คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : 13 ✿ ไม่เป็นไร
13
ไม่เป็นไร , ต้นเหมย
“ขอบคุณครับ” เหมยยกมือขึ้นไหว้คนอายุมากกว่าซึ่งยืนกอดอกทำหน้าคิดวิตกอยู่ตรงหน้า
“ผมอาจจะรบกวนสักสองสามวัน...”
“สองสามวันอะไร
อยู่นี่ไปก่อนได้เลย จะได้ไม่ต้องไปลำบากหาที่อยู่ ออกมากันแต่ตัวไม่ใช่หรือไง” ครามถามเสียงต่ำก่อนหันไปมองฝาแฝดอีกหนึ่งคนซึ่งนั่งจมปุ๊กอยู่ตรงโซฟาข้างพู่กัน
“พู่บอกกูแล้ว
ไม่ต้องคิดว่าจะมารบกวนหรอก เดี๋ยวนี้กูไม่ค่อยได้อยู่บ้าน
น้ำก็ไปนอนบ้านไอ้ศา”
“ผมเกรงใจครับ” หลังออกมาจากบ้านตอนแรกเขาตั้งใจจะไปเปิดห้องนอนสักคืนแล้วค่อยคิดว่าพรุ่งนี้จะเอาอย่างไรต่อ
ทว่าพู่กันกลับโทรเข้ามาหาหมิงเสียก่อน
พอได้ยินเสียงน้องชายเขาร้องไห้เท่านั้นเลยสั่งให้ขับรถมาหาที่บ้านของพี่คราม
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกน่า
มึงมีเงินติดตัวมากันคนละกี่บาท ถ้าไปเช่าห้องอยู่จะได้สักกี่วัน ไหนต้องกินแต่ละมื้ออีก” พู่กันว่าพลางมองหน้าหมิงกับเหมยสลับกัน
ก่อนเบนสายตาไปหาแฟนรุ่นพี่เชิงขออนุญาตอีกครั้ง คราแรกเขาตั้งใจให้สองแฝดไปอยู่บ้านตัวเอง
แต่ครามกลับบอกให้มาที่นี่แทน “อย่างที่พี่ครามบอกแหละ ช่วงนี้ไม่มีใครได้กลับบ้าน
พี่ครามมันติดนอนบ้านกู ส่วนไอ้เงินก็ติดพี่ศา”
“แต่ว่ามัน...” หมิงแทรกขึ้นมาแต่กลับต้องเงียบลงเมื่อได้ยินเสียงออดดัง
“เดี๋ยวผมไปดูให้ครับ”
“เดี๋ยวกูไปดูให้
น่าจะไอ้ศา” ครามอดสงสารแฝดไม่ได้หลังจากฟังพู่กันเล่า
อาจเพราะพ่อกับแม่เขาไม่ได้มีปัญหาเรื่องการคบผู้หญิงหรือชาย
พอเห็นน้องมันมีปัญหาก็อยากจะช่วยแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
อย่างน้อยอยากให้มันอุ่นใจว่ายังมีพวกเขาอยู่
“แล้วนี่ม้าโทรหาพวกมึงบ้างยัง” พู่กันถามต่อเมื่อครามเดินพ้นไปจากตรงนี้แล้ว
ทว่าสองแฝดกลับส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ “...อ่า กูไม่รู้จะพูดยังไงดี
แต่แบบเขาคงโกรธพวกมึงได้ไม่นานหรอก”
“ถ้าเป็นเรื่องอื่นคงพอไหวว่ะ
แต่เรื่องนี้กูยังไม่เห็นทางเลย จริงๆ” หมิงพูดเสียงเหนื่อยอ่อน
กว่าจะมาถึงบ้านพี่ครามได้ก็นั่งร้องไห้มาบนรถตลอดทาง “เป็นเกย์มันผิดอะไรนักหนาวะ
เขาบอกพวกกูทำให้เขาผิดหวัง”
“ไม่ผิดหรอกครับ” หนนี้เป็นองศาผู้ซึ่งมาใหม่พร้อมกับเจ้าของบ้านอีกคนอย่างน้ำเงิน
