คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : 14 ✿ ขอร้อง
14
ขอร้อง , ต้นเหมย
“นั่งก่อนๆ” เสียงคุ้นเอ่ยพลางผายมือไปยังโซฟาข้างกัน
แขกผู้มาเยือนพยักหน้าลงครั้งหนึ่งแล้วทิ้งตัวลงนั่งด้วยความอ่อนล้า
หย่งถอนหายใจแผ่วปรายตามองคนฝั่งตรงข้าม ความรู้สึกผิดก่อตัวซ้ำซากมาหลายอาทิตย์ตั้งแต่มีเรื่องกับไอ้ลูกชายตัวดีไป
กระทั่งคิดว่าไม่สามารถเก็บเอาไว้และไม่มีทางออกใดนอกจากพูดความจริงจึงได้พาตัวเองมาเหยียบบ้านตระกูลเจี๋ยตั้งแต่หัววัน
“หายดีแล้วหรือพี่หย่ง
ฉันคิดจะไปเยี่ยมอยู่เชียวแต่ยังหาเวลาไม่ได้เลย”
“ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะ” หย่งกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ
กระอักกระอ่วนอย่างไรไม่รู้ “วันนี้ที่ฉันมา ฉันมีเรื่อง... เรื่องสำคัญ”
“เรื่องเครียดหรือ
ดูสีหน้าพี่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ มีอะไรให้ฉันช่วยก็บอกมาได้เลยนา”
“เรื่องงานแต่งของหนูเพ่ยกับเจ้าเหมย” เขาพูดโดยสบตากับผู้เป็นบิดาของว่าที่ลูกสะใภ้ของตน
ฝ่ายนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่กลับไม่พูดอะไร เป็นอันรู้กันว่าคงจะให้เขาพูดต่อจนจบ “เมื่อวันที่ฉันผิดนัดเรื่องพาหนูเพ่ยไปเลือกแหวน
ความจริงแล้วฉันรอคุยกับเจ้าเหมยมันก่อน ฉันขอโทษที่เงียบอยู่นาน
แต่ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร”
“พี่หย่งมีอะไรพูดมาเลย
ดีกว่าอ้อมค้อมกันอยู่อย่างนี้” เหว่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยทว่าไม่ได้หงุดหงิดแต่อย่างใด “ฉันบอกแล้วว่ามีอะไรเราคุยกันได้ทุกเรื่อง”
“ฉันขอโทษที่ไม่สามารถทำให้เจ้าเหมยแต่งงานกับหนูเพ่ยได้” หัวใจของหย่งบีบคั้นเพราะเขาเอ็นดูเพ่ยเพ่ยเสียเหมือนลูกสาวอีกคน
คาดหวังว่าเธอจะเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัวตั้งแต่ไหนแต่ไร “เหมยมันไม่ยอม
ฉันพูดอย่างไรมันก็ไม่ยอมท่าเดียว แถมยังบอกฉันอีกว่ามีแฟนแล้ว ฉันขอโทษจริงๆ”
หย่งยกมือขึ้นไหว้ด้วยความรู้สึกผิดเต็มหัวใจ
เวลาเนิ่นนานมาพอสมควร หลายอย่างถูกจัดเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย
ไหนจะการบอกกล่าวปากต่อปากว่าจะมีงานแต่งเกิดขึ้นแต่เมื่อใกล้ถึงเวลากลับถูกยกเลิกอย่างตั้งใจ
“ไม่ต้องไหว้ฉันหรอก” เหว่ยยกมือขึ้นปราม
เขาเองรู้จักครอบครัวของพี่หย่งมานานหลายปี ยินดีจะได้ปรองเป็นครอบครัวเดียวกัน “แบบนี้ก็แปลว่าพี่หย่งทะเลาะกับเจ้าเหมยหรือ”
“อืม
ฉันน่ะโกรธมันเอาเสียมากๆ”
“มันเปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้วใช่ไหม”
หย่งพยักหน้าเมื่อสิ้นสุดเสียง ก่อนเหว่ยจะถอนหายใจออกมา “ฉันน่ะ
พอจะรู้อยู่หรอกว่าเจ้าเหมยไม่ได้อยากจะแต่งงาน”
“ฉันขอโทษแทนด้วยนะ
มันคงเป็นความผิดของฉันที่บังคับมันไม่ได้”
“จะพูดอย่างนั้นคงจะไม่ถูกเสียทีเดียว
ฉันเองพอมาคิดๆ ดูแล้วตอนฉันแต่งงานพ่อแม่ก็ไม่ได้บังคับ
...แต่ฉันเห็นว่าเหมยรู้จักกับอาเพ่ยมาตั้งแต่เด็ก คิดว่าเด็กๆ คงรักกัน
แต่พอมาถึงวันนี้รู้แล้วว่าที่ผ่านมาคนเป็นพ่ออย่างฉันน่ะคิดไปเอง
ความจริงฉันไม่เคยถามไถ่อาเพ่ยเลยว่ารู้สึกอย่างไร”
“…”
“มัวแต่คิดว่าได้คู่กับเจ้าเหมยคงจะดีและดูแลอาเพ่ยได้
แต่ถ้าเหมยไม่ได้รักลูกสาวฉัน บังคับให้แต่งกันทั้งที่ไม่ได้รัก อืม...
