ตอน.....
"มอบโอสถถอนพิษออกมา ไม่เช่นนั้นข้าจะถล่มวังหลวงจนไม่เหลือซากเลยค่อยดู " วาจาใหญ่โตที่กล่าวออกมาอย่างมิเกรงกลัวผู้ใดทำให้จวิ้นเต๋อเผลอยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยเพียงไม่พ้นราตรีก็มีหนูวิ่งเข้ามาติดกับดักที่วางเอาไว้ ข่าวของตระกูลเหิงเป็นการกดดันตระกูงเร้นลับในทางอ้อมแน่นอนว่าพวกเขาต้องสนใจผู้มีอำนาจจนถึงขนาดควบคุมตระกูลเหิง หรือตระกูลเหิงอาจควบคุมราชวงศ์ทำให้พวกเขาไม่อาจนิ่งเฉยอีก
"นับว่าไม่โง่จริงๆที่รู้ตัว ไม่ใช่ว่าเดินทางไปก่อนแล้วถึงรู้ไม่เช่นนั้นข้าคงรู้สึกผิดแย่เลย " ผู้ที่กล่าวไม่เพียงไม่ปรากฏตัว เสียงของเด็กหนุ่มที่ไม่สนใจการปรากฏตัวของเขาเลย หรือในน้ำเสียงไม่มีเเม้เเต่ความแปลกใจคล้ายดังว่าคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ไหนมีข่าวว่าราชวงศ์ฉีหลินไม่มีผู้ทรงอำนาจเหลืออยู่ข่าวที่ว่าจวิ้นอ๋องสามารถพลิกผืนแผ่นดินได้ในวันเดียวไม่ใช่เรื่องตลกหรอกหรือ
"หานอี้จัดน้ำชารับแขกที ท่านคงไม่คิดจะจากไปทั้งอย่างนี้หรอกนะ " จวิ้นเต๋อยังคงพูดเองตัดสินใจเอง แต่ไหนเลยผู้มาเยือนจะทำใจยอมรัยได้ แต่จะให้ขู่เอาโอสถแก้พิษก็นับว่าไม่มีทางเพราะขนาดเขาเองยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นพิษใดกัน แต่สัญชาตญาณร้องเตือนว่าอันตรายมากทีเดียว
"เหมยซูเหยา ตระกูลเหมยแห่งเป่ยเหมยคาราวะจวิ้นอ๋องขออภัยที่ญาติผู้น้องของหม่อมฉันเสียมารยาท หวังว่าจวิ้นอ๋องจะไม่ถือเอาความ " การปรากฏตัวของชายอีกสองคนนับว่าไม่ได้สร้างความตกใจเพราะจวิ้นเต๋อรับรู้ถึงการมาของพวกเขาตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้าตำหนัก
"ตระกูลเหมย ลมใดหอบพวกเจ้ามาถึงที่นี้กัน ตระกูลเหมยแห่งเป่ยเหมยมิใช่ตระกูลของจ้าวกรมเหมยหรอกหรือ เหตุใดพวกเจ้าถึงมาที่นี้ " จวิ้นเต๋อก็พอจะคาดเดาได้ว่าตระกูลเหมยของเหมยซูเหยานั้นหมายถึงตระกูลเร้นลับ แต่เขาก็เพียงอยากแหย่คนเล่นๆเท่านั้น
"ท่านอย่าเอาพวกเราไปเทียบกับขยะพรรณนั้นเลย ตระกูลเหมยหาได้มีสายเบือดขยะเช่นนั้น " เสียงของบุคคลที่นับว่าเป็นความผิดพลาดของตระกูลเหมยที่ส่งคนเช่นนี้ออกมาเพราะคนที่ไม่สามารถเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกได้นับว่ากระทำการใหญ่มิได้
"ซูเชิงเจ้าหุบปาก ใช่ที่ที่เจ้าจะกล่าววาจาเช่นนี้ได้ นี้ไม่ใช้หมู่บ้านตระกูลเหมยนี้เป็นวังหลวง " คำตำหนิที่นานๆครั้งจะเอ่ยเตือนเพราะไม่ค่อยได้พยเจอเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยๆ ตระกูลเร้นลับจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังมากกว่าจะออกหน้ากิจการต่างๆในเมืองอาจเป็นพวกเขาที่อยู่เบื้องหลังก็เป็นไปได้