“เขาผิดหวังเพราะเขาเป็นคนตั้งความหวัง
แต่ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นคนผิด”
“สวัสดีครับ” หมิงยกมือขึ้นไหว้องศาตามด้วยเหมย
“ครับ” องศาพยักหน้าให้แล้วยิ้มจางๆ
“ตกลงว่าอยู่บ้านเรานะ” น้ำเงินพูดขึ้นแกมบังคับ
“อยู่ที่นี่ก่อนได้
จริงๆ นะ เฮียไม่ว่าหรอก”
“แต่กูกับเหมยเกรงใจอะดิ” แฝดน้องสวนขึ้นมา
มั่นใจว่าเหมยเองต้องพูดแบบนี้เช่นกัน “แค่คืนนี้ก็รบกวนมากพอแล้ว
...มากันหมดเลย”
ครามกับองศาหลุดขำให้กับน้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้ของหมิง
ยิ่งเห็นว่าเอามือขึ้นมาปาดน้ำตาลวกๆ แล้วยิ่งเอ็นดูเข้าไปใหญ่
“กูพูดจริงๆ
เลยแฝด อยู่นี่แหละ ถือว่าดูบ้านให้กูด้วยไง” เจ้าของบ้านย้ำเพราะอยากให้ทั้งสองคนวางใจ
“ขอบคุณอีกครั้งครับ” เหมยเอ่ยปากก่อนยกมือไหว้รุ่นพี่อีกหน
“ผมกับหมิงอาจจะรบกวนสักพัก”
“เออ
แล้วคิดกันยังว่าจะทำยังไงต่อ” ครามถาม
“ยังเลยพี่ ไม่รู้ว่าจะกลับเข้าบ้านได้ตอนไหน
ป๊าโกรธพวกผมมาก ถ้าฆ่าให้ตายได้คงทำไปแล้ว” หมิงว่าด้วยน้ำเสียงตัดพ้อยามนึกไปถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อชั่วโมงก่อน
“มึงก็พูดเข้า
ไม่ขนาดนั้นหรอก” พู่กันผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
พวกเขาเคยไปนอนบ้านแฝดอยู่ไม่กี่ครั้งเนื่องจากเกรงใจป๊ากับม้า
แต่เวลาไปก็ได้การต้อนรับอย่างดี
แถมยังมองออกด้วยว่าป๊ารักสองแฝดมากทว่าไม่ใช่พวกชอบพูด เรียกง่ายๆ
ว่าปากไม่ตรงกับใจ “เขาแค่อาจจะตั้งรับไม่ทันไงมึง
...แบบเขาวางมาว่าจะให้พวกมึงแต่งงานแล้วมีหลานให้เขางี้”
“กูรู้นะว่ามันยอมรับลำบากเพราะป๊ากูหัวโบราณ
แต่จะให้กูทำไงก็กูชอบผู้ชายอะ”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ
แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเพลิงและหมิงจะไม่มีใครถามถึงมานานแล้ว
แต่รู้กันดีว่าสองคนรักกันแบบไหน
...ทว่าวันนี้ที่แปลกไปเพราะแฝดน้องพูดออกมาเต็มปากเต็มคำว่ารัก
“อาจจะต้องใช้เวลาแล้วกลับไปคุยอีกสักรอบ” น้ำเงินได้ยินมาบ้างแล้วว่าสองแฝดโดนอะไรมาจากพู่กัน
“อย่างน้อยเราคิดว่าม้าเข้าใจนะ
ถ้าได้พูดให้ฟัง”
“กูขอให้เป็นแบบนั้นเหมือนกัน”
เหมยหันมองแฝดน้องด้วยสีหน้าเรียบเฉย
หากแต่ภายในสมองกลับคิดนั่นนี่หลายตลบเพียงแค่ไม่ได้แสดงออกให้หมิงต้องเครียด\มากกว่าเดิม
