต่ก็ยอมรับไปอย่างงุนงง เขามองลูกแอปเปิ้ลสีแดงสดในมือที่มีรอยกัดด้วยความไม่เข้าใจ “กว่าเจ้าจะกลับมา —มันคงเน่าไปแล้ว”
“ก็เพราะแบบนั้นไง ข้าถึงได้บอกว่าจะรีบกลับมากินให้มดก่อนที่มันจะเน่าเสียก่อน” ข้ารับย่ามมาสะพายไว้ด้วยรอยยิ้มมุมปากแบบที่ทำประจำ “เพราะฉะนั้นวางใจเถอะ ยังไงข้าก็ต้องกลับมา”
จินถอนหายใจพร้อมส่ายหน้าไปมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้านี่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด —ยังคงเป็นเด็กดื้อเอาแต่ใจที่ข้ารู้จักอยู่เสมอ”
ข้าได้แต่ส่งเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าจะอยู่ที่นี่นานมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นพวกอัศวินอาจจะตามมาเจอข้าแล้วจินก็จะโดนข้อหาช่วยนักโทษหลบหนีไปด้วย
คงถึงเวลาที่จะต้องไปแล้วสินะ..
ข้าสบตากับอีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างบานนั้นขึ้น ขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามแข็งแรงกำลังจะก้าวออกไปเริ่มต้นการเดินทางแต่ก็หยุดชะงักค้างไว้
สายลมเย็นจากด้านนอกที่พัดเข้ามาปะทะร่างกายทำเอาข้ารู้สึกหนาวขึ้นมากะทันหัน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่นอยู่ครู่หนึ่งด้วยความลังเลก่อนจะค่อยๆเปิดออกแล้วเอ่ยออกไป
“ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะ...ท่านพี่”
ถึงแม้ว่าตอนนี้ข้าจะไม่ได้มองหน้าจิน แต่ด้วยสรรพนามที่ข้าไม่เคยแม้แต่จะเรียกอีกฝ่ายก็พนันได้เลยว่าเขากำลังทำหน้าตกใจราวกับเห็นผีอยู่เป็นแน่
—และแน่นอนว่าหลังจากที่จินตกใจเสร็จแล้ว บนใบหน้าของเขาก็จะประดับไปด้วยรอยยิ้มกว้างแห่งความดีใจ
“โชคดีนะ...เจเดนน้องรัก”
ข้าเดินมานานหลายชั่วโมงจนใกล้ถึงชายแดนอาณาจักรวอลธีเรียเข้าไปทุกที เส้นทางการไปเฮอร์เรนเดลซึ่งเป็นดินแดนต้องคำสาปนั้นไม่ง่ายเลยสักนิด —หลังจากพ้นเขตชายแดนไปได้ก็ต้องมุ่งหน้าสู่ป่ามรณะที่เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าปีศาจ อีกทั้งยังต้องข้ามทะเลโลหิตสุดหลอนนั่นไปอีก รวมๆแล้วระยะทางก็ช่างไกลแสนไกลจนเรียกได้ว่ากว่าจะถึงเฮอร์เรนเดลคงได้เหี่ยวแห้งตายกลางทางเป็นปลาเผาไปก่อนแล้ว
ข้าหยุดเดินกะทันหันเมื่อได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ดังขึ้นจากด้านหลังโดยไม่ได้หันไปมองแต่อย่างใด —และทันทีที่ข้าหยุด เสียงนั้นก็เงียบหายไปโดยปริยาย
หึ...ขี้ขลาดซะไม่มี
“ซ่อนตัวไปก็ไม่มีประโยชน์ —ออกมาได้แล้ว”
สิ้นคำสั่งข้า —เสียงกีบม้าก็กลับมาดังขึ้นอีกครั้ง มันใกล้เข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งหยุดลงเมื่อคนขี่กระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินมาหยุดยืนด้านหลังข้าพอดี ข้ากำลังจะหันไปมองหน้าใครคนนั้นแต่เจ้าม้าที่เดินอ้อมมาหาตรงหน้าดันเรียกความสนใจจากข้าไปเสียก่อน
ม้าตัวนี้มีสีขาว แถมยังมีสัญลักษณ์รูปดอกไม้ที่คุ้นเคยแขวนไว้ที่คออีกด้วย
นี่มันเดซี่...ม้าขององค์ชายทราวิสนี่นา
ข้ายกยิ้มมุมปากอย่างชั่วร้าย —นี่ก็ใกล้ค่ำแล้ว ดูเหมือนว่าป่านนี้องค์ชายคงกินเค้กชิ้นนั้นเข้าไปแล้วสินะ
“อุตส่าห์แอบตามข้ามา คราวนี้มีเรื่องอะ—”
แต่แล้วเสียงข้ากลับหายลงคอไปทันทีเมื่อได้หันไปมองหน้าอีกฝ่ายที่กำลังอยู่ในชุดคลุมสีฟ้าอ่อน —องค์ชายทราวิสยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนไปจากครั้งล่าสุดที่เราเจอกันเลยสักนิด
..แต่ที่เปลี่ยนไปก็คือดวงตาสีเทอร์ควอยซ์ที่กำลังมองมาด้วยสายตาหยาดเยิ้มราวกับต้องมนตร์
“เจเดนจ๋า~~”
..ไหนจะน้ำเสียงกับสีหน้าออดอ้อนเหมือนลูกแมวผิดปกตินั่นอีก ข้าแทบจะแคะขี้หูออกมาแล้วฟังใหม่อีกรอบว่านี่ใช่ไอ้กิ้งก่าหัวทองจอมหยิ่งที่ข้ารู้จักหรือเปล่า
'หมับ!'
“ข้าคิดถึงเจ้าจังเลยที่รัก~”
“!!!!!!??”
'จุ๊บ!'
แล้วทำไมต้องมากระโดดกอดข้า แถมยังบังอาจหอมแก้มแล้วเอาแก้มกลมๆนั่นมาถูไถแก้มข้าแบบนี้ด้วย..
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ยยย!!?
TBC.
TALK :
ความหายนะได้ย้อนกลับมาหาเจเดนเข้าซะแล้ว555555555
บอกเรยว่าทราวิสเวอร์ชั่นนี้น่ารักน่าเอ็นดูมากข่ะ แต่ก็จะสร้างความปวดหัวให้เจเดนอยู่หน่อยๆ...จริงๆคือไม่หน่อยอ่ะ พิแกไม่เกรนขึ้นแน่นอน กร๊าาาาก
จิน คาร์เธเรียนในเรื่องนี้ให้ฟีลพี่ชายข้างบ้านผู้แสนดี คือเป็นคนน่ารักก ตัดภาพมาที่..
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และแท็กสกรีม #JourneyKV ที่เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะคะ ขอบคุณรีดๆทุกคนที่ติดตามผลงานของเราค่ะ I purple you <3
เกลียดการบรรยายของเจเดนมาก ใบหน้าหล่อวัวตายความล้มว่ะซั่นว่ะ5555