ตอนที่ 11 : REPORT 10 : แหย่หนวดเสือ
ชายหนุ่มกล่าวลาและโค้งอย่างนอบน้อมหลังส่งออร์เดอร์สุดท้ายให้แก่บ้านคุณป้าคนหนึ่ง ก่อนปิดฝากล่องบะหมี่เดลิเวอรี่จากร้านตัวเองเพื่อจะขี่จักรยานกลับไปยังร้าน
ซอกจินชินพื้นที่รอบๆร้านที่ไปทำงานอยู่อย่างรวดเร็วเพราะการได้ออกไปส่งของหลังจากเสิร์ฟอยู่ในร้านพักหนึ่ง จนกระทั่งได้รับมอบหมายให้ออกไปข้างนอกได้ จึงสบโอกาสเหมาะๆที่จะแอบออกไปเก็บข้อมูลเส้นทางใส่แมพเอาไว้ ทว่าก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรเป็นชิ้นอันเป็นที่น่าพอใจเท่าไหร่ ในเมื่อตนยังไม่เห็นนายเบียกโกะนั่นมานั่งกินอะไรที่ร้านเลย ช่วงนี้เลยตัดเรื่องตามสืบจากข้อมูลสนทนาไปได้ โนฮินท์ใดๆทั้งสิ้น
ทางคุณคู่หูนอกนางนวลเองก็ยังไม่ได้อะไรไปมากกว่าคอยบริการแขกชั้นล่าง จองกุกได้เจอจอยแล้วก็จริงแต่ก็ไม่ได้มีโอกาสเช้าถึงตัวได้มากกว่านั้น เขาบอกว่าจอยดูระวังตัวมากกว่าที่คิด ภายนอกดูเหมือนมานั่งดื่มผ่อนคลายยามดึกธรรมดาแต่อย่างไรคนที่ผ่านการฝึกฝนทั้งการต่อสู้และการดูคนมาแล้วก็ย่อมรู้สึกได้ว่าเธอไม่เปิดช่องว่าง มันแสดงออกมาจากภาษากายและสายตา ดูเหมือนการเป็นพนักงานต่างชาติหน้าใหม่จะยิ่งทำให้กลายเป็นตัวละครที่แปลกแยกจนผิดสังเกต ถึงกับมีวันที่พวกเขาเคยมานั่งปรึกษากันอย่างจริงจังเหมือนกันว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดี ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆมันไม่ดีแน่
“เอาจริงๆนะ อย่าว่างั้นงี้เลย ผมเริ่มไม่แน่ใจแผนที่เราวางไว้กันตั้งแต่แรกแล้วอะว่ามันจะได้ผลมั้ย เราควรจะมีวิธีเข้าหาเป้าหมายเร็วกว่านี้ได้นะครับ” ซอกจินกล่าวพลางส่ายศีรษะ ซึ่งจองกุกเองก็นั่งกุมหน้าผากด้วยสองมือไม่ต่างกัน “ผ่านมาจะสองวีคแล้วเรายังไม่ได้อะไรเลย ผมกลัวว่ามันจะเปล่าประโยชน์ มาเที่ยวยังได้เรื่องกว่าอีก”
“อา...” นายจอนครางอย่างขัดใจอยู่ในคอ รู้สึกลำบากใจกับผลลัพธ์ที่ได้อยู่เหมือนกัน
“เราเปลี่ยนแผนกันได้มั้ย เราอาจจะปรับอะไรได้บ้าง ผมว่าทางนั้นคงไม่ว่าหรอก ดีกว่าไม่ได้งานนะคุณ อย่าลืมสิว่าองค์กรคุณจะอยู่หรือจะไปมันขึ้นอยู่กับงานนี้”
“ผมรู้ๆ ไม่ต้องตอกย้ำน่า”