เหมยซูเหยารู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลเพราะถึงจะเจรจากันอยู่แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าจวิ้นอ๋องอยู่ที่ใด และที่ที่พวกเขาปรากฏตัวก็ไม่มีใครอื่นยกเว้นคนผู้หนึ่งที่เมื่อพวกเขาตรวจสอบพลังปราณแล้วก็ได้แต่อ้าปากค้าง จะไม่ให้เเสดงอาการเช่นนั้นคงไม่ได้ ข้ารับใช้ที่ทำงานบ้านเช่นนี้มีระดับถึง จักรพรรดิ์สวรรค์ขั้น 9 ไม่มากเกินไปหน่อยหรือ
"น้ำชา....." คำพูดที่ไม่มีความเป็นมิตรเลยแม้เเต่น้อยอย่าเรียกว่าเชิญเลย เรียกว่าทิ้งไว้ให้รินกินเองจะดีกว่า แต่ไหนเลยจะมีใครกล้าเเตะต้องมันเพราะเพียงเท่านี้พวกเขาก็ หวาดระเเวงมากพอแล้ว
"อย่าได้เกรงกลัวไปเลย พิษที่พวกเจ้าต้อง งไม่มีพิษใดร้ายแรงกว่านั้นอีกแล้ว บุปผาที่นี้งดงามท่านว่าไหมท่านเหมย " เพียงม่านที่หลุดออกไปเผยให้เห็นเด็กหนุ่มที่สวมใส่อาภรณ์สีฟ้าอ่อนปักลายกิเลนขี้ก้อนเฆกความงดงามของอาถรณ์ไม่ต้องเอ่ยถึงเพราะนับว่าเหมาะสมฐานะของราชวงศ์นี้คงเป็นเพียงชุดลำลองเท่านั่นกระมัง ในมือยังคงจับไปที่กระถางของบุปผาทำให้มุมปากของเหมยซูเชิงเชิดขึ้นอย่างดูแคลน แต่เมื่อสังเกตุดีๆจะพบว่าบุปผาที่จวิ้นอ๋องกำลังเล่นอยู่นั้น ตัวมันเองไม่รู้จัก ตระกูลเหมยเชียวชาญพิษทุกชนิดแต่เมื่อถูกพิษของจวิ้นอ๋องพวกเขาไม่สามารถบอกชื่อของมันได้และยิ่งไม่อาจหาโอสถใดรักษาได้
"เจ็ดกลีบเจ็ดสี เจ็ดธาตุ เจ็ดวัน...." สีหน้าของเหมยซูเหยาคล้ายดังพบพานยมฑูตในร่างของนักบวช ใบหน้าที่ถูกสวมไว้ครึ่งด้วยหน้ากากทองคำแต่ก็ไม่ได้ทำให้ใบหน้าอีกครึ่งหม่นหมองลง มุมปากที่ยกยิ้มเล็กน้อยราวกัยผู้ที่ผ่านโลกมานับไม่ท้วนหากจะบอกว่าจวิ้นอ๋องเป็นเพียงผู้เยาว์ก็นับว่าตลกแล้ว
""ข้าก็นึกว่าตระกูลเหมยจะมีดีมากกว่านี้ แต่จากความสามารถของพวกเจ้าแล้วนับว่าไม่มีค่าพอ เพียงแค่ดอกไม้ในสวนของข้าพวกเจ้ายังไม่สามารถจัดการได้ นับว่าตระกูลที่เป็นหนึ่งในเรื่องพิษนับว่าลวงโลกจริงๆ " จวิ้นเต๋อกล่าวออกมาอย่างไม่ไว้หน้าผู้ใด ไม่เพียงพูดจาไม่ไว้หน้าแม้แต่หางตาก็ไม่หันมองคนทั้งสามเลย ทำให้เหมยซูเมิงแทบระเบิดลมปราณเตรียมต่อสู้
"เจ้าๆ!!!!!!" แต่ก่อนที่จะได้ทำสิ่งใดนั้น โอสถสามเท็ดก็ลอยมาอยู่ต่อหน้าของพวกเขาพร้อมกับการสบัดมือเบ็กๆเป็นเชิงไล่
