ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อดีตขุนนางสาวโสดกับชีวิตโลดโผนผจญภัยเพื่อลูกสาวสุดน่ารัก

    ลำดับตอนที่ #55 : แม่นั่นท่าจะเป็นห่วง (ตลอดแหละ)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.07K
      69
      28 ธ.ค. 62

    นกวิญญาณตัวสีน้ำเงิน Beryl และนกวิญญาณตัวสีแดง Rubeus ซึ่งเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวของ Shirley ที่เพิ่มมาอีกสอง ใช้ชีวิตประจำวันกับแม่กับลูกสาวเริ่มดูมีชีวิตชีวามากขึ้น

    “มันกินได้ทุกอย่างเลย หืม?”

    “ฉันเองก็สงสัยมาได้สักพักหนึ่งแล้ว… พวกมันเป็นนกจริงๆหรือเนี่ย?”

    ต๊อกๆๆๆๆ! ขณะที่พวกมันจิกอาหารอย่างขมีขมันจนได้ยินไปทั่วห้อง Shirley ก็มองดูนกที่กินแบบไม่เป็นระเบียบด้วยท่าทางสงสัย

    ถึงแม้พวกมันจะกินจุจนทำให้จานป้อนข้าวแทบจะหมดทันทีที่เติม สิ่งที่น่าแปลกใจจริงๆก็คือสิ่งที่พวกมันกินในตอนแรกนั่นแหละ

    มันเริ่มที่จะเด่นชัดขึ้นตั้งแต่ที่พวกมันเริ่มทำแบบนั้น ถึงแม้ว่ามันจะกินอาหารสำหรับนกตัวอ่อนอย่างผักกับแมลงได้ก็ตาม มันก็ยังดื่มซุปร้อนๆและก็ยังกินผลเบอร์รี่เปรี้ยวได้อย่างเหลือเชื่อ แม้กระทั่งเนื้อสัตว์หรือปลาที่พวกเธอป้อนให้ก็ตาม

    ขณะที่มันอาจจะกลืนลงไปอย่างง่ายดายถ้าลองพิจารณาดูจะเห็นว่ามันเป็นนกวิญญาณที่น่าลึกลับพิศวงเลย มันยากที่จะเห็นสิ่งลึกลับที่มันป่องออกมาได้

    “ฉันคิดไปเองหรือเปล่าว่ามันจะใหญ่ขึ้นทุกวันน่ะ?”

    “…หมายถึงพวกนั้นอ้วนขึ้นหรือ?”

    “เปล่า มันก็ยากที่จะเชื่อนะ แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะอ้วนขึ้นหรอกนะ”

    Shirley มองภายในตัวนกทั้งสองโดยใช้พลังของเธอ

    “กล้ามเนื้อโตไปพร้อมๆกับกระดูกเลย มันไม่ได้อ้วนขึ้นสินะ”

    “แต่ เรายังเลี้ยงไม่ถึงสัปดาห์เลย แล้วมันก็โตมาถึงขนาดนี้หรือ?”

    เทียบกับขนาดตัวที่เล็กตอนที่พบเป็นครั้งแรกแล้ว ลูกนกสองตัวนี้ก็โตขึ้นมามากเลย แต่ก็มีสิ่งชีวิตอยู่หลายอย่างที่โตเร็วมากหลังจากที่เกิดมาแล้ว จึงไม่ได้ทำให้ Shirley กังวลมากนัก

    “ลูกนกนี่โตเร็วมากเลยนะ บางทีนกพวกนี้ก็ไม่ได้คล้ายคลึงใดๆเลย แม่น่าจะไปถามคนที่รู้เรื่องมากกว่านี้สักหน่อย”

    “ค่ะ ฝากด้วยนะคะ หม่าม้า”