เขาปล่อยให้อีกฝ่ายคุยอยู่กับเพื่อนแล้วตัวเองขอออกมารับลมข้างนอก
อ้างว่าจะมาโทรศัพท์หาญี่ปุ่น
แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ใช่
เขาคิดว่าเจ้าตัวยุ่งอาจจะหลับไปแล้วเพราะไม่ได้ตอบข้อความกลับเช่นนั้นจึงไม่โทรหา
อีกอย่างตอนนี้ไม่รู้ว่าหากโทรไปแล้วจะพูดว่าอะไรถ้าญี่ปุ่นถามถึงผลลัพธ์
เขาไม่อยากโกหกแต่ก็ไม่อยากให้รู้ว่าทางบ้านเขาไม่ยอมรับ
...มันดูยากไปหมด
เขายืนถอนหายใจอยู่พักหนึ่ง
กระทั่งมีใครบางคนในบ้านเดินออกมา ดวงตาช้อนมองก่อนพบว่าเป็นองศา
บุคคลผู้เคยคิดว่าจะเป็นคู่แข่งกับเขาตอนชอบน้ำเงิน
แต่ตอนนี้อีกฝ่ายกลับกลายเป็นรุ่นพี่ที่คอยให้คำปรึกษาเสมอ
“ไหวไหม” องศาไม่ได้รู้ดีแต่คิดว่ารุ่นน้องต้องแบกไว้หลายอย่างจึงออกมาดูอาการสักหน่อย
“ไม่ครับ” เหมยตอบตามความจริง
พูดได้แค่กับองศาเท่านั้นล่ะ ขืนไปพูดให้หมิงได้ยินมีหวังร้องไห้เป็นเขื่อนแตกอีก “ผมยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงต่อ”
“ญี่ปุ่นล่ะ” องศาถามไถ่ถึงเด็กผู้ชายคนนั้น
เขาเคยเจออยู่หลายครั้งเพราะเวลากลับมาไทยแล้วยิ้มชอบพามาเดินตลาด “บอกหรือยัง”
“ยังครับ
ผมลังเล ไม่รู้ว่าควรจะบอกดีไหม ไม่อยากให้เขารู้ว่าทางบ้านผมไม่ยอมรับ
แต่ไม่อยากโกหก” เขาเป็นห่วงความรู้สึกของญี่ปุ่นมาก
มีหรือว่าถ้าบอกไปแล้วจะไม่คิดอะไร ใครจะไม่คิดหนักใจหากทางบ้านแฟนไม่ยอมรับในตัว
อีกทั้งยังทะเลาะกันบ้านแตกขนาดนี้ “ผมกลัวญี่ปุ่นจะคิดว่าเป็นเพราะตัวเอง ...ถ้าเป็นพี่ พี่จะบอกไหม”
“พี่ไม่รู้ว่านิสัยของญี่ปุ่นเป็นยังไง
แต่ถ้าเป็นพี่ก็จะบอกครับ” คนอายุมากกว่าตอบเสียงชัดเจน
“มันจะไม่เป็นการเอาปัญหาของผมไปให้เขาเหรอ”
“ไม่สิ
เรื่องแบบนี้พี่คิดว่าเหมยไม่จำเป็นต้องเก็บเอาไว้คนเดียว
ญี่ปุ่นเองควรได้รู้ว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง มันไม่ใช่การผลักปัญหา
ถ้าญี่ปุ่นยืนยันจะอยู่กับเหมยจะกลายเป็นที่ปรึกษาร่วมกัน”
“...”
“ในเมื่อจะคบกันระยะยาวแล้ว
ต่อให้ปิดบังแต่ยังไงเขาก็ต้องรู้ สู้บอกตอนนี้ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ”
“ผม...”
เหมยสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าจะเริ่มคิดอะไรจากตรงไหน “ผมไม่รู้จะทำยังไงให้ป๊ายอมรับ
รู้สึกผิดที่ทำให้ป๊าผิดหวัง
แต่ผมทำไม่ได้ถ้าจะต้องเลือกทำตามใจป๊าแล้วผมต้องเสียใจไปตลอด”
“...”