"นี่เป็นโอสถที่ใช้แก้พิษ หวังว่าพวกเจ้าจะไม่มาที่นี้อีก เพราะดูท่าตระกูลเหมยไม่ได้เป็นเช่นที่ข้าคิด " จวิ้นเต๋อไม่เพียงไม่สนใจนี้เท่ากับเป็นการตบหน้าตระกูลที่ได้ขึ้นชื่อว่าสามารถปรุงยาพิษได้สารพัดและมียาแก้พิษมากมาย แต่วันนี้พวกเขากับถูกพิษที่ไม่สามารถจัดหารได้ ความโหดเหี้ยมของจวิ้นอ๋องไม่ใช่การใช้พิษ แต่เป็นการกลบฝังชื่อเสียงของตระกูลเหมยต่างหากทำเอาแม้เเต่เหมยซูเมิงยังหน้าชาจนไม่อาจสันหาคำอื่นใดมาพูด
"เชิญ!!!!!....... " เพียงคำพูดคำเดียวพร้อมกับกระเเสปราณอ่อนๆ แต่มันเป็นปราณระดับจักรพรรดิสวรรค์ขั้นสูงสุด จวิ้นอ๋องส่งเเขกที่ไร้ประโยชน์ออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
"ตระกูลเหมยและตระกูลจิวนับว่าพบเจอได้ง่ายดายท่านอ๋อง แต่ข่าวคราวของตระกูลจงนั้นนับว่าน่าห่วงที่สุดเพราะดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถครอบครองเเดนเร้นลับที่คล้ายคลึงกับผาเบิกตระวันของตระกูลเหิงได้เมื่อห้าร้อยปีก่อนและข่าวคราวของพวกเขาก็เลือนหายไป " นับว่าเป็นข่าวที่ไม่สู้ดี เพราะมีสองทางที่ตระกูลจงจะเผชิญ หนึ่งคือพวกเขาตกตายหมดสิ้นอยู่ภายในเเดนเร้นลับ และสองคือพวกเขาพบกับที่ที่สงบกว่าและอาศัยอยู่ที่นั้น และอย่างหลังจะน่ากลัวกว่าเพราะพวกเขาพัฒนาได้เร็วกว่าตระกูลอื่นๆแน่นอน
"อย่าใส่ใจให้มากไปเลย ถึงจะเป็นแดนเร้นลับแต่มันก็ไม่ได้ดีเสมอไปหรอกนะหานอี้ เจ้าเคยได้ยินไหมว่าบางแห่งก็เป็นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ บางที่ก็เป็นมหาสมุทรลึกสุดหยั่งและอีกอย่างพวกเราควรกังวลเรื่องคนของเรายังช้ากว่าผู้อื่นจะดีกว่า
(โรงเตี้ยมเหยหวง)
"เกิดอะไรขึ้นทำไมพวกเจ้าถึงได้ขาดการติดต่อ เป็นเช่นใดเรื่องที่ให้ไปสืบ " สีหน้าของผู้ที่กลับมา ไม่มีใครที่อยากเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่พวกเขาเผชิญมา แน่นอนว่ามันจะสร้างความเดือดดาบให้คนตรงหน้าอย่างแน่นอน
"พวกเราถูกจับได้ และยังถูกยาพิษ" คิ้วหนาที่กำลังสนใจตารางหมากในมือขมวดคิ้วและหันกลับมามองผู้รายงานทันที เหมยหยาแถบไม่อยากจะเชื่อว่าหน่วยข่าวของตระกูลเหมยที่เรียกได้ว่าว่องไวทั้งสัมผัสและท่าเท้าจะถูกจับได้แถมยังต้องพิษ หากเป็นวังของราชวงศ์อื่นๆยังพอเป็นไปได้ แต่นี้มันเป็นวังของฉีหลินไม่ต่างอะไรจากสวนหลังบ้านที่พวกเขาจะเข้าออกเมื่อไหร่ก็ได้
ปัง!!!! กระดานหมากที่เฝ้ามองมากว่าชั่วยามละเอียดเป็นผุยผงในทันทีเมื่อฟังรายงานจบทั้งเรื่องราวที่ตระกูลเหิงยอมเผยตนรับใช้ราชวงศ์เพียงเท่านี้ก็คุกคามความอยู่รอดของพวกเขามากเเล้วนี้ยังถูกใครก็ไม่รู้มาหยามเกียรติตระกูลถึงขนาดนี้