ฉันเองก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะหาความสุขจากตรงไหนให้ลูก ดีไม่ดีอาจจะเป็นฉันที่สร้างความทุกข์ให้แทน”
“ฉันขอโทษจริงๆ
เรื่องที่ได้บอกคนอื่นไปแล้ว บอกได้เลยนะว่าความผิดมาจากฝั่งฉัน” เมื่อได้ฟังสิ่งที่อาเหว่ยพูด
เขาเริ่มจะคิดได้บ้างว่าเราต่างอยากให้ลูกมีความสุขแต่ไม่ทันได้คิดว่าสิ่งที่เราเรียกว่าเป็นความสุขนั้นอาจจะกำลังกลายเป็นความทุกข์ของลูก
“ฉันไม่อยากบังคับมันอีก”
“ถ้าเจ้าเหมยมันมีแฟนก็ให้ได้รักกับแฟนไปเถอะพี่หย่ง
อย่าไปแยกเขาเลย”
“ฮึ
ฉันน่ะ... แค่ไม่บังคับเรื่องแต่งงาน แต่ถ้าให้ยอมรับเรื่องแฟนมัน ฉันทำไม่ได้หรอก”
“ทำไมหรือ” เหว่ยเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“พูดถึงเรื่องนี้แล้วฉันหนักใจ
ไม่รู้ว่าเลี้ยงมาผิดวิธีตรงไหน
...มันไม่ชอบหนูเพ่ยเพราะมาสารภาพกับฉันว่าชอบผู้ชายด้วยกัน
ฉันยังไม่รู้เลยว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน” พูดจบก็ยกมือขึ้นลูบหน้า
คราแรกจะไม่พูดให้ฟังหรอกแต่ไหนๆ ได้คุยแล้ว เขาอาจจะได้ที่ปรึกษาเพิ่มอีกสักคน
“พี่หย่งหมายถึงเจ้าเหมยน่ะหรือชอบผู้ชาย” เหว่ยถามเสียงเรียบเฉยทว่าภายในอกกลับรู้สึกตกใจอยู่บ้าง
“ใช่
มันชอบผู้ชาย ฉันถึงได้ปวดประสาทอยู่แบบนี้
ตอนแรกบอกมีแฟนฉันยังคิดแล้วคิดอีกว่ามีอะไรดีถึงได้จับอยู่หมัด ที่ไหนได้... เหอะ
ฉันรับไม่ได้”
“ยังดีนะที่เจ้าเหมยยอมมาสารภาพ ไม่อย่างนั้นเราทั้งคู่จะกลายเป็นคนสร้างความทุกข์ให้เด็กๆ
เขานะพี่หย่ง”
“อืม
ฉันสงสารหนูเพ่ย”
“ไม่ต้องกังวลเรื่องอาเพ่ยหรอก
ฉันห่วงเจ้าเหมยน่ะสิ พี่หย่งไม่ยอมรับออกหน้าออกตาอย่างนี้
ไม่สงสารเจ้าเหมยมันหรือ ...อย่าหาว่าฉันวุ่นวายกับครอบครัวพี่เลยนา
แต่ตั้งแต่ที่ฉันได้รู้จักมา จะมีสักกี่หนเชียวที่เหมยมันขัดใจพี่น่ะ”
“…”
เรื่องนี้เขารู้ดีกว่าใคร วันนั้นก็โดนไอ้ลูกชายตัวดีพูดตอกหน้ามา
แต่คนมันโมโหจะให้ทำอย่างไร
อีกอย่างเขาคาดหวังครอบครัวอันสมบูรณ์ไว้แต่ถ้ามันคบผู้ชายจะเอาอะไรมามีหลานสืบตระกูลให้ล่ะ
“ฉันรู้
แต่ทำใจไม่ได้จริงๆ”
“รักกันมันไม่ใช่เรื่องผิด
เชื่อฉันสิ คิดเสียว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกชายพี่อีกสักคน”
“มันผิดเพศกันอย่างนั้นน่ะหรือจะให้ฉันยอมรับ” คนถูกถามกลับแสดงสีหน้าหนักใจ
“มันเป็นคนเดียวยังไม่เท่าไหร่
ยังมาพาลให้เจ้าหมิงเป็นไปอีกคนนี่น่ะสิ ชีวิตฉันไม่คิดว่าจะต้องมาเจอแบบนี้
ความหวังที่ฉันตั้งไว้มันพังหมดเลย”
“อาจจะพูดง่ายเกินไปหน่อย