“ผมขอป๊าแค่เรื่องนี้
แต่ป๊าไม่เห็นด้วย เขายอมรับไม่ได้”
“การที่เหมยชอบผู้ชายมันไม่ได้เป็นเรื่องผิดจนรับไม่ได้
แต่อย่างที่น้ำเงินบอกต้องให้เวลา ตอนนี้เขาอาจจะคิดเหมือนกันว่าจะทำแบบไหน
ทั้งเรื่องที่รับปากกับฝ่ายนั้นไปแล้วและต้องคิดปฏิเสธ มันคงยากทั้งเหมยและเขา”
“ครับ”
“เขาคงไม่ได้คิดว่าจะพลิกขนาดนี้เลยตั้งตัวไม่ถูก
บวกกับที่คาดหวังเอาไว้ว่าอนาคตลูกต้องเป็นไปตามแผน แต่พอไม่เป็นไปตามนั้นเขาเลยโกรธ
คำพูดอาจจะทำร้ายแฝดไปบ้าง แต่พี่อยากให้รู้ไว้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเรา”
น้ำเสียงทุ้มต่ำพูดในประโยคยาวเหยียด “รักคนที่ตัวเองอยากรักต่อไปเถอะครับ
ไม่ได้บอกว่าไม่ให้สนใจความรู้สึกครอบครัวนะ แต่เราเลือกเป็นตัวเองดีที่สุดแล้ว”
“ขอบคุณครับพี่ศา”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก
เท่าที่พี่ฟังจากน้ำเงินมา ป๊ากับม้าเขารักแฝด” เหมยนิ่งไปครู่หนึ่ง
ไม่ปฏิเสธหรอกว่าป๊าม้ารักพวกเขาสองคนมากแค่ไหน
แต่สิ่งที่พวกเขาเป็นกำลังทำให้ท่านตีตราไปว่าเป็นความผิดหวัง “ให้เวลาเขาหน่อยนะ”
“ถ้าสุดท้ายให้เวลาแล้วแต่เขายังยอมรับไม่ได้ล่ะครับ
ผมควรจะทำยังไง”
“อ่า
มันก็ตอบยากเหมือนกัน” องศาไม่อยากโกหกในสิ่งที่ตัวเองคิด “แต่พี่ว่ามันต้องมีสักวิธี”
“...”
“ที่จะรักคนในครอบครัวกับคนที่ตัวเองรักไปพร้อมกัน”
✿
ผ่านมาเกือบอาทิตย์หลังจากทะเลาะกับป๊าในวันนั้น
เหมยและหมิงยังไม่ได้กลับเข้าบ้านแต่ได้มีการพูดคุยกับม้าบ้างแล้ว
คราแรกคิดว่าจะโดนม้าดุเหมือนกันเรื่องความรัก
ทว่ากลับไม่เป็นไปตามนั้นเพราะม้าเป็นคนเดียวที่พยายามจะเข้าใจ
ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวแถมยังโอนเงินมาให้ใช้ส่วนหนึ่ง
แม้จะอยากกลับไปคุยกับป๊าอีกครั้ง
แต่ม้าบอกว่ารอให้ผ่านไปอีกสักระยะจะดีกว่าเพราะตอนนี้ป๊ายังโกรธหนักอยู่ หากเข้าไปตอนนี้มีแต่จะทำให้มันแย่ไปกว่าเดิม
“ตะเกียบไปไหน” เสียงทุ้มเอ่ยถามเมื่อน้องชายเดินมานั่งลงตรงหน้าพร้อมกับบะหมี่สองถ้วยและไม่มีตะเกียบสักคู่
“ลืมหยิบอะดิ
แป๊บ” พูดเพียงเท่านั้นก็ลุกขึ้นไปในครัวอีกครั้ง
