ตอนที่ 246 : ภาค 3-บท 46 แตกหักจากภายใน(2)
กลับไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ที่ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ตระกูลขุนศึกเทวะ
เครกและดาบเพลซเบลดสีเงินในมือที่กลับเจาะทะลุลำคอของกราเฟียน์นั้นยังไม่อาจสามารถฆ่ามันให้ตายได้ เครกจึงตัดสินใจที่จะสับและผ่าร่างกายของมันให้ขาดเป็นชิ้น ๆ แทน
แต่แล้วเรื่องราวมันก็ไม่ได้ง่ายมากนัก เมื่อพื้นที่พวกเบาเหยียบอยู่เริ่มที่จะสั่นไหวในระดับที่รุนแรงมากยิ่งขึ้นอย่างน่าประหลาด
เครกที่เห็นท่าไม่ดีจึงตัดสินใจกวาดดาบเข้าตัดแขนและขาทั้ง 6 ข้างของมันออกจนหมดสิ้น และสุดท้ายก็ฟันลำคอของมันจนขาดกระเด็น
และนั่นจึงทำให้หัวใจโกเลม(แกนกลาง)ก้อนสีขาวขนาดเท่าฝ่ามือได้กระเด็นออกมาจากลำคอของมัน
ก่อนที่เครกจะได้เอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาเพื่อหาวิธีทำลายในขั้นต่อไปนั่นเอง อยู่ ๆ หัวใจโกเลมก็ถูกพื้นดินดูดกลืนเข้าไปอย่างรวดเร็ว และหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เครกเอ๋ย โกเลมตนใหม่ที่ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมานี้มันใช้เวลานับ 700 ปีด้วยกัน ข้าทุ่มเทลงแรงกายแรงใจและทุกอย่างจนมันสามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ”
เสียงของกราเฟียร์ดังก้องไปทั้งชั้นใต้ดินที่กำลังสั่นไหว
“ข้าจะบอกอะไรให้เจ้าฟังอีกอย่างหนึ่ง ที่จริงแล้ววิญญาณของข้าได้ถูกผนึกลงไปในหัวใจโกเลมตัวนี้แล้ว และข้าก็สามารถเคลื่อนย้ายมันเอาไปใส่ไว้ในโกเลมตนใดก็ได้ ครั้งนี้มันไม่เหมือนกันหนึ่งพันปีก่อนแล้ว เครก”
ทันใดนั้นเองส่วนหัวของโกเลมขนาดมหึมาก็ผุดขึ้นมาจากผืนดิน พร้อมกับร่างกายส่วนที่เหลือที่กำลังผุดขึ้นมาตามลำดับ
ด้วยร่างกายและขนาดที่ใหญ่ของมันจึงทำให้ส่วนบนของร่างกายพุ่งทะลุชั้นใต้ดิน ขึ้นออกไปสู่คฤหาสน์ชั้นบนที่อยู่สูงขึ้นไปกว่า 10 เมตร
ขนาดความสูงของเครก อย่างมากก็เทียบได้เท่ากับความสูงฝ่าเท้าของมันเพียงเท่านั้น
และในตอนนี้ฝ่าเท้าขนาดยักษ์ของมันก็กำลังยกขึ้นเตรียมจะเหยียบเครกให้แหลกสลายและจมไปกับพื้นดิน
ในเสี้ยววินาทีก่อนที่เท้าจะเหยียบลงไปนั้นกันต์ก็ได้ทำการเปลี่ยนดาบเพลซเบลดให้แปรสภาพกลายเป็นสนับมืออย่างรวดเร็ว
“ทำลายจากภายใน!”