ฉันไม่ได้อยู่ในจุดเดียวกับพี่หย่ง แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้วนา คนรักกันถ้าพี่ห้ามจะใจร้ายไปไหม
อีกอย่างเจ้าแฝดมันก็ลูก แฟนเจ้าเหมยก็เด็กผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนเหมือนกันนะ
ฉันว่าพี่เปิดใจดูหน่อยเถอะ ...ฉันเคยอ่านสัมภาษณ์อะไรสักอย่าง เขาบอกว่าความจริงเราน่ะรักลูกตั้งแต่เกิดมาโดยที่ยังไม่รู้เพศเลยด้วยซ้ำแล้วทำไมการที่ลูกเป็นเกย์ถึงจะรับไม่ได้ล่ะ”
“…”
“ความรักสมัยนี้
มันไม่เกี่ยวกับเพศนะพี่หย่ง”
“…”
“มันทำเพื่อพี่มาหลายอย่างแล้ว
ฉันว่าพี่ลองเปิดใจให้เด็กมันหน่อย อย่างน้อยๆ ก็เห็นแก่ความรักของมันเถอะ”
✿
เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ที่สอดอยู่ใต้หมอนปลุกคนในภวังค์ความฝันให้ตื่น
เจ้าของร่างสูงผ่อนลมหายใจคล้ายหงุดหงิดก่อนหยิบมันขึ้นมากดรับสายโดยไม่มองว่าใครเป็นผู้โทรเข้า
แต่เพียงได้ยินเสียงกลับรู้ได้ทันที
(พี่เหมยคะ)
เจ้าของชื่อได้สติ ลืมตาตื่นทันที
เขายกโทรศัพท์ออกจากใบหูเพื่ออ่านให้แน่ชัดว่าไม่ได้คิดไปเอง
ตั้งแต่มีเรื่องทะเลาะกับป๊า แม้เพ่ยเพ่ยพยายามจะโทรหาแต่เขาปฏิเสธเสียทุกครั้ง
จะว่าเขาใจร้ายมันคงเป็นแบบนั้น ทว่าเขาไม่รู้ว่าป๊าบอกเรื่องเขายกเลิกงานแต่งกับทางตระกูลเจี๋ยไปหรือยังอีกฝ่ายถึงได้โทรมาอีก
“ครับ”
(...พี่เหมย)
“เพ่ยมีอะไรครับ” เหมยรู้ตัวว่าเขาทำนิสัยไม่ดีเท่าไหร่นัก
ไม่ว่าจะผ่านมากี่ปีเขายังมองเธอเป็นแค่น้องสาว
แม้จะไม่พอใจเวลาโดนบังคับให้ไปรับส่งหรือใช้เวลาอยู่ด้วยกัน
แต่หากไม่มีเรื่องงานแต่งงานเข้ามาเกี่ยว เขาคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นพี่ชายที่ดี
ดูแลเธอเหมือนเวลาดูแลหมิงได้ เขาเป็นเพียงคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง เลือกทำให้เธอเจ็บช้ำมาตลอดหมายจะยกเลิกงานแต่ง
แต่ไม่ว่าจะแสดงออกเท่าไหร่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม
(หนู...)
เธอขานตอบเสียงเบาและเหมยพยายามจะทำตนให้นิ่งไม่ใจร้อน
(หนูรู้เรื่องที่พี่จะยกเลิกงานแต่งแล้วนะคะ)
“ครับ”
(ป๊ากับคุณอาเพิ่งคุยกันเมื่อคืน)
“…”
(หนูโทรมาหา
หนูแค่อยากจะถามว่าวันนี้พี่เหมยว่างไหม ...ถ้าเกิดว่าพี่ไม่ว่าอะไร
หนูขอคุยกับพี่หน่อยได้ไหมคะ) สิ้นสุดเสียงเหมยใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ที่ผ่านมาเขาไม่อยากไปเจอนั่นคือความจริง
ไม่อยากสานบทสนทนาหรือทำสิ่งใดให้เพ่ยเพ่ยคิดว่าเขามีใจเพราะมันไม่เป็นอย่างนั้น
(เพราะหนูไม่น่ารักหรือเปล่า พี่ก็เลย...)