พวกเขาอยู่บ้านพี่ครามเหมือนเป็นบ้านของตัวเองเพราะเจ้าบ้านไม่แม้แต่จะโผล่หน้ามาให้เห็น
เรียกได้ว่าทั้งอาทิตย์นี้เจอพี่ครามได้ที่มหา’ลัยตอนไปรับพู่กัน
ส่วนน้ำเงินน่ะ...เลิกเรียนก็ไปอยู่ร้านเสื้อกับพี่องศาแล้ว “อะ
กูไม่เอานะ”
“แล้วจะใช้อะไร”
“ช้อนส้อมไง” หมิงย่นจมูกพลางชูขึ้นมาให้ดู
เขาไม่ถนัดใช้ตะเกียบคีบอาหารไม่ว่าจะเป็นเมนูไหน แม้จะโดนสอนหลายครั้งแล้วก็ตาม “เออ
เดี๋ยววันนี้พวกพี่ครามจะมานั่งกินเหล้าที่นี่กันมั้ง”
“อือ”
“ไปซื้อของกันไหม
เอามาติดไว้เผื่อพวกพี่มันจะทำอะไรกินกัน”
“ได้
งั้นรีบกินเข้า”
“มากันหมดเลยนะ” เหมยขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อน้องชายทวนซ้ำ
“แบบกลุ่มเรากับกลุ่มพี่ศา”
“เก้าคน” แฝดน้องพยักหน้าหงกๆ
ก่อนจะม้วนเส้นบะหมี่ด้วยส้อมแล้วตักเข้าปาก “อยากกินอะไรหรือเปล่า”
“อยากกินเบียร์”
“กินอยู่ทุกวัน” หมิงชะงักตอนเขาส่งเสียงตอบ
แม้จะไม่ได้ไปดื่มตามร้านเหล้าอย่างที่ควรจะเป็น
แต่หมิงน่ะซื้อกลับบ้านมาวันละขวดสองขวดตลอด “พักบ้างเถอะ”
“กูเครียดนี่หว่า” แม้จะพยายามพูดติดหัวเราะแต่พวกเขารู้กันว่ามันอึดอัดแค่ไหน
“กูอิ่มอะ
เดี๋ยวไปเปลี่ยนเสื้อตัวหนึ่ง มึงกินไปก่อนละกัน”
เหมยพยักหน้าให้แทนคำตอบ
มองตามหลังน้องก่อนอีกฝ่ายจะหายขึ้นไปชั้นบน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนกดเข้าแอปแชต
มองดูข้อความที่ยังไม่ได้รับการตอบกลับตั้งแต่เมื่อคืน
ญี่ปุ่นทิ้งเอาไว้ว่าจะอ่านหนังสือเตรียมสอบอะไรสักอย่างวันนี้ก็หายไปทั้งวัน
เขากดพิมพ์ข้อความบอกคิดถึง
ไม่ได้ถามซ้ำว่าหายไปไหนเพราะไม่อยากจุกจิกมากเกินไปนัก
แถมเรื่องที่ทะเลาะกับป๊าก็ยังไม่ได้เล่าให้ฟัง
เพียงแค่บอกว่ายังเคลียร์ไม่รู้เรื่องเอาไว้พร้อมแล้วจะเล่าเท่านั้น
แน่นอนว่าญี่ปุ่นบอกเพียงแค่เป็นกำลังใจให้
เจ้าของร่างสูงกินบะหมี่ไปแค่ไม่กี่คำแล้วจำต้องเอาชามทั้งสองไปล้างทั้งที่ยังเหลืออยู่โดยไม่เสียดาย
ไม่ใช่ว่าอิ่มแต่มันเป็นความรู้สึกไม่อยากกิน
เมื่อหมิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วพวกเขาเลยพากันขับรถออกมาร้านสะดวกซื้อใกล้ๆ
