ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    -FanFic บารามอส- เวลากับสายลม

    ลำดับตอนที่ #34 : [#33] Ending to Begin - 2 [End]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.8K
      13
      28 ต.ค. 52


                   
    คล้อยหลังอำมาตย์เรเชอร์ไปได้ไม่เท่าไหร่ แขกคนใหม่ก็เข้ามาในห้อง...ทางหน้าต่าง

                    "ทริสทอร์มีธรรมเนียมเข้าห้องคนอื่นทางหน้าต่างงั้นหรือ" เฟรินถามเย้าด้วยรอยยิ้มกว้าง ขณะโรนั่งลงบนขอบหน้าต่างที่ปีนเข้ามา

                    "ก็เฉพาะบางโอกาส" ชายหนุ่มตอบยิ้ม ๆ

                    "จะออกจากคาโนวาลจริง ๆ สินะ" โรพูดเข้าเรื่องทันที

                    "นอกจากชอบย่องมาทางหน้าต่าง ยังชอบแอบฟังคนอื่นคุยกันอีก คิดจะเปลี่ยนอาชีพอีกรอบรึไง" เฟรินส่งเสียงจึ้กจั้กในลำคอ ทว่าโรกลับไม่ถือสากับการหลอกด่าของอีกฝ่าย

                    "ยังคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่หรือไง"

                    เฟรินชะงัก โรมองอาการนั้นด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ตรงมุมปาก เขารู้นิสัยของเฟริน...แม้จะไม่ถึงกับรู้ดีแต่ก็พอรู้...รู้ว่าแม้มันจะปากหมา เหมือนจะไร้ความรับผิดชอบมากแค่ไหน แต่ในใจลึก ๆ ก็ยังโทษตัวเองอยู่ทุกครั้งทั้งเรื่องเมื่อสงครามชิงราชบุตรเขย แข่งหมากรุก กระทั่งเรื่องที่ทำให้คาโลสูญเสียความทรงจำ บางทีคงกำลังคิดว่าถ้าไม่มีมัน...เรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นแบบนี้

                    โรคิดแล้วถอนหายใจ

                    ก็เป็นพวกปากไม่ตรงกับใจนี่นะ

                    "ถึงจะเป็นคนอื่น แต่เรื่องก็อาจจะเกิดขึ้นอยู่ดี ไม่เคยได้ยินรึไง ตำนานรักในวังของพวกนางกำนัลน่ะ"

                    เฟรินหัวเราะลั่น ไม่ต้องเดาให้มากก็รู้ว่าไอ้เรื่องที่พูดก็คงระบาดในทริสทอร์ เธอยังหัวเราะติดต่อกันอีกเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง

                    "แล้วนี่แกมาคาโนวาลทำไม อย่าบอกนะว่าจะมาชวนฉันไปอยู่ทริสทอร์"

                    คิ้วเข้มเลิกสูง ตาสีเขียวฉลาดพราวไปด้วยรอยยิ้ม

                    "อะไรทำให้นายคิดแบบนั้นล่ะ"

                    คนเหมือนจะรู้ทันจึงส่งยิ้มกวนตอบกลับไป

                    "ก็ไม่คิดว่าแกจะมาห้าม แต่ถ้าแค่โผล่มาถามมันก็งี่เง่าไปหน่อย" เฟรินว่าให้คนฟังยิ้มขำ

                    "แล้วคำตอบล่ะ"

                    "เรื่องสิ" เฟรินตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด ใบหน้าหวานหงิกลงเล็กน้อยประมาณต่อว่าอีกฝ่ายสักแต่หาเรื่องมาให้ "แค่สามปีมานี้ก็วุ่นวายจนจะบ้าอยู่แล้ว แล้วนี่แกจะให้ฉันไปปวดหัวต่อที่ทริสทอร์อีกเนี่ยนะ"

                    โรไม่ตอบอะไรนอกจากยิ้มน้อย ๆ อย่างที่ชอบทำ อยากพูดออกไปว่าทริสทอร์...ตัวเขาจะไม่มีวันทรยศอย่างที่คาโนวาลทำ แต่...ถึงพูดไปอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะตอบรับความรู้สึกของเขาได้อยู่ดี