“พี่ขอเวลาหนึ่งชั่วโมง
เดี๋ยวโทรไปถามว่าจะเจอกันที่ไหน”
(พี่เหมยไม่ลำบากใช่ไหมคะ)
“ไม่ครับ
เดี๋ยวเจอกัน”
เขากดตัดสายทันทีที่พูดจบ
ไม่อาจปล่อยให้เพ่ยเพ่ยคิดว่าที่เรื่องราวเป็นแบบนี้เพราะเธอเป็นคนผิด
แต่หากจะถามหาคนผิดจริงๆ ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะโทษใคร ถ้าจะโทษทางครอบครัวของเรามันก็...
อ่า พูดยาก เพราะรู้ว่าอยากเลือกคนที่ควรเป็นคู่ครองให้ลูก ตามความคิดป๊าคงมองมาแล้วว่าถ้าอยู่ด้วยกันมันต้องดี
แต่เหมยเลือกแล้วว่าอยากรักใคร
ตอนนี้เวลานี้มันดีมาก เขามีความสุขกับทุกอย่าง มีความสุขแล้วกับคนที่ตัวเองเลือก
ต่อให้สุดท้ายเขาต้องเจ็บก็จะไม่เสียใจมากเกินไปและจะไม่โทษใคร
เพราะเขาเป็นคนเลือกเอง
✿
“ปุ่นไม่เข้าไปด้วยกันเหรอ” หมิงเอ่ยพลางชะโงกหน้ามาหา
“ไม่ไปดีกว่า
เราคนนอกอะ เดี๋ยวรออยู่แถวๆ นี้”
ญี่ปุ่นยิ้มรับก่อนหันมาปลดเข็มขัดนิรภัยของตัวเองออก
วันนี้พวกเขานัดกันออกมาหาอะไรกินในช่วงบ่ายแต่ต้นเหมยบอกว่ามีธุระต้องมาคุยกับเพ่ยเพ่ยซึ่งเคยเป็นว่าที่เจ้าสาวจึงขออนุญาตแวะมาหาก่อน
“ถ้าเกิดว่าเสร็จแล้วไม่เจอเราโทรมาก็ได้นะ”
“ไปนั่งข้างในสิ” เหมยท้วง
เขาไม่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก
เอาเข้าจริงคืออยากให้รู้ความเป็นไปเกี่ยวกับเขาทั้งหมด “ไม่เป็นไรหรอก”
“ไม่เอา
ต้นเหมยก็เข้าไปกับหมิง เรารอข้างนอกได้ น้องเขาอาจจะอยากคุยเรื่องส่วนตัว” เขาไม่ได้ทำน้ำเสียงไม่ดีหรือประชดประชัน
“เรารู้ว่าต้นเหมยห่วงความรู้สึกเรา
แต่ว่า...เรื่องนี้เราเข้าใจจริงๆ นะ อีกอย่างน้องเขามากับคุณแม่ จะให้เราเข้าไปนั่งอยู่ด้วยมันก็จะแปลกๆ”
“โอเคครับ
ถ้างั้นเดี๋ยวเหมยรีบคุย”
“ไม่ต้อง...”
