ตอนที่ 245 : ภาค 3-บท 45 แตกหักจากภายใน(1)
ณ เมืองหลวงแห่งอาณาจักรมนุษย์ทางตอนใต้
ภาพทิวทัศน์ยามสายของเมืองนั้นยังคงสวยงามและประดับประดาไปด้วยสิ่งก่อสร้างมากมายเช่นเคย
แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่แผ่เป็นวงกว้างขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เรย์ เรติน่า และเหล่าผู้คนจากตระกูลขุนศึกเทวะได้หลบหนีออกมาจากคฤหาสน์เก่าแก่อายุนับหลายร้อยปีได้สำเร็จ
เมื่อพวกเธอหนีออกมาได้แล้ว ก็รีบหันกลับไปมองยังตัวคฤหาสน์จึงปรากฏให้เห็นภาพของผืนดินที่แตกร้าวและกำลังร่วงหล่นลงไปยังเบื้องล่าง
ทหารยามรักษาการณ์ประจำเมืองเคสมอร์กว่าหลายร้อยชีวิต ได้รับงานเร่งด่วนในการอพยพประชาชนใกล้เคียงจุดเกิดแผ่นดินไหวในทันที
ไม่ว่าใคร ๆ ก็ล้วนแต่คิดว่า นี่คือเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่รุนแรงมากเหตุการณ์หนึ่งเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย
ดยุคไมล์ที่รับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติก็รีบรุดหน้ามายังบริเวณคฤหาสน์ตระกูลขุนศึกเทวะอย่างรวดเร็ว
“ท่านนักบุญศักดิ์สิทธิ์มันกำลังเกิดสิ่งใดขึ้น ?” ดยุคไมล์เอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
เรติน่าและเรย์ที่ได้ยินดังนั้นก็รีบตอบกลับไปทันที
“พวกขุนนางตระกูลอินโคฟพวกมันเป็นกบฏ รีบส่งกำลังไปล้อมจับเร็วเข้าก่อนที่จะสายเกินไป”
ดยุคไมล์ทำสีหน้างุนงงเล็กน้อยก่อนที่จะถามต่อ “ท่าน…หมายความว่าเช่นไร ?”
“พวกขุนนางตระกูลอินโคฟเป็นขั้วอำนาจเดียวที่ต่อต้านการกลับมาของตระกูลขุนศึกเทวะ เพราะพวกมันกำลังใช้อาณาเขตพื้นที่ของตระกูลนี้ในการซ่องสุมกำลังพลปีศาจ ตอนแรกเองข้าก็ไม่มั่นใจนักเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ แต่ในวันนี้ข้าก็ดันมารู้ตัวเมื่อสายไปเสียแล้ว”
เรย์ที่สังเกตเห็นหน้าถอดสีและท่าทีที่ยืนนิ่งค้างของดยุคไมล์ รวมถึงเหล่าทหารก็รีบตะโกนใส่ทันที ”พวกฝั่งตระกูลอินโคฟเป็นสาวกลัทธิบูชาปีศาจเข้าใจแล้วใช่---“
ไม่ทันที่เรย์จะได้กล่าวจบตัวคฤหาสน์เก่าแก่ก็ระเบิดและแตกกระจายออกมาราวกับลูกโป่งที่ถูกสูบลมจนแตก
ฝ่ามือสีดำทมิฬที่เกิดจากหินยักษ์หลายก้อนรวมกันได้พุ่งทะลุออกมาจากตัวคฤหาสน์และประทับลงบนผืนดินจนเกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และการกระทำเพียงแค่นั้นก็ทำให้ทหารหลายนายตกตายไปอย่างน่าสยดสยอง
เรติน่าที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบร้องตะโกนให้ทุกคนถอยห่างและสั่งให้ดยุกไมล์ควบคุมกำลังพาประชาชนหลบหนีจากบริเวณปะทะให้เร็วที่สุด
ในขณะเดียวกันนั่นเองเสียงร้องคำรามของสิ่งไร้ชีวิตขนาดใหญ่ก็ได้ดังขึ้น