    “จำไว้นะ อย่างที่แม่บอกไปก่อนหน้า แม่อาจจะไม่อยู่สักพักขึ้นอยู่กับว่าจะต้องใช้เวลาสืบหานานแค่ไหน แม่จะพยายามกลับมาให้ทันก่อนมื้อเย็นให้ได้ แต่ถ้าหากแม่ไม่กลับมาในเวลานั้นก็ขอให้คุณ Martha ทำอาหารให้นะ”

    “อืม เข้าใจล่ะ”

    เธอไม่ชอบเลยที่จะต้องสูญเวลาที่มีค่ากับลูกสาวแบบนี้ Shirley นั้นเป็นห่วงว่าจะมีมอนสเตอร์ที่ไม่รู้จักซุ่มอยู่นอกเมืองชายแดน เนื่องจากมันอาจจะคุกคามลูกเธอได้

    (เมื่อจบเรื่องนี้แล้ว มันก็น่าจะเป็นความคิดที่ดีที่จะให้เด็กพวกนี้คุ้นเคยกับนกวิญญาณพวกนี้ ส่วนจักรวรรดินั่นก็ยังน่าเป็นห่วงอยู่)

    ภูตวิญญาณรับใช้สามารถเป็นตาและหูของมาสเตอร์ได้ เป็นความสามารถที่มีประโยชน์กับนักผจญภัยที่เผชิญหน้ากับภัย ซึ่งพวกนั้นสามารถแจ้งเตือนได้เมื่อมาสเตอร์อยู่ในอันตราย อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ปกป้องอาชญากรรม… ถึงแม้ว่าพวกเธอจะมีแค่นาฬิกาพกก็สามารถเรียก Shirley มาได้หากตกอยู่ในอันตราย นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกนั้นจะต้องเก็บไว้กับตัวอยู่ตลอด

    ถ้าพวกนั้นมีเวทมนตร์ที่ติดต่อกับนกได้ พวกนั้นก็สามารถอัญเชิญ Beryl กับ Rubeus มาได้ถึงแม้พวกนั้นจะอยู่ห่างจากบ้านนกที่อยู่ในกล่องเครื่องมือของผู้กล้าก็ตาม ดังนั้นถ้าหากพวกนั้นถูกคนหื่นจู่โจมอีกครั้ง นกวิญญาณก็จะปกป้องพวกเธอเอาไว้ และปล่อยให้พวกเธอหลบหนีหรือไปขอความช่วยเหลือได้

    (Beryl กับ Rubeus น่าจะโตขึ้นมาตั้งแต่แรกแล้วล่ะ)

    มันก็ดีที่พวกมันโตเร็ว ขณะที่ Shirley ชำเลืองมองลูกนกสองตัวที่ดูท่าทางซื่อๆนั้น เธอก็พา Sophie กับ Tio ออกจากกล่องเครื่องมือของผู้กล้าด้วยการตบหลังเบาๆ

    “ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่จะต้องไปโรงเรียนแล้ว อย่าลืมนะทั้งสอง วันนี้ต่างจากปกตินะ”

    “…อ๊ะ จริงสิ”

    “ชุดว่ายน้ำของเราอยู่ไหนแล้ว? เมื่อวานเราก็เอาไปตากนี่นา…”

    คาบเรียนว่ายน้ำที่จะเริ่มในวันนี้ หลังจากที่เธอชี้ไป ทั้งสองก็รีบเบียดขึ้นบันไดราวกับจะลืมจนมาถึงตอนนี้

    การหลบร้อนในวันที่ร้อนสุดขั้วมาไม่นานนั้น วันนี้ก็เลยเย็นลงบ้าง ขณะที่เด็กสาวทั้งสองที่ได้ก้าวข้ามเธอไปไกลตอนที่ว่ายน้ำจะได้สนุกสนานโดยที่ไม่ต้องไปเสี่ยงเป็นไข้แดดแล้ว Shirley รู้สึกถึงความสุขอยู่เบื้องลึก แต่――――

    ――――หยาาาาาา!?