เป็นครั้งแรกที่ซอกจินเห็นท่าทีเหนื่อยล้าจากอีกฝ่าย จองกุกคิดหนักทีเดียวว่าเขาต้องทำอย่างไรต่อไปดี เพราะใจหนึ่งก็เอนเอียงเห็นด้วยกับคำแนะนำของทางนั้นเหมือนกัน
“ตอนนี้เราเปลี่ยนงานทันทีไม่ได้ โดยเฉพาะผมที่ทำงานในบาร์ แต่ถ้าเป็นคุณที่ทำงานกลางวันแล้วก็ไม่ใช่ที่เฉพาะอาจจะเปลี่ยนได้ มั้ง มันยังมีที่ไหนเข้าถึงตัวเบียกโกะได้อีกนอกจากเข้าไปในบริษัทหมอนั่นนี่แหละ”
“อันนั้นยากสุดเลยนะผมว่า แต่เท่าที่เราสังเกตดู การที่ผมยังไม่เจอเป้าหมายมานั่งกินราเม็งอาจจะอนุมานได้นะครับว่าทางนั้นคงงานยุ่ง หรือง่วนกับอะไรสักอย่างจนไม่มีเวลาว่าง คุณไม่แปลกใจเหรอว่าร้านโปรดที่ต้องหาเวลามากินให้ได้แต่ดันไม่ได้มากินเป็นอาทิตย์แล้วนะ”
“...............” จองกุกขมวดคิ้วสักพักก่อนถามกลับ “....ถ้ามากินที่ร้านไม่ได้ อาจจะให้คนไปส่งก็ได้ ...ไปส่ง... ส่ง.. อ๊ะ!” เขาตาโตอุทานออกมาพลางชี้นิ้วไปข้างหน้า “นี่ไง! คุณเนียนถามที่ร้านสิ ว่ามีออร์เดอร์จากเบียกโกะรึเปล่า”
“อา จริงด้วยสิครับ ผมก็ลืมนึกไปเลย” ซอกจินทุบฝ่ามือ
“คุณไปทำยังไงก็ได้ให้ได้ข้อมูลมาละกัน สำหรับคนช่างจ้ออย่างคุณคงไม่ยากอยู่แล้วเนอะ”
“อันนี้ผมจะถือว่าคุณชมละกันนะครับคู่หู” เขายิ้มกริ่มพลางยื่นนิ้วไปเกาคางเอเยนต์จอนจนถูกตีมือมาอีกรอบ
...ถึงจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ การล้วงความลับจากที่ทำงานเองก็ไม่ง่าย การหลอกล่อเอาข้อมูลต่างจากการเอาทรัพย์เยอะ แค่จุดประสงค์ก็ต่างกันแล้ว วิธีการก็คือไม่เหมือนกันเลย อย่างถ้าต้องการเงินเขาก็แค่สวมบทบาทแล้วใช้การกระทำอันน่าเชื่อถือตามบทที่เป็น บวกหว่านล้อมอะไรอีกนิดหน่อย ส่วนเรื่องนี้เขาต้องพึ่งสกิลการพูดเป็นหลัก การแสดงเป็นรอง มันสำคัญไม่เท่ากันแต่ต้องไปด้วยกัน ทุกอย่างถึงจะเพอร์เฟ็คต์
ก็อย่างที่คาด เจ้าของร้านไม่แพร่งพรายเรื่องข้อมูลลูกค้านอกเหนือจากออร์เดอร์ที่จำเป็น เขาก็เลยลองเพิ่มระดับการเข้าหาอีกนิดเช่นพยายามงัดคำชมอย่างระมัดระวังโดยไม่ให้ดูเหมือนโกหก การใช้ภาษาอันมีรูปสุภาพและชมเชยใช้จนงงนั้นสุ่มเสี่ยงมากหากทุ่มเทกับมันเกินไป คราวนี้ทักษะการแสดงเลยถูกเร่งระดับขึ้นมาอีกเลเวล
“เคยมีลูกค้าคนไหนทำให้ตกใจบ้างมั้ยครับ?”