มันเป็นเสียงคำรามของกลไกการทำงานทางเวทและเครือ่งจักรที่ผสานลงตัวได้อย่างน่าประหลาดใจ
ในตอนนี้สถานที่ตั้งของคฤหาสน์ขุนศึกเทวะได้เปลี่ยนกลายไปเป็นโกเลมสีทมิฬขนาดมหึมา ที่โผล่มาให้เห็นแค่ครึ่งตัวเพียงเท่านั้น
มือและแขนของมันรวมกันก็มีขนาดใหญ่ยาวกว่า 12 เมตรแล้ว ไม่มีใครจินตนาการได้ออกเลยว่า ถ้าหากมันโผล่มาทั้งตัวจะใหญ่และอลังการมากแค่ไหน
แต่ทว่าเจ้าโกเลมร่างยักษ์นั้นก็ไม่ได้โผล่มาแค่ให้เห็นหน้าเฉย ๆ มันยังกวาดมือและแขนที่แข็งของมันเข้าทำลายบ้านเรือนของประชาชนและสิ่งก่อสร้างในระยะรัศมีการโจมตี
ในตอนนี้คำตอบเรื่องแผ่นดินไหวได้ถูกแก้ไขแล้ว ว่ามันเป็นฝีมือของโกเลมมหึมาตนนี้ที่ตื่นขึ้นนี่เอง และท่าทางของมันก็แสดงอออกให้เห็นถึงความไม่เป็นมิตรได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
เพียงแค่แรงกดดันบริเวณโดยรอบก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่ามันมีเลเวลอยู่ที่ประมาณ 95 แต่ไม่คงที่ เลเวลขึ้นลงที่ระดับประมาณนี้
เหล่าผู้คนจากตระกูลขุนศึกเทวะที่เห็นสถานการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ ก็พากันช่วยเหลือชาวบ้านหลบหนีไปอีกแรงหนึ่ง
เรติน่าและเรย์ที่ยืนคุมเชิงอยู่ไม่ไกลนั้นกำลังแสดงสีหน้าที่ตรึงเครียดอย่างชัดเจน พวกเธอกำลังเป็นห่วงอยู่ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับเครกแล้วเขาหายไปที่ไหน
และแล้วเรื่องมันก็ไม่ได้ย่ำแย่แค่เพียงเท่านั้น ในหมู่ทหารชาวบ้านชาวเมืองก็ปรากฏให้เห็นถึงสิ่งผิดปกติเช่นเดียวกัน
พวกเขาบางคนเริ่มมีออร่าสีดำหมุนวนรอบกายและออร่าสีดำเหล่านั้นก็เหมือนจะทำให้สภาพร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนไป
เรติน่าที่เห็นดังนั้นก็คาดเดาออกได้ทันทีเลยว่า พวกเขาเหล่านั้นคือสาวกลัทธิบูชาปีศาจที่กำลังเปลี่ยนร่างตนเองให้กลายเป็นอสูร
เรื่องราวมันเป็นอย่างที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด พวกขุนนางตระกูลอินโคฟคงเป็นสาวกลัทธิบูชาปีศาจที่แฝงตัวและเป็นเนื้อร้ายในอาณาจักรแห่งนี้มาเนิ่นนานแล้ว
และพอพวกมันมีอำนาจมากขึ้น มันก็เริ่มซ่องสุมกำลังและสร้างคนของตนเองขึ้นมาหลบซ่อนในอาณาจักรมากขึ้น และหวังที่จะกลืนกินอาณาจักรแห่งนี้ให้พังทลายจากภายใน
เรติน่าที่คิดได้ดังนั้นก็ถึงกับตาเบิกโพลงขึ้นมาและจ้องตรงไปยังปีศาจออร์คตนหนึ่งที่เกิดจากการกลายร่างของสาวกลัทธิบูชาปีศาจคนหนึ่ง
“อาณาจักรทางตอนกลางเองคงโดนในรูปแบบเดียวกัน ถ้าเครกมาช้ากว่านี้สถานการณ์คงยากที่จะกอบกู้แน่” นั่นคือสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ในใจ
ในระหว่างที่กลุ่มก้อนปีศาจกำลังมุ่งหน้าเข้ามาหมายจะสังหารเรติน่านั่นเอง กลุ่มองครักษ์นักบุญศักดิ์สิทธิ์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ราวกับโผล่ขึ้นมาจากเงามืด