    ――――อุหวาาาาาาาา!? ผ-ผมขอโทษครับ!!

    ทันใดนั้นเธอก็นึกตอนที่เธอไปฝึกว่ายน้ำกับเด็กหนุ่มที่มีอายุเป็นครึ่งหนึ่งของตัวเธอได้ Shirley ถึงกับทำหน้าแดงออกมา และขณะที่เธอเป็นห่วงเรื่องนั้น หรือว่าอาจจะมีอะไรอย่างที่เธอนึกเอาไว้เกิดขึ้นกับ Sophie กับ Tio ได้สินะ?

    เธอเชื่อใจ Kyle ถึงแม้จะเป็นเด็กหนุ่ม เนื่องจากเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์และจริงใจ Shirley จึงยอมให้เขาไปติดต่อกับ Sophie และ Tio ได้ เธอไม่ได้รู้สึกเหมือนเขาจะแอบมีอะไรซ่อนเร้นอยู่

    แต่ตอนที่มายังฝาแฝดนั้น… ความกลัวก็แทงเข้าไปในใจของดาบอสูร

    (แต่เกี่ยวกับเพื่อนร่วมชั้นนั่นล่ะ… เด็กชายในชั้นเรียน…?)

    เธอได้ยินเรื่องนั้นมาตอนที่เธอเยี่ยมชั้นเรียน พวกนักเรียนชายในห้องต่างก็พูดถึงกันเรื่อง Sophie กับ Tio ทั้งนั้น หลังจากที่คิดแบบนั้นไป Shirley จึงนึกภาพสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในคาบเรียนว่ายน้ำได้

    เนื่องจากโรงเรียนมีแต่เด็กอย่างเดียว ชั้นเรียนจึงไม่ได้แยกชายกับหญิงเอาไว้ เนื่องจากปกติแขนกับขาจะต้องเผยออกมา คิดว่า Sophie กับ Tio จะเผยผิวกายออกมามากกว่าปกติตอนที่สวมชุดว่ายน้ำ นอกจากนี้เด็กผู้ชายถึงแม้จะยังอายุน้อย ก็ยังมากพอที่จะรู้ความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง เหงื่อก็เลยไหลออกมาผ่านหลังของแม่

    (น…นี่มัน… จะไม่อันตรายจริงๆหรือ…..!?)

    พวกเด็กชายลามกอาจจะไปสัมผัสร่างของลูกสาวโดยแกล้งทำเป็นอุบัติเหตุได้ พวกนั้นทำเรื่องที่น่ารังเกียจกับไร้ยางอายได้อย่างไรกัน? พวกนั้นมันเป็นสัตว์เดรัจฉานยิ่งกว่าคนไปแล้ว Shirley ถึงกับคิดไปเองเกินกว่าที่จะควบคุมได้แล้ว แล้วก็บิดสีหน้าให้สงบลงเท่าที่ทำได้ แล้วก็พูดกับฝาแฝดออกมา

    “ทั้งสองคน… แม่ว่าแม่จะไปไล่พวกเด็กชายออกไปให้หมด… พอพวกนั้นไปแล้ว ก็น่าจะว่ายน้ำได้โอเคล่ะ…”

    “พูดเรื่องอะไรอยู่หรือคะ หม่าม้า?”

    หลังจากนั้น Shirley ก็เสียความเยือกเย็นและพยายามโน้มน้าวลูกสาวให้โดดคาบเรียนว่ายน้ำด้วยกัน แต่…

    “ไปทำงานเถอะค่ะ!” Sophie พูดขึ้นมา แล้วชี้ไปยังที่ประตู

    “งั้นให้ฉันคอยปกป้อง Sophie เอง” แล้ว Tio ก็พูดขึ้นมา กระตุ้นให้ Shirley ยอมปล่อยวางอย่างไม่เต็มใจแล้วก็ย่ำเท้าไปยังที่กิลด์ เมฆสีเทาแห่งความหดหูลอยอยู่เหนือหัวเธอตลอดเวลา