เสียงตะโกนพร้อมกับเสียงออกหมัดอย่างรุนแรงได้ดังขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่เปลวเพลิงสีแดงฉานได้ลุกโชติช่วงออกมา
กำปั้นที่ทำลายได้ทุกอย่างถูกชกออกไปในจังหวะเดียวกันกับที่ฝ่าเท้าขนาดใหญ่เหยียบลงมา
เมื่อสนับมือได้เข้าปะทะกับฝ่าเท้าแล้วนั่นเองวงเวทสีขาวหลายวงก็ได้ปรากฏขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าและต้านทานการโจมตีทั้งหมดของเครกอย่างน่าตกใจ
การโจมตีทั้งหมดถูกดูดซับหายไปอย่างรวดเร็ว และนั่นจึงทำให้เท้าของโกเลมมหึมาเหยียบเครกจนจมดิน
“เสียใจด้วยเครก ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าเพลซเบลดยังคงไม่อาจก้าวข้ามตัวตนที่เรียกว่าเทพได้ ต่อให้เจ้าฟื้นขึ้นมาอีกรอบมันก็ไม่มีประโยชน์”
เสียงของกราเฟียร์ดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่มันจะเริ่มต้นการทำลายเมืองที่อยู่บนผืนดินด้วยร่างกายใหม่ของมัน
แท้จริงแล้วสิ่งที่เข้ามารับการโจมตีของเครกไว้นั่นก็คือกลไกเวทที่ถูกฝังอยู่ในร่างของโกเลมสีทมิฬสูงหลายสิบเมตร
มันเป็นกลไกเวทที่ทำงานโดยดูดมานาเข้ามาเป็นพลังงาน มีความสามารถในการดูดซับพลังโจมตีทั้งหมดและสลายมันทิ้งไป
กลไกเวทเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่สามัญชนจะทำหรือสร้างได้ หากแต่เป็นสิ่งที่เทพเป็นผู้สร้างขึ้นมาต่างหาก
ลักษณะของกลไกเวทก็มีรูปร่างเหมือนกับกล่องลูกบาศก์ขนาดไม่ใหญ่มากนัก โดยภายในจะประกอบไปด้วยวงเวทที่ซับซ้อนและกลไกฟันเฟืองมากมายที่ถูกบรรจุอยู่ภายใน
สิ่งที่เรียกว่ากลไกเวทนี้ก็มีระดับความสร้างยากง่ายแตกต่างกันไป แต่ยิ่งสร้างยากมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งมีความสาามารถในระดับที่ดีมากขึ้นเท่านั้น
กลับไปยังปัจจุบัน บนผืนดิน
ในระหว่างที่สงครามกลางเมืองกำลังเริ่มต้นขึ้นโดยกลุ่มของลัทธิบูชาปีศาจนั้น เวรัคก็พยายามคิดหาหนทางสำหรับการกำจัดเจ้าโกเลมตัวนี้อย่างสุดกำลัง
แต่ทว่าตัวเธอเองนั้นก็ต้องคอยคุมม่านพลังสีทองดำให้คงอยู่และไม่แตกสลายจนกว่าประชาชนจะพยพหนีไปได้หมดด้วยเช่นเดียวกัน
โกเลมสีทมิฬขนาดมหึมาเริ่มที่จะร่ายเวทเสกอุกกาบาตหินออกมาเพื่อเข้าโจมตีใส่ม่านพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อพังทลายม่านพลังให้สิ้นซาก
ในขณะเดียวกันนั่นเองเสียงร้องของม้าเพกาซัสก็ได้ดังขึ้นจากบนท้องฟ้า กองทัพอัศวินม้าเพกาซัสแห่งภาคีอัศวินแห่งแสงนั้นได้มาถึงยังที่แห่งนี้แล้ว
ในเสี้ยววินาทีถัดมาเสียงของม่านพลังที่แตกสลายเป็นรูกว้างรูหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับก้อนหินก้อนใหญ่ที่ลอยพุ่งทะลุออกมา
ม้าเพกาซัสตัวที่วิ่งเร็วกว่าใครเพื่อนรีบตรงดิ่งไปยังตำแหน่งนั้น พร้อมกับอัศวินบนหลังม้าที่กวาดดาบโจมตีอย่างไม่เกรงกลัว
เพียงคมดาบเดียวก็สามารถตัดหินก้อนขนาดใหญ่กว่าตนหลายเท่าให้ขาดเป็นชิ้น ๆ ในเวลาเพียงเสี้ยววินาที