พอจู่ๆก็ถามขึ้น ทางเจ้าของร้านก็มองกลับมาด้วยแววตาสงสัย
“...อา ผมแค่อยากรู้น่ะครับ ไหนๆผมก็เพิ่มทำงานได้ซักพักแล้ว เลยอยากรู้ว่ามีลูกค้าแบบไหนมาบ้าง”
“ผมไม่อยากทำให้ทางร้านลำบากใจเพราะความอ่อนหัดของพนักงานใหม่แถมเป็นต่างชาติอย่างผม”
“ก็เลยอยากรู้ว่ามีใครที่ต้องบริการแบบพิเศษบ้างรึเปล่าน่ะครับ”
สีหน้าอีกฝ่ายที่ซอกจินลอบสังเกตอย่างพิจารณาภายใต้ท่าทีนอบน้อมดูกังวลมองเห็นถึงแววตาซึ่งปกปิด ‘ความลับ’ บางอย่างเอาไว้ ตาดำสั่นไหวกับสายตาอันไม่โฟกัสสิ่งใดชั่วขณะทำให้สายลับหนุ่มมั่นใจ ว่าข้อมูลที่ได้ยินมาน่าจะมีเค้าลางเป็นไปได้มากขึ้นแล้ว
ตอนแรกก็คิดนะว่าทำแบบนี้แต่แรกก็สิ้นเรื่อง แต่ก็ไม่รับประกันว่าทางนั้นจะกลายเป็นยิ่งสงสัยกว่าเดิมเช่นเดียวกัน คนอะไร เพิ่งเข้ามาทำงานไม่ทันไรก็ถามซอกแซกเสียแล้ว เพราะพอยท์หลักคือต้องสร้างความน่าเชื่อถือและไว้ใจได้ก่อน
เวลานี้ล่ะ เหมาะสมกำลังดี
...แหม่ คุณซีกอลนี่ใช้ได้นะเนี่ย
ส่วนคำตอบที่ได้ก็คือ
“...มันก็มี แต่ช่วงนี้คุณคงไม่เจอหรอกคุณคิม ถ้าเขาจะกินเดี๋ยวนี้ก็สั่งให้ไปส่งที่ทำงานแทนน่ะ ไม่ต้องกังวลหรอก”
“อ๋อ ครับ เข้าใจแล้วล่ะครับ ขอบคุณมากๆนะครับ” ซอกจินยิ้มกว้างและโค้งให้ด้วยความซาบซึ้งน้ำใจ ...ซาบซึ้งกับคำตอบที่ต้องการแล้ว เอาล่ะ ...ทีนี้ก็ หึหึ
ตอนนี้นายคิมมั่นใจว่าทางร้านคงไม่ติดใจอะไรเนื่องจากตนก็ทำงานตามหน้าที่ต่อไป คอยสอดส่องดูแลลูกค้าที่มารับบริการให้ดี จดออร์เดอร์อย่างระมัดระวัง ยกไปเสิร์ฟอย่างเรียบร้อย จนกระทั่งได้คิวออกไปส่งราเม็งข้างนอกร้าน ใบคิวเป็นแบบฉีกที่ทางเจ้าของเขียนส่งมา มีชื่อและที่อยู่เพื่อให้ไปส่งถูกที่ถูกคน แต่ถึงอย่างนั้นในบันทึกบัญชีของทางร้านต้องมีรายชื่อลูกค้าจดไว้แน่
ขอเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงหลังร้านปิดจนแน่ใจเท่านั้น ความลับก็จะอยู่ในกำมือของตนโดยที่ไม่ต้องทำลายสิ่งใด ทุกอย่างจะกลับเข้าที่ได้อย่างแนบเนียนราวกับไม่มีใครแตะต้องมันมาก่อน หลังจากที่เอเยนต์คิมฮาโตะได้ลอบเข้ามาค้นสมุดบันทึกข้อมูลลูกค้าที่จดแยกกับสมุดบัญชีเพราะคิดว่าทางเจ้าของร้านน่าจะนำมันติดตัวไปด้วย เพื่อตรวจสอบค่าใช้จ่ายและรายได้ด้วยตัวเองกับครอบครัว
...ไม่ผิดแน่ ชื่อของหมอนั่น สายลับหนุ่มหรี่ตามองชื่อที่อยู่ซึ่งตอนนี้ถูกบันทึกเป็นข้อมูลภาพเรียบร้อย ไหนๆก็อยู่ในฐานะคนหาข่าวแล้วก็จะไปให้สุด เรื่องดูลาดเลาไว้ใจมิจฉาชีพได้เลย