    เธอพยายามที่จะซ่อนอารมณ์หดหู่ของเธอและเลี่ยงคำถาม Yumina เอาไว้ Shirley ยืนยันรายละเอียดเกี่ยวกับ ‘ปีศาจแปลกๆ’ จากกิลด์แล้ววิ่งเข้าไปยังในป่าที่อยู่นอกเมืองชายแดนอย่างกับสายลมเลย

    ตามที่รายงานมา ผู้พบเห็นคนแรกเป็นนักผจญภัยแรงค์ D สามคนที่มาจากเมืองหลวงของราชอาณาจักร

    ขณะที่ปาร์ตี้เดินทางผ่านภูเขาที่อยู่ทางตอนเหนือของราชอาณาจักรเพื่อทำคำร้องเก็บรวบรวมให้เสร็จนั้น ทันใดนั้นก็มีมอนสเตอร์ปรากฏต่อหน้าพวกเขาเลย พวกเขาสู้กันอย่างหนักจนพอพวกเขาเชื่อว่ามันจนมุมแล้ว ปรากฏว่ามีเสียงคำรามที่น่ากลัวดังขึ้นแล้วมันก็หนีไปเลย

    จากจุดนั้นก็มีผู้พบเห็นอีกหลายๆคน จากนักผจญภัยยันพ่อค้ายันชาวนายันเอล์ฟและอีกหลายๆคน… ดูเหมือนว่ามอนสเตอร์นั้นตั้งใจที่จะมุ่งไปยังเมืองและหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ๆ

    (ก็ไม่ได้รู้สึกมากนัก… ถึงแม้จะแค่มองหาอาหาร การอพยพเข้าไปใกล้มนุษย์นั้นมันยิ่งกว่าศัตรูอีก)

    คิดว่ามันคงจะมองหาของบ่อยขึ้น เคยมีในกรณีของมอนสเตอร์ฉลาดที่เรียกว่าก็อบลินบุกเข้าไปยังหมู่บ้านเพื่อขโมยอัญมณีเพื่อให้มังกรที่พวกมันอาศัยอยู่ด้วย

    แต่ตามเรื่องที่ได้มา ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีอะไรหลังจากนั้น มันก็ยังคงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านกับเมืองอยู่ดี

    ถ้าหากเป็นมอนสเตอร์ที่อยู่เหนือสุดของห่วงโซ่อาหารแล้ว มันก็น่าจะรู้สึกตัวได้แล้ว แต่ถ้าหากมันอ่อนแอพอที่นักผจญภัยแรงค์ D ทั้งสามคนจัดการมันได้ Shirley รู้จากประสบการณ์ของเธอว่ามอนสเตอร์ที่อ่อนแอเพียงตัวเดียวจะไม่มีทางมายังที่ๆมนุษย์อาศัยอยู่ได้

    ถึงแม้มนุษย์จะยังมีสัญชาตญาณปกป้องตัวเองอยู่ มันก็ยากที่จะจินตนาการมอนสเตอร์นั่นได้ บางอย่างที่อยู่ในวงกว้างเนื่องจากความเข้าใจ มันจะไม่สนใจสู้กันซึ่งๆหน้าหรือสัญชาตญาณการหลีกเลี่ยงกันล่ะ

    (โชคไม่ดี… ฉันใช้มังกรภูเขาไม่ได้ เนื่องจากต้องทำการตรวจสอบ)

    สำหรับ Shirley ผู้ที่มุ่งมั่นในการทำคำร้องให้สำเร็จโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะได้กลับบ้านโดยไม่มีล่าช้า จึงไม่ปกติที่จะได้เห็นเธอเดินทางด้วยการย่ำเท้า

