ตอนที่ 14 : บทที่ 13
ถางเล่อถงถูกรุมเล่นงานก็เหมือนจะทนต่อไปไม่ไหว แต่ก็ยังอดกลั้นกัดฟันเอ่ยขอบคุณออกมา
“ขอบคุณฮูหยินน้อยที่ช่วยสั่งสอน ข้ามีธุระที่เรือนสมุนไพรจะต้องไปจัดการ ขอตัว” ว่าเสร็จก็ลิ่ว ๆ ออกจากห้องนอนไปแต่ก็ยังถูกตะไล่หลังตามไปติด ๆ
“ไม่ส่ง...”
หลิวไป๋หลงเดินไปประตู ก่อนจะหันกลับมามองหน้าภรรยาที่แสนเด็ดขาดของตนด้วยความประหลาดใจยิ่งนัก เหออี้ผิงก็รู้สึกประหม่าจนต้องเอ่ยถาม
“มองข้าแบบนั้น มีเรื่องอะไรแน่”
“ไม่มีอะไร ข้าเพียงคิดว่าฮูหยินของข้า ช่างเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก”
“ข้าเด็ดเดี่ยวแต่ข้าไม่ได้เข้มเข็งหรอกนะ” เหออี้ผิงตัดพ้อคำชื่นชมนั้นของสามี หลายวันมาแล้วนับตั้งแต่ได้ร่วมหอ หลิวไป๋หลงทำตัวเหินห่างยิ่งนัก จนตนคิดกังวลไปมากมายว่าตัวเองเผลอไผลทำเรื่องผิดพลาดไปหรือเปล่า จู่ ๆ ทำไมอีกฝ่ายถึงได้หายหน้าไป
“ข้าทำอะไรให้เจ้าไม่พอใจอย่างนั้นหรือ” หลิวไป๋หลงดูก็รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังมีอารมณ์น้อยใจบางอย่าง
“ข้าต่างหากเล่า ที่ต้องเป็นฝ่ายถามว่า ข้าทำอะไรให้ท่านพี่ไม่พอใจกันแน่”
“ไม่นี่ ข้าพอใจมาก...” หลิวไป๋หลงเน้นเสียงท้ายประโยค ทั้งสีหน้าและแววตาสื่อความชัดเจนว่าพอใจในเรื่องอะไร
“ถะ ถ้าพอใจ แล้วทำไมท่านต้องหลบหน้าข้าด้วย มาพบหน้าแค่ประเดี๋ยวเดียวก็หายไป ข้าตัวคนเดียวในจวนหลังใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีเพื่อนคุย ท่านยังทิ้งข้าให้อยู่คนเดียวได้ลงคอ”
“ข้าอยู่กับเจ้าตลอดเวลา” หลิวไป๋หลงเผลอเอ่ยความจริงออกไปอย่างไม่ตั้งเพราะไม่อยากให้เหออี้ผิงเข้าใจตัวเองผิด จนเกิดความน้อยใจกับการกระทำของตน ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอยู่เช่นผีจะเรียกว่าอยู่ตลอดเวลาได้อย่างไร
“ท่านพี่อยู่ตลอดอย่างนั้นหรือ...” เหออี้ผิงรู้สึกผิดปกติกับบอกประโยคบอกเล่านั้นของหลิวไป๋หลง แต่ยังไม่ทันได้คำตอบอีกฝ่ายก็เบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่นเสียแล้ว
“ที่ข้าไม่ว่างมาหาเจ้า เจ้าคงเหงามากสินะอี้เอ๋อร์...”