“ท่านเรติน่า เห็นทีว่าเมืองหลวงกำลังอยู่ในสถานการณ์วิกฤตยากเกินกว่าจะต้านทาน ขอให้ท่านได้โปรดหลบหนีไปกับเราด้วยเถิด”
วิกฤตการณ์ในครั้งนี้ไม่ได้มาจากศึกภายนอกเลย มันล้วนแต่เกิดขึ้นภายในเมืองเท่านั้น ซึ่งนั่นก็หมายถึงความชุลมุนวุ่นวายยากเกินจะควบคุมนั่นเอง
“ก่อนที่วงเวทเคลื่อนย้ายจะถูกปิดใช้งานโดยสมบูรณ์ กรุณาหนีไปกับเราด้วยเถิด”
ถ้าหากยังจำกันได้ที่เมืองหลวงแห่งนี้วงเวทเคลื่อนย้ายที่เอาไว้หลบหนีอยู่ ซึ่งมันก็สามารถใช้งานได้ไม่ยากนักและแน่นอนว่านั่นรวมถึงพวกปีศาจด้วย
เพื่อความปลอดภัยวงเวทเคลื่อนย้ายเหล่านั้นสมควรจะถูกปิดให้เร็วที่สุด เพราะในตอนนี้ต่อให้เรียกคนมาช่วยมากเท่าไหร่ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
ไม่มีใครรู้เลยว่าใครบ้างที่เป็นลัทธิบูชาปีศาจ เพราะพวกมันปะปนอยู่กับปถุชนคนธรรมดาจนไม่สามารถแยกออกได้โดยง่ายนัก
ถ้ากองกำลังที่เข้ามาช่วยเหลือดันมีพวกลัทธิปนเข้ามาเหตุการณ์ก็มีแต่จะเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นถ้าไม่คิดจะใช้วงเวทเคลื่อนย้ายสำหรับการหลบหนี ก็ชิงปิดไปเสียก่อนเลยดีกว่า
ในขณะเดียวกันนั่นเองโกเลมหินขนาดมหึมาที่แค่ครึ่งตัวก็สูงกว่า 10 เมตรก็เริ่มเคลื่อนไหว และใช้มือขนาดยักษ์ทั้ง 2 ข้างประทับลงไปบนผืนดิน
ร่างกายสีดำทมิฬของมันอาจจะใช้ชื่อเรียกว่าโกเลมทมิฬยักษ์ก็ไม่ผิด
เรย์ที่สัมผัสได้ถึงละอองมานาโดยรอบที่โดนดูดกลืนอย่างรวดเร็วก็ตะโกนขึ้นทันที “มันกำลังร่ายเวทรีบหนีให้ห่างจากมันเร็ว !”
คำพูดของเรย์ถึงกับทำให้มนุษย์โดยรอบขวัญผวาและหลบหนีกันอย่างจ้าละหวั่น
ในเพียงเสี้ยววินาทีต่อมา สิ่งก่อสร้างที่พังทลายหลายร้อยครัวเรือนก็เริ่มลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างน่าประหลาดใจ
เศษซากหิน ดิน อิฐ ปูน ทราย ผสานตัวรวมกันกลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่หลายสิบก้อน และลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ
เมื่อดวงตาของโกเลมยักษ์ฉายแสงสีม่วงออกมา ก้อนหินขนาดใหญ่นับสิบก็ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า คล้ายกับฝนอุกกาบาตไม่มีผิด
เป้าหมายของมันคือทำลายทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้มากที่สุดโดยไม่ต้องสนใจว่าสิ่งใดคือศัตรูสิ่งใดคือมิตร
เรติน่าที่เห็นดังนั้นก็พยายามรีดพลังแห่งเทพที่ได้นับมาในร่างกายทั้งหมด หมายจะสร้างม่านพลังขนาดยักษ์ที่รับการโจมตีจากหินเหล่านั้น
เพราะระยะการโจมตีของมันกว้างครอบคลุมไปเกือบทั้งเมืองหลวงเลยทีเดียว เธอไม่อาจปล่อยให้ประชาชนที่หนีตายต้องมาเสียชีวิตต่อหน้าต่อตาได้
“ใจเย็นก่อนเรติน่า เก็บพลังนั่นไว้ช่วยนายของเจ้าจะดีกว่า”
เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งได้ดังขึ้นด้านหลังของเธอโดยไม่ทันตั้งตัว จึงทำให้เรติน่ารีบหันหลังกลับไปมองทันที
บุคคลที่ปรากฏด้านหลังและกำลังคว้าข้อมือของเธออยู่นั้น คือนักเวทสาวที่มีรูปลักษณืสวยงามคล้ายเจ้าหญิงหิมะ
ดวงตาที่เฉียบคมและสีผมรวมถึงกิริยาท่าทางนั้นช่างสง่างามและนิ่งสงบ
ในมือของเธอกำลังจับไปไปยังยริเวณปลายส่วนบนของคทาเบญจธาตุอย่างมั่นคง
ปลายของไม้คทาที่ปักลงผืนดิน สายลมที่พัดผ่าน สิ่งเหล่านั้นช่วยให้พลังธาตุในร่างกายของเธอแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ในชั่วพริบตาก่อนที่ฝนหินยักษ์จะร่วงหล่นเข้ากระแทกพื้นดิน ม่านพลังสีทองดำขนาดใหญ่ก็ถูกกางออกมาอย่างน่าอัศจรรย์
ก้อนหินเหล่านั้นเมื่อได้เข้าปะทะกับม่านพลังแล้วก็ล้วนแต่แตกออกและเด้งกลับไปอย่างง่ายดาย
อาณาเขตม่านพลังของเวรัคนั้นกระจายตัวปกคลุมรอบด้านของโกเลมยักษ์จนหมดสิ้น ราวกับว่ามันกำลังถูกม่านพลังบาเรียขนาดใหญ่กว่าห่อหุ้มไว้ภายนอก
สายตาของเวรัคจ้องตรงไปยังตัวโกเลมพร้อมกับฝ่ามือที่ร่ายเวทซ้อนทับลงไปอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งในตอนนี้เองเธอก็กำลังถูกคมดาบของเหล่าองครักษ์จ่อไว้ตรงที่ลำคออย่างไร้ซึ่งความปราณี
“ทุกคนใจเย็น ๆ ก่อน ท่านผู้นี้คือนักเวทหญิงเวรัค นางมาที่นี่เพื่อช่วยเรา”
เมื่อกลุ่มองครักษ์นักบุญศักดิ์สิทธิ์ได้ยินดังนั้นก็เบาใจลงไปเปราะหนึ่ง ก่อนที่จะกระจายกำลังเข้าปราบปรามปีศาจที่ย่างกรายเข้ามา
“เครกไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ ?” เวรัคเอ่ยถามในระหว่างที่กำลังร่ายเวทกลางอากาศ
“นายท่านติดอยู่ที่ชั้นใต้ดินตรงที่ตั้งเก่าของคฤหาสน์ แต่ตัวข้าก็ไม่ทราบว่านายท่านเป็นตายร้ายดีเช่นไรบ้าง”
“ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้านั่นหรอก ที่น่ากังวลกว่าก็น่าจะเป็นโกเลมสีทมิฬขนาดมหึมาตนนี้เสียมากกว่า”
นักเวทสาวกล่าวขึ้นพร้อมกับโปรยสายตาขึ้นมองโกเลมสีดำที่กำลังแสดงลักษณะท่าทางโกรธเกรี้ยวอย่างเห็นได้ชัด
“เทพตนไหนช่วยเจ้าสร้างเครื่องทำลายล้างขนาดยักษ์นี่ขึ้นมากัน กราเฟียร์”
เวรัครู้ตัวดีว่ากราเฟียร์นั้นไม่อาจสร้างโกเลมยักษ์นี่ได้ด้วยตัวเดียวอย่างแน่นอน เพราะวิทยาการและเทคโนโลยีที่จะสร้างเจ้านี่ได้มันคงต้องเป็นของระดับเทพเท่านั้น แต่จะเป็นเทพปีศาจจริงหรือที่ช่วยกราเฟียร์สร้างเจ้าสิ่งนี้ขึ้นมา
เมื่อสิ้นเสียงของเวรัคสายลมที่กรรโชกแรงก็เริ่มก่อตัวขึ้นและส่งผลทำให้ผมของเธอพริ้วไหวไปตามสายลม
“บางทีมันอาจจะสายเกินไปสำหรับการถอยกลับแล้ว กันต์” เวรัคเอ่ยพึมพำเบา ๆ ก่อนที่จะจ้องตรงไปยังทางเบื้องหน้าของตน
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