    โดยปกติ สิ่งมีชีวิตใดๆจะมีสัญชาตญาณต่อการหวาดกลัวสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่กว่าตัวมันเอง แม้แต่มังกรภูเขาที่อยู่ชั้นล่างที่สุดของระดับมังกร มันก็ยังใหญ่กว่ามนุษย์อยู่ดี

    เนื่องจากมันไม่เหมาะที่จะต้องมาทำงานที่มีความละเอียดอ่อนมากอย่างนี้ Shirley จึงตัดสินใจไม่ขี่สัตว์เพื่อให้ทำคำร้องอย่างราบรื่น เธอจึงได้วิ่งไปยังจุดหมายแทน

    อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่คาดนั่นแหละ ดาบอสูรสีขาววิ่งเร็วจนผิดสามัญสำนึก ตัวเธอนั้นโน้มไปข้างหน้าขณะที่เสริมเวทไว้ที่ขาข้างที่ลอยเหนือพื้น

    ถึงมันจะไม่ใช่ความเร็วแสงที่เธอเคยโชว์ในการประลองก็ตาม บางครั้งก็ดูเหมือนว่าเธอจะหายไปเสียดื้อๆ ความเร็วของเธอนั้นเกือบจะเทียบเท่ากับมังกรภูเขาได้เลย

    “ฟูวว… น่าจะหยุดพักสักหน่อย”

    แต่เธอก็ยังต้องพึ่งพวกมังกรอีกมาก เนื่องจากมันชนะเธอขาดลอยในด้านความอึด

    และเนื่องจาก Shirley ต้องคิดในตอนที่เธอจะต้องลุยศึกทุกอย่าง มังกรจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะคอยช่วยประหยัดพลังงานและพลังเวทของเธอนำไปใช้กับสิ่งที่รอเธออยู่

    “ดวงอาทิตย์อยู่ในท้องฟ้าสูงมาก… ฉันว่าต้องทานข้าวแล้วล่ะ?”

    อุณหภูมิที่ยังร้อนพอที่จะทำอะไรไม่สะดวกถ้าไม่ได้วิ่งฝ่าลมแบบนั้น แต่ตรงนั้นก็มีต้นไม้พอจะให้ร่มเงาได้บ้าง

    ถึงแม้ Shirley จะดูเหมือนว่ามามือเปล่าในแวบแรก เธอก็เรียกเอาตะกร้าออกมาพร้อมกับแซนด์วิชและน้ำเย็นออกมาจากกล่องเครื่องมือของผู้กล้าทันที

    Shirley ได้เตรียมเอาไว้ก่อนที่จะไป โดยเก็บไว้ในกล่องเครื่องมือนี้ ปกตินักผจญภัยที่มีแรงค์สูงกว่านี้จะมีความภาคภูมิใจที่ได้กินอาหารหรูหราในระหว่างผจญภัย แต่อาหารของ Shirley ต่างจากของทุกคนตอนที่เก็บรักษาเอาไว้นั่นแหละ

    เนื่องจากแสงอาทิตย์ไม่เคยปราณีใดๆในช่วงนี้ อาหารที่พกมานานๆอาจจะเน่าเสียได้เร็วมากก่อนที่จะได้กินมัน กล่องเครื่องมือของผู้กล้าจึงคอยรักษาอุณหภูมิที่เหมาะสมเอาไว้โดยไม่สนใจว่ามันจะร้อนหรือจะเย็นจนน่าจะเหมาะที่จะพกพาอาหารไปได้จริงๆ

    ไม่มีทางที่มอนสเตอร์จะตามกลิ่นอาหารได้ จึงไม่มีทางที่อาหารจะถูกทำลายจนเละในระหว่างต่อสู้ได้ เนื่องจากคนที่สร้างมันขึ้นมาอย่าง Canary ได้ใส่ใจกับเครื่องมือที่ช่วยเหลือนักผจญภัยในระหว่างที่ต่อสู้ ตอนแรกเธอไม่คิดจะใช้มันในที่แบบนี้ แต่หลังจากที่ Shirley ได้ใช้มันในการจัดปิกนิกกับ Sophie และ Tio หลังจากที่ได้รับมา เธอก็เลยใช้มันแบบนี้ทุกครั้ง