เหออี้ผิงพลาดแล้วที่กล้าเผยความในใจออกไปตรง ๆ เช่นนั้น หลิวไป๋หลงก้าวเท้าเข้ามาใกล้ชิด จับแขนทั้งสองของตนเอาไว้ เชยปลายคางให้เงยหน้าขึ้นมอง
“ขะ ข้า แค่... คือ ใกล้จะเวลาอาหารแล้ว ท่านพี่ท่านก็อยู่กินข้าวกับข้าก่อนสิ” เหออี้ผิงร้อนรนแล้ว วุ่นวายเรื่องอาหารการกินขึ้นมา เลิ่กลั่กมากยิ่งขึ้นเมื่อหลิวไป๋หลงโอบรอบลำตัวของตนเอาไว้แนบชิดกาย “ทะ ทำไมเสี่ยวหยวนยังไม่เอาอาหารมาให้อีกนะ ท่านพี่... ให้ข้าไปตะ...”
“ไม่ต้อง ข้าจะกินเดี๋ยวนี้แหละ”
ที่ว่ามานั่น เป็นอาหารหรือว่าเหออี้ผิงกันแน่ ตนถดตัวเดินถอยหลังหวาดหวั่นกับใบหน้าและแววตาที่จ้องมาเหมือนจะกลืนกินของหลิวไป๋หลงเสียเหลือเกิน อี้ผิงหันหลังกลับไปดู ทำไมยิ่งถอยก็เหมือนยิ่งเดินไปใต้เตียงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมได้ล่ะ
“ไม่รอเสี่ยวหยวนก่อนหรือ...”
“ไม่ต้อง ข้าไม่ชอบให้คนอื่นมองตอนกำลัง ‘กิน’...” หลิวไป๋หลงเน้นคำและเว้นวรรคเล็กน้อย ไล่สายตามองจนทั่วตัวของเหออี้ผิงก่อนจะด้วยคำว่า “อาหาร”
อาหารที่ว่าก็คือเหออี้ผิงสินะ...
เหออี้ผิงล้มไปนอนลงบนเตียงไม่เป็นท่า ไม่รู้ว่าร่างกายหรือใจเรียกร้องกันแน่ ทั้งที่พยายามถอยไปอีกทางแล้วไฉนถึงได้วนกลับมาที่เตียงนอนไปได้ เนื้อตัวเริ่มสั่นเทา ตนประหม่าจนกัดริมฝีปากล่างเม้มไว้เพื่อสะกดกลั้นอารมณ์
“อยากกัดริมฝีปากนั่นบ้าง เห็นเจ้าชอบทำนัก” หลิวไป๋หลงคร่อมตัวอยู่เหนือร่างของเหออี้ผิง พิจารณามองไปทั่วใบหน้าแสนน่ารักนั่นด้วยความหลงใหล ไม่รอให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสโต้ตอบตนก็ก้มลงจูบประทับลงบนกลีบปากนั้น ใช้ปลายลิ้นแซะเล็มอยู่เรื่อยจนอี้ผิงยอมเผยอริมฝีปากรับ
รสจูบช่างดูดดื่มยิ่ง เหออี้ผิงหลงใหลจนลืมสิ้นไม่ทันระวังตัวก็ถูกฟันกัดดึงริมฝีปากล่างอย่างหมั่นเขี้ยว
“โอ๊ย... นี่ท่าน..” เหออี้ผิงร้อง พร้อมกับผลักอีกฝ่ายออกตั้งใจจะต่อว่า แต่อีกฝ่ายก็พูดแทรกเข้ามา...