ซอกจินรอจังหวะหลังเลิกงาน ซึ่งตอนนี้ล่ะที่เป็นโอกาสงามในการแอบส่องที่ทำการของเป้าหมาย วันที่เขากลับไปพร้อมที่อยู่ พวกเส้นทางต่างๆก็ถูกบันทึกเข้ากับมินิ GPS บนนาฬิกาสารพัดประโยชน์แล้วเรียบร้อย อยากจะอวดฝ่ายอุปกรณ์ของหน่วยข่าวกรองพิเศษนี่เหลือเกินว่าเก็บเกี่ยวจินตนาการมาทำของจริงได้ดีราวกับเป็นพาโรดี้หนังสายลับอยู่อย่างไรอย่างนั้น (แต่พวกเขาก็เป็นสายลับจริงๆนี่นา...) เนื่องจากนาฬิกาข้อมือที่ทั้งตนและจองกุกใส่อยู่รองรับระบบพื้นฐานที่ครบวงจร ไม่ว่าจะบันทึกภาพ แผนที่ การเชื่อมต่อกับยานพาหนะที่เซ็ทด้วยบลูทูธ รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารด้วย แค่นี้ก็สุดยอดแล้ว
แหม ถ้าองค์กรที่สามารถประดิษฐ์ของเล่นน่าสนุกแบบนี้โดนยุบไปก็น่าเสียดาย
ชายหนุ่มถอดเสื้อนอกที่เป็นเสื้อคลุมสกรีนชื่อร้านราเม็งที่ทำงานอยู่ออกมาพันเอวไว้เพื่อจะได้ไม่เป็นที่สังเกต ก่อนขี่ลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ได้ศึกษามา พบว่ามันพาไปสู่อาคารสำนักงานรั้วสูงออกแบบแทบจะกลมกลืนกับแนวสถาปัตยกรรมในย่านท่องเที่ยว แต่ข้างในก็คือตึกทำงานหลายชั้นอย่างที่เห็นในเมืองหลวงทั่วไป
...น่าอิจฉาชะมัด - ซอกจินหัวเราะขำอยู่ในใจ
พวกนี้ร่ำรวย กินอยู่สบายบนตึกสูง ส่วนเขาต้องมานั่งทำงานเสี่ยงตายงกๆแบบนี้เนี่ยนะ ยุติธรรมที่สุดเลย
แต่ก็สงสัย ...ถ้าหากว่ามันไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อน ก็คงอาจไม่ได้คิดแบบนี้ แล้วก็ไม่ต้องมาเป็นแบบนี้ก็ได้
ซอกจินเก็บภาพตรงหน้าอีกครั้งเท่าที่ศักยภาพอุปกรณ์จะอำนวย จากนั้นก็กลับจักรยานเลี้ยวเพื่อรีบกลับไปที่พัก ซึ่งคำนวณแบบซิ่งเต็มที่น่าจะไปถึงภายในยี่สิบนาที ช้าไปนิดหน่อยแต่คงไม่เป็นไร
ทว่าหลังจากขี่ออกห่างมาได้ระยะหนึ่ง เขาก็ลดความเร็วลงก่อนเหลือบตาซ้ายขวา เปิดประสาทสัมผัสเพิ่มประสิทธิภาพในการระแวดระวังมากขึ้นเมื่อจู่ๆสังหรณ์ หรือสัญชาตญาณอะไรก็แล้วแต่เริ่มรู้สึกได้ว่ามีอันตรายตามหลังอยู่
สมเป็นแก๊งยากูซ่าเลื่องชื่อ เล็กน้อยไม่ได้ปล่อยผ่านเลย
เอเยนต์คิมฮาโตะตัดสินใจผ่อนความเร็วและเลี้ยวขี่ออกนอกเส้นทางกลับบ้านอยางเนียนๆ อย่างที่บอกว่าตนใช้เวลาในการเป็นลูกจ้างเดลิเวอรี่ด้วยเก็บข้อมูลเส้นทางถนนที่จำเป็นไว้หมดแล้ว อย่างไรก็สบายไม่หลงแน่ แต่ก็หมายความว่าอาจถึงช้ากว่าเดิม ...ถ้ามันไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาแบบร้ายแรงจริงๆน่ะนะ
ความจริงก็อาจกลับไปเลยคงได้อยู่ ทว่าก็ยังเดาไม่ได้เหมือนกันว่าหลังจากนั้นแล้วจะรับประกันได้ไหมว่าพวกมันจะไม่ตามมาส่องถึงที่พัก ถ้าปล่อยไว้ถึงขั้นนั้นก็ลำบากเหมือนกัน
เอาไงดีหว่า มาถึงขนาดนี้แล้ว หรือจะขี่เล่นหลอกมันดี
สายลับหนุ่มใช้เวลาชั่งใจระหว่างขี่จักรยานไปเรื่อยๆ พอปะทะกันก็ไม่ใช่เรื่องดีอีก เอาเป็นจัดว่าแย่เลยด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าเขาจะถูกเปิดเผยตัวเร็วก่อนเวลาอันควร แต่ถ้าจะถูกตามต่อไปยังไงก็ความแตกเข้าสักวัน ไม่ได้การ
...