“เหมยจะรีบคุยครับ” ญี่ปุ่นย่นจมูกเพราะโดนขัดออกมาอีกครั้งทั้งที่ยังพูดไม่จบ
“อย่าไปไหนไกลนะ”
“อื้ม
รู้แล้ว”
ชายหนุ่มพยักหน้าหนหนึ่งก่อนลงมาจากรถด้วยกันทั้งสามคน
แฟนตัวเล็กขอไปเดินเล่นเพราะแถวนี้มีร้านอาหารและคาเฟ่เยอะพอสมควร
แม้ว่าร้านที่เพ่ยเพ่ยนัดมาเจอจะสามารถเข้าไปนั่งดื่มได้
แต่ญี่ปุ่นกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัวผลเลยเป็นแบบนี้
“มึงคุยกับเขาดีๆ
นะ” หมิงพูดเสียงเบาหลังจากเดินเข้ามาในร้าน
เพียงแค่กวาดสายตาก็รู้ได้ทันทีว่าสองแม่ลูกนั่งอยู่มุมใด
สองแฝดเดินตรงเข้าไปหาก่อนเหมยจะเป็นคนเอ่ยปากทักทาย
“สวัสดีครับ” ทั้งเพ่ยเพ่ยและอาทิพย์เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างพร้อมเพรียง
ก่อนผู้อาวุโสจะยิ้มรับแล้วผายมือเชิญให้เขากับน้องนั่งลงตรงข้าม
“ทานอะไรกันมาหรือยังคะ”
“ยังครับ
พอดีผมมีธุระต่อ” หมิงกระตุกแขนเสื้อแฝดพี่เบาๆ
แม้น้ำเสียงจะไม่ได้หงุดหงิดแต่การบอกปัดอย่างนั้นทำให้เขารู้สึกเกรงใจคุณอาทิพย์อยู่ไม่น้อย
“ต้องขอโทษด้วยครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ
ถ้าอย่างนั้นเข้าเรื่องเลยดีกว่านะคะ” เหมยพยักหน้ารับรู้ “อากับน้องเพ่ยรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว จริงๆ อาไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ
แต่อาเพียงแค่อยากจะรู้เหตุผลว่าทำไมเหมยถึงไม่อยากแต่งงานกับน้อง
เพราะว่าน้องไม่น่ารักหรือว่าจุกจิกเหมยมากเกินไปหรือเปล่าคะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ
เพ่ยไม่ได้ผิดอะไร แต่ผมไม่สามารถรักเพ่ยแบบคนรักได้จริงๆ
ครับ” เขาว่าพลางสบตากับเด็กสาวตรงหน้า
เธอนั่งนิ่งเฉยไม่แสดงสีหน้าใดจนเขาไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ “แล้วป๊าผมบอกกับทางบ้านคุณอาว่าอะไร
ขอโทษที่ต้องถามนะครับ พอดีผมยังไม่ได้ติดต่อกับป๊าม้า”
“คุณหย่งบอกว่าเหมยมีแฟนแล้วค่ะ”
“ครับ” เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ
มองหน้าอาทิพย์เหมือนต้องการฟังว่ามีอะไรนอกเหนือจากนี้อีกหรือไม่
“เห็นว่าเพิ่งคบกันมาไม่นานใช่ไหมคะ” เหมยพยักหน้าลงอีกครั้ง
“อากับพี่เหว่ยไม่อยากบังคับใจใคร
วันที่คุณหย่งบอกเรื่องยกเลิกงานแต่งดูเป็นกังวลมาก แต่อาเข้าใจค่ะ”
“ขอบคุณครับที่เข้าใจ
ขอโทษด้วยที่ผมทำให้ต้องเสียเวลา” เขายกมือขึ้นไหว้แทนคำขอโทษ ไม่ได้เพียงแค่พูดออกไปให้เรื่องจบ
แต่ส่วนลึกคือเขารู้สึกผิดจริงๆ “ขอโทษที่ทำให้น้องผิดหวังด้วยครับ”
“หนู...
ไม่เป็นไรค่ะ หนูแค่อยากรู้ว่าหนูไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า” เธอตอบเสียงแผ่วก่อนเหมยจะส่ายหน้าอีกครั้ง แม้จะตอบไปแล้วว่าไม่ใช่แต่เข้าใจหากว่าจะคิดอย่างนั้น
“ไม่ใช่ความผิดของเพ่ยจริงๆ
ครับ” เขาย้ำอีกครั้ง
กำลังลังเลใจว่าควรจะบอกถึงสาเหตุดีไหม
สุดท้ายเขาเลือกทำตามใจตัวเองและเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมด “พี่ชอบผู้ชายครับ
อ่า แฟนพี่เป็นผู้ชาย”
บรรยากาศบนโต๊ะเงียบทันใด
หมิงเบิกตาโพลงพลางหันไปมองหน้าแฝดพี่อย่างตระหนก ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ เหมยจะพูดแบบนี้ออกมา
ดูท่าแล้วสองแม่ลูกเองก็อึ้งไม่ต่างกัน รู้ได้แน่ชัดว่าป๊าเขาไม่ได้พูดเรื่องนี้
แต่เอาเถอะไม่บอกตอนนี้สักวันต้องรู้อยู่ดีเพราะพวกเขาไม่มีทางเปลี่ยนตัวเอง
“หนูเข้าใจแล้วค่ะ” เพ่ยยิ้ม
ตอนแรกรู้เพียงแค่พี่เหมยมีแฟนเธอจึงไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมถึงเป็นเธอไม่ได้
แต่คำตอบนี้เคลียร์ทุกปัญหาภายในหัวใจของเธอ เรื่องความรักมันไม่ใช่ใครก็ได้จริงๆ “หนูขอให้พี่มีความสุขนะคะ”
“ครับ
เหมือนกันนะ” เขาตอบสั้นๆ
เพราะไม่รู้จะพูดอะไรมากกว่านี้ “ขอโทษอีกครั้งนะครับ ถ้าเกิดว่าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ
พอดีแฟนผมรออยู่”
“ค่ะ” อาทิพย์ยิ้มให้เขาก่อนพยักหน้าให้โดยไม่ถามอะไรอีก
เขาจึงถือวิสาสะลุกขึ้นยืน ยกมือไหว้แล้วขอตัวออกมา
“มึงพูดไปแบบนั้นจะดีเหรอ
ถ้าเกิดว่าอาทิพย์เขาไปคุยกับป๊ามึงทำยังไง” หมิงเดินตามมาติดๆ
แถมยังกระซิบด้วยน้ำเสียงกังวลจนเหมยต้องหันไปมองแล้วตอบคล้ายไม่ใส่ใจ
“เรื่องมาถึงขนาดนี้ จะเป็นยังไงก็ช่างมันเถอะ”
“...”
“ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว”
เหมยยิ้มมุมปากก่อนผลักประตูร้านออกมา
เขาเดินตรงไปรถแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกเบอร์ของญี่ปุ่นเพราะไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวเดินไปถึงไหน
เขาใช้เวลาพูดคุยกับคุณอายังไม่ถึงสิบนาทีเลยด้วยซ้ำ
“มึง”
“ว่า” เขาหันไปตอบทั้งที่ยังแนบโทรศัพท์ไว้ข้างหู
“มีอะไรหมิง”
“แฟนมึงเดินมาโน่นแล้ว” หมิงพูดเจือหัวเราะแล้วชี้ไปยังฝั่งตรงข้าม
ญี่ปุ่นถือถุงอะไรสักอย่างไว้ในมือกำลังจะเดินข้ามถนนมาฝั่งนี้
เขากดวางสายแล้วเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า “มึงเดี๋ยวแวะไปส่งกูบ้านเพลิงหน่อยนะ”
“ไปทำไม” แม้จะมีญี่ปุ่นอยู่ใกล้ตัวแต่เขาอดทำตัวเป็นพี่ชายหวงไข่ไม่ได้
“คืนนี้จะค้างบ้านมัน
พ่อมันไปต่างจังหวัด มึงก็อยู่กับญี่ปุ่นไปดิ” ส่วนหนึ่งเป็นแผนของเขานั่นล่ะ
เห็นว่านานแล้วที่เหมยกับญี่ปุ่นไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคนเลยขอเป็นฝ่ายแยกตัวออกมาดีกว่า
“เคนะ”
“ถ้ามีอะไรก็โทรมา” ความเป็นห่วงแฝดน้องยังมีอยู่เต็มอก
ถึงหมิงจะทำตัวเหมือนไม่ได้คิดอะไรมากแล้วแต่เขามองออกจากสายตานั้นยังคงสะท้อนความกังวลออกมาจนเห็นได้ชัดในทุกวัน
เมื่อน้องไม่สดใสเหมือนเคยมีหรือเขาจะไม่รู้
“หมิงเราซื้อมาฝาก”
“อะไรอะ” เจ้าของชื่อหันไปมองพลางทำหน้าฉงน
คว้าถุงในมือของญี่ปุ่นมาดู “ให้เหมยได้ไหมอะ คือหมิงไม่ชอบกินกล้วยอะดิ”
“อ้าว
งั้นเอาอันนี้ไหม แต่เราลืมว่ามันเรียกว่าอะไร” ญี่ปุ่นหัวเราะแห้งๆ
ก่อนส่งขนมอีกถุงหนึ่งให้ดู
ทว่าหมิงส่ายหน้าระรัวเพราะมันไม่ใช่ของโปรดเขาเลยสักนิด “อันนี้ก็ไม่ชอบเหรอ”
“เดี๋ยวเหมยกินเอง หมิงกินยาก” แฝดพี่เป็นคนตอบแทนเพื่อไม่ให้บทสนทนายืดเยื้อไปมากกว่านี้
หากเป็นขนมเบื้องใส่ฝอยทองหมิงคงกินอยู่หรอกแต่พอเป็นไส้เค็มน้องชายเขาไม่เคยอยากกิน
“ไปกัน”
“ไปไหนเหรอ” คนเพิ่งมาถึงกะพริบตาปริบๆ
เขาคิดว่าจะไปซื้อขนมมานั่งกินระหว่างรอ แต่ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะคุยกับทางบ้านนั้นเร็วขนาดนี้
แถมยังไม่กล้าถามอีกว่าเป็นอย่างไรบ้าง
“วันนี้ปุ่นอยู่ค้างบ้านพี่ครามเป็นเพื่อนไอ้เหมยหน่อยได้เปล่า
หมิงจะไปนอนบ้านเพลิงอะ มันชวน” หมิงชิงพูดออกมาก่อนเรียกว่ามัดมือชกก็ย่อมได้และหากว่าพี่ยิ้มมีปัญหาเรื่องญี่ปุ่นมานอนค้างกับเหมย
เขานี่แหละจะเป็นคนโทรไปฟ้องพู่กันเพื่อให้พี่ครามไปสั่งพี่ยิ้มอีกที