                    รู้...ว่าสิ่งที่เรียกว่าความรักนั้น บางครั้งก็ยากจะลืมเลือน

                    "ถ้าแกชวนไปขโมยของในท้องพระคลังนี่ก็พอจะพูดกันได้ แต่จะบ่อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าพระคลังของแกมีอะไรให้ฉันขโมยมากแค่ไหน"

                    ว่าจบก็ยักคิ้วกวน ๆ ให้ ส่วนคนฟังนั้นได้แต่หัวเราะตั้งแต่อีกฝ่ายพูดว่า 'ขโมย'

                    "งั้นนายคงต้องเข้าไปขโมยทุกวันล่ะ"

                    "เรื่องสิ" เฟรินสวนกลับอีกหน "ขโมยที่ไหนเขาขโมยอยู่ที่เดียว"

                    โรหัวเราะหึ ๆ ก็นึกอยู่แล้วว่ามันคงแถไปเรื่อย

                    "เอาเถอะ ถ้าคิดจะไปขโมยเมื่อไหร่ก็ช่วยส่งจดหมายเตือนมาก็แล้วกัน จะได้วางเวรยามไว้ให้พร้อม"

                    ว่าด้วยรอยยิ้มกว้างให้คนฟังเดาเอาเองว่าที่ว่าพร้อมคือวางเวรยามให้มากขึ้นหรือน้อยลงกันแน่ ชายหนุ่มพลิกตัวเตรียมกระโดดกลับออกไป

                    "โร!"

                    เสียงเรียกหยุดให้คนถูกเรียกหันมามองเจ้าบ้านที่ส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็จะระบายเพื่อเขา...เพื่อเพื่อนคนสำคัญ

                    "แล้วเจอกันใหม่"

                    โรยิ้มตอบด้วยความรู้สึกหลากหลาย ถึงในอนาคตเขาจะรู้ว่าเฟรินกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน แต่อาจจะไม่มีวันได้พบหน้า พูดคุยและหัวเราะไปด้วยกันแบบนี้อีกก็เป็นได้...

                    เพราะสิ่งที่เรียกว่าโอกาส...บางครั้งต่อให้เรียกร้องเท่าไหร่ก็ไม่มีวันได้มา

                    "แล้วเจอกันใหม่...เฟริน"

     


    -------------------------------------



                    เสียงระฆังดังกังวาลแต่ไกลให้คนฟังรู้สึกเศร้าสร้อย แม้แต่สายลมที่พัดแรงต่างก็ยังผ่อนแรงลงคล้ายไว้อาลัย ตาสีน้ำตาลเฝ้ามองความสงบของเมืองหลวงทั้งอิจฉาและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน

                    "มีคนร้องไห้ให้แกด้วยนะ"

                    เสียงนั้นมาพร้อมแขกไม่ได้รับเชิญที่ก้าวเข้ามายืนเคียงข้างร่างที่นั่งอยู่บนพื้นหญ้า ร่างนั้นฉีกยิ้มกว้างก่อนเอ่ยโดยไม่หันมามอง

                    "แน่ดิคิล ฉันออกจะเป็นขวัญใจประชาชนขนาดนั้น"

                    คำยกยอตัวเองทำให้คิลต้องถอนหายใจหนัก อยากถามกลับนักว่าได้ที่ขวัญใจน่ะ เพราะทำตัวดีหรือสร้างแต่เรื่องปวดหัวให้กันแน่

                    ในที่สุดเสียงระฆังก็ขาดหายเหลือเพียงเสียงของสายลมที่ขับกล่อมอยู่รอบกาย พิธีที่เพิ่งจบไปคือพิธีศพของราชินีแห่งคาโนวาล ได้ยินมาว่ามีตัวแทนจากทุกประเทศไม่เว้นแม้แต่เดมอสเข้าร่วมไว้อาลัยด้วย ถัดจากพิธีนี้จะมีการไว้อาลัย งดงานรื่นเริงทั่วคาโนวาลติดต่อกันหกเดือน

    เรียกว่าจัดได้อย่างยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยมนต์ขลังและความเศร้าสร้อยเสียจนเฟรินเผลอรู้สึกเสียใจที่เธอต้องตาย