    “หืมม…………. ฉันลองฝึกทำไก่ทอดมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่นี่มันเปรี้ยวไปหน่อย”

    แต่เธอก็ทำอาหารได้หยาบอยู่ เธอได้ฝึกทำมาตั้งเยอะแยะ เรียนรู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะตอนที่เธอเริ่มสอนให้ลูกสาวหัดทำอาหารด้วยความตั้งใจ แต่――――

    “อะไรเนี่ย? มันรู้สึกเหมือนมีบางคน บางแห่ง ที่กินด้วยรสนิยม… อ้อก! ค-คอฉัน…!”

    “นายไม่ควรพูดขณะที่กินนะ ไอ้บ้า… แต่ก็จริง ด้วยเหตุผลบางอย่างทำไมฉันถึงรู้สึกอิจฉาออกมาน้า…?”

    “อูวว… น้ำก็อุ่น ตรงข้ามกับที่มันเย็นๆเลย…!”

    ขณะเดียวกัน นักผจญภัยที่พักเหนื่อยในวันเดียวกันนั้น นักผจญภัยแรงค์ E สามคนนั่นน่าจะโกรธด้วยความริษยาแน่ถ้าพวกเขาพบว่า Shirley มี ขณะที่พวกเขาต้องดิ้นรนไปด้วยขนมปังแข็งๆในแสงแดดที่แรงพอๆกับน้ำที่พวกนั้นร้อนเลยล่ะ

    แต่ ราวกับจะเห็นใจพวกนั้น ตรงนั้นก็มีเงาที่อยู่บนหน้าของ Shirley

    “…….ทำไมถึงรู้สึกว่ามันสุภาพกว่าปกติน้า?”

    หลายปีหลังจากนั้น เธอที่โตมาโดยกินเองคนเดียวในระหว่างที่ผจญภัย ถึงแม้ว่าเธอจะคอยมองหาที่กินอาหารอร่อยๆใต้เงาร่มไม้ ก็มีบางอย่างที่รู้สึกหายไปโดยไม่มีพวกหน้าใหม่ที่ดูมีชีวิตชีวาพวกนั้น

    หลังจากที่กินอาหารเสร็จแล้ว Shirley ก็ได้พักงีบเป็นเวลาสั้นๆ หลังจากที่ตื่นขึ้นมา ก็เอาของที่เหมือนลูกธนูออกมา

    ด้วยรูปร่างที่มีผมขาวที่ปลิวไสวมาถึงทะเลต้นไม้ ด้วยเส้นทางที่เธอกระโดดข้ามเหนือรากที่สูงตระหง่านขณะที่เธอวิ่งผ่านไปอย่างง่ายๆ มันเหมือนกับลมหิมะที่กำลังพัดผ่านกลางป่าอยู่

    สองดวงตาสีแดงและน้ำเงินมองผ่านทะลุต้นไม้ที่ไกลเท่าที่เธอจะมองเห็นได้ คอยมองหามอนสเตอร์ลึกลับนั่นอยู่

    การพบเห็นครั้งสุดท้ายนั้นอยู่ในเขตชนบทที่ไม่ไกลจากป่านี้ ที่ลูกของคนเลี้ยงสัตว์เห็นมันอยู่ใกล้หมู่บ้าน มันเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนในพื้นที่ ซึ่งถูกรายงานไปยังกิลด์นักผจญภัยในวันต่อมา

    (ก็แค่ก้อนหินที่โยนออกไปให้ห่างจากที่ๆคนอยู่เอง… มันน่าจะดีกว่ามาบุกไปจัดการนอกจากสืบสวนล่ะกัน)