ต้องทำต่อกันเป็นทอดๆ อย่างนี้แหละถึงจะสำเร็จ
“อ...อ๋อ
เราไม่มีปัญหาหรอก แต่ต้องถามพี่ยิ้มก่อนนะ” คนตัวขาวยิ้มตอบอย่างน่ารัก
หมิงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหมยถึงได้ชอบนั่งมองหน้าญี่ปุ่น หากเป็นเขาก็จะมองเหมือนกัน
คนบ้าอะไรเวลายิ้มแล้วน่ารักไปหมด “ถ้างั้นไปเลยไหมเดี๋ยวจะเสียเวลา”
“ได้ๆ
เหมยมึงขับนะ กูจะนอน”
เหมยเพียงพยักหน้าก่อนหันไปช่วยญี่ปุ่นถือถุงขนมแล้วเดินไปเปิดประตูรถ
เขาคิดว่าโชคดีแล้วที่มีน้องชายเข้าใจเรื่องความรักแถมยังเข้ากับแฟนเขาได้ด้วย
นับว่าเป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งเลยล่ะ
✿
เหมยได้โทรขออนุญาตพี่ยิ้มเพื่อให้ญี่ปุ่นมานอนค้างด้วยกันบ้านพี่ครามเรียบร้อยแล้ว
วันนี้ไม่มีใครกลับบ้านอีกเช่นเคย
เขากับหมิงนอนห้องแขกมาตลอดจนเรียกได้ว่าเกือบจะเป็นบ้านอีกหลังไปเสียแล้ว
“ง่วงแล้วเหรอ”
“อื้อ” คนดื้อหันมาพยักหน้าลงระรัว
หลังจากส่งหมิงบ้านเพลิง พวกเขาได้แวะไปห้างซื้อของและกินข้าวมาเรียบร้อยแล้ว
พอกลับมาถึงบ้านครามเลยนั่งดูหนังแต่เขาสังเกตได้สักพักแล้วว่าญี่ปุ่นง่วง “แต่เรายังไม่ได้อาบน้ำเลย”
“ลุกสิ”
“หนังยังไม่จบเลยด้วย”
“ค่อยดูใหม่ก็ได้ครับ” ญี่ปุ่นย่นจมูกก่อนหันไปมองหน้าจอโทรทัศน์แล้วสลับมามองหน้าเขา
“นอนกับเหมยหรือเปล่า”
“นอนซี่” คนถูกถามขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไม่นอนกับต้นเหมยจะให้เราไปนอนไหนเล่า”
“นึกว่าจะนอนห้องน้ำเงิน”
“ไม่เอาหรอก
เกรงใจแย่เลย เรานอนกับต้นเหมยแหละ”
“งั้นเดี๋ยวไปดูต่อในห้องไหม”
“ได้เหรอ”
“ได้ครับ” ญี่ปุ่นฉีกยิ้มน่ารักก่อนพยักหน้าลงหลายหน
เหมยจึงลุกขึ้นก่อนดึงคนบนโซฟาให้ลุกขึ้นตามกัน
เขาเดินไปปิดโทรทัศน์แล้วพาอีกฝ่ายเดินเข้าไปในห้องนอนชั่วคราวของตัวเอง “ไปอาบก่อนเลยครับ
เดี๋ยวเหมยจะเปิดหนังรอ”
“ต้นเหมย”
“หืม”
“เรื่องวันนี้...” คนตัวเล็กกว่าอ้ำอึ้ง
คิดว่าจะไม่เอ่ยปากถามแต่สุดท้ายมันก็ทำไม่ได้
อีกอย่างเขาอยากจะให้อีกฝ่ายได้กลับไปคุยกับทางบ้าน “เป็นยังไงบ้างเหรอ”
“ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก” เหมยยิ้มตอบหวังให้ญี่ปุ่นคลายความกังวล
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอย่างนั้น “เหมยบอกกับเขาไปแล้วว่าชอบปุ่น”
“ทำไมพูดไปแบบนั้นเล่า” หากเดาถูกนั่นแปลว่าทางบ้านของเพ่ยเพ่ยต้องรู้แน่แล้วว่าต้นเหมยชอบผู้ชาย
“เดี๋ยวก็มีปัญหา”
“ไม่สนแล้ว”
“ต้นเหมย”
“...”