“อี้เอ๋อร์ เจ้านี่น่ารักจริง ๆ”
หลิวไป๋หลงชมจนคนถูกชมทำหน้าไม่ถูก อุณหภูมิในหายที่เย็นนะเยือกกลับเพิ่มสูงขึ้น ใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอายและอารมณ์ที่ไม่อาจกลั้นเอาไว้ได้ เหออี้ผิงตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างขึ้นมาในเวลาสำคัญนั้น
“ท่านพี่ ข้ารู้ว่าท่านมีความลับบางอย่างเก็บไว้ จะด้วยอาการป่วยของท่านหรือว่าเป็นเรื่องอื่น ข้าจะไม่วุ่นวายขอให้ท่านบอกความลับนั้นแก่ข้า แต่ท่านอย่าเอาแต่หลบเลี่ยงข้าหรือไม่ ในเมื่อข้ามีฐานะเป็นภรรยาของท่าน อย่าน้อยให้ข้าได้ดูแลท่านบ้าง”
คนฟังได้แต่นิ่งเงียบ หลิวไป๋หลงรู้อยู่แล้วว่าเหออี้ผิงเป็นคนฉลาด ต่อให้ไม่ได้บอกความจริงในสักวันหนึ่ง สุดท้ายอีกฝ่ายก็จะรู้ได้ด้วยตัวเองอยู่ดี ตนเหมือนต้องตัดสินใจในเวลานั้นว่าจะเลือกอย่างไร บอกความจริงไปเสียแล้วรอรับผลที่จะเกิดขึ้น หรือว่าเห็นแก่ชีวิตที่เหลือต่อไปจากนี้จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ทรมานวนเวียนอยู่
ความรักคือการให้ หาใช่การครอบครองไม่...
บิดาและมารดาที่ต่างพร่ำพูดว่ารักและห่วงใยเขา แต่กลับใช้ความรักกักขังให้เขาต้องทำทุกอย่างที่ตัวเองต้องการ แม้จะตายจากไปก็ยอมให้เป็นอิสระ ถ้าหากนี่คือความรักที่ว่า... หลิวไป๋หลงก็ไม่ต้องการ
“ข้าจะบอก”
เหออี้ผิงเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ไม่คิดว่าหลิวไป๋หลงจะยอมเผยความจริงให้ฟังเร็วขนาดนี้ อีกใจก็ยินดีว่าอีกฝ่ายไว้ใจและเชื่อใจตนมากพอที่จะเอ่ยความลับที่ไม่สมควรต้องบอกให้ผู้อื่นได้รับรู้
หลิวไป๋หลงพลิกตัวลงไปนั่งบนเตียง ดึงเหออี้ผิงที่นอนอยู่ให้ลุกขึ้นมาแต่ยังกุมมือเอาไว้ไม่ยอมปล่อย แม้รู้ดีว่าร่างกายของตนนั้นเย็นเยือก ตนนั่งอยู่เช่นนั้นสักพักก่อนจะยอมเอ่ยบางอย่างขึ้นมา
“ข้าจะพาเจ้าไปดู เจ้าไม่เหมือนคนทั่วไปก็จริง แต่เรื่องนี้มันก็อาจจะยอมรับได้ยากสักหน่อย”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”
หลิวไป๋หลงเดินนำไปยังเส้นทางที่มีเพียงเท่านั้นที่รู้ เพราะทางปกติพ่อบ้านชราจะคอยดูแลอยู่ตลอด เหออี้ผิงไม่มีวันผ่านไปได้โดยไม่ถูกพบ และถ้าบังเอิญหลุดเข้าไปได้ก็จะถูกสังหารในทันที เหล่าวิญญาณจะคอยรายงานให้พ่อบ้านคนเป็นทราบเสมอ
แต่ทางเดินเส้นนี้จะตรงไปที่หน้าจวนแปดเหลี่ยมหลังเล็กที่ร่างของตนวางอยู่ หลิวไป๋หลงก้าวต่อไปด้วยความรู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็ยังคงเดินต่อไปเพื่อเห็นแก่เหออี้ผิง สุดท้ายก็มาหยุดอยู่หน้าเรือน หากอยากเอ่ยอะไรบางอย่างเสียก่อน
“อี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังจะได้เห็นความลับที่ข้าปิดบังเอาไว้ ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไร ข้าจะไม่โกรธเจ้าเลย”
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อีผีมันได้เค้าเป็นเมียแล้ว ก็คงจะรักเค้าแล้วสินะ สงสารว่ะ!