และผู้ที่นำกองทัพม้าเพกาซัสมานี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นคล็อด ผู้กล้าเมื่อหนึ่งพันปีที่แล้วนี่เอง
ก่อนหน้าที่เหตุการณ์นี้จะเริ่มขึ้น คล็อดได้พบเข้ากับกองทัพลาดตระเวนของภาคีแห่งแสงที่ซากอาณาจักรมนุษย์ทางตอนกลาง
นั่นจึงทำให้คล็อดได้โอกาสอธิบายถึงเรื่องราวการคืนชีพของตนและแสดงให้เห็นถึงสายเลือดมังกรทองที่ไหลเวียนภายในร่างกายและหลักฐานอีกหลายอย่าง จนกลายเป็นที่ยอมรับของผู้นำภาคีอัศวินแห่งแสงไปในที่สุดว่า ชายคนนี้คือผู้กล้าคล็อดที่ฟื้นคืนชีพกลับมาแล้วจริง ๆ
หลังจากนั้นคล็อดจึงกลายเป็นผู้นำภาคีอัศวินแห่งแสงไปโดยปริยาย และนำทัพออกลาดตระเวนต่อไปยังที่เขตของอาณาจักรทางตอนใต้อย่างรวดเร็ว
ม้าเพกาซัสนับหลายร้อยตัวเริ่มจัดรูปขบวนในรูปลิ่มและพุ่งลงไปยังบริเวณลานกว้างที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังของบ้านเรือน หลังจากนั้นจึงทำการกระจายกำลังเข้าช่วยเหลือประชาชนและทหารที่ยังมีชีวิตอยู่
คล็อดที่เหลืออยู่เพียงตัวคนเดียวก็ปรี่เข้ามาหาเวรัคและกระโดดลงมาจากหลังม้าเพกาซัส
“เวรัค ยกเลิกม่านพลังได้แล้ว ประชาชนได้อพยพออกไปจากบริเวณปะทะจนหมด ที่เหลืออยู่ตรงนี้มีแค่ปีศาจกับพวกทหารเท่านั้น อีกไม่นานพวกเขาก็จะดันพวกลัทธิปีศาจให้พ้นออกไปจากบริเวณนี้ได้”
“แต่ถ้าหากเรายกเลิกม่านพลังแล้วจะสามารถล้มมันได้เช่นไร ?” ดยุคไมล์ที่ยืนอยู่ไม่ไกลตะโกนถามเสียดังลั่น
ในตอนนี้เขาไม่รู้ว่านักเวทสาวและอัศวินที่มาใหม่คนนั้นมีฐานะเป็นใครหรืออะไร แต่ตอนนี้ต้องร่วมมือกันจัดการแก้ปัญหาใหญ่ครั้งนี้ให้ได้ก่อน
คล็อดที่ได้ยินดังนั้นก็ทำสีหน้าครุ่นคิดสักพักก่อนที่จะตอบกลับไป “ถึงข้าจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์มากนัก แต่ที่เจ้าโกเลมยักษ์นี้ต้องถูกจัดการลงก่อน ดัง---”
ไม่ทันที่คล็อดจะได้กล่าวจบ จู่ ๆ ร่างของโกเลมยักษ์ก็เริ่มสั่นไหวและดูเหมือนกำลังจะเอนไปยังข้างใดข้างหนึ่ง
จนกระทั่งมันล้มตัวลงและกวาดพื้นดินกว่าหลายสิบเมตรให้แตกสลายและร่วงหล่นลงไปยังชั้นใต้ดิน ที่เท้าของมันใช้เหยียบเป็นฐานอยู่
เสียงล้มของโกเลมขนาดใหญ่ทำให้ผืนดินสั่นไหวอีกครั้ง และทำให้ทุกคนประหลาดใจในเวลาเดียวกัน
แต่แล้วพวกเขาก็สังเกตเห็นเปลวไฟสีแดงฉานที่พวยพุ่งออกมา จากหลุมลึกเบื้องหน้า
ร่างกายที่เต็มไปด้วยเศษดินและเศษฝุ่นของเครกสามารถปีนกลับมาขึ้นมายังบนผืนดินได้สำเร็จ
ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ทำกระทำการออกแรงที่มีอยู่ทั้งหมดยกขาที่เหยียบของมันขึ้นและโยนออกไปด้านข้าง จนทำให้โกเลมขนาดมหึมาล้มไม่เป็นท่า
เมื่อเครกมองเห็นเรติน่า เวรัค ดยุกไมล์และคล็อดกำลังยืนอยู่ด้วยกันก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปร่วมวงในทันที