จริงสิ เราเอา ‘ไอ้นั่น’ มาด้วยนี่นา
ซอกจินหัวเราะในลำคออย่างมีเลศนัยพลางบังคับจักรยานห่างออกไปยังย่านที่อยู่อาศัยแสนสงบ จนตอนนี้เลยเริ่มได้ยินเสียงมอเตอร์ไซด์ที่ขับตามมาได้ชัดเจนขึ้นแล้ว ถือว่าล่อติดกับขั้นแรก เนื่องจากระยะทางจากอาคารทำงานของพวกนั้นมามันก็ไม่ไกลเท่าไหร่ เพียงแต่ตนเลือกวนเข้าซอกนั้นซอกนี้ถ่วงเวลาดูเชิงเฉยๆ
เอาล่ะ ตอนนี้ท่าจะได้ลองเสี่ยงดูอีกสักหน่อย ถ้าไม่ได้ผลค่อยส่งรายงานคอมเพลนไปแล้วกัน
เมื่อถึงทำเลเหมาะๆซึ่งดูแล้วไม่น่าสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างโดยเฉพาะคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ สายลับหนุ่มจึงได้จอดจักรยานแล้วลงมายืนโดยที่มือทั้งสองยังคงจับแฮนด์ประคองตัวรถไว้ ตอนนั้นเองบรรยากาศรอบข้างพลันเงียบสงบลงราวกับตอนนี้กำลังจะมีภัยพิบัติเกิดขึ้น
ใช่ ภัยพิบัติถึงตัวเขานี่ไง
“おい、兄さん 何がある?” (เฮ้ มีอะไรเหรอจ๊ะพี่ชาย)
เขาเอ่ยทักออกไปเมื่อเห็นชายชุดดำพากันทยอยเดินออกมาจากซอยถนนจนล้อมทั้งหัวท้าย ท่าทางตอนนี้ตนน่าจะถูกล้อมเอาไว้แล้ว
“ラーメンを食べたいか?店に行くよ” (อยากกินราเม็งเหรอ ไปที่ร้านสิ)
“お前は誰!?” (แกเป็นใครวะ!?) ชายชุดสูทคนหนึ่งถามกลับ ดูไม่ไว้ใจตนเลยสักนิด แถมทำท่าที่เหมือนจะกำลังเลื่อนไปจับอาวุธที่เหน็บด้านหลังเสียด้วย
“ああ…、これは違う..” (อ่า... นี่มันไม่ใช่ละ) ซอกจินได้แต่ส่ายหน้าพึมพำ ท่าทางจะคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วแน่นอน ก็หมายความว่าเอเยนต์คิมไม่มีทางเลือกอีกต่อไป
ชายหนุ่มถอนหายใจแผ่วเบาก่อนตัดสินใจยกสองมือประสานไว้หลังศีรษะเมื่อขยับขาตั้งจักรยานเรียบร้อย ทว่าที่จริงตนกำลังประเมินจำนวนศัตรูด้วยสายตาคมกริบอย่างเงียบๆขณะที่พวกนั้นทยอยกันเข้าถึงตัวเมื่อเขากำลังแสดงท่าทียอมจำนน(ปลอมๆ)
3 ... เขาเบนสายตาไปทางขวา และเอ่ยคำหนึ่งออกมาเบาๆ
“礼節が” (Manners)
2 ... สายตาเบนไปทางซ้าย เมื่อเห็นคนพวกนั้นชะงักฝีเท้าด้วยความสงสัย
“人を” (Maketh)
1 ... เขามองกลับมายังเบื้องหน้า ก่อนยกยิ้มสนุกสนาน
“作る” (Man)
“...???”