    เธอเตรียมเอาเกวียนมาเพื่อที่จะเอาศพกลับไปด้วย มันจะเป็นปัญหา แต่นี่น่าจะช่วยป้องกันความเสียหายที่เกิดขึ้นในอนาคต

    (อย่างที่ว่าเลย สิ่งที่ผู้พบเห็นอธิบาย มันต้องเป็นสัตว์แปลกๆแน่)

    Shirley นั้นอยากจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของมัน เธอจึงได้ถามกิลด์ที่ปกติจะมีข้อมูลดีๆตอนที่ระบุตัวตนของมอนสเตอร์แล้ว แม้แต่ Yumina ที่ปกติจะรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องแบบนี้อย่างดี ก็พบว่ายากที่จะเทียบมอนสเตอร์ที่อยู่ในรูปกับมอนสเตอร์ที่คนเค้ารายงานมาได้

    เป็นนักผจญภัยมาสิบปี Shirley ก็พอที่จะรู้มอนสเตอร์มาตั้งเยอะแล้ว แต่มอนสเตอร์ที่มีวิวัฒนาการแบบนั้นมันน่าจะกลายเป็นอย่างม่วงไปทั้งตัว ตะขาบยักษ์สิบขาที่มีดวงตาที่ผุดมานับไม่ถ้วน เหมือนอย่างพวกมอนสเตอร์ในทะเลลึกบางพวกหรือเปล่า? มันก็น่าแปลกน่า จะงอยปากนกนั่นน่าจะหมุนบิดไปมาได้จนดูไม่เหมือนมันจะเชื่อมต่อกับใบหน้าโดยเส้นเลือดหรือกระดูกเลย รายงานนี้ได้มากจากอีกสามแห่งที่อยู่ใกล้ๆมากับตัว

    มันอาจจะเป็นมอนสเตอร์ที่น่ากลัวสยดสยองที่สุดในโลกนี้ แต่ระหว่างที่เธอใช้เวลาออกผจญภัยนั้น Shirley ก็ไม่มองข้ามอะไรที่มันแปลกๆอย่างนั้น

    ถึงแม้จะเป็นนักผจญภัยประสบการณ์น้อยก็น่าจะใช้คำว่า ‘แปลก’ มาอธิบายมอนสเตอร์นี้ได้ ซึ่งก็เป็นคำที่ Shirley นั้นใช้ได้ด้วย

    “เข้าใจล่ะ… นี่ไม่ใช่วิวัฒนาการตามธรรมชาติสินะ?”

    ในป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่หนาทึบ ทันใดนั้นก็มีอะไรบางอย่างโผล่มาต่อหน้าเธอ มอนสเตอร์แปลกๆที่เธอมองหาอยู่ท่ามกลางตรงนี้พอดี

    ผิวซีดราวกับจะไม่มีเลือดไหลผ่านใต้ผิว… ไม่สิ ที่จริงมันก็ใกล้เคียงกับสิ่งที่เธอพอจะมองออกว่าเป็นผิวหนังมนุษย์

    รูปร่างนั้นก็มาจากแขนอีกจำนวนนับไม่ถ้วนกับปากที่ถูกทุบแหลกอย่างไร้เหตุผลราวกับจะมีคนมือหนักพยายามจะใช้กำลังแทงมนุษย์ เป็นมอนสเตอร์ที่ลึกลับและน่าขนลุกจนดูเหมือนว่าจะอยู่นอกเหนือจากธรรมชาติไปแล้ว

    “aaaaaAAAAaaaaaaaaaaaaaaaaaaAAAAAAAAAAAAAAAAAAA!!!”

    ด้วยเสียงร้องที่เหมือนกับแหกปากร้องสาปแช่งออกมา มอนสเตอร์นั้นก็พุ่งเข้าหาตัว Shirley ด้วยมือและเท้าเป็นจำนวนมาก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนเปิดให้แสดงความคิดเห็น “เฉพาะสมาชิก” เท่านั้น
    ×