“เวรัคพอจะมีวิธีจัดการมันบ้างหรือไม่ ? ข้าได้ลองใช้เพลซเบลดแล้วก็ยังไม่อาจทำอันตรายมันได้” เครกเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง พร้อมกับยื่นคมดาบสีเงินให้ดูเป็นหลักฐาน
สายตาของนักเวทสาวจับจ้องไปยังร่างกายของโกเลมมหึมาที่พยายยามลุกขึ้นยืน ราวกับต้องการแยกส่วนมันออกมาวินิจฉัยแบบชิ้นต่อชิ้น
"โกเลมยักษ์ตนนี้ต้องการแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่ และสิ่งที่จะกระจายพลังงานให้ทั่วถึงทั้งร่างได้ก็ต้องใช้กลไกเวทแต่สิ่งที่เรียกว่ากลไกเวทนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่สร้างมันขึ้นมาก็ล้วนแต่มีจุดอ่อน”
“กลไกเวทที่กราเฟียร์ได้รับมาคงมีความสามารถในการสลายการโจมตีและดูดซับความเสียหายในระดับดีเยี่ยม แต่หากเราสามารถโจมตีมันในระดับความรุนแรงที่มากจนไม่สามารถดูดซับได้ไหว สุดท้ายวงเวทมันก็จะแตกและร่างกายมันก็จะพังลงไปเอง”
“ถึงแม้ภายนอกของมันจะดูแข็งแกร่งและไร้เทียมทาน แต่ที่จริงแล้วมันก็แค่เปลือกนอกเท่านั้น”
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเวรัคใครหลายคนก็เริ่มรู้สึกโล่งอกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
“ถ้าอย่างนั้น ช่วยฝากไปเอาร่างของกันต์มาไว้ที่นี่ที" เครกเอ่ยขอพร้อมกับหันมองไปยังทางโกเลมยักษ์
เวรัคที่ได้ยินดังนั้นก็เหลือบตามองและฉีกยิ้มออกมาเบา ๆ ที่มุมปาก “คิดจริงหรือว่าวิธีนั้นจะได้ผล”
“วิธีที่จะสู้กับเทพมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องใช้เทพสู้ด้วยเสมอไป”
“ดูเหมือนสายเลือดเผ่ามนุษย์ระดับสูงในร่างกายเจ้าจะคิดในสิ่งที่คาดเดาได้ยากพอสมควร แต่ก็ช่างเถอะ”
เมื่อสิ้นเสียงของนักเวทสาว เธอก็ร่ายเวทเปิดประตูมิติขึ้นมา เพื่อเอาร่างที่กำลังสลบสไลของกันต์กลับมายังมิติแห่งนี้อีกครั้ง
คล็อดที่จับสังเกตไปยังศัตรูตลอดก็ร้องเตือนพร้อมกับขึ้นไปขี่บนหลังม้าเพกาซัส
“กั…เครก มันลุกขึ้นมาจากหลุมได้แล้ว ข้าจะคอยคุ้มกันแทนให้เอง เจ้ามีแผนอะไรก็ว่ามา”
คล็อดเอ่ยพลางชี้ดาบตรงไปยังร่างของโกเลมขนาดมหึมาที่มีขนาดความสูงรวม ๆ แล้วกว่า 30 เมตรด้วยสายตาที่นิ่งสงบ
เมื่อมันลุกขึ้นยืนบนผืนดินแล้วก็ให้ความรู้สึกแตกต่างจากตอนแรก ที่มันยืนโดยใช้ชั้นใต้ดินของตระกูลขุนศึกเทวะเป็นฐานยืนโดยสิ้นเชิง
แม้แต่ออร่าและแรงกดดันที่ปล่อยออกมาจากร่างของมันก็แข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับเลเวล 100 เลยทีเดียว ดีไม่ดีอาจจะเหนือไปยิ่งกว่าเลยด้วยซ้ำ เพราะขนาดที่ใหญ่ก็จะมีขีดจำกัดที่สูงกว่าในหลาย ๆ ด้าน
นี่คือผลงานชิ้บโบว์แดงของกราเฟียร์และเทพปริศนาตนหนึ่งที่ใช้เวลานับ 700 ปีในการสร้างมันขึ้นมาอย่างยากลำบากและซับซ้อน
คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้า ถ้าหากมันถูกทำลายลงในเวลาเพียงแค่วันเดียว
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