"ท่านอาเมื่อครู่ท่านว่าจวิ้นอ๋องมีบุปผาเจ็ดราตรีวิบัตและมีโอสถแก้พิษท่านคงไม่เลอะเลือนกระมัง " เหมยซูเชิงไม่พอใจเล็กน้อยที่หลายชายกล่าวเช่นนั้น ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นหลายชายแต้ก็เพราะพี่ชายของพวกเขามอบอำนาจในการดูแลหมู่บ้านตระกูลเหมยให้บุตรชายและปิดด่านฝึกตนทำให้อำนาจสืบต่อมายังเหมยหยาแทนที่จะเป็นเหมยซูเหยาและเหมยซูเชิงตามลำดับ แต่นับว่าความสามารถของเหมยหยาก็มิได้ด่อยเลยเขาสามารถควบคุมตระกูลเหมยได้อย่างดีเสมอมา เรียกได้ว่าไม่มีข้อบกพร่องเลยก็ว่าได้ คำกล่าวเมื่อครู่ของจวิ้นอ๋องอาจเป็นคำดูถูกคำเเรกที่ตระกูลเหมยได้รับมาเลยทีเดียว
"เหมยหยา อาว่าเจ้าจงคิดให้หนัก ข้าคิดว่าสิ่งที่เราคิดไว้น่าจะเป็นอย่างหลังนั้นคือจวิ้นอ๋องสามารถครอบครองตระกูลเหิงได้ หาใช้ตระกูลเหิงครอบครองฉีหลินอย่างที่คิด เเละเหตุนี้ทำให้ตระกูลเหมยและตระกูลจงไม่อยู่เฉย และอีกอย่างข่าวลือเกี่ยวกับจวิ้นอ๋องล้วนเป็นความจริง " เหมยซูเหยานับว่าเป็นอาวุโสที่เหมยหยาฟังมากที่สุด เพราะเป็นผู้ที่คิดอ่านได้ไกลกว่าทุกๆคน มีเหตุผลและมีความรอบรู้
"รวมถึงเรื่องที่ว่าจวิ้นอ๋องคืออ๋องศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นนั้นหรือ และหากเป็นเช่นนั้นแล้วอารามหยงชิงคงไม่อยู่เฉย " โทสะของเหมยหยาผู้นำตระกูลเหมยค่อยๆลดลงเพราะคำพูดของเหมยซูเหยานับว่ามีความน่าเชื่อถือเเละเป็นการเตือนสติ เขาไม่เคยเชื่อถือเรื่องของตำหนักพยากรณ์ไม่เคยสนใจความฟุ่มเฟือยของคนเหล่านี้ พวกเขาก็แค่ราชวงศ์ที่รักษาพรหมจรรย์หาได้มีความพิเศษใดๆ
ปัญหาความหนาวเย็นใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็สามารถคลี่คลายได้ หากเป็นสถานการณ์ปกติคงไม่มีใครกล้าปล่อยให้โบตั๋นเพลิงได้ลอยไปลอยมาเช่นนี้ แต่ตอนนี้ใครจะกล้าหุบของพระราชทานของจวิ้นอ๋อง ทำให้ชาวบ้านล้วนได้ประโยชน์จากมันรวมถึงการคุ้มกันของแต่ล่ะเมืงนับได้ว่าไม่มีผ่อนปรนเลย เพราะหากมันถูกปล้นชิงคงไม่มีใครรับผิดชอบมันไหวอย่างแน่นอน แต่สิ่งที่นำพาโดยโบตั๋นเพลิงมิใช่เพียงความอบอุ่นเท่านั้น แต่หากมันยังนำพาสัตว์อสูรที่สนใจพวกมันอีกด้วย
ปัง!!!!!! ในค่ำคืนอันเงียบสงบ สัตว์อสูรที่นับว่าหาตัวได้ยากต่างถยอยกันเข้ามาเสี่ยงโชค แต่ก็นับว่าไม่มากมายนักแต่ก็มากพอให้เป็นเนื้อสำหรับคนทั้งเมืองได้ดีทีเดียว
"หมูป่าหนังเพลิง ข้าไม่เคยเห็นมันที่นี้มาก่อน ไม่นึกเลยว่าจะปรากฏตัวเช่นนี้ ตั้งรับเร็วเข้า เพียงแค่เจ้านี้ก็ทำให้เรารอดไปได้นับสิบวันเลยทีเดียว " เสียงของนายกองผู้หนึ่งที่มองเห็นสัตว์อสูรก่อนใครเอ่ยขึ้นอย่างมีหวัง ใช่ว่าสัตว์อสูรจะปรากฏตัวเช่นนี้ บ่อยๆ เขาทองไปยังโบตั๋นเพลิงที่พึ่งได้รับพระราชทานจากจวิ้นอ๋อง ฤดูหนาวหมู่บ้านรอบนอกจะอพยบเข้าเมืองทั้งหมด นับว่าครานี้เป็นเพราะพระปรีชาของท่านอ๋องโดยแท้ สัตว์อสูรระดับกลางเพียงหนึ่งตัวก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว
"ท่านอ๋องมีสารจากปราชญ์ยุทธส่งมาถึงท่าน อีกสามเดือนจะมีงานชุมนุมราชวงศ์ฉีหลินถูกเชิญให้เข้าร่วม " หานอี้ที่คัดเลือกรายงานที่คิดว่าสมควรให้จวิ้นอ๋อวเป็นผู้ตัดสินใจมายังอุทยานเหลียนฮวา ส่วนรายงานอื่นๆก็ทิ้งไว้ให้เสนาบดีเหิง และเจ้ากรมเหิง รวมถึงเหล่ากั๋วกงจัดการ นับว่าสุขสบายไม่น้อย ในหนึ่งสัปดาห์ท่านอ๋องจะเข้าประชุมขุนนางเพียงครั้งแต่ล่ะครั้งมีจุนนางที่ถูกปลดมากมาย และถูกคัดเลือกมามากมายเช่นกัน นับว่าฉีหลินผลัดเปลี่ยนกานบริหารงานแผ่นดินอย่างรวดเร็วเพราะไม่เพียงต้องมีความสามรถทางสติปัญญาแต่ต้องเเข็งแกร่งด้วย ตอนนี้ทำให้ฉีหลินเป็นหนึ่งในที่ ที่เหล่าปราชญ์เเสวงหาทีเดียว
"เจ้าเห็นเป็นเช่นใดหานอี้งานนี้นับว่ารวมขุมอำนาจต่างๆ แต่เเท้จริงเป็นเพียงการโอ้อวดตนเอง เท่านั้น " นับว่าความคิดของท่านอ๋องนั้นตรงไปตรงมาหาได้ปิดบัง จะเรียกเช่นนั้นก็ไม่ผิดเพราะพวกเขาจะเเสดงอำนาจทุกอย่างที่มีให้สภาปราชญ์ได้เล่งเห็น มันจะนำพาชื่อเสียงสู่ราชวงศ์หรือพรรคสำนักต่างๆ
"แต่มันก็ไม่นับว่าเสียหายที่ท่านอ๋องจะไปประทับนั้งชั่วครู่ หากน่าเบื่อก็เพียงกลับมา " แต่มันก็อาจมีประโยชน์เพราะอย่างน้อยท่านอ๋องเเห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์ยังคงอยู่ เรื่องนี้พวกเขาล้วนต้องรู้เอาไว้
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ข้าได้ยินมาว่าโรงเตี้ยมเหยหวงมีอาหารเริศรส เหมาะสมที่เราจะไป " หานอี้รู้ดีว่าความต้องการจริงๆของท่านอ๋องคือสิ่งใด โรงเตี้ยมมีชื่อนับว่าเป็นกิจการใหญ่ของตระกูลเหมย และเขาคงได้พบคนที่ต้องการพบที่นั้น นับว่าแยบยลนักเป็นตระกูลที่มีความชำนาญด้านโอสถและพิษ แต่กลับมีฉากหน้าเป็นเหล่าอาหารเเทนที่จะเป็นร้านสมุนไพรหรือโรงโอสถ
"ตอนนี้หานกู่และหานหลี่ก็ออกมาจากการเก็บตัวเเล้วนับว่าหมาะสม พวกเขาควรออกมาข้างนอกบ้าง มิเช่นนั้นพลังปราณของพวกเขาจะควบคุมได้ยาก " จวิ้นเต๋อร์อดที่จะทึ่งในความสามารถของทั้งสองไม่ได้ จะว่าคนทั้งสองไม่โดดเด่นก็คงไม่ใช่เพราหานกู่ใช่เวลาเพียงหนึ่งเดือนก้าวข้ามระดับจนตอนนี้อยู่ในระดับจักรพรรดิสวรรค์ขั้น1 และหานหลี่เองก็อยู่ในระดับสวรรค์แล้ว นับว่าลงตัว