    แต่ถ้า 'ราชินี' ไม่ตาย...'หัวขโมย' ก็ไม่อาจกลับมา

                    "จากนี้จะไปที่ไหน"

                    คิลถามขึ้นทำลายความเงียบรอบตัว ตาสีม่วงมองตรงไปยังตัวเมืองที่เงียบเหงา หลังวังขนาดใหญ่คือสวนกว้างอันเป็นสุสานหลวง ที่นั้น...คือสถานที่ที่ผู้คนเข้าใจว่ามีร่างของราชินีเฟลิโอน่า วาเนบลีทอดกาย หลับอย่างสงบ แต่แน่นอน...มีเพียงส่วนน้อยถึงน้อยที่สุดรู้ว่าภายในโลงศพอันแสนวิจิตรนั้น...ว่างเปล่า

                    แม้มีเดียจะมีศักดิ์เป็นพระมารดาของพระโอรส แต่ด้วยความผิดที่ได้กระทำ ทำให้คาโนวาลไม่ปรารถนาเก็บร่างของหล่อนไว้ในประเทศ และตัดสินใจส่งร่างนั้นคืนฟรานซ์ตามคำขอของเฟรินแทนที่จะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน

                    "ถามทำไม จะตามไปด้วยรึไง" เฟรินถามกลับเบือนสายตาขึ้นไปมองเสี้ยวหน้าเพื่อนรัก

                    "ถ้าฉันบอกว่าใช่"

                    "ฉันจะได้ถีบส่งแกกลับซาเรส" หญิงสาวพูดต่อทันทีราวกับคาดการณ์ไว้แล้วว่ามันต้องพูดแบบนี้ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกออกมา

                    "กะอีแค่เดินทางคนเดียวจะเป็นห่วงอะไรนักหนา"

                    คราวนี้คนถอนหายใจกลับเป็นคิล ตาสีม่วงก้มลงมองคนที่เริ่มบ่นหงุงหงิงไปตามประสา โดยไม่สำนึกสักนิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง วินาทีต่อมาตาสีน้ำตาลคู่โตก็เงยขึ้นสบ ตามด้วยรอยยิ้มกว้าง

                    "แกจะห่วงอะไรนักวะคิล อย่าลืมสิว่าฉันมีแหวนของพ่ออยู่" ว่าแล้วก็โชว์แหวนให้ดูแล้วสวมลงบนนิ้ว ให้ใบหน้าหวานแปรเปลี่ยนเป็นคมคร้ามดุจชายหนุ่มอกสามศอกที่สุดท้ายก็เป็นได้แค่เปลือกนอก ร่างเล็กที่บอบบางจากการอดมื้อกินมื้อนั่นอาจจะอยู่รอดในสภาวะปกติ แต่ถ้าเกิดเจ้าตัวเผลอไปหาเรื่องใส่ตัวขึ้นมาก็อาจรับมือไม่ไหว (ยิ่งแต่ละเรื่องที่วิ่งเข้าหาผ่านมา มีแต่เรื่องใหญ่ ๆ น่าปวดหัวทั้งนั้น)

                    "ทำไมถึงไม่ลองเริ่มต้นใหม่ล่ะ"

                    จู่ ๆ คิลก็เปลี่ยนมาเป็นเรื่องที่ติดค้างอยู่ในใจมาตลอด เฟรินชะงักเงยหน้ามองแล้วบ่นงึมงำกับตัวเอง

                    ทำไมถึงมีแต่คนถามแบบนี้นะ

                    "ทั้งที่ถ้าเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง แกก็ยังสามารถเป็นราชินีต่อไปได้" นักฆ่าหนุ่มเปรยต่อ แต่คนฟังกลับส่ายหน้าเป็นคำตอบ

                    "มันเป็นไปไม่ได้หรอกคิล"

                    ถ้อยคำนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยและเจ็บปวด ตาสีน้ำตาลหันกลับไปมองบ้านเรือนที่ขึ้นเรียงหนาจนกลายเป็นเมือง เฟรินไล้นิ้วไปตามแหวนเงินวงเล็กก่อนตัดสินใจถอดมันออก กลับไปเป็นหญิงสาวอีกครั้ง