“意味が分かるか?...うんん、では教えてやろ” (รู้มั้ยว่ามันหมายความว่าไง ..อืมม เดี๋ยวผมจะบอกให้)
และตอนนั้นเอง ชั่วเสี้ยววินาที เป็นจังหวะเวลาสั้นๆที่ต่างคนต่างระมัดระวังท่าทีเบื้องหน้าตัวเอง
ซอกจินจึงยกเท้าถีบป้าบเข้าที่ท้ายจักรยานตัวเองจนขาตั้งกระเด้งกลับ มันพุ่งเข้าชนกลุ่มคนที่อยู่ตรงหน้าเข้าอย่างจังจนแนวป้องกันแตกกระจาย
คนหนึ่งเร่งรีบชักปืนออกมาก็ยังไม่ทันสายตาคมดุจพญาเหยี่ยวของสายลับหนุ่มซึ่งดึงเสื้อคลุมที่พันเอวออกมาตวัดพันดึงขาของนายคนนั้นลากจนเสียการทรงตัว หงายท้องหลังกระแทกดังอั้กจนเขาสามารถคว้าปืนมาอยู่ในมือตัวเองได้สำเร็จ ก่อนใช้มันยกขึ้นเล็งขู่คุมเชิงรอบๆ
ดูเหมือนสถานการณ์จะตึงเครียดขึ้นใช่ไหม – ก็แน่ละสิ
เอเยนต์คิมช่วงชิงช่องว่างเพียงน้อยอีกครั้งเพื่อขยับข้อมือซ้ายมาอยู่ใต้ข้อมือขวาที่ถือปืนอยู่ พร้อมพลิกข้อมือขึ้นกดปุ่มสั่งการยานพาหนะที่เพิ่งเตะใส่ไปเมื่อครู่ให้เร่งเครื่องถอยหลังกลับมาไล่กวาดชนจนคนพวกนั้นต่างก็เอะอะตกใจ วิ่งหนีโดยไม่รู้เลยว่าพวกเขาถูกต้อนให้มารวมกันด้วยแผนการของซอกจินแล้ว
“てめぇぇぇぇぇ!!!!” (มึง!!!!!!)
“遅いよ ♥” (ช้าไปจ้า ♥)
ด้วยความว่องไวราวเล่นกล ซอกจินสะบัดเสื้อนอกออกอีกครั้งและเหวี่ยงไปพร้อมกับแรงส่งจากการหมุนตัว จนเสื้อคลุมต่างหมุนวนฟาดเข้าที่ใบหน้าเหล่าชายชุดสูทดังเพียะๆๆๆๆเสียศูนย์มึนงงล้มชนกันเองจนกองระเนระนาดดูไม่ได้
เจ้าจักรยานที่แท้จริงแล้วก็เป็นคันที่สายลับหนุ่มเอามาเองจากเกาหลี ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่ทางองค์กรเอื้อเฟื้อด้วยเช่นกันก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆ
ร่างสูงกระโดดพาดขาคร่อมอานและหันมาพร้อมแว่นดำ ในมือถือแท่งโลหะบางอย่างที่จีซูหรือเอเยนต์วันวันเคยบอกไว้ว่ามันส่งผลต่อคลื่นสมองส่วนความจำแค่ช่วงระยะล่าสุดที่รับรู้
เพราะฉะนั้น
“ごきげんよう~” (บ๊ายบายยยยย~)
แล้วนายคิมฮาโตะก็ซิ่งจักรยานจากไป หลังแสงสว่างเจิดจ้าจากแท่งลบความจำฉายวาบทิ้งให้คนพวกนั้นนอนสลบอย่างสันติ
.
.
“โธ่เว้ย ยังไม่มาอีกเหรอ”
ชายหนุ่มตากลมตอนนี้กำลังเต็มไปด้วยความร้อนใจสุมอก เขาเดินวนไปวนมาโดยยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปที่บาร์ ในเมื่อคู่หูตัวเองยังไม่กลับมาถึงห้องทั้งที่มันควรจะได้เวลาแล้วแท้ๆ
...ไปเถลไถลหรือไงนะ
...หรือว่าจะ ...ไม่ ไม่หรอกมั้ง หมอนั่นมันไม่น่าโง่ – อย่างน้อยจองกุกก็เชื่อมั่นในฝีมือของอีกฝ่ายอยู่เหมือนกัน
เขารีบเอาหูแนบประตูเมื่อได้ยินเสียงทักทายหน้าเคาน์เตอร์แว่วๆ กระทั่งเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆทำให้ตนถอยหลังมายืนกอดอกรอจนกว่าประตูเลื่อนจะเปิดออก
“ทาไดมะ— อุ้ย”
“ทำไมกลับช้าครับ”
คู่หูคิมยิ้มเจื่อนตอบสายตาดุๆพลางขยับกล่องเก็บบะหมี่และเสื้อคลุมที่เปื้อนจนมีแต่รอยดำแอบไว้ด้านหลัง อันที่จริงเหมือนจงใจทำให้ดูมีพิรุธมากกว่า
“แล้วนั่นอะไร”
“อ่า...”