หยิบเบียร์ไปสามสี่ขวด
ขนมอีกเล็กน้อยเพราะคิดว่าหากพวกรุ่นพี่มาคงมีติดไม้ติดมือกันมาเยอะ
เดี๋ยวจะเหลือทิ้งเสียดายเปล่า
เหมยแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ใช้เวลาออกไปข้างนอกนานนักแต่พอกลับมาถึงกลับเห็นรถของพวกรุ่นพี่จอดเทียบอยู่หน้าบ้านแล้ว
“พี่เข็มมาด้วยเหรอวะ” หมิงหันมาท้วงด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ทำไม”
“ตัดมึงกับกู
จากเก้าต้องเหลือเจ็ดดิ แต่นี่รองเท้ามีแปด ฉิบหายแล้วไม่ได้ซื้ออะไรมาเผื่อเขาเลย” แฝดน้องลุกลนจนเขาหลุดหัวเราะ
“ขำไรวะ
กูจริงจังนะเว้ย ...พี่เข็มโคตรนิ่ง ดูดุกว่าพี่องศาตั้งเยอะ”
“รู้จักเขาจริงๆ
แล้วหรือไงถึงได้ไปตัดสินแบบนั้น เขาอาจจะใจดีก็ได้” เหมยว่าก่อนหยิบถุงมาถือเอาไว้แล้วเดินเข้ามาในบ้านตามด้วยหมิงที่ยังไม่หายแคลงใจ
เสียงพูดคุยดังออกมาจากห้องนั่งเล่นเขาจึงเดินเข้าไปเพื่อเตรียมทักทาย
แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรแฝดน้องก็ถามขึ้นมาก่อน
“มากันแค่นี้เหรอครับ?” สิ้นสุดเสียงหมิง
เพื่อนสนิทที่รู้ใจอย่างเพลิงถึงกับทำหน้าฉงน ในห้องนั่งเล่นตอนนี้มีเพียงพี่นับเงินกับเพลิงสองคน
ส่วนคนที่เหลือไปไหนไม่รู้
“ปกติก็มีกันแค่นี้ปะวะ...
หรือมึงเห็นผี”
“ผีเหี้ยอะไรล่ะ
กูแค่เห็นรองเท้ามีแปดคู่ ก็นึกว่าพี่นับพาพี่เข็มมาด้วย” เขาว่าก่อนหันหน้าไปทางนับเงินที่นั่งอยู่บนพนักพิงโซฟา
ที่ประจำเลยแหละเบาะนั่งดีๆ มีให้นั่งดันไม่ชอบนั่ง
“จะเจอพี่เข็มได้ก็แค่ห้องทำงานเท่านั้นแหละครับ” นับเงินหัวเราะแล้วยกมือโบกปัด “พี่ไม่ได้พามา รองเท้าไอ้ครามมันเอามาเก็บ”
“โธ่
ผมก็ตกใจ” หมิงหัวเราะก่อนหันไปมองหน้าพี่ชาย
“เดี๋ยวกูเอาเบียร์ไปแช่ให้
มึงไปนั่งเหอะ”
“ไม่เป็นไร
เดี๋ยวแช่เอง พี่จะเอาหรือยังครับ” เขาคว้าถุงจากร้านสะดวกซื้อมาจากมือแฝด
โดยไม่ลืมหันไปถามรุ่นพี่ด้วยว่าสนใจจะดื่มเลยไหมทว่านับเงินกลับส่ายหน้า
“ยังๆ
ไว้ก่อน ไปแช่รวมไว้กับของพวกพี่เลย” เขาเดินมาเก็บของในครัว เปิดตู้เย็นหยิบเอาขวดเบียร์วางเรียงกันไว้
เป็นไปตามที่คิดเลยคือรุ่นพี่ซื้อมาไว้อีกรวมกับของเขาแล้วน่าจะประมาณสิบขวดได้