                    "ต่อให้ฉันยังรักคาโลมากแค่ไหน แต่ราชินีของมันไม่มีวันจะเป็นฉันได้อีกแล้ว"

                    เนื้อความฟังเหมือนคนพูดตัดพ้อต่อว่าชะตากรรม ทว่าน้ำเสียงกลับมั่นคงเหมือนคนที่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดมากกว่า

                    คิ้วเข้มเหนือนัยน์ตาสีม่วงขมวดเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ และแม้จะไม่ได้มอง เฟรินก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงสงสัยจึงพูดต่อ

                    "คาโลที่ฉันรักคือคนที่ไม่เอาเรื่องที่ฉันจะขโมยเจ้าชายไปฟ้องปราชญ์เลโมธี คือคนที่ยอมเดินทางไปเดมอสเพื่อซ่อมคทาที่ฉันเป็นคนทำหัก คือคนที่ยอมรับคำท้าสู้กับยักษ์เพื่อให้ฉันเป็นอิสระ คือคนที่ทำทุกอย่างให้ฉันเกลียดเพื่อที่ฉันจะได้ฆ่ามันได้โดยไม่ต้องเจ็บปวด คาโลคนนั้น...มีเพียงแค่คนเดียว"

                    เสียงหวานค่อย ๆ พูด...ช้า...สั่นเครือ ราวกับกำลังบอกกับตัวเองให้ทำใจยอมรับความจริงอันโหดร้าย

                    "และคาโลคนนั้น..."

                    หยาดน้ำใสเอ่อคลอกักเก็บความเจ็บปวดที่แล่นริ้วภายในใจ ก่อนกลั่นตัวไหลลงอาบแก้มขาว

                    น้ำตา...ที่อดกลั้นมานานนับเดือนตั้งแต่ประโยคสั้น ๆ ของคนที่เธอรักในคืนวันนั้น

                    น้ำตา...ที่ไม่ปรารถนาจะเผยให้ผู้ใดได้เห็น

                    "ก็หายไปจากโลกนี้ด้วยน้ำมือของฉันเอง..."

                    ลมหายใจคิลหยุดกึก ยิ่งเห็นหยดน้ำตาที่ไหลลงสู่พื้นโดยไม่มีการห้ามของหญิงสาวผู้เป็นที่รักแล้ว หัวใจก็ยิ่งบีบรัด

                    อย่างที่เขาเคยคิด...

                    เรื่องนี้...หากจะโทษใครสักคน

                    ก็คงเป็นพวกเขาสามคน ที่ไม่เคยพูดในสิ่งที่คิดออกมาตั้งแต่แรก

                    ทั้งคาโล...ที่ไม่คิดอธิบายการกระทำของตัวเองว่าทุกอย่างทำไปเพื่อใคร

                    ทั้งเฟริน...ที่ไม่คิดเค้นถามเอาความจริงจากคาโล

                    และตัวเขาเอง...ที่ปล่อยให้เพื่อนรักทั้งสองเล่นละครเงียบใส่กัน

    นักฆ่าหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้น เอื้อมมือลูบศีรษะคนที่ตนรักแผ่วเบาด้วยความห่วงใยทั้งหมดที่มี

    เขาทำได้แค่นี้ เพราะมือที่จะเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายนั้น...ได้หายไปแล้ว

    ต่างฝ่ายต่างนิ่งเงียบ กระทั่งน้ำตาลได้แห้งเหือดเหลือเพียงคราบจาง ๆ เฟรินจึงยกมือปาดเอาคราบเหล่านั้นออก และหันกลับมาฉีกยิ้มกว้าง

    "ฉันต้องไปแล้ว"

    คำตัดบทที่จะนำไปสู่คำล่ำลา แม้จะรู้ว่ามันไม่ใช่การลาจากอย่างถาวรแต่คิลก็รู้สึกวูบไม่ได้

    "ไม่ว่ายังไง แกก็จะไม่ให้ฉันตามไปด้วย?"