“คุณ..ซอกจิน ผมซีเรียส”
“อืม...จริงๆผมเองก็มีเรื่องซีเรียสเหมือนกันน่ะครับ”
จองกุกยิ่งขมวดคิ้วด้วยความสงสัยระคนไม่พอใจ แต่ก็อ่านท่าทีได้รู้เรื่องมากพอจะเข้าใจว่าซอกจินพูดจริงไม่ได้แกล้งเล่น
“ก่อนอื่นผมต้องสารภาพนิดนึงว่าส่วนนึงก็ความผิดผมเอง ตั้งใจจะไปแอบดูข้างนอกเงียบๆที่ออฟฟิศเบียกโกะแท้ๆ แต่เหมือนพวกนั้นก็รู้ตัวเหมือนกัน เลยส่งคนมาสะกดรอยผมตอนขี่กลับบ้าน”
“อย่าบอกนะว่าที่คุณกลับช้าเพราะว่าไปตีกับพวกนั้นมา”
“นิดนึง” คนพี่รีบพนมมือแล้วเอ่ยห้ามพอเห็นคู่หูอ่อนวัยอ้าปากเตรียมด่า “ต-แต่ไม่มีใครเลือดตกยางออกหรอกนะคุณ ผมแค่ลองอะไรนิดๆหน่อยๆเอง ไอ้นี่น่ะครับ” เขาควักเจ้าแท่งโลหะที่ว่าออกมาจากกระเป๋ากางเกง ซึ่งนายจอนซีกอลเองก็ได้แต่หรี่ตามองอย่างจับผิด
“ผมจำเป็นต้องทำน่ะ ดีกว่าให้มันตามมาถึงเรียวกังนี่ แบบนั้นเราจะลำบากกันหมด”
“นั่นก็เพราะคุณออกนอกเส้นทาง” จองกุกถอนหายใจจนปอดจะหลุดอยู่แล้ว
“เรื่องนั้นผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ข้อมูลมาแล้ว และหวังว่าพวกนั้นตื่นมาจะจำอะไรไม่ได้ อ้อ ยังทำอะไรใครไม่ได้ด้วยครับ”
“หมายความว่าไง?”
“ผมมีของฝากด้วยแหละ” ซอกจินยิ้มร่าเริงก่อนหยิบปืนที่เหน็บเอวออกมาวางไว้ตรงหน้า เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อเปิดกล่องที่เอาไว้ใส่ราเม็งสำหรับส่งแล้วเทออกมาก็มีแต่ปืนพก
“โอ้ย คุณนี่มัน!!! ให้ตายเถอะ จริงๆเลยยยยย” นายจอนล่ะอยากจะกรี๊ด แต่ก่อนจะหนักใจไปมากกว่านี้ เขามีอย่างหนึ่งที่ต้องรู้ให้ได้ “...ถามจริงเถอะ คุณมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกผมรึเปล่า”
“? ครับ?”
“ไม่ต้องมาทำหน้าซื่อหน้างง” เขาเอ่ยเสียงเข้มก่อนตรวจสอบปืนพกที่ทางนั้นขโมยมา “ผมว่า คุณต้องเคยปล้นธนาคารแน่ๆ”
ซอกจินถึงกับขำพรวดออกมา “นี่คุณดูหนังมากไปแล้วมั้ง ดูครบทั้งสองภาคเลยปะครับ *าวยูซีมีเนี่ย”
“แล้วคุณมันเป็นนักต้มตุ๋นประเภทไหนกัน คุณหลอกให้เขาเอาปืนให้มาง่ายๆด้วยคำพูดอย่างเดียวเหรอไง ไม่มีทาง”
“อ่า ก็ถูก ...แหม เอาเถอะครับ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้ยิงกันโป้งป้างให้ชาวบ้านตกใจก็ดีแล้ว” คู่หูคิมโน้มตัวเข้าใกล้แล้วยิ้ม “งานสายลับ เราก็ต้องใช้วิธีเผด็จศึกเอาตัวรอดแบบเงียบๆ ลับๆสมชื่อสิครับ”
มือสวยเลื่อนปืนออกให้ห่างตัวเป็นเชิงว่าจะเอาไปเก็บที่ไหนก็ไป แต่ก็ยังเก็บสีหน้าเป็นกังวลไม่มิดเท่าไหร่