ในจังหวะที่กำลังจะหมุนตัวกลับ
เขาดันถลาไปข้างหน้าจนเกือบติดตู้เย็นเพราะมีใครบางคนกระโดดเกาะหัวไหล่โดยไม่ทันตั้งตัว
มีอยู่ไม่กี่คนที่เคยกระทำอย่างนี้ หัวใจของเขาสั่นไหวรุนแรง
ก่อนจับข้อมือนั้นแล้วยกขึ้นมาพรมจูบหลังฝ่ามือแบบไม่ต้องหันไปมอง
กลิ่นน้ำหอมคุ้นชิน… และเพียงแค่สัมผัส
“กลับมาทำไมไม่บอก”
“…”
“จะได้ไปรับ”
“ถ้าเราบอกก็ไม่เซอร์ไพรส์ซี่! …ต้นเหมยรู้ได้ไงว่าเป็นเราอะ
เนี่ย เที่ยวจูบมือใครมั่วเลยเหรอ ไม่น่ารักเลย” น้ำเสียงของคนขี้หึงบ่นอุบอิบอยู่ข้างหลัง
คงจะเป็นเพียงไม่กี่คนที่ทำให้เขามีรอยยิ้มได้
คนตัวสูงหมุนตัวกลับมาก่อนกระตุกยิ้มมุมปากเมื่อเจ้าตัวยุ่งทำหน้างอ
“จำกลิ่นน้ำหอมได้ครับ”
“จริงอะ”
“ครับ
เหมยไม่จูบใครมั่วหรอก”
“อื้ม” พอโดนจ้องตาเข้าหน่อยกลายเป็นเขานี่แหละที่ทำตัวไม่ถูก
ญี่ปุ่นเม้มปากแล้วเบนสายตาไปทางอื่น “แล้ว...”
“คิดถึง”
“เหมือน… อื้อ” ตอบยังไม่ทันสุดเสียงกลับโดนช่วงชิงริมฝีปาก
ไม่ได้เกรงว่าใครจะเข้ามาเห็นเลยสักนิด แขนแกร่งโอบรอบเอวคอดแล้วดึงเข้ามาประชิดตัว
ลมหายใจผ่อนผสานกันเชื่องช้า ปลายลิ้นเกี่ยวเย้าตรึงทุกสัมผัส
ตอกย้ำว่าความคิดถึงนั้นมีมากเกินกว่าจะพูดเพียงอย่างเดียว …กระทั่งเหมยเป็นฝ่ายถอนริมฝีปาก
“คิดถึงครับ”
“คิดถึงเหมือน...
ด...เดี๋ยวต้นเหมย!” เจ้าตัวยุ่งเบิกตาโพลงพลางยกสองแขนขึ้นดันอกเอาไว้เมื่ออีกฝ่ายทำทีจะโน้มมาประทับอีกครั้ง
“พอก่อน
เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าหรอกน่า”
“เห็นก็เห็นสิ”
“ต้นเหมย!” คนถูกเรียกชื่อเสียงเขียวหลุดยิ้ม
ก่อนยกมือขึ้นบีบจมูกแฟนตัวเองเบาๆ “ฮื่อ ไม่ต้องมาบีบเลย”
“อย่าเสียงดัง”
“ก็...”
“ก็อะไร”
“เปล่า...
เราไปหาพี่ยิ้มดีกว่า” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่มีหรือที่จะหลุดออกจากอ้อมแขนแกร่งได้ “ปล่อยเราเดี๋ยวนี้เลย”
“ไม่ปล่อย”
“ต้นเหมย”
“ขอกอดห้านาที” เหมยพูดเชิงออดอ้อน
แต่ญี่ปุ่นกลับทำทีเหมือนไม่ได้ยิน “นะครับ”
“…”
“ไอจัง”
“ฮึ่ย
เรารู้แล้ว” ญี่ปุ่นเม้มปากกลั้นรอยยิ้ม
สำหรับคนอื่นมันคงไม่นานเท่าไหร่...