ตอนนี้ข้ารับใช้ทั้งสองที่ออกมาจากตำหนักสวรรค์ความเปลี่ยนแปลงของพวกเขาไม่เพียงพลังปราณ แต่รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปจนแทบจำไม่ได้นั้นน่าสนใจกว่าโดยเฉพาะหานหลี่ที่ดูจะเคืองท่านอ๋องอยู่นิดๆ เพราะจวิ้นเต๋อให้เจ้าตัวทะลวงระดับทั้งที่ยังโตไม่เต็มที่ทำให้ตอนนี้ใบหน้าที่ขาวราวไข่มุก และคิ้วที่โค้งงอราวกับใบหลิวต้องลม ชายใดได้เห็นเป็นต้องหันมอง สตรีใดพานพบย่อมปรารถนา
แต่จวิ้นเต๋อหรือกลับพอใจมาก เพราะหากนับตอนนี้ คนที่ดึงดูดความสนใจที่สุดคงเป็นหานหลี่เพราะใบหน้ากว่าครึ่งของท่านอ๋องถูกปกปิดเอาไว้
"เจ้าจะทำอะไรหลี่น้อย ใบหน้าของเจ้านับว่าเหมาะสมแล้ว และมันยังตราตรึงจะปิดไปใย ใช่ไหมหานกู่..." มีหรือที่จวิ้นเต๋อจะไม่คว้าโอกาสเช่นนี้เอาไว้ มีจุดสนใจอื่นนับว่าดีมากเเล้ว
ใบหน้าที่นิ่งค้างราวกับว่าตกลงจากผาสูงชันนี้ใช้ความต้องการของท่านตั้งแต่เเรก เมื่อครู่นี้ข้าถูกเหลนชายของท่านทั้งสองแทะโลม ตอนนี้ท่านยังจะให้ข้าเปลื้องผ้าล่อหลอกผู้คน ท่านอ๋องท่านช่างอำมหิตนัก
"เมื่อเป็นพระประสงค์ไหนเลยข้าน้อยจะกล้าขัด ท่านอ๋องโปรดวางพระทัย " เมื่อจนปัญญาที่จะเอ่ยเถียงก็คงก้มหน้ายอมรับ แต่ไหงใบหน้าที่ขาวราวไข่มุกนี้กลับสลดปลงตกนัก
"นี่...เจ้าเด็กบ้าใช่ท่านอ๋องส่งเจ้าไปเป็นของขวัญแก่ผู้ใด เเสดงสีหน้าเช่นนี้ข้าจะให้ท่านอ๋องส่งเจ้าขึ้นเตียงใครสักคนดีหรือไม่ ชักเอาใหญ่แล้ว " หานกู่ที้เห็นใบหน้าบอกบุญไม่รับของหานหลี่ก็ถึงกับอดไม่ได้ที่จะตำหนิ แต่คำตำหนินี้นับว่าสร้างผลกระทบต่อจิตใจดวงน้อยๆของหลี่เอ๋อร์เป็นอย่างมาก
"ก่อนจะส่งข้าก็ส่งท่านไปก่อนเถอะตาเฒ่าอย่าว่าแต่ข้าเลย ใบหน้าท่านก็เช่นกันหลอกลวงสิ้นดี "ที่ต้องกล่าวเช่นนี้คงเป็นเพราะ 'จักรพรรดิหยาง' ทำให้รูปลักษณ์ของทั้งสองไม่ต่างจากอ๋องศักดิ์สิทธิ์
สงครามเล็กๆที่ก่อตัวกว่าจะสงบลงได้ห็เพราะการปรากฏตัวของอาวุโสสูงสุดนั้นก็คือหานอี้ที่มองพวกเขาทั้งสองตาค้าง ทำให้ทั้งสองเริ่มประหม่าทันที
"ท่านอ๋องท่านแน่ใจนะที่จะให้ทั้งสองไปด้วย ท่านไม่กลัวว่าคนของท่านจะ...." หานอี้ไม่อยากบอกเลยว่า ทั้งสองต้องสร้างความแตกตื่นแน่นอน ทั้งระดับพลังและรูปลักษณ์ หานหลี่เองอายุเพียงสิบหกก็สามารถทะลวงระดับได้แล้วนี้นับว่ามีความสามารถเกินหน้าเกินตาราชวงศ์ไปเสียอีก
"เอาเถอะอย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องคอยระวัง" บ่าวรับใช้ทั้งสองที่กำลังจ้องเขม่งใส่กัน หันหน้ากลับมามองคนที่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับเดินผ่านหน้าพวกเขาไปทันที 'ท่านไม่ใส่ใจแต่พวกข้าเล่า ท่านอ๋องท่าน.....'
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
สวยพี่สวยยยยยยยยยย
รอตอนต่อไป
ต่อเลยยยย