“คุณเองก็เตรียมตัวเถอะ ผมว่าถ้าเรายังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างน้อยก็น่าจะยืดเวลาการสังเกตการณ์ของเราไปได้อีกหน่อย”
“...”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจัดการให้ อย่าลืมสิว่าผมไม่ได้นั่งๆนอนๆเล่นที่ห้องอย่างเดียวนะ”
“ผมรู้..” จองกุกยังคงร้อนใจอยู่จนเผลอเอาลิ้นดันกระพุ้งแก้ม ตอนนั้นเองถึงได้รับรู้ถึงสัมผัสอบอุ่นจากฝ่ามือคนพี่ที่วางอยู่บนหลังมือตน
“ไม่เป็นไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น สิ่งที่เราทำจะไม่เสียเปล่าแน่นอน เชื่อผม”
“ผมรู้สึกดีมากเลยคุณฮาโตะ”
“ผมก็ทำเต็มที่แล้วน่าคาโมเมะซัง”
ทั้งสองคนมองหน้ากันครู่หนึ่งก่อนจองกุกจะขยับมุมปากยิ้มออกมา และลุกขึ้นยืนหันหลังให้
“คุณรู้ใช่มั้ยว่าเราเดิมพันกับภารกิจนี้มาก”
“ครับ”
“ความหวังของทุกคนมันอยู่กับเรา อย่างน้อยแค่ครั้งนี้ ขอให้พวกเรารู้สึกว่าเป็นทีมเวิร์คกันเถอะ ขอให้พวกเรารู้สึกเชื่อใจกันจริงๆหน่อยเถอะครับ”
ฝ่ายคนโตกว่าเองก็หลุบหน้าลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวอันเหนื่อยล้าจนสัมผัสได้ถึงความกดดันและหนักอึ้งเบื้องหลังน้ำเสียงนั่น ...โถ ตัวแค่นี้ อายุก็เพิ่งเท่านี้เองแท้ๆ
“ผมเข้าใจทุกอย่างแหละครับ รอแค่จองกุกจะเปิดใจกับผมเท่านั้นแหละ”
“...”
“teamwork makes the dream work เนอะ?”
“อือ”
ไอ้รู้มันก็รู้ แต่อย่าถือวิสาสะเข้ามาแบ็คฮักแล้วกระซิบใส่แบบนี้สิฟะ! ยังไม่ทันขาดคำเลยว้อย
TBC.
>>Talk
ให้ทายว่าพาโรดี้ไปกี่เรื่องแร้ว----(555555555555555555555555555555555)
คู่หูสายลับคิมจอนกลับมาแล้วค่าทู้กคนนนนนน เชื่อว่าลืมไปหมดแล้ว /ก้มกราบ คือเพิ่งได้จังหวะมาต่อจริงๆค่ะ... เป็นเส้าส์ แต่ก็ตั้งใจไว้แล้วว่าในแผนครั้งนี้จะต่อฟิคจินกุกที่อัพค้างไว้ หวังว่าจะทำได้ทั้งหมดค่ะ แง้ TT TT
ตอนนี้ให้ซีนเท่(?)พระเอกบ้าง ส่วนเรื่องคสพ.ทั้งสองคนเดี๋ยวจะกล่าวต่อในตอนหน้าค่ะ เพราะตามสตอรี่ที่วางไว้ตรงนี้ก็จะเป็นจุดเปลี่ยนอย่างนึงเหมือนกัน
เอ็นจอยรี้ดดิ้งนะคะ ขอบคุณทุกคนที่ยังติดตาม แล้วก็เพิ่งเข้ามาอ่านนะคะ ยินดีตอนรับค่า เจอกันตอนหน้า!
#ฟิคบพน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

รอวันน้องชินกับความรุ่มร่ามของตะพี่ค่ะ 555555555 ((เมื่อไหร่กันนะ))
ดีใจที่ไรท์มาต่อเรื่องนี้แล้ว เย้
สู้ๆงับ!!
สุ้วววค่า เจอกันตอนหน้า
เอาใจช่วยทั้งเรื่องภารกิจและความสัมพัน สู้ๆนะคับ
คุมคู่หูสองคนนี้ยังต้องอยู่ด้วยกันต่อไป แต่จะมีอะไรที่ทำให้เป็นทริกเกอร์มั้ย ไว้รอดูกันค่า