    ไม่ว่าจะในฐานะเพื่อน ผู้ร่วมทาง หรือแม้แต่...คนรัก

    คนถูกถามยิ้มน้อย ๆ

    "ใช่"

    คิลนิ่งไป และในที่สุดก็ยอมพยักหน้าแม้ว่าใจจะพยายามขัดขวางคำพูดของตัวเองแค่ไหนก็ตาม

    "เข้าใจแล้ว"

    "อย่าเศร้าไปเลยน่า!" จู่ ๆ คนที่เพิ่งร้องไห้ไปเมื่อครู่ก็ตบอั่กเข้ากลางหลังนักฆ่าหนุ่ม รอยยิ้มกวน ๆ กลับมาระบายอยู่บนใบหน้าอีกครั้ง

    "ไว้ว่าง ๆ ฉันจะไปเยี่ยมแกที่ซาเรส ถึงตอนนั้นถ้าต้อนรับฉันไม่ดี ของบ้านนายอาจจะหายไปหลายชิ้นหน่อย"

    หมายความว่าต่อให้ต้อนรับดี เธอก็จะขโมยอยู่ดี

    "ถ้าไม่กลัวโดนจับขังก็ตามสบาย" คิลฉีกยิ้มตอบรับคำท้านั้นด้วยความยินดี ส่งผลให้เฟรินลุกพรวดชี้หน้าคู่สนทนาด้วยสีหน้าถมึงทึงทันที

    "อะฮ่า! นี่แกกำลังท้าหนึ่งในสามวิชาประจำตระกูลฉันอยู่ใช่ไหมเนี่ย!"

    คนท้าจึงยักคิ้วแทนคำตอบ ให้คนถูกท้าเปลี่ยนสีหน้ากลับมาเป็นรอยยิ้ม

    "ล้างคอรอดาบได้เลยแก สักวันฉันจะไปยกเค้าให้หมดตูดเลย คอยดูสิ"

    สิ้นคำพูด ร่างบอบบางก็หันหลังกลับ แล้วก้าวเดินจากไปทันทีโดยไม่มีคำล่ำลา

    ตาสีม่วงมองแผ่นหลังเล็กนั้นกระทั่งได้ลับหายไปจากสายตา จึงลุกขึ้นยืน ตาสีม่วงเบือนกลับไปมองภาพเมืองที่เงียบเหงาด้วยรอยยิ้มกว้างพร้อมเอ่ยรับคำท้าแผ่วเบา ฝากให้สายลมนำพามันไปให้หัวขโมยแห่งบารามอส

    "แล้วฉันจะรอ...เฟริน"

    จนกว่าจะถึงวัน...ที่จะได้พบกันอีกครั้ง







    - The End -


    ******************************



    Talk > ในที่สุด...มันก็จบแล้ว!!! จบแล้วเจ้าค่าเอ้ยยยยยยยยย!!!!!!!!!!!

    นับจากวันแรกที่จับดินสอเขียนเรื่องนี้เพราะความนอยระหว่างสอบ ผ่านมาสองปีมีเรื่องมากมายเกิดขึ้น(ในหลาย ๆ ความหมาย)

    อยาก...
    ขอบคุณคนอ่านทุกท่านตลอดสองปีที่ผ่านมา
    ขอบคุณทุกคอมเมนท์ที่ให้กำลังใจเรา อาจจะไม่ทราบแต่ทุกคอมเมนท์ทำให้เรารู้สึกว่าต้องรีบปั่นเพื่อให้ทุกท่านได้อ่าน...จริงๆ นะ (แม้ว่าบางครั้งสปีดมันเต่านรกก็ตาม)
    ขอบคุณทุกคะแนนที่โหวตให้ ซาบซึ้งจริง ๆ ค่ะ T^T

    และ...
    ขอโทษคนอ่านทุกท่านที่ทนความเอาแต่ใจของเรามาจนกระทั่งฟิคเรื่องนี้จบบริบูรณ์


    ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณจริงๆ ค่ะ m(_ _)m


    28/10/09 หนังสือหมดแล้วค่ะ ขอบคุณมากๆ ที่ให้การสนับสนุนเรื่อยมา


    สุดท้าย...ก็ขอฝากออริเรื่องอื่น ๆ ของเราไว้ในอ้อมอกด้วยเน้อ (โฆษณาซะงั้น ^_^" )

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×