แต่สำหรับญี่ปุ่นยอมรับเลยว่าเพียงแค่วันเดียวก็รู้สึกว่ามันนานเอาเสียมากๆ แล้ว
กว่าจะเคลียร์งานมาได้จนหมดเล่นเอาเหนื่อยไปหลายวัน
“อยู่นานแค่ไหน”
“พรุ่งนี้เราก็กลับแล้ว”
“หืม” เหมยขมวดคิ้วยุ่ง
มองหน้าคนแสบด้วยความสงสัย พอเห็นรอยยิ้มดื้อๆ
แล้วนั่นทำให้รู้ว่าตัวเองโดนแกล้งเข้าแล้ว “อยากโดนตีเหรอ”
“ทำไมต้องตีเราด้วยเล่า”
“ปุ่นโกหก”
“แกล้งนิดเดียวเองน่า” เจ้าของเสียงหวานหัวเราะคิกคัก
ก่อนจะหลุดพ้นจากอ้อมแขนของอีกฝ่าย “เราอยู่ประมาณสามอาทิตย์ แต่เดี๋ยวดูอีกที เห็นโต้ซังบอกว่าจะมาหาน้าแก้ว
ถ้าเกิดว่ามาเราคงได้อยู่ต่ออีกหลายวันแหละ”
เมื่อพูดถึงคนเป็นพ่อเหมยถึงกับชะงักไปครู่หนึ่งจนญี่ปุ่นเอะใจแต่ไม่ได้พูดอะไร
ความเป็นจริงเขากลับมาเมืองไทยเพราะเป็นห่วงต้นเหมยแถมยังเป็นช่วงสิ้นปีแล้วจึงถือโอกาสมาเยี่ยมแม่พี่ยิ้มตามสัญญาด้วยเลย
แม้ว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ได้พูดอะไรให้ฟังแต่เขารู้ว่ามันต้องไม่ราบรื่น
“ไอจัง”
“หือ”
“เหมย...” เสียงทุ้มขาดห้วงไปเมื่อญี่ปุ่นเอื้อมมือขึ้นมาปิดปาก
“ไม่เป็นไร” คนตัวเล็กกว่าพูดก่อนเผยรอยยิ้มพอให้อุ่นใจ
“ยังไม่ต้องพูดอะไรให้เราฟังหรอก”
“…”
“เราไม่ได้จะมาเร่งให้ต้นเหมยเล่าอะไรให้ฟังนะ
เราตั้งใจมาไม่บอกเพราะอยากเซอร์ไพรส์ อยากเจอต้นเหมยเฉยๆ”
“...”
“เราแค่...” ญี่ปุ่นสูดลมหายใจเล็กน้อยเพราะคิดว่าคำที่จะพูดออกไปมันชวนเลี่ยนอยู่ไม่น้อย
แต่เขาไม่รู้ว่าถ้าไม่พูดแบบนี้แล้วจะพูดอย่างไรได้อีก “แค่อยากมาอยู่ด้วย”
“…” พอพูดมาถึงตรงนี้คนตัวสูงก็จับมือเขาทันที
ทว่าญี่ปุ่นน่ะอยากให้ได้ฟังก่อนว่าเขาคิดอะไรอยู่
สุดท้ายจำต้องพูดในสิ่งที่คิดทบทวนอยู่หลายวันออกไป
“เรารู้ว่าทางบ้านต้นเหมยคงไม่โอเค
เพราะถ้าเป็นเรา... ถ้าเกิดทุกอย่างไม่มีปัญหา
เราคงจะเล่าให้ต้นเหมยฟังไปแล้วว่าผู้ใหญ่เขาพูดว่าอะไรบ้าง” เหมยลอบกลืนน้ำลายลงคอ
ส่วนตัวเขาเองรู้ว่าญี่ปุ่นจะต้องคิดแบบนี้และเขาไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่ามันเป็นความจริง
“แต่เราอยากให้ต้นเหมยรู้นะว่าเราไม่เป็นอะไร เราไม่ได้จะทำตัวไม่สนใจนะ แต่เรา...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว”
“…”
“เหมยจะทำให้ป๊ายอมรับเรื่องของเราให้ได้ครับ”
มีเด็กแอบมาเซอร์ไพรส์ต้นเหมย แอแง ยัยจี้ปุ่งของหม่าม้า /ลูบหัว
#เรื่องของต้นเหมย
ความคิดเห็น