“ถ้าเราอยากจะขอให้กลับไปคุยกับที่บ้านได้ไหม” เหมยหรี่ตาเมื่อประโยคขอร้องนั่นกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เขาลำบากใจพอสมควร
ไม่รู้ว่าหากกลับไปคุยแล้วจะจบลงทิศทางไหน ดีไม่ดีโดนไล่ตะเพิดออกมาอีกหนึ่งยก “เราไม่อยากให้ต้นเหมยต้องทะเลาะกับที่บ้าน
อีกอย่างนี่มันก็พักหนึ่งแล้วเหมือนกันนะ”
“ยังไม่อยากคุย”
“จะปล่อยให้เป็นแบบนี้เหรอ” ญี่ปุ่นกัดริมฝีปากเมื่อคนเป็นแฟนพยักหน้าลงยืนยัน
เขารู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ลึกๆ ยังคิดว่าสาเหตุนั้นมาจากตัวเองเป็นที่ตั้ง
“เหมยเลือกปุ่น”
“ถ้าต้นเหมยเลือกเราก็กลับไปคุยได้ไหม”
“…”
เหมยรู้ว่าทำไมญี่ปุ่นถึงเป็นทุกข์ใจ หากเป็นเขาเองคงจะไม่ต่างกัน
เขาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียง
ใช่ว่าไม่อยากจะทำตามคำร้องขอแต่เขาไม่รู้ว่าจะไปเริ่มอย่างไร
ให้กลับคุยและทักทายด้วยคำไหนป๊าถึงจะไม่ไล่ออกมา
แม้จะผ่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว
แต่ไม่มีท่าทีว่าป๊าจะยอมรับเรื่องเขาชอบผู้ชายได้และหากเป็นเช่นนั้นเขาคงเก็บความหงุดหงิดใจเอาไว้ไม่ไหว
สุดท้ายต้องได้เถียงกันแล้วออกมาก่อนอยู่ดี
“ต้นเหมย”
“…”
“เราขอร้อง” คนตัวโตลอบถอนหายใจแผ่ว
ช้อนสายตามองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเห็นแววความไหวสั่นจากดวงตาคู่นั้นราวกับกำลังจะร้องไห้ออกมา
และเขาเป็นผู้พ่ายแพ้
“ได้ครับ” เพียงแค่คำตอบรับสั้นๆ
กลับทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าดื้อรั้นหวนกลับคืนแต่คำว่า ‘แต่ไม่รู้จะกลับไปเมื่อไหร่’ ยังคงติดอยู่ที่ปากไม่ได้พูดออกไป
ญี่ปุ่นเดินเข้ามาใกล้
เหมยจึงอ้าแขนทั้งสองออกก่อนคนตัวเล็กจะโผเข้ากอดแล้วซุกหน้าลงกับต้นคอ
หลังจากนั้นได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ ข้างหู
“กอดนานๆ
เลยได้ไหม” เหมยยกยิ้มมุมปากแล้วเปลี่ยนเป็นเรียบเฉยหลังผละเจ้าตัวยุ่งออกจากอ้อมแขน
ช่วงวินาทีเขาจับคนตัวเล็กพลิกให้นอนลงบนเตียง
ชายหนุ่มโน้มไปกระซิบข้างหูคล้ายกับที่ญี่ปุ่นทำเมื่อครู่
“เปลี่ยนเป็นจูบนานๆ
ได้หรือเปล่า”
tbc.
ทุกคนคับ เรื่องของต้นเหมย หนังสือยังมีให้สั่งซื้ออยู่น้า
ส่วนแบบฉบับอีบุ๊กมีแต่ช้าค่ะ ซึ่งเราต้องรอทางสนพ.นะคับ ถ้ามีความคืบหน้าจะรีบอัปเดตเลยค่า
#เรื่องของต้นเหมย
ความคิดเห็น